|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
วัดพระศรีรัตนหาธาตุลพบุรี
“ปราสาทหินกลางนครลวะปุระยุคบาปวน” ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุลพบุรี ในปี พ.ศ. 1545 พระเจ้าสูริยวรมะเทวะที่ 1 ที่ซ่องสุมกำลังในเขตอีศานปุระ ได้เริ่มพิชิตเขตตะวันออกของอาณาจักร ขยายอิทธิพลเข้ายึดครองเมืองพระนครศรียโสธระปุระได้สำเร็จในปี พ.ศ. 1549 สถาปนาราชวงศ์ “ศรวะ” (Šarva dynasty) ขึ้น . พระเจ้าชัยวีรวรมัน กษัตริย์เทวราชาพระองค์เดิม ได้ถอยร่นผู้คนในปกครองมาทางพระตะบองเข้ามาตั้งมั่นในเขตทางเหนือในดินแดนวิมายปุระและลวะปุระ (lavapūr) ที่ยังอยู่ในอำนาจของราชวงศ์มหิธระปุระ (Mahīdharapura Dynasty) เดิมได้อยู่ประมาณ 9 ปี พระเจ้าสูริยวรมันได้ยกทัพติดตามขยายอิทธิพลรุกไล่เข้ามาทางเมืองพิมาย เสมาและอาจตามเข้ามาเผด็จศึกทัพพระเจ้าชัยวีรวรมันและพันธมิตรชาวรามัญที่เมืองละโว้ จนบ้านเมืองเสียหายครับ . จารึก K.1198 ระบุปีจารึก พ.ศ. 1554 ได้กล่าวถึงการเข้ายึดครองดินแดนตะวันตกและเมืองลวะปุระ โดยขุนศึกคนสำคัญคือ “พระกำเสตงอัญศรีลักษมีปติวรมัน” (Vraḥ Kamrateṅ Añ Śrī Lakṣmīpativarman)” แม่ทัพใหญ่ของพระเจ้าสูริยวรมันที่ 1 . “...ทรงให้ฟื้นฟูลวะปุระที่เกิดกลียุค (สงคราม ?) จนบ้านเมืองร้างกลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า...พระองค์ได้ส่งนักรบนามว่าศรีลักษมีปติวรมันเข้าไปปกครองและฟื้นฟูดินแดนรามัญ (rāmaṇya) ทางตะวันตก...ศรีลักษมีปติวรมัน ผู้เป็นนักรบ ได้ประดิษฐานรูปพระศิวลึงค์ไปทั่วดินแดนที่ได้ยึดครองมาได้...เขาจึงได้รับพระราชทานที่ดินและวิหารสำหรับประดิษฐานพระศิวลึงค์ หลังจากยึดมาจากศัตรูแห่งกษัตริย์...” . *** ภายหลังการเข้ายึดครองลวะปุระจากและราชวงศ์มหิธระปุระเดิมและกลุ่มชนชั้นนำชาวรามัญ จึงได้มีการสร้างปราสาทศิริศะ/บนยอดเขาจำลอง (ศาลพระกาฬ/ศาลสูง) ยกฐานสูงตามคติฮินดูไศวะนิกาย ขึ้นที่ใจกลางนคร ซึ่งต่อมาในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 17 (พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 – พระเจ้าหรรษวรมันที่ 3) ช่วงที่ราชวงศ์ศรวะยังมีอำนาจเหนือเมืองละโว้ จึงได้มีสร้างปราสาทหินกลางเมืองขึ้นใหม่เยื้องลงมาทิศใต้ บริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุในปัจจุบันครับ . ร่องรอยของฐานปราสาทหินกลางนครละโว้ในยุคต้นพุทธศตวรรษที่ 17 ยังปรากฏให้เห็นอยู่ที่ด้านหลังของพระปรางค์ประธานวัดมหาธาตุ ที่เพิ่งสร้างขึ้นภายหลังช่วงต้น-กลางพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นฐานปัทม์/บัวลูกฟัก ขนาด 11 * 15 เมตร ก่อด้วยหินทรายสีเทา หันหน้าไปทางตะวันออก ฐานบัวเชิงของเรือนปราสาทหินผังจัตุรมุข โดยมีมุขฐานและมุขซุ้มประตูหน้ายาวกว่าด้านอื่น . ชิ้นส่วนประดับปราสาทหลายชิ้นที่มีรูปแบบทางศิลปะและเนื้อหินทรายสีเทาแบบเดียวกันก็ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ ทั้งนาคปลายหน้าบันที่มีลายคายพวงมาลัย ชิ้นส่วนบัวเชิงชายหินทรายประดับชายหลังคามุขหน้า ชิ้นส่วนบันแถลงรูปนางอัปสรา รวมถึงส่วนหม้ออมลกะยอดปราสาทที่เหลืออยู่ อีกทั้งทับหลังรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณที่มีสิงห์คายท่อนพวงมาลัยศิลปะแบบบาปวน ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 17 อาจเคยเป็นทับหลังของมุขหน้าตัวปราสาทหินกลางเมืองนี้มาก่อนครับ . *** การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองในช่วงเวลาต่อมา ทั้งการกลับคืนมาของราชวงศ์มหิธระปุระตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 จนถึงการเข้ามาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ได้ส่งพระราชโอรส “นฤปตีนทรวรมัน” ขึ้นมาปกครองเมืองละโว้ทยปุระ (Lavodayapura) จนถึงยุคสมัยการกลับมาของราชวงศ์ลูกครึ่งชาวรามัญ/เขมรจนเกิดการสร้างปรางค์ประธานวัดมหาธาตุในนิกายคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ (Kambojsanghapakkha) . ปราสาทหินกลางเมือง ที่อาจเคยมีอาคารประกอบอย่างบรรณาลัยและโคปุระจึงได้ถูกรื้อถอน นำหินทรายก้อนสีเทาอันเป็นวัตถุดิบสำคัญของศาสนสถานที่หมดประโยชน์/อำนาจ/การอุปถัมภ์ไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ ทั้งเพื่อเป็นก่อโครงสร้างปราสาทในยุคหลัง แกะสลักเป็นหินประดับปราสาท และนำไปแกะสลักเป็นรูปประติมากรรมตามคติและศิลปะที่นิยมกันในแต่ละยุคสมัย คงเหลือแต่เพียงส่วนฐานของปราสาทมาจนถึงในปัจจุบันครับ เครดิต FB วรณัย พงศาชลากร EJeab Academy
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2565 |
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2565 15:26:49 น. |
|
0 comments
|
Counter : 232 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|