Group Blog
 
All blogs
 
ผู้ชายคนนี้ ฉันรัก [ที่สุด]





ชีวิตของพ่อมีสีสันและรสชาติมาก
หลายปีก่อน “ลูกสาวคนโต” ได้สัมภาษณ์พ่อ
ในทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมา เพื่อเก็บข้อมูล
เนื่องจากได้สัญญากับพ่อไว้ว่า
“ตกลง ลูกจะเขียนชีวประวัติของพ่อ”

เป็นหนังสือเล่มพิเศษของชีวิตเราทั้งคู่
 
แต่ด้วยความที่พ่อเป็นคนแข็งแรงมาตลอด
ทำให้หนังสือเล่มนั้น เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ มาตลอดเช่นกัน

จนถึงวันนี้ วันที่อยากให้หนังสือ
“ชีพจรของเรา ชีพจรของพ่อ” สำเร็จ “ทันเวลา”
เพื่อไว้มอบให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่รัก
“ตามที่พ่อเคยขอไว้” ว่าจะได้แจกเป็น “ที่ระลึก”
ในวันที่พ่อจากไปไกลลับ

ลูกสาวก็เขียน และทำให้พ่อไม่ทันแล้ว

เพราะพ่อจากไปเร็วเหลือเกิน
 
อีกทั้งรายละเอียดจากคำบอกเล่าของพ่อทั้งหมด
ที่เกี่ยวกับพ่อในทุกเรื่อง
ก็อยู่ที่บ้านในสหรัฐอเมริกา
หนังสือชีวิตของพ่อจึงออกมาไม่ทัน
“มอบไว้เป็นที่จารจำ”

เพื่อให้ได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพ่อ

วันนี้จึงขอเพียงแค่เล่าถึงพ่อ
ผ่านมุมมองของลูกสาวคนนี้
ที่อยู่ร่วมเวลากับพ่อ มาตลอดชีวิตของลูก
และยังได้อยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของพ่อ
แทน “ความเรียงร้อยเป็นทางการ”
ที่ตำรวจอย่างพ่อ คุ้นเคยมาทั้งชีวิต

และหวังว่า “คำคิดถึงพ่อ” ในวันนี้
จะทำให้ทุกท่านได้เห็นพ่อ ในมุม “น่ารัก”
แทนมุม “น่าเกรงขาม”
อย่างที่พ่อเป็นมาตลอดชีวิตนะคะ

เหล่านี้เป็น “คำบอกรักพ่อ”
จากความทรงจำของลูกสาวคนโต
ที่จะเล่าให้ “พ่อ” ฟัง
แทนเสียงสะอื้นของลูกพ่อทั้ง 3 คนนะคะ
แม้วันที่ต้องมา “ส่งพ่อ” ตรงนี้
ลูกของพ่อทั้ง 3 ต่างรู้แน่แก่ใจว่า
พวกเราจะไม่มีใคร, “เอ่ย” ออกมาเป็นคำ
ได้ “ชัด” เลยก็ตาม

 
พ่อสำเร็จเป็นตำรวจในปี 2505
และได้รับการเลื่อนยศขึ้นเรื่อย ๆ
จนเป็นตำรวจที่เลื่องชื่ออย่างยิ่งในเขตภาคใต้ตอนล่าง
ได้รับคำสั่งให้โยกย้ายไปประจำการในหลายจังหวัดภาคใต้
ก่อนจะเกษียณราชการอย่างสง่างามที่สุด

ตลอดเวลาที่รับราชการเป็นตำรวจ
พ่อเป็นที่รักของเพื่อนฝูงตำรวจด้วยกันอย่างยิ่ง
เหนืออื่นใด
พ่อเป็นที่รักที่นับถือของชาวบ้าน
ในทุกพื้นที่ ที่พ่อไปปฏิบัติหน้าที่

ทั้งชาวบ้านและชาวเมือง ทั้งรวยและจน
ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันตลอดมาว่า
“พ่อ” เป็นคนดีมาก

พูดจริง ทำจริง
และรักษาสัจจะยิ่งชีพ
ทั้งยังมีความซื่อสัตย์สุจริตในตำแหน่งหน้าที่
อย่างไม่เคยมีจุดด่างพร้อยใด ๆ เลย
และชื่อเสียงแห่งคุณงามความดีของ “พ่อ”
ก็แผ่รังสีคุ้มครองถึงลูกหลานและญาติพี่น้องทุกคน
เพราะคนในสังคมที่รู้จักคุณความดีของพ่อ
ได้เผื่อแผ่ความรัก ให้ความเอ็นดูมายังพวกเรา
ในทันทีที่รู้ว่า เราเป็นคนในครอบครัวของ “พ่อ”

ทว่าความดีงามในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของพ่อ
ยังไม่เทียบเท่าการได้รับยกย่องว่า
พ่อเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต
อย่างผู้มีคุณธรรมขั้นสุด
โดยเฉพาะความเลื่องชื่อในเรื่องกตัญญูกตเวทิตา
ต่อบิดามารดา
และความรักเครือญาติทุกฝ่าย ทุกคน
อย่างจริงใจ
ด้วยการแสดงออกให้เราทุกคน
เห็นได้ด้วยสายตา อย่างชัดเจน
ทำให้เข้าใจได้ อย่างชัดแจ้ง

ภาพจำที่ลูกหลานทุกคน รวมถึงคนใกล้ชิด ติดตาตรึงใจ
คือภาพพ่อก้มกราบเท้าปู่กับย่า
ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยือนในทุกเดือน อย่างไม่เคยขาดหาย

เจอพ่อแม่ในบ้าน ก้มกราบแทบเท้าในบ้าน
เจอพ่อแม่ในงานบุญ ก้มกราบแทบเท้าในวัด
เจอพ่อแม่เดินบนถนนดินลูกรัง
ก้มกราบแทบเท้าบนถนนดินลูกรัง


พ่อไม่จำเป็นต้องพูดอวดอ้างถึงความดีงามนี้
เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา
พ่อดูแลปู่ย่าและน้องทั้ง 11 คนของพ่อ อย่างดีเยี่ยม

นอกจากเลี้ยงดูปากท้องของปู่ย่าและน้อง ๆ แล้ว
พ่อยังดูแลตากับยายอย่างดีเยี่ยมด้วย
โดยเฉพาะการรับตัวน้อง ๆ และหลาน ๆ ของแม่มาเลี้ยงดูที่บ้าน
และส่งเสียให้เรียนหนังสือ
สูงที่สุดเท่าที่ทุกคนจะเรียนได้

นั่นเพราะ “หนุ่ม” คนนี้ไปพบรักกับ “สาวงาม” ระดับเทพี
ตั้งแต่วันแรกที่พ่อไปเป็นครูสอนหนังสือ
ในโรงเรียนประถมย่านนั้น

พ่อได้รับความอนุเคราะห์จากตายายนับแต่วันแรกที่เจอ
จนถึงวันจดทะเบียนสมรสกับแม่
กลายเป็นลูกเขยคนโตของ “ตากับยาย”

พ่อเคยเล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่า
หลังจากพ่อเป็นครูไม่นาน
พบว่าเงินเดือนไม่พอจะเลี้ยงดูครอบครัวทั้งสองฝ่าย
พ่อจึงปรึกษากับตา และได้ผลสรุปว่า
พ่อจะเดินทางไปสมัครเป็นนักเรียนตำรวจ

พ่อเล่าเสมอว่า ตอนนั้นไม่มีแม้แต่เงินจะใช้เดินทางไปสมัคร
เพราะความที่ยากจน
เนื่องจากเงินเดือนครูทั้งหมดของพ่อ
ต้องส่งกลับไปเลี้ยงดูปู่ย่าและน้อง ๆ ที่บ้านเกิดของพ่อ
สมาชิกในครอบครัวตายายจึงตกลงกันว่า
จะให้คู่สามีภรรยาช่วยกันสีข้าวเปลือกไปขาย
เพื่อจะได้เงินทุนมาใช้เป็นค่าเดินทางของพ่อ

พ่อเล่าให้ลูกสาวฟังเสมอว่า
แม่ช่วยนวดข้าวนับสิบปี๊บ เพื่อจะเร่งหาเงินให้เพียงพอ
โดยมีตายายและน้องสาวทั้ง 4 ของแม่
เป็น “กองเกี่ยวข้าวสนับสนุนกองทุนเดินทาง” ของพ่อ

นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
ที่ทำให้พ่อมีความเคารพรักและเทิดทูน “ตายาย”
เทียบเท่ากับเคารพรักปู่ย่า

พ่อประกาศชัดเจนในทุกเวทีที่พ่อได้หวนทวนความหลังว่า
ถ้าวันนั้น ไม่มี “พ่อตา” และ “ภรรรยา”
ผมจะไม่มีวันได้เป็นตำรวจอย่างทุกวันนี้
 
หลังจากเป็นตำรวจแล้ว พ่อมีลูก 4 คน
คนโตคือฉัน
ที่พ่อบอกว่า วันที่ฉันเกิด พ่อไปเล่นไก่ชน
ชนะได้เงินมามหาศาล

หลายคนในที่นี้คงทราบกันดีว่า
พ่อชอบเล่นไก่ชนและวัวชนมาก
ถึงกับสร้าง “ทีมเลี้ยงไก่ชนและวัวชน” ไว้ในรั้วบ้านเลย

ลูกคนที่ 2 คือน้องสาวของฉัน
ที่ทำให้เกิดตราบาปขึ้นในใจพ่อ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
เมื่อ “น้องสาว” วัย 1 ขวบ แพ้ยาฉีดกระตุ้นอาการปัสสาวะไม่ออก
จนเสียชีวิตในโรงพยาบาลประจำอำเภอ
หลังจากพ่อ “ซิ่งรถตำรวจ” นำตัวน้องมาส่งโรงพยาบาล
ไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง

ภาพที่พ่อทรุดลงบนพื้นแล้วเอาหัวโขกกำแพงโรงพยาบาล
จนเลือดอาบขมับ ทันทีที่ได้ยินว่า “ลูกสาว” เสียชีวิตแล้ว
เป็นภาพที่ “ฉัน” ในวัย 3 ขวบ จำได้ติดตาจนทุกวันนี้

และนั่นคือบาดแผลในใจที่บาดลึกและหนักหน่วง
จนทำให้พ่อกลายเป็นคนไม่ชอบการไปโรงพยาบาล
ความรู้สึกผิดลึก ๆ นี้ ฉันรับรู้ได้จากทุกเวลา
ที่พอพ่อกรึ่ม ๆ จะหลุดพูดเสมอว่า
ถ้าพ่อไม่พาลูกไปส่งโรงพยาบาล
ลูกก็จะไม่ตาย
พ่อผิดเองทั้งหมด

 

.
.

หลังจากฉันอายุเต็ม 5 ขวบ พ่อแม่ก็มีลูกชายอีก 2 คน
ทว่า พ่อได้เลี้ยงดูลูกในวัยน้อย ๆ อย่างใกล้ชิดแค่คนเดียว
คือฉัน

ด้วยความเป็นลูกคนโต ฉันจึงได้ทันติดตามการโยกย้าย
ไปมีชีวิตวัยเด็กในบ้านพักตำรวจหลายท้องที่
ตอนนั้นพ่อจึงต้องช่วยเลี้ยงลูกสาว
เพื่อให้แม่ได้ดูแลลูกชายแรกเกิดอย่างเต็มที่

อีกทั้งเมื่อ “น้องชายคนกลาง” อายุ 3 ขวบ
พ่อก็ตัดสินใจมาสร้างหลักฐาน
ทำให้ครอบครัวของเราต้องปักหลักอยู่ในตัวอำเภอ
ทำให้นับแต่นั้น พ่อที่เป็นหนุ่มหล่อแห่งยุค
ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ตามสถานีตำรวจหลายแห่ง

เพียงลำพัง
 
ทว่า พ่อก็จะหาเวลากลับบ้านทุกวันหยุด
และสอนลูกทั้ง 3 คนว่า
พี่ต้องรักและดูแลน้อง
น้องต้องเคารพและเชื่อฟังพี่

ห้ามออกนอกเส้นทางคำสอนและสั่งนี้
เด็ดขาด

ดังนั้นพี่และน้องบ้านเรา จึงดำเนินตามรอย
“พ่อสอนและสั่ง”
มาทั้งชีวิต

การทำตามพ่อสอนสั่งเช่นนี้
ทำให้พ่อบอกทุกครั้งที่กลับมาบ้านว่า
พ่อภูมิใจที่ลูกของพ่อทุกคน
เชื่อฟังคำพ่อสอน และปฏิบัติให้พ่อเห็นได้
จริงตามนั้น
 
ตลอดชีวิตของพ่อ
พ่อเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างมาก
เพราะพ่อเคยเป็นครูมาก่อน
ดังนั้นจึงไม่แปลก ที่พ่อจะเป็นผู้ฝึกและสอนลูกสาวคนโต
ให้ใฝ่อ่านและใฝ่รู้
นับตั้งแต่เป็นเด็กน้อย

จนเป็นที่รู้กันใน 3 คนพี่น้องว่า
ขอเงินซื้อขนม จะได้น้อย
แต่ถ้าขอเงินซื้อหนังสือ จะได้มากกว่าที่ขอทุกครั้ง


พ่อรักการเรียน แต่ไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ
เพราะภาระหน้าที่ของสารวัตรปราบปรามไม่เอื้ออำนวยให้อยู่นิ่ง
แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้ตลอดมา
และเป็นที่เลื่องลือในวงการตำรวจสมัยนั้นคือ
พ่อมักลางานครึ่งวัน หากลูกสาวคนโตต้องไปประกวดแข่งขัน
ไม่ว่าจะคัดลายมือ แต่งกลอนโต้วาที หรือแข่งเขียนเรียงความ
ในสนามประกวดต่าง ๆ

จนเป็นที่เล่าลือในวงการนักเรียนเวทีประกวดว่า
มีคนเห็นตำรวจหนุ่ม ในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อน
อุ้มลูกสาวในชุดนักเรียน
วิ่งอย่างเร็วเพื่อไปให้ทันเวลาเริ่มการประกวดเสมอ ๆ

พ่อส่งเสริมให้ลูกสาวคัดลายมือ
เพราะพ่อเป็นคนที่ลายมือหวัด แต่เขียนสวยมาก
จึงชอบเคี่ยวเข็ญให้ลูกสาว “ฝึกคัดบรรจง”
ราวกับเครื่องพิมพ์ดีดให้ได้

ความรักการอ่าน ความรักการเขียน ที่พ่อสนับสนุน
จุดประกายให้ลูกสาวคนโตอยากเป็นนักเขียน
ตั้งแต่เรียนชั้นประถม 5
และผลงานการเขียนชิ้นแรกของลูกสาวคนโต
คือเรียงความที่ได้รับเลือกให้ลงพิมพ์ในหนังสือชื่อดัง
ที่เมื่อเพื่อนตำรวจของพ่อเปิดมาเจอ
ก็รีบไปบอกพ่อทันที
แล้วพ่อก็ถึงกับขับรถเข้าเมือง เพื่อมาเหมาหนังสือฉบับนั้น
ขนไปแจกทุกคนที่โรงพัก รวมถึงผู้ต้องขังทุกคน
จนกลายเป็นเรื่องล้อเลียนพ่อทุกครั้งที่ตั้งวงกัน

นั่นเพราะผลงานชิ้นนั้น
ลงนามสกุล “พ่อ” ไว้เด่นหรา
และกลายเป็นกระดาษที่พ่อตัดเก็บไว้ในซอกกระเป๋าสตางค์ของพ่อ
จนกระทั่งเปื่อยยุ่ย
ที่เมื่อพ่อหยิบออกมาให้ดูในหลายสิบปีต่อมา
ด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องมีใครบอกเลยว่า
ทำไม

เนื่องจากผลงานเขียนชิ้นแรกในชีวิตของเด็กหญิงคนนี้
มีชื่อเรื่องว่า
“คำของพ่อ คือชีพจรของฉัน”
 
พ่อภูมิใจกับงานเขียนในวัยเด็กของลูกสาวมาก
เพราะผลงานเขียนของลูกทุกชิ้นที่ตีพิมพ์ในหนังสือยุคนั้น
แทบทุกสัปดาห์
มีชื่อ “พ่อ” เป็นผู้รับ “ค่าเรื่อง” แทนฉันที่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบ
แล้วพ่อก็จะเตือนเสมอว่า
“อย่าลืมสอนให้น้องรักการอ่านและรักการเรียนด้วย”

เมื่อทำหน้าที่ที่พ่อมอบหมายให้อย่างได้ผลดี
ทำให้ฉันได้รับของขวัญจากพ่อในวันหนึ่ง
เมื่อพ่อกลับมาบ้านพร้อม “เครื่องพิมพ์ดีด” แบรนด์ดัง
แล้วบอกว่า
“พ่อภูมิใจที่มีลูกเป็นนักเขียน”
"และพ่อภูมิใจมากที่ลูกเป็นตัวอย่างให้น้อง ๆ รักการเรียน”

แล้วพ่อก็ได้ภาคภูมิใจในผลการเรียนของ “ลูกทุกคน” อย่างล้นเหลือ
ลูกชายของพ่อเป็น รองศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์
ในมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของรัฐทั้ง 2 คน
และทุกครั้งที่ลูกชายก้มกราบ
พ่อจะมีความปลื้มใจในสีหน้าอย่างเห็นได้ชัดตลอดมา
พ่อจะพูดพร้อมกับลูบหัวลูกชายว่า
“ขอบใจที่ลูกเป็นคนดี ขอให้เจริญ ๆ ในหน้าที่การงาน”

กล่าวได้ว่า
นี่เป็นความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของพ่อ
ภูมิใจยิ่งกว่าผลการเรียนที่ดีเลิศของน้องชาย
ที่พ่อมักจะเรียกน้องลับหลังเวลาพ่อกับลูกคนโตนินทาน้องว่า
เด็กชาย 4.00
 
พ่อจะมีความสุขมาก ๆ เวลาที่ลูกทั้งสามคนอยู่กันพร้อมหน้า
ด้วยว่าเหตุการณ์ “มาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย” นั้น
ทำได้ยากยิ่ง
เนื่องจากฉันอยู่อเมริกาตั้งแต่เรียนจบ
และ “น้องชาย” ก็ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นนานหลายปี

 

.
.
.

พ่อเป็นคนสูบบุหรี่จัด
แต่ก็หักดิบได้ทันทีที่หลานคนแรกของพ่อ
เอ่ยว่า “เหม็นบุหรี่”
พ่อสีหน้าสลดทันที และความกลัวว่าหลานคนแรก
จะไม่ให้กอด จะไม่ให้หอม
พ่อถึงกับยอมหยุดบุหรี่ทันทีทันควัน
และพ่อก็ไม่เคยสูบบุหรี่อีกเลยนับจากวันนั้น

แต่การหยุดบุหรี่ในวันนั้นของพ่อ
ก็ไม่ช่วยอะไร
เมื่อลูกสาวที่กลับมาเยี่ยมบ้าน
เป็นคนพาพ่อไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพตามนัดปกติ
และยืนยันกับคุณหมอว่า
อาการไอเรื้อรังของพ่อผิดปกติมาก
และน้ำหนักลดฮวบอย่างน่ากังวล

หลังซักถามรายละเอียด
หมอ พยาบาล และลูกสาว
ช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้พ่อยอมเอ็กซเรย์ปอด
ที่ก็พบทันทีว่า พ่อเป็นมะเร็งปอดขั้นร้ายแรง
และระยะสุดท้ายแล้ว

วันนั้นคือวันที่ 1 เมษายน 2565 ที่เพิ่งผ่านมา
วันที่ตรงกับ “วันโกหกแห่งโลก” April Fool’s Day
แต่จะโกหกตัวเองอย่างไรก็หนีความจริงที่โหดร้ายไม่พ้น
เมื่อ 7 วันต่อมา ฉันได้รู้ว่า
มะเร็งปอดลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง และกระดูก
เรียบร้อยแล้ว

วันนั้น พ่อมองฉันด้วยสายตาสงสัย
ว่าตัวเองเป็นอะไร
ฉันกอดพ่อกลางโรงพยาบาล
แล้วปล่อยโฮเบา ๆ หลังไหล่พ่อ
บอกพ่อว่า
พ่อไม่เป็นอะไร แค่ไอเยอะ
พ่อบอกว่า
อ้อ พ่อแก่แล้วนี่นะ


ฉันโทรบอกความจริงกับน้องชายทันทีที่กลับถึงบ้าน
และเราทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า
จะร่วมใจกันโกหกพ่อ “ครั้งแรก” ว่า
พ่อไม่ได้เป็นอะไรเลยนะ
พ่อแค่เจ็บป่วยตามอายุ
พ่อจะกลับมาแข็งแรงแน่ ๆ ถ้าพ่อยอมไปหาหมอบ่อย ๆ


พ่อที่สูง 184 และหนัก 84 กิโลเมื่อเดือนมกราคม
เดือนเมษายน น้ำหนักลดเหลือ 51 กิโล
ลดจนพ่อบ่นเบา ๆ ว่า
“หนังเหี่ยวหมดแล้ว”

แต่พ่อก็ยังมีกำลังใจดีตลอดมา จนวันที่ 4 พฤษภาคม
ทันทีที่คุณหมอใจร้ายบอกพ่อว่า
“ลุง ลุงเป็นมะเร็งปอด ขั้นร้ายแรง ระยะสุดท้าย”
โดยไม่เกริ่นอะไรเลย

นาทีนั้น พ่อนิ่ง แล้วพ่อก็ค่อย ๆ คลี่ยิ้ม ๆ
ก่อนจะเอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า
“ไม่เป็นไร ผมแก่แล้ว ผมรับได้ คนเราต้องตายทุกคน”


แต่หลังจากพบว่า ผลเลือดของพ่อไม่ดีเลย
จำเป็นต้องให้เลือดเพิ่มเพื่อรับการรักษา
พ่อจึงต้องไปโรงพยาบาลติดต่อกันหลายวัน
ที่สุดพ่อก็บอกว่า
พ่อแก่แล้ว เดี๋ยวก็ตาย
เกรงใจลูก ๆ ที่ต้องมาพาพ่อไปโรงพยาบาล
พ่อจะรักษากับสมุนไพรที่บ้านแทน

นั่นคือพ่อเลือกแล้ว
และพ่อก็มีความสุขกับทางที่พ่อเลือก

ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม
พ่อเริ่มใช้เวลาในการนอนแทบจะทั้ง 24 ชั่วโมง
ทุกวัน

ทุกครั้งที่บีบนวด หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ พ่อจะบอกว่า
ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข
ทุกครั้งที่เช็ดก้น ทาแป้งให้ พ่อจะบอกว่า
ขอให้เจริญ ๆ
ทุกครั้งที่พยุงไปอาบน้ำ ถูสบู่ พ่อจะบอกว่า
ขอให้ลูกสุขกายสบายใจ

ช่วงที่รักษาตัวนิ่ง ๆ อยู่ในบ้าน
พ่อที่เป็นตำรวจใหญ่ รูปร่างบึกบึน
เนื้อตัวหดลงเล็กกว่าที่พวกเราทุกคนเคยเห็น
แต่ไม่ว่าพ่อจะเป็นอย่างไร
พ่อยัง “คี๊บลุคแมน-แมน” ของพ่อ
นั่นคือ แม้จะใส่ผ้าอ้อม
พ่อก็ยังสวมเสื้อกล้ามตราห่านคู่ไว้ใต้เสื้อตัวโปรด
และสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงผ้าอ้อมทุกครั้ง

ช่วงเวลากลางคืนที่พ่อลืมตาขึ้น พ่อจะมองหา
ทันทีที่เห็นลูกสาวคนโต พ่อจะบอกเบา ๆ ว่า
“ลูกมานอนข้างพ่อ”
แล้วพ่อก็จะคว้าแขนลูกไปโอบกอดตัวพ่อไว้
กุมมือแล้วบอกลูกว่า
เป็นพี่คนโต อย่าทิ้งน้อง
พ่อรอให้มาครบหน้าอีกสักหน
แล้วก็จะ ….ไป



แต่วันนั้น ยังไม่ถึงวันที่พ่อนัดไว้
พ่อก็หนีพวกเราไป “เที่ยว” ก่อนแล้ว

....
 
 
 
เช้ามืดที่หมอกลงจัด
วันที่ 7 มิถุนายน 2565
ตอนเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าอ้อมและเสื้อผ้าให้
พ่อบอกว่า วันนี้ใส่กางเกงด้วยนะ
แล้วพ่อก็เกริ่นเบา ๆ ว่า
“พ่อ...น่าจะไม่ไหวแล้วลูก”

แล้ว 9 โมงเช้าวันนั้น พ่อก็นอนหลับ
หนีทุกคนไปอย่างเงียบ ๆ คนเดียว
หนีไปท่ามกลางความคิดของเราที่ “คิดหวังไปเอง” ว่า
พ่อยังไหว
พ่อยังไหว

พวกเราไม่รู้เลยว่า พ่อได้สู้สุดหัวใจแล้ว

 
วันนี้ พ่อไม่เจ็บแล้วนะ
พ่อไม่ต้องทรมานแล้วนะ
แล้วถ้าพ่อยังห่วงใยทุกคน
พ่อก็สบายใจและหายห่วงได้นะคะ

พ่อไม่ได้หายไปไหนเลย
พ่อยังคงเป็น “ชีพจร” ของพวกเราพี่น้องเสมอ
และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ตราบจนถึงวันที่พวกเรา “พ่อ-ลูก” จะได้พบกันอีกครั้ง
 


หลับให้สบายนะคะพ่อ
พวกเราทุกคน
รักผู้ชายคนนี้
สุดหัวใจ

 



Create Date : 05 ธันวาคม 2565
Last Update : 5 ธันวาคม 2565 10:46:48 น. 0 comments
Counter : 570 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณnewyorknurse, คุณmcayenne94


ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

พุดดิ้งรสกาแฟ
Location :
United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]




สิ่งต่าง ๆ เคยสำคัญในช่วงเวลาหนึ่ง
อาจเป็นประโยชน์สำหรับใครบางคน
อาจไร้สาระสำหรับใครอีกบางคน


ถ้ามันไร้สาระ
โปรดทิ้งมันไปเฉย ๆ อย่างง่าย ๆ
หากมันมีประโยชน์ ฉันก็ดีใจ


..
..
..
Friends' blogs
[Add พุดดิ้งรสกาแฟ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.