Group Blog
 
All Blogs
 

ผู้พิชิตสามก๊ก (๓)

สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้พิชิตสามก๊ก

ตอนที่ ๓ ศัตรูเจ้าเล่ห์

เล่าเซี่ยงชุน

สุมาอี้กับบุตรชายทั้งสองยกกองทัพมาใกล้จะถึงเมืองเสเสีย ทหารกองหน้าก็กลับมารายงานว่า

“..........บัดนี้ข้าพเจ้ายกเข้าถึงเชิงกำแพง เห็นเมืองเงียบอยู่ มีแต่คนประตูละยี่สิบคน นั่งกวาดหยากเยื่อเฉยอยู่ แล้วตัวขงเบ้งนั้นขึ้นนั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่บนหอรบ เห็นประหลาดนัก จะเข้าเมืองนั้นก็เกรงจะถูกกลขงเบ้ง จึงกลับมาบอกท่าน.........”

สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงว่าขงเบ้งนี้จะอาจกระนั้นเจียวหรือ เรามิเชื่อจะไปดูเอง และสุมาอี้กับบุตรทั้งสองกับทหารประมารยี่สิบคน ก็ขึ้นม้าไปยืนอยู่ใกล้กำแพงเมืองเสเสีย แลขึ้นไปบนหอรบเห็นขงเบ้งแต่งตัวโอ่อ่า หน้าตาแช่มชื่นเบิกบานสบายอยู่ ก็คิดว่ากองทัพเรายกมาเป็นการจวนตัวถึงเพียงนี้ ขงเบ้งหามีความสะดุ้งใจไม่ กลับดีดกระจับปี่เล่นเสียอีกเล่า ชะรอยจะแต่งกลไว้ลวงเราเป็นมั่นคง คิดฉะนั้นแล้วก็กริ่งใจกลัวว่าขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าพาทหารกลับไป แล้วสั่งถอยทัพทันที สุมาเจียวผู้บุตรจึงห้ามว่า

“...........เหตุไฉนบิดาจึงมากลัวขงเบ้งดังนี้ ขงเบ้งนี้เป็นคนสิ้นทหาร สุดความคิดสู้เรามิได้แล้ว ก็ซังตายแข็งใจทำกลเปล่า ๆ อยู่.........”

สุมาอี้จึงว่า

“.........ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความยังมิรู้สันทัด เคยกลของขงเบ้ง อันขงเบ้งเป็นคนมีสติปัญญา ชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้ จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งเป็นผู้ใหญ่แก่กล้าในการศึกนั้นมิบังควร แม้จะขืนทำล่วงเกินไปก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง พากันตายเสียสิ้น ซึ่งถ้อยคำของเจ้าว่าเราจะเชื่อฟังมิได้.........”

ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารถอยโดยด่วน ให้กองหลังเป็นกองหน้า ให้กองหน้าคอยระวังหลัง เร่งให้ทหารทั้งปวงรีบไป จนมาถึงตำบลเขาบุกองสัน ได้ยินเสียงทหารซึ่งตั้งซุ่มอยู่บนเขานั้นโห่ร้องเสียงสนั่นลงมา สุมาอี้ก็ตกใจว่าแก่บุตรทั้งสองว่า แม้เรามิรีบหนีมาก็จะต้องกลของขงเบ้งจริง ว่ายังมิทันขาดคำก็แลไปเห็นกองทัพยกลงมาจากเนินเขา มีธงดำแม่ทัพจารึกชื่อเตียวเปา บุตรของเตียวหุย ทหารทั้งปวงก็ตกใจกลัว ทิ้งศัสตราวุธเสีย วิ่งหนีร่นถอยหลังมาถึงปากทางจะออกทางใหญ่ ก็เห็นกองทัพยกลงมาสกัดอีกกองหนึ่ง มีธงแดงจารึกชื่อกวนหินบุตรของกวนอูเป็นแม่ทัพ

สุมาอี้สำคัญว่าขงเบ้งทำกลอุบายซุ่มทหารไว้ก็ตกใจ พาทหารทั้งปวงให้แตกตื่นกันเป็นอลหม่าน แต่ทหารทั้งสองกองนั้นก็มิได้ติดตามมา เมื่อหนีมาได้ไกลแล้วก็แจ้งข่าวจากชาวบ้านว่า ขงเบ้งยกทหารเลิกไปจากเมืองเสเสียแล้ว จึงพากองทัพกลับเข้าไปในเมือง สอบถามชาวเมืองทั้งปวงว่า ขงเบ้งมาตั้งอยู่ในเมืองนี้ มีทหารอยู่สักเท่าใด หญิงชายทั้งนั้นก็บอกว่าขงเบ้งนั้นมีทหารแค่สองพันห้าร้อย แต่ล้วนพลเรือน ทหารที่มีฝีมือนั้นหามีไม่ และกวนหินเตียวเปาที่ตั้งอยู่ตำบลเขาบุกองสันนั้นเล่า ก็มีทหารกองละสามพันเท่านั้น ทำกลวิ่งสับสนเปลี่ยนกันไปหัวเขาท้ายเขา สุมาอี้แจ้งดังนั้นแล้วก็เอามือตบอกเข้าแล้วว่า เรามิรู้เท่าความคิดขงเบ้งเลย

ครั้นพักกองทัพอยู่ในเมืองเสเสีย จนจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยเป็นปกติแล้ว ก็ยกทหารกลับเมืองเตียงฮัน เข้าเฝ้าฮ่องเต้กราบทูลเรื่องราวซึ่งได้รบพุ่งนั้นทุกประการ พระเจ้าโจยอยก็มีความยินดีจึงตรัสว่า

“............ซึ่งท่านยกทหารไปกำจัดศัตรู กลับคืนเอาหัวเมืองได้ครั้งนี้ ก็เป็นความชอบของท่านใหญ่หลวงนัก...........”

สุมาอี้จึงกราบทูลว่า

“............ซึ่งข้าพเจ้ายกไปทำการกำจัดข้าศึกครั้งนี้ ก็ยังมิราบคาบทีเดียว ด้วยทหารขงเบ้งนั้นแตกหนีกลับไปพักอยู่ในเมืองฮันต๋งนั้นได้มาก เห็นขงเบ้งจะซ่องสุมผู้คนกลับมาทำการอีก ข้าพเจ้าจะขอยกกองทัพใหญ่ไปตีเมืองฮันต๋งเสีย ถ้าได้เมืองฮันต๋งแล้ว เห็นว่าในขอบขัณฑสีมานี้ จะมีความสุขสืบไป...........”

พระเจ้าโจยอยก็มีพระทัยยินดี จึงให้เกณฑ์ทหารทุกหัวเมืองให้แก่สุมาอี้ทั้งสิ้น แต่ซุนจู้ขุนนางผู้ใหญ่ได้ทูลห้ามปรามว่า

“...........ครั้งพระอัยกาของพระองค์ เมื่อยังเป็นมหาอุปราชอยู่ ได้ออกพระโอษฐ์ตรัสไว้ว่า เมืองฮันต๋งคับขันนักประดุจหนึ่งตั้งอยู่ในปากเหว หากบุญเราจึงได้สำเร็จ แม้วาสนาหาไม่ก็จะพาทหารทั้งปวงตายเสียเหมือนหนึ่งตกลงในเหว พระองค์ก็มีสติปัญญาชำนาญในการสงคราม ยังออกพระโอษฐ์ถึงเพียงนี้............”

และได้ถวายคำแนะนำว่า อนึ่งตำบลจำก๊กนั้นเล่า ก็เป็นเมืองแดนต่อแดน มีจังหวัดโดยรอบกว้างถึงห้าพันเส้น แต่ล้วนซอกห้วยธารเขาป่าดงรกชัฏ หนทางที่จะยกพลทหารเดินขบวนทัพไปนั้นก็ยากขัดสน ขอให้งดกองทัพไว้ก่อน แล้วเกณฑ์ทหารที่มีฝีมือ เป็นผู้ใหญ่คุมทหารไปตั้งรักษาด่านทางทุกตำบล อย่าให้ศัตรูล่วงเข้ามาได้ แล้วปลูกเลี้ยงบำรุงทหารทั้งปวงให้มีกำลังแกล้วกล้าขึ้น รอดูท่วงทีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง ซึ่งเป็นอริกันอยู่ เมื่อสองเมืองนี้เกิดจลาจลกันขึ้นเอง ฝ่ายเราเห็นได้ทีแล้ว จึงยกทหารเดินสบายเข้าไปเอาเมืองเสฉวน ก็จะได้เปรียบดีกว่ารีบยกไปบัดนี้

พระเจ้าโจยอยจึงตรัสถามสุมาอี้ว่า ขุนนางผู้เฒ่าว่าดังนี้ จะเห็นเป็นประการใด สุมาอี้ก็เห็นคล้อยตามที่ซุนจู้ว่า ฮ่องเต้จึงให้สุมาอี้ส่งทหารไปอยู่รักษาด่านทุกตำบล แล้วให้โกฉุยกับเตียวคับอยู่รักษาเมืองเตียงฮัน ส่วนตนเองก็เชิญฮ่องเต้เสด็จยกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยงนครหลวง

ต่อมาก็ได้ยินกิตติศีพท์ว่า ขงเบ้งสั่งให้ประหารชีวิตม้าเจ๊ก ฐานที่รักษาตำบลเกเต๋งไว้ไม่ได้ และตัวขงเบ้งเองก็กราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ให้ลดยศลงสามขั้น ฐานยกทัพไปรบแล้วเสียทหารเป็นอันมาก โดยมิได้ชัยชนะกลับไป

อีกไม่นานนักขงเบ้งก็ยกทัพสามสิบหมื่น มาตีวุยก๊กเป็นครั้งที่สอง โดยเดินทัพมาทางตำบลตันฉอง แต่นายด่านต้านทานไว้อย่างเข้มแข็ง ขงเบ้งรบพุ่งอยู่ประมาณยี่สิบวัน ก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ จึงต้องแบ่งทหารสองกองคุมตำบลตันฉองไว้กองหนึ่ง และไปคุมตำบลเกเต๋งไว้อีกกองหนึ่ง แล้วก็ยกกำลังส่วนใหญ่มาทางตำบลกิสาน โจจิ๋มคุมทหารออกต่อต้าน ก็แตกพ่ายนายทหารเอกตายไปคนหนึ่ง ต้องแจ้งมาทางเมืองลกเอี๋ยง ขอกองหนุนไปช่วย

พระเจ้าโจยอยก็มีรับสั่งปรึกษากับสุมาอี้ว่า จะคิดอ่านป้องกันข้าศึกประการใด สุมาอี้ก็กราบทูลว่า

“..............ซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาทางตันฉองนั้นขัดสน มามิได้จึงยกกองทัพตลบมาทางตำบลกิสานนี้ หวังจะแยกพลทหารมาตามทางลัด ข้าพเจ้าจะแต่งทหารออกไปปิดทางลัดทั้งปวงเสียให้สิ้น อย่าให้เข้ามาได้ ถ้าช้าอยู่ประมาณสองเดือนแล้ว กองทัพขงเบ้งก็จะขัดสนข้าวปลาอาหาร เห็นจะเลิกไปเอง ฝ่ายเราได้ทีก็จะยกทหารโจมตีเอา เห็นจะจับตัวขงเบ้งได้โดยง่าย ขอให้มีหนังสือกำชับโจจิ๋นเสีย อย่าให้ยกทหารล่วงไป จงยับยั้งดูท่วงทีชั้นเชิงขงเบ้งให้แน่นอนก่อน ให้ระมัดระวังกลของขงเบ้งซึ่งจะแต่งล่อลวงนั้นให้จงได้..........”

พระเจ้าโจยอยก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือตามคำสุมาอี้ ให้คนถือไปให้โจจิ๋น แต่สุมาอี้ได้สั่งคนเดินหนังสือว่า อย่าบอกแก่โจจิ๋นว่าตนเป็นผู้ทูลให้ฮ่องเต้มีหนังสือรับสั่งมา ด้วยเกรงว่าโจจิ๋นจะน้อยใจ เพราะเป็นขุนนางผู้ใหญ่กว่าตน

แต่โจจิ๋นก็รู้จนได้และไม่เชื่อถือรับสั่งนั้น ขืนทำอุบายออกไปรบกับขงเบ้ง จึงถูกขงเบ้งซ้อนกลต้องแตกพ่ายยับเยิน เสียทหารไปเป็นอันมาก รวมทั้งนายทหารเอกอีกหนึ่งนายด้วย แล้วขงเบ้งก็ยกทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง

ถึง พ.ศ.๗๗๒ ขุนนางเมืองกังตั๋งได้จัดพิธีราชาภิเษกยกซุนกวนขึ้นเป็นฮ่องเต้ของง่อก๊ก แล้วก็มีไมตรีกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนแห่งจ๊กก๊ก ขงเบ้งจึงยกทัพมารุกรานวุยก๊กเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ยึดตำบลตันฉองได้โดยง่าย เพราะผู้รักษาด่านป่วยหนัก และถึงแก่ความตายเมื่อขงเบ้งบุกเข้ายึดโดยไม่รู้ตัว และขงเบ้งก็ให้ทหารเอกสองนาย ยกทหารไปยึดด่านซันกวนได้อีก แล้วขงเบ้งก็ยกพลเข้ามาตั้งอยู่ที่ตำบลกิสานอีกครั้ง

เตียวคับ โกฉุย และ ซุนเล้ ซึ่งอยู่รักษาเมืองเตียงฮัน ก็มีหนังสือแจ้งมาทางเมืองหลวง พระเจ้าโจยอยก็ปรึกษากับสุมาอี้ว่า ถ้าทหารเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนร่วมมือกัน วุยก๊กจะมิเป็นอันตรายหรือ สุมาอี้ก็กราบทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย อันเมืองกังตั๋งนั้นเห็นจะไม่มาทำร้ายเรา ด้วยเป็นอริกันอยู่กับเมืองเสฉวนอยู่แต่เดิม บัดนี้ขงเบ้งคิดกลัวอยู่ว่าถ้ากองทัพของเราจะยกไปตีเมืองเสฉวน เกรงว่าซุนกวนจะพลอยเข้าด้วย จึงแกล้งแต่งคนไปประจบประแจงเสีย หวังจะมิให้เมืองกังตั๋งคิดร้าย ทางเมืองกังตั๋งเกรงใจก็ยอมรับไมตรี และคอยทีอยู่ถ้าขงเบ้งเพลี่ยงพล้ำแก่เรา ก็คงจะซ้ำเอาจนได้ อันกองทัพเมืองกังตั๋งนั้นไม่น่ากลัวเลย

พระเจ้าโจยอยก็สรรเสริญว่าสุมาอี้คิดการสุขุม หยั่งรู้ได้ตลอดไป จึงตั้งให้เป็นนายทัพใหญ่มีอาญาสิทธิ์ทุกประการ สุมาอี้ก็จัดกองทัพยกไปเมืองเตียงฮัน และให้เตียวคับคุมทหารสิบหมื่น ไปตั้งรับขงเบ้งที่เขากิสาน และให้โกฉุยกับซุนเล้คุมทหารคนละพันไปรักษาเมืองปูเต๋าและ อิมเป๋งไว้ให้ดี แต่ทั้งสองไปยังไม่ทันถึงเมืองนั้น ก็พบกับทหารของขงเบ้งซึ่งยึดเมืองทั้งสองไว้ได้แล้ว และดักซุ่มโจมตีจนแตกพ่ายกลับมาหาสุมาอี้

แต่สุมาอี้ก็ไม่เอาโทษ กลับปลอบว่าตนไม่รู้เท่าทันขงเบ้งเอง และให้ทั้งสองไปรักษาเมืองไปเซียและเมืองหยงจิ๋วไว้ แม้ทหารขงเบ้งจะไปยั่วเย้าประการใด ก็อย่าออกมาสู้รบด้วย ตนจะหาอุบายรบกับขงเบ้งเอง แล้วก็ให้เตียวคับคุมทหารหมื่นหนึ่ง ไปทางลัดเข้าตีค่ายขงเบ้งที่ยึดเมืองทั้งสองอยู่ ก็โดนซุ่มโจมตีต้องถอยมาอีกครั้ง สุมาอี้ก็เสียใจที่พ่ายแพ้แก่ขงเบ้งถึงสองครั้งติด ๆ กัน ตั้งแต่นั้นสุมาอี้ก็มิได้ให้ทหารออกมาสู้รบกับขงเบ้งอีกเลย

ฝ่ายขงเบ้งก็แต่งให้ทหารยกออกมายั่วหลายครั้ง สุมาอี้ก็นิ่งเฉยไม่ยอมสู้รบให้เปลืองแรง ขงเบ้งทำเช่นนั้นอยู่สิบสี่สิบห้าวัน ก็ถอยออกไปจากค่ายเดิม สุมาอี้ได้ข่าวก็ให้ม้าใช้ไปสืบข่าว ก็ได้ความว่าขงเบ้งถอยไปเพียงสามร้อยเส้น ก็ว่า

“.............ขงเบ้งยกไปบัดนี้ปรารถนาจะลวงให้เราตามไป ถ้าเราตามคงจะต้องด้วยกลเป็นมั่นคง..........”
เตียวคับก็ท้วงว่า

“............ขงเบ้งขัดสนเสบียงอาหารจึงถอยทัพไป เหตุใดท่านจึงมิได้ยกทหารตาม
ไปโจมตี จะมาคิดวิตกกลัวกลขงเบ้งด้วยอันใด..........”

สุมาอี้ก็ว่า

“............ปีก่อนนั้นเราก็รู้ว่าเมืองเสฉวนได้ข้าวปลาอาหารมาก แลบัดนี้ก็เป็น เทศ กาลข้าวโภชน์สาลี กองทัพขงเบ้งจะกินไปได้อยู่อีกครึ่งปี เห็นไม่ขัดสน ซึ่งทำนี้เป็นกลลวงจะตามไปนั้นมิได้............”

แล้วสุมาอี้ก็ให้คนไปสืบดูอีก ม้าใช้กลับมาบอกว่า กองทัพขงเบ้งถอยไปอีกสามร้อยเส้น เตียวคับก็ยืนยันว่าขงเบ้งขัดสนอาหารแน่ แต่กลัวเราจะรู้จึงทำเป็นค่อย ๆ ถอย สุมาอี้ก็ไม่เชื่อใช้คนไปดูอีก ขงเบ้งก็ถอยไปอีกสามร้อยเส้น คราวนี้เตียวคับทนไม่ได้ขออาสายกทหารตามไปตี ถ้าไม่สำเร็จก็เอาศีรษะตนเองเป็นประกัน สุมาอี้เห็นว่าห้ามไม่ฟัง ก็ยอมให้ยกไปได้ แต่ก็ยังกลัวจะเสียทีจึงยกทหารตามไปเป็นกองหนุน

รุ่งขึ้นเตียวคับกับโต้เหลงคุมทหารสามหมื่น ตามไปตีทัพขงเบ้ง แล้วก็ถูกขงเบ้งวางอุบายล้อมตีทหารเตียวคับ แม้สุมาอี้จะตามไปช่วยทัน แต่ทหารขงเบ้งก็ย้อนกลับมายึดค่ายสุมาอี้ไว้ได้ สุมาอี้ก็ตกใจหันกลับชิงค่ายคืน กลายเป็นศึกสองด้าน จึงถูกตีแตกกระจายทั้งสองทาง แล้ว ขงเบ้งก็รวบรวมพลยกกลับไปเมืองฮันต๋ง สุมาอี้ยึดค่ายคืนได้แล้วก็ไม่กล้าติดตามไปอีกเลย

########




 

Create Date : 15 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2559 8:48:28 น.
Counter : 572 Pageviews.  

ผู้พิชิตสามก๊ก (๒)



สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้พิชิตสามก๊ก

ตอนที่ ๒ ศึกแรกที่เขากิสาน

เล่าเซี่ยงชุน

ฝ่ายสุมาอี้อยู่ที่เมืองอ้วนเซีย กับบุตรชายสองคนคือสุมาสู กับสุมาเจียว ทั้งสองมีสติปัญญาหลักแหลม สุมาอี้ได้สั่งสอนให้ชำนาญในกระบวนสงครามมาแต่น้อย เมื่อสุมาอี้รู้ว่า พระเจ้าโจยอยแต่งกองทัพออกไปทำศึกกับขงเบ้ง เสียทีเป็นหลายครั้ง ก็เสียใจทอดใจใหญ่

สุมาสูถามว่าบิดาวิตกด้วยสิ่งใด สุมาอี้ก็ว่าเจ้าเป็นเด็กถึงบิดาบอกก็จะรู้อันใด สุมาสูจึงว่า

“..........ซึ่งวิตกของบิดานั้น ข้าพเจ้าแจ้งอยู่แล้ว เพราะพระเจ้าโจยอยละเมินเราเสีย ข้าศึกจึงล่วงดูหมิ่นเข้ามาได้ถึงเพียงนี้.........”

สุมาเจียวได้ฟังพี่ชายว่าดังนั้น ก็หัวเราะบอกว่าอีกไม่ช้าเห็นจะมีหนังสือรับสั่งของพระเจ้าโจยอยมาถึงเป็นแน่ ขณะนั้นทหารก็เข้ามาบอกสุมาอี้ว่า พระเจ้าโจยอยให้หนังสือมาถึง สุมาอี้ก็ดีใจคำนับกราบลงที่ต่ำ แล้วให้เชิญหนังสือรับสั่งเข้ามาอ่าน มีใจความว่า แต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นขุนนางเหมือนแต่ก่อน แล้วให้จัดทหารยกไปเขากิสาน บรรจบกับทัพหลวงที่เมืองเตียงฮัน เมื่อทราบความแล้วก็รีบจัดแจงตามรับสั่ง

เมื่อเตรียมจะยกทหารไปเมืองเตียงฮัน ทหารคนสนิทของ ซินหงีเจ้าเมืองกิมเสีย ก็เข้ามาบอกความลับว่า

“...........บัดนี้เบ้งตัดซึ่งอยู่ที่เมืองซงหยง คิดขบถจะไปเข้าด้วยขงเบ้ง เตงเหียนผู้หลานกับลิจูคนสนิท จึงมาบอกแก่ซินหงี ซินหงีจึงให้ข้าพเจ้ารีบมาบอกท่าน........”

เบ้งตัดนั้นเดิมเป็นนายทหารของเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน เมื่อเล่าปี่ได้ครอบครองเมืองเสฉวน เบ้งตัดก็เป็นนายทหารของเล่าปี่ อยู่ที่เมืองซงหยง ครั้งที่กวนอูถูกทหารของซุนกวนล้อมอยู่ที่เมืองเป๊กเสีย ได้ส่งคนมาขอให้เบ้งตัดยกไปช่วย เบ้งตัดไม่ยอมช่วย เมื่อกวนอูถูกจับไปประหารชีวิตแล้ว เบ้งตัดกลัวความผิดจึงหนีไปอยู่กับพระเจ้าโจผี และได้เป็นเจ้าเมืองซินเสีย กับ ว่าราชการเมืองยังหยงและอ้วนเซียด้วย จนมาถึงรัชสมัยพระเจ้าโจยอยจึงได้กลับไปเป็นเจ้าเมืองซงหยงอีก

สุมาอี้ได้แจ้งดังนั้นแล้วก็ว่า

“...........แม้ขงเบ้งกับเบ้งตัดคิดกันเข้าแล้ว เบ้งตัดก็จะรับอาสาไปตีเมืองลกเอี๋ยง ขงเบ้งจะเข้าตีเอาเมืองเตียงฮัน ก็จะสำเร็จโดยง่าย หากว่าบุญพระเจ้าโจยอยยังมากอยู่ จึงเผอิญให้พระเจ้าโจยอยกลับนับถือตั้งเราเป็นขุนนางดังเก่า แล้วให้รู้เนื้อความนี้ เราจะนิ่งเสียบัดนี้ก็ไม่ชอบ จำจะคิดอ่านไปจับตัวเบ้งตัด ตัดความคิดขงเบ้งเสียก่อน..........”

สุมาสูก็เตือนว่า เบ้งตัดเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ บิดาน่าจะบอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยให้ทราบก่อน แต่สุมาอี้แย้งว่าอันการขบถนั้นจะนิ่งอยู่ช้ามิได้ ข้าศึกจะมีกำลังมากขึ้น เราต้องคิดอ่านยกกองทัพไปจับตัวเบ้งตัดให้ได้แล้ว จึงมากราบทูลฮ่องเต้ต่อภายหลัง จึงจะชอบ

แล้วสุมาอี้ก็ให้คนถือหนังสือล่วงหน้าไปให้เบ้งตัด จัดแจงเตรียมเสบียงอาหารไว้ให้พร้อม จะได้ยกทัพไปบรรจบพร้อมกันที่เมืองเตียงฮัน เพื่อทำศึกกับขงเบ้ง เบ้งตัดก็เข้าใจว่าสุมาอี้ไม่รู้ว่าตนเปลี่ยนใจแล้ว

สุมาอี้ก็ยกทหารออกจากเมืองอ้วนเซีย พอเดินทางไปได้สองวันก็พบกับซิหลงนายทหารเอกเก่าสมัยโจโฉ คุมทหารมาแจ้งแก่สุมาอี้ว่า

“...........บัดนี้พระเจ้าโจยอยจัดแจงทหารจะยกไปเมืองเตียงฮัน เห็นท่านช้าอยู่จึงให้ข้าพเจ้ามาตามให้รีบยกกองทัพไป............”

สุมาอี้จึงบอกว่าบัดนี้เบ้งตัดเป็นขบถ ตนจะรีบไปจัดการเสียก่อน แล้วเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ซิหลงฟัง ซิหลงก็เห็นด้วย สุมาอี้จึงให้ซิหลงเป็นกองหน้า ให้บุตรชายสองคนเป็นกองหลัง รีบยกทหารไปเมืองซงหยง ไปถึงกลางทางพบทหารของเบ้งตัดมีพิรุธ สุมาอี้จึงจับตัวมาสอบสวน ก็ได้ความโดยละเอียดว่า

ขงเบ้งมีหนังสือเตือนเบ้งตัด ให้ระวังตัวเพราะได้ข่าวว่าโจยอยตั้งสุมาอี้เป็นแม่ทัพ ถ้ารู้ความว่าเบ้งตัดจะไปตีเมืองลกเอี๋ยง ก็จะยกมารบเบ้งตัดเสียก่อน แต่เบ้งตัดไม่เชื่อขงเบ้ง อ้างว่าระยะทางจากเมืองอ้วนเซียกับเมืองซงหยงไกลกันมาก กว่าจะยกมาก็เป็นเดือน แต่ถึงจะยกมาก็จะรบเอาชัยชนะได้

สุมาอี้แจ้งเรื่องละเอียดแล้วก็รีบเดินทางต่อไป ให้ถึงเมืองซงหยงก่อนที่เบ้งตัดจะรู้ตัว เมื่อถึงเมืองซงหยงนั้นเบ้งตัดได้ชักชวนซินหงีเจ้าเมืองกิมเสีย กับซินต๋ำเจ้าเมืองซินเสียเข้าเป็นพวกด้วย และเตรียมตั้งรับกองทัพของสุมาอี้อย่างข้มแข็ง ซิหลงนำกองหน้าไปถึงกำแพงเมือง เห็นเบ้งตัดยืนอยู่บนเชิงเทิน ก็ร้องด่าออกไปเบ้งตัดก็โกรธให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์ลงมา ถูกหน้าผากซิหลง เจ็บปวดสาหัส ทหารก็เข้าประคองนายพากันถอย เบ้งตัดจึงเปิดประตูเมืองยกทหารออกไปไล่ตีซ้ำเติม พอดีสุมาอี้ยกมาถึงเบ้งตัดจึงกลับเข้าไปตั้งมั่นในเมืองดังเก่า สุมาอี้ก็ให้ทหารล้อมเมืองไว้ก่อน แต่ซิหลงทนพิษเกาทัณฑ์ไม่ไหวก็ถึงแก่ความตายไป

วันต่อมาเบ้งตัดขึ้นไปบนเชิงเทิน เห็นทหารของสุมาอี้ล้อมเมืองไว้มั่นคงก็วิตกหนักไม่รู้ที่จะแก็ไขประการใด พอดีซินหงีกับซินต๋ำที่ชักชวนไว้เดินทางมาถึง เบ้งตัดก็ดีใจรีบเปิดประตูเมืองออกไปรับ แต่ทั้งสองนายกลับเข้าเป็นพวกสุมาอี้ และควบม้าเข้ามาจะจับตัว เบ้งตัดก็กลับม้าจะหนีเข้าเมือง เตงเหียนกับลิจูที่อยู่บนเชิงเทินก็ยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้ เบ้งตัดก็จะพาทหารแหกวงล้อมออกไป แต่ซินต๋ำไล่มาทันจึงเอาทวนแทงตกม้าตาย และตัดศรีษะเอามาให้สุมาอี้

สุมาอี้ก็เข้าเมืองซงหยงได้ เมื่อเกลี้ยกล่อมราษฎรชาวเมืองให้อยู่กินเป็นปกติแล้ว ก็ให้เอาศรีษะเบ้งตัดส่งไปถวายพระเจ้าโจยอย ฮ่องเต้ก็แต่งตั้งให้ซินหงีกับซินต๋ำเป็นขุนนางผู้ใหญ่ และให้ไปในกองทัพสุมาอี้ด้วย ส่วนเตงเหียนให้เป็นเจ้าเมืองซงหยง ลิจูเป็นเจ้าเมืองซินเสีย

แล้วพระเจ้าโจยอยก็ยกกองทัพหลวงจากเมืองลกเอี๋ยงไปตั้งที่เมืองเตียงฮัน พอ สุมาอี้ยกทัพมาถึงก็เข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ในเมือง พระเจ้าโจยอยก็มีความยินดีตรัสกับสุมาอี้ว่า

“..............ท่านอย่าน้อยใจเราเลย ซึ่งเราคิดผิดเบาความแพ้กลอุบายขงเบ้งนั้น เราขออภัยเสียเถิด ครั้งนี้เบ้งตัดคิดขบถ หากว่าท่านรู้หาไม่เมืองก็จะเป็นอันตราย.........”

สุมาอี้ก็ทูลว่า

“..........เมื่อซินหงีให้ทหารไปบอกข้าพเจ้า ว่าเบ้งตัดคิดขบถนั้น ข้าพเจ้าคิดอยู่ว่าเบ้งตัดเป็นขุนนางผู้ใหญ่ จะบอกหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระองค์ ให้มีหนังสือลงมาก่อนก็กลัวจะช้าไป ซึ่งข้าพเจ้าทำการละเมิดนอกรับสั่ง โทษข้าพเจ้าก็ผิดอยู่ตามแต่พระองค์จะโปรด............”

แล้วก็ทูลถึงเรื่องที่จับการติดต่อชองขงเบ้งกับเบ้งตัดได้ ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“...........ท่านนี้มีสติปัญญาหลักแหลม หาผู้เสมอมิได้ แต่นี้ไปเมื่อหน้า ถ้าผู้ใดทำความผิดโทษถึงตายแล้ว ก็ให้ฆ่าเสียเถิดอย่าบอกเราให้รู้เลย.........”

แล้วก็พระราชทานเครื่องยศให้สุมาอี้ เป็นแม่ทัพยกไปรบพุ่งกับขงเบ้ง สุมาอี้ก็ขอตัวเตียวคับทหารเอกสมัยโจโฉไปด้วย สุมาอี้ก็ยกกองทัพยี่สิบหมื่นไปที่เขากิสาน ตั้งค่ายมั่นคงอยู่ พระเจ้าโจยอยก็ให้ซินผีกับซุนแล้ คุมทหารอีกกองหนึ่งยกไปช่วยโจจิ๋นที่เมืองไปเซีย อีกทางหนึ่ง

สุมาอี้คิดวางกลอุบายที่จะเอาชนะขงเบ้งแล้ว ก็ให้คนถือหนังสือไปหาโจจิ๋น ให้ระวังป้องกันเมืองไว้ให้ดี ตนจะยกเข้าตีทัพขงเบ้งทางตำบลเกเต๋ง แล้วก็กำชับเตียวคับว่า

“..........เราคิดกลอุบายทั้งปวง ถึงเห็นชอบด้วยกันก็ดี แต่ทว่าอย่าประมาท อัน ขงเบ้งนั้นจะเหมือนเบ้งตัดนั้นหามิได้ ตัวท่านเป็นกองหน้าจะยกทหารเดินทัพไปอย่าดูเบา จงแต่งกองสอดแนมไปดูลู่ทางทั้งปวงก่อน แม้มิได้เห็นผู้คนซ้ายขวาจึงยกไป ถ้ามิได้ตรวจตราซับซาบดูให้ถ้วนถี่ เห็นว่าได้ทีแล้วจะรีบยกไปนั้น ก็จะต้องกลของขงเบ้งโดยไม่ทันรู้ตัว.........”

เตียวคับก็รับคำเป็นอันดี แล้วก็คำนับลายกกองหน้าไปตามแผน แล้วสุมาอี้ก็ใช้ให้สุมาเจียวบุตรคนรอง คุมทหารไปสอดแนมดูท่าทีของข้าศึกที่เกเต๋งแล้วให้กลับมาบอกก่อน สุมาเจียวก็กลับมาบอกว่า เห็นทหารขงเบ้งไปตั้งอยู่บนเขา สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี รีบแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าคุมทหารประมาณร้อยเศษ ไปดูลู่ทางโดยรอบเขาที่เกเต๋งนั้นแล้วก็ได้ความว่า ผู้ที่ขงเบ้งให้มาคุมเส้นทางที่ตำบลเกเต๋งนี้คือ ม้าเจ๊กน้องม้าเหลียง และมีอองเป๋งตั้งค่ายอยู่ไกลภูเขาออกไปประมาณร้อยเส้น สุมาอี้กลับมาแล้วก็บอกกับทหารว่า

“.........ม้าเจ๊กคนนี้ปรากฏก็แต่ชื่อ เป็นคนหาปัญญาไม่ ขงเบ้งใช้คนโฉดเขลาฉะนี้จะเสียการเป็นมั่นคง..........”

แล้วสุมาอี้ก็ให้เตียวคับยกทหารไปตั้งสกัดทาง มิให้อองเป๋งยกมาช่วยม้าเจ๊กได้ และให้ซินต๋ำกับซินหงียกทหารไปปิดทางที่ทหารของม้าเจ๊กจะลงมาตักน้ำกินเสีย แล้วสุมาอี้ก็ยกทหารทั้งหมดตั้งล้อมเขาไว้ในตอนรุ่งเช้า

ม้าเจ๊กเห็นสุมาอี้ยกทหารมาล้อมไว้ ก็โบกธงสัญญาณให้ทหารทั้งปวงลงมาตีทหารสุมาอี้ แต่ทหารม้าเจ๊กเห็นทหารที่ล้อมอยู่มีจำนวนมากกว่าก็รวนเร ม้าเจ๊กเห็นทหารทั้งปวงย่อท้อต่อข้าศึก จึงจับนายกองสองคนฆ่าเสีย ทหารก็กลัวแม่ทัพ จึงลงจากยอดเขาเข้ารบพุ่งกับทหาร สุมาอี้เป็นสามารถ แต่ไม่อาจเอาชนะได้ ต้องถอยกลับขึ้นไป ม้าเจ๊กก็เสียใจจึงตั้งมั่นไว้รอให้พวกของตนมาช่วย แต่อองเป๋งจะยกมาช่วยม้าเจ๊กก็ถูกทหารของเตียวคับยันไว้ ต่างรบพุ่งกันอย่างหนัก ก็ไม่สามารถฝ่าไปได้ ทหารของม้าเจ๊กอดน้ำลงมาตักมิได้ก็ระส่ำระสายหนัก ที่หนีลงมาอ่อนน้อมต่อ สุมาอี้ ก็มาก ที่เหลืออยู่สุมาอี้ก็สั่งให้จุดไฟเผาล้อมขึ้นไป ทหารของม้าเจ๊กก็แตกตื่นอลหม่าน

ม้าเจ๊กเห็นจะเสียทีอยู่ต้านทานมิได้ ก็พาทหารตีหักลงมา สุมาอี้ก็เปิดช่องให้ม้าเจ๊กออกไปเจอกับเตียวคับ แต่พอดีอุยเอี๋ยนทหารเอกของขงเบ้งมาช่วยทัน เข้ารบพุ่งกับเตียวคับเป็นสองต่อหนึ่ง เตียวคับต้องถอยหนี อุยเอี๋ยนได้ทีก็ตามรบกระชั้นชิดจะชิงเอาตำบลเกเต๋งคืน แต่ตามมาประมาณห้าสิบเส้น สุมาอี้กับสุมาเจียวพ่อลูกก็นำทหารเข้าโอบล้อมไว้ ทั้งหมดจึงรบพุ่งฆ่าฟันตะลุมบอนกันอลหม่าน อองเป๋งก็ยกทหารเข้ามาช่วยอุยเอี๋ยนกับม้าเจ๊กอีก ฝ่ายสุมาอี้จึงต้องถอยบ้าง แต่กลับมาถึงค่ายของอองเป๋ง ก็เจอกับซินหงีและซินต๋ำยึดค่ายไว้ได้แล้ว และตีโต้จนฝ่ายขงเบ้งต้องถอยไปตั้งหลักที่เมืองหลิวเซีย

สุมาอี้ยึดตำบลเกเต๋งได้แล้ว ก็ตามไปตีเมืองหลิวเซียได้อีก และให้ซินต๋ำกับ ซินหงี รักษาเมืองหลิวเซียไว้ ตนเองจะนำทัพผ่านเมืองเสเสียไปตีขงเบ้งที่ตำบลจำก๊ก หมายจะชิงเสบียงที่เมืองเสเสีย และตีเมืองลำอั๋นเมืองเทียนซุยซึ่งเป็นเส้นทางร่วมตลอดถึงกันด้วย

แต่การภายหน้าจะเป็นผลสำเร็จ เหมือนอย่างที่เกเต๋งหรือไม่ ก็ตองรอดูกันต่อไป.

#############




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2559 11:22:29 น.
Counter : 464 Pageviews.  

ผู้พิชิตสามก๊ก (๑)

สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้พิชิตสามก๊ก

ตอนที่ ๑ สมุห์บัญชีผู้ยิ่งใหญ่

เล่าเซี่ยงชุน

นิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก ของท่าน เจ้าพระยาพระคลัง(หน) นั้น ในตอนต้นเรื่องยังเป็นแผ่นดินของราชวงศ์ฮั่น องค์สุดท้ายคือพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งถูกโจผีบุตรชายคนโตของโจโฉบังคับให้สละราชสมบัติ ให้ตนเองเป็นฮ่องเต้แทน ทรงพระนามว่าพระเจ้าอวยโซ่ และตั้งนามโจโฉผู้บิดาซึ่งเสียชีวิตไปแล้วว่า พระเจ้าไทล่อฮูฮ่องเต้ ตั้งวงศ์อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงเรียกว่า วุยก๊ก เมื่อ พ.ศ.๗๖๓ หลังจากนั้น เล่าปี่ จึงแยกตัวเป็นอิสระที่เมืองเสฉวนเรียกว่า จ๊กก๊ก ต่อมา ซุนกวน ก็ตั้งตัวเป็นเอกราชที่เมืองกังตั๋งเรียกว่า ง่อก๊ก แผ่นดินจีนจึงเป็นสามก๊กแต่นั้นมา

เมื่อครั้งที่โจโฉยังมีชีวิตอยู่ และยกทัพไปปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วยนั้น ได้ตัว สุมาอี้ บุตรเจ้าเมืองโฮโล่มาทำราชการด้วย ชั้นแรกก็เป็นแค่สมุห์บัญชีทหารเลว ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับ หลังจากที่โจโฉพ่ายแพ้แก่ซุนกวนที่เมืองกังตั๋งแล้ว ก็ได้เป็นที่ปรึกษา แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีชื่อเสียงแต่อย่างใด จนกระทั่งโจโฉซึ่งมียศเป็นวุยอ๋องถึงแก่ความตายไป และโจผีขับไล่พระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากบัลลังก์ แล้วตั้งตัวเป็นฮ่องเต้อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง สุมาอี้ก็เป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าโจผีต่อไป

ถึง พ.ศ.๗๖๗ พระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนขึ้นครองราชสมบัติจ๊กก๊กได้ปีเดียว ก็เป็นไมตรีกับพระเจ้าซุนกวน และคิดจะร่วมมือกันตีวุยก๊ก พระเจ้าโจผีจึงจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งเสียก่อน สุมาอี้ก็ทูลว่า

“...........หนทางจะไปเมืองกังตั๋งนั้น แม่น้ำก็มากยากที่ทหารจะข้าม ขอพระองต์แต่งเรือแล้วยกทัพหลวงตีเข้าไปเอาปากน้ำชิวฉุน แล้วตีเอาเมืองน้ำฉี จึงตรงเข้าตีเอาเมืองกังตั๋ง เห็นจะได้โดยง่าย............”

พระเจ้าโจผีก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้จัดเรือใหญ่ ยาวสี่สิบวาบรรทุกคนได้สองพันจำนวนสิบลำ เรือรบอย่างเล็กสามพันลำ ให้บรรทุกม้าไปสำหรับนายหมวดนายกองด้วย แล้วยกพลทัพบกเข้ารวมกับทัพเรือเป็นจำนวนสามสิบหมื่น ออกเดินทางไปเมืองกังตั๋งในเดือนสิบ ให้สุมาอี้อยู่รักษาเมืองลกเอี๋ยง

การศึกครั้งนี้ฟ้าดินไม่เป็นใจกับพระเจ้าโจผี ขณะที่พักทหารอยู่ที่ตำบลกองเหลง ได้เกิดลมพายุพักหนักมี คลื่นใหญ่ ทหารแทบจะยืนไม่อยู่ เรือใหญ่น้อยก็แตกล่มไปประมาณสามสิบลำ เรือใหญ่ของพระเจ้าโจผีก็แทบจะล่มจมลงต้องถอยกลับ กองทัพเรือของเมืองกังตั๋งก็ตามเข้าโจมตีซ้ำเติม จนต้องยกทหารขึ้นบกแล้วเผาเรือทิ้งทั้งกองทัพ ฝ่ายเมืองกังตั๋งก็ฆ่าฟันทหารของพระเจ้าโจผีแตกพ่ายอย่างยับเยิน นายทหารองครักษ์ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ตายในสมรภูมิ แต่ พระเจ้าโจผีหนีรอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิด

ถึง พ.ศ.๗๗๐ พระเจ้าโจผีประชวรไข้จับตั้งแต่เดือนแปด หมอหลวงรักษาพยาบาลก็ไม่คลาย จึงมีรับสั่งให้หา โจจิ๋น ตันกุ๋น และสุมาอี้ ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ กับโจยอยพระราชบุตรเลี้ยง เข้ามาเฝ้าถึงที่บรรทม แล้วพระเจ้าโจผีก็ตรัสฝากฝังให้ขุนนางทั้งสามช่วยทำนุบำรุงโจยอยต่อไป เมื่อพระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์แล้ว ขุนนางก็เชิญโจยอยขึ้นครองราชสมบัติ ถวายพระนามว่า พระเจ้าไต้งุยฮ่องเต้

ครั้นแต่งการพิธีศพพระเจ้าโจผีเสร็จแล้ว พระเจ้าโจยอยก็ตั้งให้สุมาอี้ไปอยู่รักษาเมืองเสเหลียง อันเป็นเมืองหน้าด่านใกล้กับเมืองเสฉวน อยู่มาไม่นานก็มีหนังสือปิดประกาศที่ประตูเมืองลกเอี๋ยง และหัวเมืองทั้งปวงทั่วไป เจ้าหน้าที่ก็ส่งหนังสือนั้นเข้าไปถวายพระเจ้าโจยอย เมื่อทอดพระเนตรแล้วก็ตกพระทัย หนังสือนั้นมีความว่า

เราผู้ชื่อสุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ บอกมาให้ท่านทั้งปวงแจ้ง เดิมพระเจ้าวุยอ๋องคิดจะมอบสมบัติให้โจสิด มีผู้ยุยงว่ากล่าว พระเจ้าโจผีจึงได้สมบัติ บัดนี้พระเจ้าโจผีมอบสมบัติให้โจยอยผู้บุตร โจยอยหนุ่มแก่ความ จะทำการสิ่งใดก็ไม่ปราณีราษฎร เห็นจะรักษาสมบัติไม่ได้ เราเป็นผู้ใหญ่จะนิ่งอยู่ให้แผ่นดินจลาจลก็ไม่ควร เราจึงซ่องสุมทหารไว้เป็นอันมาก จะคิดอ่านกำจัดโจยอยเสีย จะยกโจสิดขึ้นครองสมบัติตามดำริพระเจ้าวุยอ๋อง แม้ท่านทั้งปวงยอมสมัครทำการด้วยเรา ก็ให้เร่งชักชวนพร้อมกันคอยท่าเราอยู่ ถ้าผู้ใดเห็นหนังสือนี้แล้วไม่ทำตามเรา เมื่อสำเร็จราชการแล้วเราจะตัดศรีษะเสียให้สิ้นทั้งโคตร

พระเจ้าโจยอยคิดว่าสุมาอี้เป็นขบถ จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะคิดประการใด ฮัวหิมจึงทูลว่า

“..........เมื่อพระเจ้าวุยอ๋องยังมีพระชนม์อยู่ ก็มิได้วางพระทัยสุมาอี้ ตรัสอยู่เนือง ๆ ว่า สุมาอี้คนนี้ถ้าชุบเลี้ยงให้คุมทหารเป็นใหญ่ขึ้นเมื่อใด จะเป็นขบถคิดร้ายต่อแผ่นดิน ซึ่งสุมาอี้คิดอุบายทำเรื่องราวเข้ากราบทูลพระองค์ ขอไปอยู่รักษาเมืองเสเหลียงนั้น หวังจะซ่องสุมทหารขึ้นเป็นกำลังได้แล้ว ก็จะคิดขบถเป็นมั่นคง........”

อองลองก็ทูลว่า

“.........สุมาอี้เป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วก็ชำนาญในการสงคราม เคยได้รบพุ่งเป็นอันมาก แม้สุมาอี้ตั้งตัวได้แล้ว เห็นเราจะทำการขัดสน ขอพระองค์เร่งคิดอ่านยกทหารไปกำจัดเสียแต่กำลังยังอ่อนอยู่ฉะนี้ จึงจะชอบ........”

พระเจ้าโจยอยได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้จัดแจงทหารจะยกกองทัพไปเมือง เสเหลียง แต่โจจิ๋นทักท้วงว่า

“...........เมื่อพระเจ้าโจผีจะสิ้นพระชนม์นั้น ก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่สุมาอี้ เห็นสุมาอี้จะไม่อาจคิดขบถต่อพระองค์ ซึ่งเขียนหนังสือปิดไว้ฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเป็นกลของ ขงเบ้งแลซุนกวนแกล้งทำมา หวังจะให้เราเจ้าข้าคิดแคลงกัน ซึ่งพระองค์จะยกไปนั้นให้ดำริดูจงควรก่อน.......”

พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า

“........ซึ่งท่านจะห้ามเรามิให้ยกไปจับสุมาอี้นั้น แม้สุมาอี้มีกำลังมากขึ้นและเป็นขบถจริง ท่านจะคิดอ่านประการใด.........”

โจจิ๋นก็ทูลว่า

“.........พระองค์ตรัสนี้ก็ควรอยู่ แต่จะยกกองทัพไปบัดนี้ แม้สุมาอี้รู้ตัวเห็นเราจะทำการยาก ขอพระองค์คิดกลอุบายว่า จะไปจัดแจงเมืองเสเหลียงให้สุมาอี้ สุมาอี้สำคัญว่าจริง ก็จะยกออกมาเฝ้าถึงนอกเมือง จะจับเอาตัวก็จะได้โดยง่าย........”

พระเจ้าโจยอยก็เห็นด้วย จึงสั่งให้โจจิ๋นจัดทหารสิบหมื่น ตั้งขบวนแห่เสด็จออกจากเมืองหลวง ไปยังเมืองเสเหลียง ครั้นสุมาอี้แจ้งว่าพระเจ้าโจยอยเสด็จมาถึงแดนเมืองเสเหลียงก็มีความยินดี พาทหารห้าหมื่นออกมารับเสด็จ ขุนนางทั้งปวงก็กราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า เห็นสุมาอี้จะเป็นขบถแน่แล้ว จึงยกทหารออกมามากฉะนี้ พระเจ้าโจยอยก็แคลงพระทัย จึงให้โจฮิวคุมทหารเป็นกองหน้ายกไปก่อน

เมื่อสุมาอี้ออกมารับโจฮิวก็ว่า

“..........ท่านเป็นขุนนางสัตย์ซื่อมาแต่ก่อน พระเจ้าโจผีก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่ท่าน เหตุไฉนท่านจึงคิดขบถต่อพระเจ้าโจยอย..........”

สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า

“.........ข้าพเจ้าตั้งใจทำราชการสนองพระคุณเจ้าโดยสุจริต เหตุใดท่านจึงว่าฉะนี้.....”

โจฮิวก็เล่าความซึ่งมีหนังสือของสุมาอี้ปิดประกาศว่า จะเอาราชสมบัติให้แก่โจสิด บุตรคนที่สามของโจโฉ ตามที่โจโฉเมื่อครั้งยังเป็นวุยอ๋องตั้งใจไว้ สุมาอี้ก็ว่าตนจะเข้าเฝ้าพระเจ้า โจยอย ให้เห็นความจริงให้จงได้ แล้วก็ให้ทหารซึ่งมาด้วยหยุดอยู่ที่นั้น ตนเองลงจากม้าเดินเข้าไปถึงหน้ารถทรงของพระเจ้าโจยอย ถวายบังคมแล้วร้องไห้กราบทูลว่า

“..........เมื่อพระเจ้าโจผียังมีพระชนม์อยู่ ก็เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงฝากราชการทั้งปวง ข้าพเจ้าก็ตั้งใจทำราชการทำนุบำรุงพระองค์ มิได้คิดประทุษร้ายสิ่งใด ซึ่งเป็นเหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นกลอุบายของขงเบ้งกับซุนกวน ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเอาเมือง เสฉวน แลเมืองกังตั๋งถวายให้เห็นความสัตย์ให้จงได้.........”

ฮัวหิมก็กราบทูลว่า

“...........ซึ่งสุมาอี้ทูลอาสาฉะนี้ หวังจะตั้งตัวให้มีกำลังมากขึ้น ขอพระองค์อย่าไว้พระทัย ให้คืนเอาเครื่องสำหรับยศและตราตั้ง ถอดสุมาอี้ออกเสียจากที่ขุนนาง...........”

พระเจ้าโจยอยก็ทรงเห็นด้วย จึงถอดสุมาอี้ลงเป็นไพร่ ให้ไปทำมาหากินอยู่ที่บ้านเก่า แล้วตั้งให้โจฮิวคุมทหารอยู่รักษาเมืองเสเหลียง แล้วพระเจ้าโจยอยก็ยกทหารกลับไปเมืองฮูโต๋

ในปีนั้นเองขงเบ้งก็ยกกองทัพประมาณสามสิบหมื่น จากเมืองเสฉวนมาตั้งอยู่ที่เมืองฮันต๋ง และส่งกองหน้าล่วงเข้ามาถึงด่านหน้าของเมืองฮูโต๋ พระเจ้าโจยอยให้นายทหารเอกคุมพลออกไปสู้รบต้านทานที่เมืองฮันต๋ง ก็เสียนายทหารไปสี่คน บาดเจ็บหนึ่งคน ถูกจับเป็นเชลยสองคน ข้าศึกยึดเมืองลำอั๋นได้ และยกทัพล่วงเข้ามาถึงเขากิสาน พระเจ้าโจยอยก็ให้โจจิ๋นคุมทหารยี่สิบหมื่น ออกไปสู้รบกับกองทัพของขงเบ้งแห่งจ๊กก๊ก คราวนี้ที่ปรึกษาผู้เฒ่าของแม่ทัพประคารมกับ ขงเบ้งแล้วสู้ไม่ได้ ก็แค้นใจตายไปก่อนที่จะรบ สุดท้ายก็เสียนายทหารไปอีกสองคน กองทัพก็แตกย่อยยับ โจจิ๋นต้องมีหนังสือแจ้งความทั้งปวงแก่พระเจ้าโจยอย และขอกองทัพหนุนไปช่วย

พระเจ้าโจยอยก็ปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวง ว่าจะได้ผู้ใดเป็นแม่ทัพออกไปสู้รบกับข้าศึก จงฮิวก็ทูลว่า

“...........อันขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงนี้ ข้าพเจ้ามิได้เห็นผู้ใด เห็นก็แต่สุมาอี้ผู้เดียว มีสติปัญญาหลักแหลมพอจะเอาชัยชนะขงเบ้งได้..........”

พระเจ้าโจยอยก็เห็นชอบด้วย และทรงถามว่าบัดนี้สุมาอี้ไปอยู่ที่ตำบลใด จงฮิวก็ทูลว่าอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย พระเจ้าโจยอยจึงให้แต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ทหารถือไปส่งแก่สุมาอี้โดยด่วนที่สุด ก่อนที่จะสายเกินการณ์.

########




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2559 7:29:08 น.
Counter : 648 Pageviews.  

โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่ (๗)



สามก๊กฉบับลายคราม

โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่

ตอนที่ ๗ วาระสุดท้ายของผู้ยิ่งใหญ่

เล่าเซี่ยงชุน

ถึง พ.ศ.๗๖๑ โจโฉได้เป็นมหาอุปราชมาแล้วประมาณ ๒๘ ปี และไม่ค่อยจะได้คุมกองทัพออกไปรบด้วยตนเองแล้ว เพราะมีฐานะเป็นพระเจ้าวุยอ๋อง รองลงมาจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ คอยฟังแต่ผลการรบที่เมืองต่าง ๆ จะแจ้งมาให้ทราบ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้ข่าวดีนัก

ด้านโจหอง กับแฮหัวเอี๋ยน และเตียวคับ ที่ให้อยู่รักษาเมืองฮันต๋งนั้น เล่าปี่ก็ยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง เตียวคับรบกับเตียวหุยที่ตำบลแฮเปียน ด้วยความประมาทความคิดของเตียวหุยว่าเสมอเด็กเจ็ดขวบ จึง ต้องอุบายของเตียวหุยแตกพ่ายเสียทหารไปร่วมสองหมื่น

ฮองตงทหารเอกอายุร่วมเจ็ดสิบปีของเล่าปี่ ก็ยึดกองเสบียงของโจหองที่เขาบิซองสันได้ แล้วก็เข้าตีกองเสบียงที่เขาเตงกุนสันซึ่งแฮหัวเอี๋ยนรักษาอยู่ ก็ฆ่าแฮหัวเอี๋ยนตายกลางสนามรบ โจโฉจึงต้องยกกองทัพใหญ่พลสี่สิบหมื่น เป็นทัพกษัตริย์ไปรบกับเล่าปี่ป้องกันเมืองฮันต๋งซึ่งเป็นเมืองสำคัญ แต่ก็ต้องเสียทีแก่ขงเบ้งในการรบที่ทุ่งฮันซุยและเสียด่านเองเปงก๋วน ยังดีที่โจเจียงบุตรชายคนรองมาช่วยไว้ทัน แต่ตัวโจโฉก็ถูกทหารเอกของเล่าปี่ยิงด้วยเกาทัณฑ์ ฟันหน้าหักไปสองซี่ จึงต้องถอยทัพกลับปล่อยให้เล่าปี่ยึดครองเมืองฮันต๋ง และตั้งตัวเป็นอ๋องเมืองฮันต๋งเสียด้วย

ต่อมาโจโฉรู้ว่าซุนกวนขัดใจกับเล่าปี่ ตั้งแต่ลวงให้ไปแต่งงานกับนางซุนฮูหยิน เพื่อจะฆ่าเสียแต่เล่าปี่ก็หนีรอดกลับไปได้ และพานางซุนฮูหยินไปด้วย ภายหลังเมื่อเล่าปี่มัวไปรบกับเมือง เสฉวน ซุนกวนก็ให้ทหารมาพรากนางซุนฮูหยินกลับไปเมืองกังตั๋ง และตัดขาดกับเล่าปี่แต่บัดนั้น โจโฉจึงส่งทูตไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ซุนกวนร่วมมือกับรบกับเล่าปี่ ซุนกวนก็ตกลงด้วยและจะจัดกองทัพเรือไปตีเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งกวนอูปกครองอยู่

แต่เล่าปี่ให้กวนอูมาตีเมืองซงหยงได้ และล้อมเมืองอ้วนเซียอยู่ บังเต๊กซึ่งเดิมเป็นทหารเอกของม้าเฉียว แต่ถูกทิ้งไว้ที่เมืองฮันต๋งตอนโจโฉไปตีครั้งก่อน และถูกเกลี้ยกล่อมให้มาอยู่กับโจโฉด้วย จึงเป็นคนละฝ่ายกับม้าเฉียวซึ่งไปอยู่กับเล่าปี่ ได้ขออาสาคุมทหารเป็นทัพหน้าไปช่วยเมืองอ้วนเซีย โจโฉก็ยังไม่ค่อยไว้ใจนัก บังเต๊กก็ลงทุนสาบานว่าขาดกันกับม้าเฉียวแล้ว และแสดงความจริงจังด้วยการให้ทหารเอาโลงศพไปด้วย และประกาศว่าถ้าไม่ได้ศรีษะกวนอูใส่โลงกลับมา ก็ต้องเป็นศรีษะของตนเองนั่นแหละ

บังเต๊กกล้าหาญที่เข้ารบกับกวนอูซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมานาน และเกือบจะเอาชนะได้แล้ว เพราะกวนอูเข้าวัยชราถูกเกาทัณฑ์ของบังเต๊กต้องพักรักษาตัวและบุตรชายไม่ยอมให้ออกรบอีก บังเต๊กจึงคิดจะตีค่ายกวนอูให้รู้แพ้ชนะโดยเด็ดขาด แต่อิกิ๋มแม่ทัพใหญ่มีความอิจฉากลัวว่าถ้าชนะ กวนอู บังเต๊กจะมีความชอบมาก จึงยับยั้งไว้แล้วเลยถูกทหารกวนอูทดน้ำให้ท่วมค่าย ทั้งอิกิ๋มกับบังเต๊กถูกจับเป็นเชลย อิกิ๋มวิงวอนขอชีวิต กวนอูก็ไม่ฆ่าแต่ส่งตัวกลับมาให้โจโฉ บังเต๊กไม่ยอมอ่อนน้อม กวนอูจึงให้ประหารชีวิตเสีย โลงศพที่บังเต๊กแบกไปด้วยจึงไม่ได้ใช้ประโยชน์

แต่ในที่สุดกวนอูก็เสียทีพ่ายแพ้แก่กองทัพของซุนกวน ถูกจับตัวเป็นเชลยเหมือนกัน แม้ซุนกวนจะเกลี้ยกล่อม แต่กวนอูซื่อสัตย์ต่อเล่าปี่ ไม่ยอมอ่อนน้อม จึงถูกประหารชีวิต แล้วซุนกวนก็ส่งศรีษะกวนอูใส่ถังไปให้โจโฉจนได้.

เมื่อโจโฉได้รับศรีษะของกวนอู ที่ซุนกวนใส่ถังมาให้เป็นของขวัญ ทีแรกก็ดีใจมากที่แขนขวาของเล่าปี่ ข้าศึกตัวฉกาจ ได้สิ้นชีวิตลง ถึงกับออกปากว่า

“กวนอูยังเป็นอยู่ไม่มาหาเรา บัดนี้ยังแต่ศีรษะเปล่าอุตส่าห์มาหาเรา”

ศีรษะกวนอูก็สำแดงเดช อ้าปากกลอกตาใส่โจโฉจนตกใจล้มลง และว่าศรีษะกวนอูนี้เฮี้ยนนัก คนของซุนกวนที่เอามาให้ก็ว่า เมื่อก่อนมาก็หักคอลิบองนายทหารเอกของซุนกวน ที่เอาชนะกวนอูมาแล้วหยก ๆ

โจโฉก็ยิ่งผวาหนักขึ้นไปอีก สั่งให้เอาไม้หอมมาต่อเป็นหีบใส่ศีรษะกวนอู และจัดพิธีฝังไว้ที่ริมประตูเมืองลกเอี๋ยง แล้วจารึกไว้ว่า ที่ฝังศพเจ้าเมืองเกงจิ๋ว และจัดขุนนางไว้คอยเซ่นสักการะศพตามประเพณี

ตั้งแต่นั้นมาโจโฉก็ล้มป่วยลง หลับตาครั้งใดก็เห็นแต่หน้ากวนอู จึงคิดจะสร้างวังที่อยู่ใหม่ เมื่อให้ตามช่างผู้มีฝีมือเขียนแบบแล้วก็ให้ไปตัดต้นไม้ใหญ่ ที่ชายป่ามาสร้างเป็นวังขึ้น แต่คนที่ไปตัดไม้ก็กลับมารายงานว่า จะทำอย่างไรก็ตัดไม้ต้นไม่ได้เลย โจโฉไม่เชื่อจึงพาบริวารตั้งสามร้อยคน ออกไปดูให้เห็นประจักษ์แก่ตา

ไม้ต้นนั้นเป็นต้นสาลี่สูงประมาณยี่สิบวา อายุประมาณสามสี่ร้อยปี อยู่ใกล้ศาลเทพารักษ์หลังหนึ่ง โจโฉก็ให้คนเอาขวานฟันก็ไม่เข้า โจโฉก็โกรธว่าตนเป็นใหญ่ในเมืองนี้มาหลายสิบปีแล้ว บรรดาเทพารักษ์แลราษฎรก็อาศัยพึ่งบุญอยู่ทั้งสิ้น จะเอาต้นไม้นี้ไม่ได้หรืออย่างไร ว่าแล้วก็ชักกระบี่คู่กายออกฟันต้นไม้ฉับเข้าให้ ก็บังเกิดมีเสียงร้องไห้เซ็งแซ่ขึ้น และมียางไหลออกมาเป็นโลหิต โจโฉก็ตกใจทิ้งกระบี่แล้วขึ้นม้าห้อเหยียดกลับวังไปทันที

ครั้นเวลาค่ำโจโฉนอนไม่หลับจนเวลาสองยาม ก็ออกมานั่งเก้าอี้ที่ระเบียง ต้องลมเย็นก็เลยเผลอหลับไป แล้วฝันว่าเทพารักษ์ประจำต้นสาลี่ มาชี้หน้าด่าโจโฉว่ามึงจะทำที่อยู่แข่งกับฮ่องเต้หรือ กูว่าบุญมึงสิ้นแล้ว กูจะฆ่ามึงเสียให้ตาย

โจโฉก็ตกใจตื่นร้องเรียกหาทหารองครักษ์ให้มาช่วย และต้องแต่นั้นก็ปวดศรีษะเป็นกำลัง หาหมอยาหมอนวดมารักษาจนสิ้นความรู้โรคนั้นก็ไม่หาย มีผู้ไปตามหมอฮัวโต๋ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังว่าใครเป็นอะไรก็รักษาได้หมด ให้มาดูโจโฉ หมอก็บอกว่า โรคนี้เป็นอยู่ข้างในศรีษะ จะใช้ยากินไม่ได้ต้องผ่ากระโหลกศรีษะออก โจโฉก็ถามว่าผ่าอย่างไร หมอก็บอกว่าจะให้กินยามึนเมาไม่รู้สึกตัว แล้วเอาขวานผ่าศรีษะออก ชำระโรคข้างในให้หมด แล้วก็ประกับให้เหมือนเก่า ไม่ช้าก็จะหาย

โจโฉก็ว่าอ้ายหมอนี่คงจะคิดทำร้ายตน แบบเดียวกับหมอเกียดเป๋ง จึงให้เอาไปใส่คุกไว้ แล้วก็ลืมจนหมอตายอยู่ในคุกนั้นเอง ส่วนโรคของโจโฉก็กำเริบกล้าขึ้น บางวันก็ฝันถึง ม้าเท้งและลูกชายทั้งสองคน บางวันก็ฝันถึงนางฮกเฮากับพระราชบุตรอีกสององค์ บางวันก็ฝันถึงนางตังกุบหุยกับบุตรในท้อง และตังสินกับฮกอ้วนตลอดจนพรรคพวกหลายร้อยคน ที่ตนสั่งให้ฆ่าเสียเมื่อก่อนนั้น ร้องไห้กันเซ็งแซ่ไปหมด จนไม่สามารถจะนอนหลับตาลงได้

เมื่อขุนนางคนสนิทแนะให้ทำเซ่นวักพลีกรรมเสีย ปีศาจที่สิงสู่อยู่จะได้หนีออกไป โจโฉก็ปลงว่า

“ โบราณว่าไว้ว่า กรรมมาถึงตัวแล้ว จะทำประการใดก็หาพ้นไม่ “

แล้วก็ให้หาขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาเฝ้าฝากฝังบ้านเมืองและบุตรที่เหลือทั้งสี่คน โดยให้ โจผีบุตรคนโตสืบทายาทต่อไป แล้วเรียกภรรยาทั้งปวง ซึ่งคงจะมีอยู่มิใช่น้อยมาสั่งความว่า

“ ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ฝึกสอนในการเย็บการปัก จึงจะได้เลี้ยงตัวเมื่อภายหลัง ท่านจงพากันไปอยู่ปราสาทตั้งเซ็กไต๋ เมื่อท่านจะเซ่นเรานั้น ให้มีมโหรีปี่พาทย์ จงทุกวัน “

สุดท้ายก็สั่งขุนนางให้ก่อกุฏิฝังศพของตนที่สนามนอกเมือง ให้มีช่องเจ็ดสิบสองช่อง อย่าให้คนทั้งปวงรู้ว่าเอาศพของตนไว้ช่องไหน เพราะรู้ตัวว่ามีคนเกลียดชังอยู่เป็นอันมาก เดี๋ยวมันจะขุดศพออกมาทำประจานเสีย

สั่งเสร็จก็ทอดใจใหญ่น้ำตาไหลลงโซมหน้า แล้วลมสว้านก็ขึ้นขาดใจตายไปด้วยอาการไม่ค่อยสงบนัก

เมื่อโจโฉตายนั้นเป็นเดือนสาม พ.ศ.๗๖๓ อายุได้หกสิบหกปี เป็นมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ได้ประมาณ สามสิบปี

ชีวิตของ โจโฉ มหาอุปราชผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในนิยายเรื่องสามก๊ก ก็ถึงกาลอวสานลงแต่เพียงเท่านี้ ส่วนที่จะมีผู้ใดวิพากษ์วิจารณ์ประการใดนั้น ก็เชิญได้ตามสบาย เพราะเวลาได้ล่วงเลยมากว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยปีแล้ว แกไม่สามารถจะลุกขึ้นมาทำอะไรใครได้อีกแล้ว.

#############




 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2559 13:11:39 น.
Counter : 538 Pageviews.  

โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่ (๖)

สามก๊กฉบับลายคราม

โจโฉ...มหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่

ตอนที่ ๖ พ่อตาฮ่องเต้

เล่าเซี่ยงชุน

เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้สูญเสีย นางตังกุยหุยสนมเอก นางฮกเฮามเหสี และราชบุตรอีกสององค์ ด้วยน้ำมือของโจโฉไปแล้ว ก็ทรงเศร้าโศกถึงคนเหล่านั้นเป็นอันมาก มิเป็นอันได้เสวยและบรรทมเช่นปกติ ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุประมาณยี่สิบแปดปี โจโฉก็บังเกิดความสงสาร จึงเข้าไปเฝ้าและกราบทูลว่า

“ พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย อันตัวข้าพเจ้านี้แต่แรกได้ทูลไว้ว่า จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ซึ่งผู้ทำผิดนั้นก็ให้ทำตามโทษ ข้าพเจ้ามิได้คิดเป็นสองใจ คิดอยู่แต่ว่าจะทำนุบำรุงพระองค์ไปโดยสุจริต ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงอยู่คนหนึ่ง เฉลียวฉลาดทั้งน้ำใจก็ดีซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าจะถวายพระองค์ “

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นขัดมิได้ก็รับคำโจโฉ พอถึงเดือนสามเทศกาลตรุษจีน โจโฉก็จัดแจงแต่งบุตรหญิงเข้าไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วตั้งบุตรนั้นให้เป็นที่พระมเหสีชื่อ โจฮองเฮา โจโฉก็เลยมีศักดิ์เป็นพ่อตาของฮ่องเต้ มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดจะเทียบเท่า

อยู่มาโจโฉก็ปรึกษาหารือกับขุนนาง และโจหยินกับแฮหัวตุ้น จะไปตีเมืองฮันต๋งเส้นทางที่จะไปเมืองเสฉวน ซึ่งมี เตียวฬ่อ เป็นเจ้าเมือง ทั้งสองฝ่ายได้สัปยุทธกันเป็นสามารถ โจโฉก็ทำอุบายได้ตัว บังเต๊ก ทหารเอกของเตียวฬ่อมาเป็นทหารเอกของตน และเข้ายึดครองเมืองฮันต๋งได้ จึงส่งเตียวฬ่อไปเป็นเจ้าเมืองปาต๋ง กองทัพของโจโฉจึงมาจ่ออยู่ชายแดนเมืองเสฉวนของเล่าปี่

โจโฉจึงปรึกษากับสุมาอี้ซึ่งได้เป็นที่ปรึกษามาหลายปีแล้ว จะยกกองทัพไปตีเมือง เสฉวน ปราบเล่าปี่ให้เด็ดขาดเสียที แต่ซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งเห็นว่าโจโฉมาอยู่ที่เมืองฮันต๋ง จึงยกกองทัพไป ตีเมืองอ้วนเซีย แตก เตียวเลี้ยวทหารเอกของโจโฉอยู่ที่เมืองหับป๋า ก็ยกทหารไปช่วยแต่ไม่ทัน แต่ก็ตีกองทัพของซุนกวนถอยไปอยู่ที่ปากน้ำยี่สูแดนเมืองกังตั๋ง

เมื่อโจโฉรู้ข่าวก็ยกกองทัพไปเพิ่มกำลังอีกสี่สิบหมื่น แต่ซุนกวนก็พาทหารเอกเข้าสู้รบกับฝ่ายโจโฉหลายยก ทั้งสองฝ่ายรบกันเป็นศึกใหญ่อยู่ประมาณเดือนเศษ ฝ่ายซุนกวนเห็นว่าไม่มีทางจะเอาชนะได้ แต่จะถอยก็กลัวโจโฉตามตีถึงเมืองกังตั๋ง จึงทำหนังสือขอหย่าศึกอีกครั้ง และคราวนี้ขออ่อนน้อมต่อโจโฉ และจะส่งเครื่องบรรณาการไปคำนับปีละครั้ง โจโฉก็ตกลงด้วย

พอโจโฉกลับมาคราวนี้ ขุนนางสอพลอทั้งหลายก็ประชุมกันจะขอเลื่อนโจโฉเป็นเจ้าต่างกรมอีก ซุนต่ำก็ไม่เห็นด้วย พวกสอพลอก็ว่า เมื่อซุนฮกกับซุนฮิวขัดขวางไม่ให้โจโฉเลื่อนยศครั้งก่อนก็ตายทั้งสองคน ซุนต่ำก็โกรธประชดว่าเป็นทีของท่านทั้งปวงแล้ว จะทำประการใดก็ทำเอาตามใจชอบเถิด ลูกน้องก็เอาไปฟ้องโจโฉ จึงถูกสั่งให้จำคุกไว้ แต่ซุนต่ำก็เฝ้าแต่ก่นด่าโจโฉอยู่ทุกวัน ผู้คุมก็ไปฟ้องโจโฉอีก โจโฉก็โกรธจึงให้ผู้คุมเอาไปแขวนคอเสียให้หมดห่วงไปอีกคนหนึ่ง

ต่อมาอีกไม่นานเหล่าขุนนางทั้งหลายก็กราบทูลฮ่องเต้ให้แต่งตั้งโจโฉเป็นวุยอ๋อง เทียบเท่าเจ้าต่างกรม ได้ขี่รถทองเทียมม้าหกตัว และมีเครื่องแต่งตัวกับกระบวนแห่เหมือนฮ่องเต้ทุกประการ โจโฉก็ไปสร้างวังอยู่ที่เมืองเงียบกุ๋น พรั่งพร้อมไปด้วยอิสริยยศเป็นพระเจ้าโจโฉรองจากพระเจ้าเหี้ยนเต้เท่านั้น

โจโฉมีบุตรชายห้าคน คนโตเป็นบุตรของภรรยาแรกชื่อโจงั่ง ตายเสียเมื่อไปตีเมืองอ้วนเซีย อีกสี่คนเป็นบุตรของภรรยารองคนโตชื่อโจผี รองลงไปคือ โจเจียง โจสิด และโจหิม โจโฉรู้นิสัยบุตรดีว่า โจผีเป็นคนฉลาดลึกซึ้งเคยได้ตามไปในกองทัพเสมอ โจเจียงนั้นรักการทหาร โจสิดเป็นกวี และโจหิมเป็นคนโง่ จึงปรึกษากับขุนนางและที่ปรึกษาทั้งหลายว่า ควรจะตั้งใครเป็นทายาท

ที่ปรึกษาก็ให้ความเห็นว่า ดูอย่างอ้วนเสี้ยว กับเล่าเปียวเถิด ตั้งให้น้องเป็นใหญ่กว่าพี่ ก็เกิดแก่งแย่งชิงดีกันจนเสียบ้านเมืองไปหมด โจโฉก็เห็นด้วยจึงตั้งให้โจผี เป็นเจ้าชีจู๊ หรือทายาทของ ตน ที่จะสืบตระกูลต่อไป.

ครั้นถึงเดือนสิบสองโจโฉหรือพระเจ้าวุยอ๋อง สร้างปราสาทราชวังที่เมืองเงียบกุ๋นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยกขบวนพยุหยาตราขุนนางทหารและบริวารข้างหน้าข้างใน ย้ายไปอยู่ที่วังใหม่แล้วมีหนังสือไปทุกหัวเมืองให้จัดต้นไม้มีดอกและมีผลมาปลูกไว้ที่วังในเมืองเงียบกุ๋นมากมาย และมีหนังสือไปถึงซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง ให้จัดหาผลส้มในเมืองกังตั๋งมาถวาย

เมื่อขุนนางเมืองกังตั๋งนำลูกหาบนำผลส้มห้าสิบหาบมาถวาย พระเจ้าโจโฉก็มีความยินดีเห็นว่าซุนกวนนั้นอ่อนน้อมโดยสุจริต จึงเอาส้มนั้นมาฉีกดูก็มิได้มีเนื้อเห็นแต่เปลือกเปล่า จึงถามพวกลูกหาบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ลูกหาบก็เล่าให้ฟังว่า ขณะเดินทางมาหยุดพักที่กลางทางก็มีอาจารย์ผู้หนึ่งมาช่วยหาบส้มทั้งห้าสิบหาบ เป็นระยะทางผลัดละห้าสิบเส้น แล้วสั่งให้มาคำนับท่านอ๋องว่าเป็นเพื่อนบ้านเก่าชื่อโจจู๋

โจโฉกำลังสงสัยอยู่ว่ารู้จักกันมาแต่ครั้งไหน ก็พอดีนายประตูก็พาโจจู๋เข้ามาเฝ้า โจโฉก็ถามว่าทำไมส้มมีแต่เปลือก โจจู่ก็หยิบส้มมาแกะอกให้ดูก็มีเนื้อเป็นปกติทุกผล โจโฉก็นับถือว่าเป็นผู้วิเศษ โจจู๋ก็สำแดงวิชาต่าง ๆ อย่างกับเล่นมายากล แต่สุดท้ายก็ว่าให้โจโฉมอบราชการบ้านเมืองให้เล่าปี่เสีย

โจโฉก็โกรธว่าโจจู๋เป็นไส้ศึกของเล่าปี่ จึงให้ทหารจับตัวไว้ แต่โจจู๋ก็ยอมให้จับโดยดี แม้จะจำขื่อคาหรือลงอาญาประการใด โจจู๋ก็ไม่เป็นอันตราย เมื่ออาละวาดจนโจโฉโกรธถึงที่สุดแล้วก็ออกจากเมืองไป โจแจึงให้เคาทูคุมทหารไปจับตัวมาฆ่าเสียแต่ก็ไม่ได้ตัว ก็ให้เขียนรูปโจจู๋ซึ่งตาบอดข้างขวาและเท้าพิการสั้นอยู่ข้างหนึ่ง ประกาศจับไปถึงหัวเมืองต่าง ๆ บรรดาหัวเมืองเห็นคนหน้าเหมือนในรูปก็จับตัวส่งมาให้รวมแล้วถึงสามร้อยคนเศษ

โจโฉก็ให้เอาคนทั้งสามร้อยนั้นมามัดเข้า เอาโลหิตสุกรและสัตว์ทั้งหลายมาสาดรดคนโทษเหล่านั้น หวังจะให้มนต์เสื่อม แล้วให้ทหารตัดศรีษะเสียทั้งสิ้น คนทั้งหมดก็นั่งอยู่โดยไม่มีศรีษะ โลหิตกระเซ็นขึ้นไปบนอากาศก็กลายเป็นคนขี่นกกะเรียนบินร่อนอยู่ โจโฉก็ให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมบิงขึ้นไป ก็บังเกิดมีลมพายุใหญ่พัดมา หอบเอาผงคลีฟุ้งตระหลบจนมืดมัว คนซึ่งถูกตัดศรีษะนั้นก็ลุกขึ้นเดินหิ้วศรีษะวิ่งเข้ามารุมตีจนโจโฉล้มลง แล้วพายุก็สงบลงแล้วโจจู๋ทั้งหลายก็หายไปหมด

ตั้งแต่วันนั้นโจโฉก็ป่วยหนัก โหรที่อยู่เมืองฮูโต๋ก็มาเยี่ยม แล้วแนะนำให้เชิญ กวนลอ ซินแสจากเมืองเพงงวนก๋วน มาดูโชคชะตาราศี กวนอูก็บอกโจโฉว่าที่ป่วยคราวนี้เป็นเพราะคนมีความรู้ทำเล่ห์กระเท่ห์ต่าง ๆ แต่ไม่ต้องวิตกเพราะไม่เป็นอะไรมาก โจโฉก็ยินดีและที่ป่วยก็คลาย จึงให้ดูต่อไปว่าชะตาของบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป กวนลอก็ทำนายได้น่าเชื่อถือ โจโฉจึงจะตั้งให้เป็นโหรประจำตัว แต่กวนลอไม่รับ ครั้นจะให้ดูว่าตนจะมีวาสนาสูงกว่านี้หรือไม่ กวนลอก็ว่า ขณะนี้มีบุญเสมอพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้ว จะให้ดูต่อไปเห็นจะสิ้นตำรา

พอดีมีข่าวจากเมืองฮันต๋งว่า เล่าปี่ให้เตียวหุยกับม้าเฉียวมาตั้งที่เมืองปาเส เตรียมเข้าตีเมืองฮันต๋ง โจโฉก็จะจัดทหารยกไปช่วย แต่กวนลอห้ามไว้ว่าอย่าเพิ่งยกไป เพราะถึงปีใหม่จะเกิดเพลิงไหม้ในเมืองฮูโต๋ใหญ่หลวงนัก โจโฉก็เชื่อ จึงให้ทหารเอกสองคนยกทหารไปรักษาเมืองฮันต๋งไว้ให้ได้ และ อองปิด บังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋ให้เข้มแข็ง และให้แฮหัวตุ้นคุมทหารสามหมื่น เป็นกองเตรียมพร้อมคอยช่วยเหลือถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองฮูโต๋จริง.

ถึงวันปีใหม่ขึ้นสิบห้าค่ำในเมืองฮูโต๋ก็มีการฉลอง ตอนกลางคืนมีการจุดโคมรุ่งเรืองทุกตำบล บ้างเล่นกระจับปี่สีซอ มีการมหรสพแน่นไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่พอเวลาสองยามก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นหลายตำบล แล้วก็ไหม้ลุกลามไปทั่วเมือง มองเห็นแสงเพลิงจับขอบฟ้า

รุ่งขึ้นแฮหัวตุ้นซึ่งคุมทหารอยู่นอกกำแพงเมืองฮูโต๋คอยระวังภัย ก็มีหนังสือแจ้งเรื่องราวแก่โจโฉ มีความว่าตนเห็นมีเพลิงไหม้ขึ้นในกำแพงเมืองฮูโต๋ จึงคุมทหารกองหนึ่งเข้าดับไฟ อีกกองหนึ่งให้ระวังเหตุอื่น ขณะนั้นก็มีขุนนางหลายคนคุมสมัครพรรคพวก ออกมาประกาศว่าจะกำจัดศัตรูแผ่นดิน ผู้ใดจะเข้าด้วยเร่งมาทำการด้วยกัน ขุนนางที่มิใช่พวกโจโฉก็ออกมาเข้าด้วยเป็นอันมาก

อองปิดซึ่งเป็นผู้รักษาเมืองก็ออกจากจวนที่พัก ขึ้นม้าออกไประงับเหตุก็เจอ เกงจี พาพวกเข้ามาขัดขวางจึงต่อสู้กันหลายเพลง จนอองปิดบาดเจ็บสาหัส เพลิงก็ลุกลามใกล้พระราชวังเข้าไป พี่น้องพรรคพวกของโจโฉก็คุมกันเข้ามาช่วยดับเพลิงและรักษาพระราชวังไว้ได้ จนทหารของ แฮหัวตุ้นเข้ามาช่วย ฆ่าฟันพวกก่อความไม่สงบล้มตายลง และพ่ายแพ้ในที่สุด

แฮหัวตุ้นจับหัวหน้าผู้ก่อการร้ายได้สองคนคือ อุยเหลงกับเกงจี เมื่อสอบสวนแล้วได้ความว่า มีพรรคพวกอีกสามคน คือกิมหัน และเกียดเมา กับเกียดบก ซึ่งถูกฆ่าตายในระหว่างต่อสู้กัน บัดนี้ได้จับตัวครอบครัวญาติพี่น้อง และสมัครพรรคพวกของพวกขบถได้ทั้งหมด และเพลิงนั้นก็สงบลงแล้ว

โจโฉจึงมีบัญชาให้แฮหัวตุ้น จัดการเอาหัวหน้าสองคนที่จับได้ กับพรรคพวกทั้งหมดไปประหารชีวิตเสียให้สิ้น แล้วคุมตัวขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่อยู่ในเมืองฮูโต๋ มาที่เมืองเงียบกุ๋นตนจะตัดสินเอง

เมื่อแฮหัวตุ้นคุมตัวขุนนางทั้งหมด มาถึงที่ท้องสนามเมืองเงียบกุ๋น โจโฉก็ให้ทหารปีกธงขาวไว้ด้านหนึ่ง ธงแดงไว้อีกด้านหนึ่ง ไกลกันประมาณสิบเส้น แล้วประกาศว่า เมื่อพวกขบถทั้งห้าคนเผาเมืองฮูโต๋นั้น ขุนนางผู้ใดออกไปช่วยดับเพลิง ให้ไปอยู่ข้างธงแดง ผู้ที่ไม่ได้ออกมาช่วยดับเพลิงให้ไปอยู่ทางด้านธงขาว

ขุนนางก็ออกไปอยู่ทางด้านธงแดงประมาณสามร้อยคน ที่เหลือไปอยู่ด้านธงขาว โจโฉก็ว่า บรรดาผู้ที่ออกไปช่วยดับเพลิงนั้นมิได้ไปโดยสุจริตไปเพราะจะเข้าด้วยพวกขบถ หวังจะบรรจบกันมาทำร้ายตน จึงให้เอาขุนนางฝ่ายธงแดงไปประหารชีวิตเสียทั้งสิ้นที่ริมแม่น้ำเจียงโห ส่วนพวกที่อยู่ธงขาวนั้นมีใจซื่อสัตย์ต่อตน ก็ให้กลับไปเป็นขุนนางในเมืองฮูโต๋ตามตำแหน่งเดิม และให้บำเหน็จตามสมควร ส่วนตำแหน่งที่ว่างนั้นก็แต่งตั้งทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยขึ้นเป็นแทน

ส่วนอองปิดผู้รักษาพระนครนั้นทนพิษบาดแผลไม่ไหวถึงแก่ความตาย ก็ให้จัดการศพอย่างสมเกียรติ และตั้งให้โจฮิวเป็นผู้บังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋ต่อไป

โจโฉก็จัดเงินทองสิ่งของไปให้กวนลอเป็นบำเหน็จ ในการที่ทำนายเหตุการณ์ราวกับตาเห็น แต่กวนลอก็ว่า

“ ตัวข้าพเจ้ารักเที่ยวอยู่ในถ้ำในเขา จะเอาเงินทองไปนั้นหาต้องการไม่ ท่านจงเอาไว้แจกทแกล้วทหารเถิด “

แล้วก็ลาโจโฉกลับไปอยู่เมืองเพงงวนก๋วนตามเดิม.

##########




 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2559 8:27:47 น.
Counter : 744 Pageviews.  

1  2  3  4  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.