|
|
|
|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
|
ทริปโบราณสถาน อยุธยา-ลพบุรี : Part V
ความเดิมตอนที่แล้ว
นั่งมองวิวข้างทาง หูก็ฟังเสียงวิทยากรกับเพื่อนร่วมทริปเมา์ืท์ ไม่นานก็ "หลับ" ....ตื่นอีกครั้งรถจอดหน้า "พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์"
เข้าไปยืนรอรถบัสอีกคันที่ยังมาไม่ถึง สงสัยจะขับกันคนละเส้นทาง เห็นอาคารสำนักงาน เป็นอาคารเก่า สวยดี
แล้วก็มีป้ายอิงค์เจคบอกเรื่องราวมหัศจรรย์ เกี่ยวกับภาพรัชกาลที่ 5 เหนือประตูทางเข้า เราก็มองหาบ้่าง .....มองอยู่ตั้งนาน กว่าจะเห็น เป็นภาพรัชกาลที่ 5 จริงๆ ด้วย
ลองมองดูให้ดีๆ นะ
ช่วงเวลาีที่คณะของพวกเราไปถึงก็บ่าย 3 โมงกว่าแล้วล่ะ ใกล้จะหมดเวลาชมพิพิธภัณฑ์แล้ว เราจึงได้เห็นคณะนักเรียนโรงเรียนต่างๆ ที่คงมาทัศนศึกษากัน ทะยอยเดินออกประตูไป ..ดูมากมาายคึกคักดีจัง ไม่ยักเห็นแบบนี้ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงเทพบ้างเลย (หรือมีแต่เราไม่เห็นเอง)
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวังซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2199 - 2231 โปรดให้สร้างขึ้น ณ เมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ. 2209 บนพื้นที่ 41 ไร่ สำหรับเป็นที่ประทับพักผ่อน ล่าสัตว์ ออกว่าราชการ และต้อนรับแขกเมืองอย่างไม่เป็นทางการ พระองค์โปรดประทับอยู่ ณ เมืองลพบุรีนานเกือบตลอดปี เฉพาะฤดูฝนเท่านั้นจึงจะเสด็จไปประทับ ณ กรุงศรีอยุธยา เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2231 เมืองลพบุรีหมดความสำคัญลง
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดฯ ให้ซ่อมแซมพระราชวังของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่เพิ่มเติมสำหรับเป็นที่ประทับในปี พ.ศ. 2399 และพระราชทานชื่อพระราชวังว่า พระนารายณ์ราชนิเวศน์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ อันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้รัฐบาลใช้เป็นศาลากลางจังหวัด และต่อมา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นที่พระที่นั่งจันทรพิศาล ในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2467 เรียกว่า ลพบุรีพิพิธภัณฑสถาน และในปี พ.ศ. 2504 จึงได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ปัจจุบันได้จัดแสดงศิลปโบราณวัตถุตามอาคารและพระที่นั่งต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นจำนวนกว่า 1,864 รายการ
ชาวคณะมาครบกันแล้ว ก็เริ่มต้นฟังบรรยายโดยวิทยากรของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ บริเวณหน้าพระที่นั่งจันทรพิศาล ซึ่งท้องพระโรงสำหรับประชุมเสนาบดีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
อาคารด้านซ้ายมือ
ก็เป็นเรื่องราวความเป็นมา การก่อสร้าง และความสำคัญของสถานทีแห่งนี้ แล้วจึงย้ายไปชมโบราณวัตถุที่จัดแสดงภายใน พระที่นั่งพิมานมงกุฎ
อาคารสูง 3 ชั้น สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับเป็นที่ประทับส่วนพระองค์
เราค่อยๆ ปลีกตัวจากหมู่คณะออกมาชมสิ่งปลูกสร้างในเขตพระราชวัง เพราะอยากจะเดินดูให้ทั่วๆ มากกว่าดูโบราณวัตถุที่จัดแสดง
จุดแรกที่ไปเยือนก็คือ พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
เป็นพระที่นั่งองค์หนึ่งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นกลางของ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อปี พ.ศ. 2209 เป็นพระที่นั่งท้องพระโรง มียอดแหลมทรงมณฑป ศิลปกรรมแบบไทยผสมผสานกับฝรั่งเศส ประตูและหน้าต่างท้องพระโรงด้านหน้าทำเป็นรูปโค้งแหลมแบบฝรั่งเศส ส่วนตัวมณฑปด้านหลังทำประตูหน้าและหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์แบบไทย ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชร เป็นที่เสด็จออกเพื่อมีปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้าในท้องพระโรงตอนหน้า
ผนังภายในท้องพระโรงประดับด้วยกระจกเงา ซึ่งโปรดให้คนไปจัดซื้อมาจากประเทศฝรั่งเศส ดาวเพดานเป็นช่องสี่เหลี่ยมประดับลายดอกไม้ทองคำและแก้วผลึก
ผนังด้านนอกพระที่นั่งตรงมณฑปชั้นล่าง เจาะเป็นช่องเล็กๆ รูปโค้งแหลมคล้ายบัว สำหรับตั้งตะเกียงในเวลากลางคืน เช่นเดียวกับที่ซุ้มประตูและกำแพงพระราชฐานชั้นกลางและชั้นใน ซึ่งมีช่องสำหรับวางตะเกียง ประมาณ 2,000 ช่อง
สถานที่นี้เป็นพระที่นั่งท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกรับคณะราชทูตในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เดินผ่านประูตูออกมาสู่เขตพระราชฐานชั้นนอก
เรื่องประตูและกำแพงวังนี้เคยมีกรณีพิพาทในขณะการบรูณะด้วย
ประตูและกำแพงก่อนการบรูณะ
โรงช้างหลวง มีทั้งหมด 10 โรงด้วยกันอยู่ติดกำแพงกั้นระหว่างเขตพระราชฐานชั้นนอกกับชั้นกลาง และช้างที่ยืนโรงอยู่คงเป็นช้างทรงของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหรือเจ้านาย
ตึกรับรองคณะทูตต่างประเทศตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า ตึกหลังนี้อยู่กลางอุทยานซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส รอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูน้ำมีน้ำพุพุ่งเรียงรายได้ ระยะยาว 20 แห่ง สมเด็จพระนารายณ์ฯได้พระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตจากประเทศฝรั่งเศส ณ สถานที่นี้ใน พ.ศ. 2228 และ พ.ศ. 2230
สิบสองท้องพระคลัง สันนิษฐานว่าเป็นคลังเก็บสินค้าหรือเก็บสิ่งของเพื่อใช้ในราชการเลี้ยงตึกแขกเมือง
จากบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่าระบบการจ่ายทดน้ำ เป็นผลงานของชาวฝรั่งเศสและอิตาลี โดยน้ำที่เก็บในถังเป็นน้ำที่ไหลมาจากอ่างซับเหล็ก โดยผ่านมาทางท่อดินเผา ที่เชื่อมมาจากอ่างซับเหล็ก เพื่อนำน้ำมาใช้ภายในพระราชวัง
นอกจากนี้ก็ยังมีตึกพระเจ้าเหา สันนิษฐานว่าคงเป็นหอพระประจำพระราชวัง และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายในตึก ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้อาจมีชื่อว่า พระเจ้าเหา จึงเป็นที่มาของชื่อตึกแห่งนี้ ซึ่งเราไม่ได้ถ่ายรูปมา
เพลิดเพลินเจริญใจเดินวนเวียนถ่ายภาพไปมา ระลึกถึงความเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดินอโยธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ สิ่งก่อสร้างที่โอ่อ่า งดงามไปด้วยแก้วประดับ ผสมผสานศิลปะไทยและยุโรป คงสร้างความตืนตะลึงให้แก่ชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อปฏิสัมพันธ์ของแผ่นดินสยามมากมายนัก
แวะกลับไปที่สำนักงาน จะซื้อคู่มือนำชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไว้ ก็หมดซะอีก
เลยไม่มีให้อ่านอีกภายหลัง และแล้วเวลาก็ผ่านอีก 1 ชั่วโมง เราต้องขึ้นรถบัส รับอาหารว่าง มุ่งหน้าสู่จุดหมายสุดท้าย ก่อนที่จะค่ำเกินไป
ข้อมูลประวัติ จาก //www.thailandmuseum.com/narayana //th.wikipedia.org/
โปรดติดตามตอนต่อไป
Create Date : 22 เมษายน 2554 |
Last Update : 22 เมษายน 2554 19:37:21 น. |
|
5 comments
|
Counter : 1800 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: konseo วันที่: 22 เมษายน 2554 เวลา:18:10:38 น. |
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 23 เมษายน 2554 เวลา:0:11:20 น. |
|
โดย: neutral วันที่: 23 เมษายน 2554 เวลา:18:33:36 น. |
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 27 เมษายน 2554 เวลา:9:48:56 น. |
|
| |
|
นัทธ์ |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
|
|