บทที่ 4 ผู้ต้องสงสัย
บทที่ 4

ผู้ต้องสงสัย

“อะไรทำให้นายคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นพวกอิลูมิเนติค”

วูล์ฟถามระหว่างเดินตามวลาร์ดตรงไปยังห้องพิสูจน์หลักฐาน อีกฝ่ายชำเลืองตามองเขาก่อนจะตอบเสียงห้วน

“ฉันไม่ได้บอกว่าเขาเป็น”

“ก็เมื่อกี้นายพูดว่าสงสัยคดีนี้จะเกี่ยวข้องกับองค์กรบ้านั่น” หนุ่มหมาป่าเถียงเสียงดัง ลูกครึ่งแวมไพร์ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย

“ฉันพูดว่าเขาอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าหมอนั่นจะเป็นพวกอิลูมิเนติค”

“แต่เจ้านั่นแข็งแรงมากแถมยังว่องไวผิดมนุษย์ ถ้าไม่ใช่มนุษย์ทดลองของเจ้าพวกบ้านั่นแล้วจะเป็นอะไร”

วูล์ฟถามขณะก้าวตามเพื่อนเข้าไปในห้อง วลาร์ดหยิบเสื้อคลุมสีขาวมาสวมและเดินไปหยิบรายงานที่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักขึ้นมาอ่าน

“เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ” เด็กหนุ่มพึมพำ หนุ่มหมาป่าเดินไปหยุดยืนทางด้านหลังและชะโงกหน้ามองข้ามไหล่

“นายพูดเรื่องอะไร” เขาถามหลังจากพยายามอ่านรายงานไปแล้วหนึ่งรอบ ลูกครึ่งแวมไพร์เหลือบตามองเพื่อนและเดินไปยังตู้เก็บและหยิบซองเก็บหลักฐานที่มีเศษผ้าขึ้นมา

“ตามธรรมดาแล้วเมื่อเราสวมเสื้อ จะต้องมีเหงื่อและเศษผิวหนังติดเข้าไปในเส้นใยของผ้า ถึงจะถอดออกมันก็จะยังติดอยู่แบบนั้นจนกว่าเราจะนำไปซักหรือทำความสะอาดด้วยความร้อน”

“ช่วยพูดให้มันสั้นลงหน่อยได้ไหม” วูล์ฟบ่นพร้อมกับเกาศีรษะ วลาร์ดมองเขาอย่างรำคาญก่อนจะวางซองพลาสติกลง

“เราตรวจเศษผิวหนังกับเหงื่อที่ติดมากับผ้าและพบว่ามันมีดีเอ็นเออยู่สองชนิด” เขามองเพื่อนซึ่งกำลังทำหน้างง “พูดง่ายๆก็คือ ผู้ชายคนนั้นเป็นอมนุษย์”

“น่าจะพูดแบบนี้ตั้งแต่แรก” หนุ่มหมาป่าบ่น “แล้วเขาเป็นตัวอะไร”

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่จากรายงานนี่บอกว่าดีเอ็นเอที่พบเป็นอาซินนอนิกซ์ จูบาตัส” ลูกครึ่งแวมไพร์อธิบายพลางนิ่วหน้า “เขาถึงเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าฉันมาก”

“ตัวอะไรของนาย” วูล์ฟถามเสียงขุ่น วลาร์ดมองหน้าเพื่อน

“เสือชีตาห์”

“ก็เท่านั้น” หนุ่มหมาป่าบ่น “ทำไมไม่รู้จักพูดภาษาคนธรรมดาบ้างนะ”

แม้จะโกรธที่ถูกประชดแต่ลูกครึ่งแวมไพร์กลับทำเป็นไม่สนใจ เขาก้มหน้าลงอ่านรายงานอีกครั้งและพูดเสียงไม่ดังนัก

“แปลก ดูเขาแทบไม่ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาเท่าไหร่”

“ก็หมายความว่าเจ้านั่นเป็นพวกอิลูมิเนติค” วูล์ฟรีบพูดแต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า

“ไม่ใช่”

“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น”

“เพราะเขาไม่มีสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมที่ต้นคอเหมือนคุณลีโอ”

คำตอบของวลาร์ดทำให้หนุ่มหมาป่าอึ้งไปชั่วขณะ เขามองสีหน้าที่นิ่งสงบของเพื่อนและถามเสียงไม่ดังนัก

“นายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

“รายงานในห้องคุณอันเดอร์ฮิลล์” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ “ฉันจำเป็นต้องรู้รายละเอียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพวกนั้น”

“แล้ว” วูล์ฟทำท่าลังเลก่อนจะถาม “นายแน่ใจหรือว่าคนร้ายรายนี้ไม่มีรอยสักที่ว่านั่น เพราะตอนนั้นทั้งมืดและพวกนายก็มัวแต่ต่อสู้กันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ฉันไม่ได้เอาแต่บ้าพลังบุกตะลุยอย่างเดียวเหมือนนาย” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงเรียบ หนุ่มหมาป่านิ่วหน้า

“แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเขาไม่ใช่พวกอิลูมิเนติค”

“ฉันถึงอยากรู้ว่าเขากำลังทำอะไรกันแน่” วลาร์ดพูดพลางเก็บรายงานกลับเข้าที่ “และทำไมเขาจึงหมกมุ่นกับโฟริดนัก”

“โฟริด” หนุ่มหมาป่าทวนคำ “มันคืออะไร”

“ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจนักแต่ถ้าคิดไม่ผิดมันน่าจะเกี่ยวข้องกับแมลงวันชนิดหนึ่ง” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบขณะถอดเสื้อคลุมแขวนไว้ตามเดิม วูล์ฟเบ้หน้า

“อย่าบอกนะว่าเราต้องไปเดินคุ้ยกองขยะ”

“ทำไมต้องทำแบบนั้น” วลาร์ดหันไปถาม หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้ว

“ก็นายบอกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับแมลงวัน”

“โฟริดเป็นแมลงวันผลไม้ และพวกมันอาศัยอยู่ในเขตร้อนชื้น” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงห้วนและระบายลมหายใจอย่างเหลืออด “นายน่าจะหาเวลาอ่านหนังสือบ้างนะ”

“หนังสือมีไว้หนุนนอนต่างหาก” วูล์ฟพูดกลั้วหัวเราะ วลาร์ดส่ายหน้าก่อนจะเดินออกจากห้อง เพื่อนของเขารีบวิ่งตามพร้อมกับถามเสียงดัง

“จะไปไหน”

“ห้องเก็บข้อมูล ฉันอยากรู้รายละเอียดของคดีฆาตกรรม”

*/*/*/*/*

“นี่เป็นแฟ้มคดีฆาตกรรมทั้งสิบคดี ยังไม่นับรวมรายล่าสุด” เครน นักสืบร่างใหญ่ประจำสถานีพูดพลางใช้มือตบแฟ้มเอกสารกองโตที่ตำรวจขนมาวางกองไว้บนโต๊ะ ชายในชุดสูทสีเข้มมองด้วยสายตาแปลกใจก่อนจะพูด

“มีคดีฆาตกรรมในท้องที่นี้ถึงสิบห้าราย แต่พวกคุณกลับไม่พบเบาะแสอะไรเลยหรือ”

น้ำเสียงเจือการตำหนิทำให้นักสืบนายนั้นนิ่วหน้า เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่พอใจก่อนจะพูดเสียงห้วน

“คนร้ายลงมือเร็วมาก ไม่เคยทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้ นอกจากคำบอกเล่าของพยานที่ว่าคนร้ายเป็นชายร่างใหญ่สวมเสื้อผ้ารุงรังและถือมีด มันไม่เคยทิ้งอะไรไว้เลย”

“ชายร่างใหญ่สวมเสื้อผ้ารุงรัง” ชายในชุดสูทพูดทวน “แต่ตำรวจของคุณบอกว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบแต่งตัวคล้ายนักบวชไม่ใช่หรือ คำให้การของพยานกับคนของคุณมันต่างกันมากเลยว่าไหม”

สีหน้าของนักสืบบูดบึ้งด้วยความไม่พอใจพลางสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะพูดลอดไรฟันออกมาอย่างระงับอารมณ์เต็มที่

“บางครั้งคำพูดของพยานก็เชื่อถือไม่ได้”

“คำให้การของพยานห้ารายตรงกัน” เอฟบีไอหนุ่มพูดขณะเปิดแฟ้มรายงาน “แต่ตำรวจของคุณพบคนร้ายเพียงแค่ครั้งเดียว คุณคิดว่าในทางสืบสวนคุณจะให้น้ำหนักไปในทิศทางใด พยานห้าปากหรือตำรวจ”

“คุณพูดเหมือนคนของผมไม่น่าเชื่อถือ” นักสืบพูดเสียงห้วน อีกฝ่ายยิ้มอย่างใจเย็นพลางวางแฟ้มลงที่เดิม

“ขอโทษที่ทำให้คุณเข้าใจผิด ผมเพียงแต่อยากจะบอกว่าก่อนจะปล่อยข่าวอะไรออกไปควรตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดก่อน เพราะผลเสียที่ตามมามันร้ายแรงกว่าที่คุณคิด”

“ผมไม่ได้ปล่อยข่าวอะไร”

“แล้วพวกสื่อมวลชนได้ข้อมูลคนร้ายมาจากไหน อย่าบอกนะว่าเขาเจาะระบบเครือข่ายเข้ามา”

คำพูดของเอฟบีไอหนุ่มทำให้นักสืบยืนอึ้ง เขามองหน้าอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะหันกลับไปเรียกสายตรวจนายหนึ่งซึ่งกำลังเตรียมตัวออกตรวจพื้นที่

“สายตรวจคอลลิน”

“ครับผม” สายตรวจนายนั้นขานรับและรีบเดินเข้ามาหา “มีอะไรหรือครับผู้หมวดเครน”

“ช่วยเล่ารายละเอียดผู้ต้องสงสัยที่คุณพบให้เจ้าหน้าที่พิเศษคาร์เพนเตอร์ฟังอีกครั้งได้ไหม”

“ได้ครับ” สายตรวจคอลลินรีบพูดพร้อมกับหันไปทางเอฟบีไอหนุ่มและเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เขาพบวลาร์ดตั้งแต่ต้นไปจนกระทั่งถึงตอนที่ลูกครึ่งแวมไพร์หลบหนีไปได้ด้วยความว่องไวอย่างเหลือเชื่อ คาร์เพนเตอร์นั่งฟังอย่างตั้งใจและถามแทรกขึ้นมาในบางครั้ง เมื่อคอลลินเล่าทุกอย่างจบลงเอฟบีไอหนุ่มจึงถามย้ำอีกครั้ง

“คุณแน่ใจนะว่าผู้ต้องสงสัยเป็นแค่เด็กหนุ่ม ไม่ใช่ชายร่างใหญ่เหมือนที่พยานให้การ”

“แน่ใจครับ”

“ผู้ต้องสงสัยยืนประจันหน้ากับพวกคุณตั้งนาน ไม่เห็นหน้าของเขาบ้างเลยหรือ” เจ้าหน้าที่พิเศษคาร์เพนเตอร์ถาม สายตรวจคอลลินส่ายหน้า

“ถึงจะอยู่ใกล้แต่ผู้ต้องสงสัยก็ยืนอยู่ในเงามืดตลอด” เขาชะงักราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิผมเห็นเครื่องหมายบางอย่างที่อกเสื้อของเขาด้วย”

“เครื่องหมายอะไร ทำไมนายไม่บอกให้ฉันฟังก่อนหน้านั้น” นักสืบเครนพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแต่เอฟบีไอหนุ่มกลับยกมือห้ามและถามคอลลินด้วยสีหน้าจริงจัง

“พอจะจำลักษณะของเครื่องหมายที่ว่านั่นได้ไหม” คาร์เพนเตอร์ถามพลางส่งกระดาษและปากกาให้ อีกฝ่ายรับมาถือไว้และทำท่านึก

“ถึงจะมืดแต่ผมสังเกตเห็นมันสะท้อนกับแสงไฟตอนที่ผู้ต้องสงสัยขยับตัว” สายตรวจคอลลินพูดและเริ่มต้นวาดสิ่งที่เขาเห็นลงไปในกระดาษ

“รูปร่างของมันเหมือนโล่นักรบในสมัยก่อน มีกางเขนที่เหมือนดาบอยู่ตรงกลาง ผมเห็นลายแปลกๆอยู่ด้านบน จะว่าไปเหมือนเป็นตัวอักษรโบราณมากกว่า”

เขาอธิบายพลางลากปากกาวาดรูปอย่างตั้งใจและส่งให้เอฟบีไอหนุ่มทันทีเมื่อวาดเสร็จ เครนรีบชะโงกหน้าดูอย่างสนใจ

“อย่างกับเครื่องหมายของพวกนักบวช” เขาพูดแต่คาร์เพนเตอร์กลับส่ายหน้า

“เหมือนตราสัญลักษณ์ขององค์กรอะไรสักอย่าง” เขาลูบคางอย่างใช้ความคิด”หรือคนร้ายรายนี้เป็นพวกคลั่งลัทธิ”

“คุณหมายถึงพวกบูชาซาตานอะไรทำนองนั้นน่ะหรือ” นักสืบเครนถาม เอฟบีไอหนุ่มวางภาพวาดลงบนโต๊ะ

“ลัทธิซาตานไม่ใช้กางเขนเป็นสัญลักษณ์” เขาเคาะนิ้วสองสามครั้ง “ผมเคยเห็นเครื่องหมายแบบนี้มาก่อน”

“ที่ไหน เมื่อไหร่” เครนถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งก่อนจะหบิยกระดาษพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อและลุกขึ้น

“ผมมีเรื่องต้องตรวจสอบคงต้องขอตัวก่อนพรุ่งนี้ค่อยพบกันอีกครั้ง อ้อกรุณาอย่าเผยแพร่ข้อมูลที่พวกเราเพิ่งได้รับทราบ ถ้าผมเห็นตราสัญลักษณ์นี้ไปปรากฏบนสื่อมวลชน พวกคุณโดนย้ายทั้งสถานีแน่”

*/*/*/*/*

สมิธเดินมองผู้ป่วยที่นั่งรอการตรวจรักษาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ เขาพยายามสังเกตแพทย์และพยาบาลรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงพยบาลที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมาและหยุดยืนหน้าแผนกระเบียน

“สวัสดีครับ” เขาพูดกับเจ้าหน้าที่สาวสวยคนหนึ่ง “ผมสมิธ เจ้าหน้าที่จากส่วนกลาง มาติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เคราะห์ร้ายในคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้”

สมิธอธิบายพร้อมกับหยิบบัตรประจำตัวออกมา เจ้าหน้าที่สาวจ้องอย่างพิจารณาก่อนจะพยักหน้าและพูดเสียงหวาน

“รอสักครู่นะคะ”

เธอหันไปเปิดตู้เอกสารด้านหลังและดึงแฟ้มอันหนึ่งออกมา จากนั้นจึงหมุนตัวหันหน้ากลับมาที่สมิธอีกครั้งพร้อมกับยื่นแฟ้มส่งให้

“รายละเอียดของผู้ป่วยทั้งหมดอยู่ในรายงานนี้ค่ะ”

“เตรียมไว้พร้อมเลยนะครับ” สมิธกล่าวด้วยท่าทางสุภาพอีกฝ่ายยิ้ม

“เพื่อความสะดวกในการสืบสวนคดี ทางเราจึงจัดการเรื่องเอกสารและรายงานการรักษาเอาไว้ให้ คุณจะอ่านที่นี่หรือนำกลับไปคะ เพราะถ้าหากจะนำเอกสารเหล่านี้ออกไปคุณต้องลงชื่อไว้เป็นหลักฐานด้วย”

“อ่านที่นี่จะสะดวกกว่าครับ เพราะผมอาจต้องสอบถามบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ คุณมีห้องหรือสถานที่ที่เป็นส่วนตัวกว่านี้หน่อยไหมครับ”

“มีค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับผายมือ “เชิญตามฉันมาทางนี้”

เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนำสมิธไปยังห้องพักของเจ้าหน้าที่และทิ้งเขาไว้ตามลำพังโดยไม่ลืมที่จะจัดเตรียมกาแฟไว้ให้ ทันทีที่หญิงสาวก้าวออกจากห้อง ชายหนุ่มรีบเปิดแฟ้มอ่านและบันทึกรายละเอียดทั้งหมดจนเมื่อถึงส่วนที่ระบุถึงอาการของผู้ป่วยและรายงานการรักษา สมิธต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

“ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บช่วงเอวอย่างรุนแรง และเดินไม่ได้สามวันหลังจากนั้น พบอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังแต่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หลังเข้ารับการรักษาได้ห้าวัน ผู้ป่วยจึงเริ่มเป็นอัมพาต” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น

“อัมพาตอย่างนั้นหรือ” เขารีบเปิดสมุดพกขนาดเล็กและอ่านข้อมูลเบื้องต้นที่บันทึกไว้ “เหยื่อที่ถูกฆ่าในโรงพยาบาลทั้งสี่รายมีอาการใกล้เคียงกันแถมยังเป็นอัมพาตช่วงล่างทั้งหมด”

ชายหนุ่มหันไปสนใจรายงานการรักษาอีกครั้ง

“มีสองคดีที่ระยะเวลาการเข้ารับการรักษาต่างกัน เหยื่อรายที่แปดเป็นอัมพาตสองชั่วโมงหลังจากเกิดอาการปวดกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง” เขาเปิดแฟ้มคนไข้อีกราย “ส่วนคนที่สามเข้ารับการรักษาอาการปวดท้องถึงแปดวันกว่าจะกลายเป็นอัมพาต แต่ทุกรายถูกฆาตกรสังหารด้วยวิธีแทงเข้าที่ท้องจนถึงกระดูกสันหลังก่อนจะฟันหัวซ้ำอีกครั้ง”

สมิธเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้ว

“ฆาตกรฆ่าคนอย่างมีพิธีการ คดีนี้มีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแล้ว”

*/*/*/*/*



Create Date : 15 กันยายน 2552
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 2:44:37 น.
Counter : 281 Pageviews.

0 comment
บทที่ 3 สิ่งที่ไม่คาดฝัน
บทที่ 3

สิ่งที่ไม่คาดฝัน

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้นายอันเดอร์ฮิลล์เงยหน้าจากรายงานและเอื้อมมือไปรับ เขารีบวางเอกสารทั้งหมดลงเมื่อได้ยินเสียงของผู้ติดต่อมา สีหน้าของชายชราเคร่งเครียดขึ้นหลังจากฟังรายละเอียดไปได้สักพัก จนเมื่ออีกฝ่ายพูดจบลง อันเดอร์ฮิลล์จึงรับคำด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก

“ผมจะรีบดำเนินการตามที่ท่านสั่งทันทีครับ”

ชายชราวางโทรศัพท์และเอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมกับนิ่วหน้า สมิธซึ่งกำลังหยิบแฟ้มข้อมูลออกมาจากชั้นหันหน้ามามองและถามด้วยความสงสัย

“มีเรื่องด่วนหรือครับ”

“ใช่” นายอันเดอร์ฮิลล์ตอบพลางหยิบรายงานการปฏิบัติภารกิจครั้งล่าสุดของวลาร์ดกับวูล์ฟขึ้นมาอ่านอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหนักใจ

“ตอนนี้สองคนนั่นทำอะไรอยู่”

หัวหน้าหน่วยนักล่าถาม สมิธทำท่านึกก่อนจะตอบ

“วูล์ฟไปพักที่ห้อง ส่วนวลาร์ดอยู่ในห้องเก็บข้อมูลครับ”

“ห้องเก็บข้อมูล” นายอันเดอร์ฮิลล์พูดทวนและวางเอกสารในมือลง “เขาไปที่นั่นทำไม”

“ผมไม่ทราบ” เขาชำเลืองตามองรายงานบนโต๊ะของชายชรา “ผมคิดว่าวลาร์ดคงอยากจะหาข้อมูลเพิ่มเติม ในรายงานไม่ได้บอกอะไรไว้หรือครับ”

“มันบอกแค่ว่าทั้งสองคนถูกชายลึกลับจู่โจมระหว่างการเดินทางกลับ” อันเดอร์ฮิลล์พูดพลางเคาะนิ้วลงบนกองเอกสาร “กับเรื่องที่ปะทะกับตำรวจ”

“บางทีวลาร์ดอาจกำลังสงสัยชายลึกลับคนนั้น ดูเหมือนเขาจะเก็บหลักฐานบางอย่างกลับมาด้วย”

“เป็นเศษผ้า” นายอันเดอร์ฮิลล์พูดเสียงเรียบ “ผมกำลังรอฟังผลอยู่เหมือนกัน”

“คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับอิลูมิเนติคไหมครับ” สมิธถาม ชายชรานั่งนิ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“อาจจะ” เขามองข้อมูลที่เขียนบนรายงานก่อนจะลุกขึ้น

“จะไปไหนครับ” สมิธถาม อันเดอร์ฮิลล์เดินไปที่ประตูและหันหน้ากลับมาตอบ

“ห้องชันสูตร และจะไปค้นอะไรเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยที่ห้องข้อมูล” เขามองอีกฝ่ายที่กำลังทำท่าจะก้าวตามมา “คุณนั่งศึกษางานไปคนเดียวก่อน อีกสักพักผมจะกลับ”

“ครับ” สมิธรับคำอย่างสุภาพ นายอันเดอร์ฮิลล์มองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินออกจากห้อง สิมธหันหน้ากลับไปยังชั้นเก็บเอกสารอีกครั้งและเริ่มต้นหยิบแฟ้มออกมาเปิดอ่านอีกครั้งอย่างตั้งใจ

วลาร์ดนั่งจ้องข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนจอคอมพิวเตอร์และใช้ความคิดอย่างหนักโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว จนเมื่อนายอันเดอร์ฮิลล์ก้าวไปหยุดยืนด้านหลังและเอ่ยถามเสียงเรียบ

“พบอะไรบ้าง”

“ผมยังไม่แน่ใจ” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบพลางเลื่อนข้อมูลอีกชุดขึ้นมาบนหน้าจอ ชายชรามองอย่างสนใจ

“แมลงวันโฟริด” เขาพูดและหันไปทางเด็กหนุ่ม “ทำไมถึงสนใจเรื่องนี้”

“ผมติดใจกับคำพูดของฆาตกร เขาพร่ำพูดแต่คำว่าโฟริด” วลาร์ดตอบทั้งที่สายตายังคงจ้องรูปแมลงที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ อันเดอร์ฮิลล์ขมวดคิ้ว

“เขาอาจจะหมายถึงอย่างอื่นอย่างเช่นสารจำพวกกรด”

“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นแต่ประโยคที่หมอนั่นพูดว่า โชคดีที่พวกมันไม่ชอบผีดิบ ทำให้ผมเอะใจและคิดว่าน่าจะหมายถึงสิ่งมีชีวิตมากกว่า”

วลาร์ดนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองอันเดอร์ฮิลล์

“พอมีทางที่จะนำร่างผู้เสียชีวิตมาทำการชันสูตรที่นี่ได้ไหมครับ”

“ทำไม” ชายชราถาม ลูกครึ่งแวมไพร์นิ่วหน้า

“ผมตรวจคดีย้อนหลังไปสามเดือน พบว่ามีการฆาตกรรมแบบเดียวกันมาแล้วถึงสิบคดี มีเหยื่อทั้งหมดสิบห้าราย ทุกรายถูกแทงด้วยของมีคมเข้าที่บริเวณหน้าท้องจนทะลุไปถึงกระดูกสันหลังเหมือนกันทั้งหมด”

“ได้ยินมาว่ามันเป็นคดีของฆาตกรต่อเนื่อง พฤติกรรมซ้ำซากแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” นายอันเดอร์ฮิลล์แย้งแต่วลาร์ดกลับสั่นหน้า

“แต่เจ้าหมอนี่เร็วมาก” สีหน้าของลูกครึ่งแวมไพร์เคร่งเครียดขึ้น”ที่สำคัญไม่มีมนุษย์คนไหนสู้กับแวมไพร์ได้”

“เธอเลยคิดว่าเขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกอิลูมิเนติค” อันเดอร์ฮิลล์ถามด้วยเสียงขรึม วลาร์ดนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ

“ผมยังไม่อยากสรุปอะไรลงไป” เขาเลื่อนสายตากลับไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง “จนกว่าจะได้ตรวจร่างเหยื่ออย่างละเอียด”

ชายชรายืนนิ่งและถอนใจ เขามองหน้าบุตรบุญธรรมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดเสียงไม่ดังนัก

“ถึงองค์กรของเราจะมีอำนาจมากแค่ไหน แต่การนำศพของเหยื่อที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องมาทำการผ่าพิสูจน์เองแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ”

“เราขอให้ส่วนกลางดำเนินการให้ก็ได้นี่ครับ” ลูกครึ่งแวมไพร์แย้ง นายอันเดอร์ฮิลล์มองเขาและกล่าวเสียงดุ

“วลาร์ด”

สีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังของชายชราทำให้วลาร์ดต้องนิ่ง เขาหันหน้ากลับไปทางหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้งและถอนใจออกมา

“ผมไม่อยากรอจนเกิดผู้เคราะห์ร้ายรายต่อไป”

“ฉันเข้าใจ” นายอันเดอร์ฮิลล์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “แต่ทุกอย่างต้องมีระบบและขั้นตอน ถึงเธออยากจะเร่งสืบหาความจริงมากแค่ไหน จะทำอะไรก็ต้องเป็นไปตามกฎ จำเอาไว้ให้ดีว่ามนุษย์ไม่ชอบการกระทำที่เรียกว่า ข้ามหน้าข้ามตา อยากจะให้เธอขอให้เข้าใจตรงนี้ด้วย”

“ผมจะพยายาม” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก ชายชรายืนมองเขาครู่หนึ่งจึงถาม

“นอกจากเรื่องนี้แล้วผู้ชายคนนั้นยังมีอะไรพอเป็นที่น่าสังเกตอีกบ้าง”

“อาวุธ” วลาร์ดตอบเสียงเรียบ เขาชำเลืองตาไปยังประตูและขมวดคิ้วเมื่อเห็นวูล์ฟกำลังเดินหน้ายุ่งเข้ามาหา

“ตื่นแล้วหรือวูล์ฟ” บิดาบุญธรรมหันไปทัก หนุ่มหมาป่าอ้าปากหาวและยิ้มแก้เก้อ

“ครับ” เขามองลูกครึ่งแวมไพร์ที่กำลังคีย์ข้อมูล “กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอครับ”

“ทำงาน” วลาร์ดตอบอย่างเคร่งขรึม วูล์ฟเลิกคิ้วและมองภาพมีดขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นบนจอ

“นี่มัน ดาบไม่ใช่หรือ”

“มีดต่างหาก” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงกระด้าง หนุ่มหมาป่าชะโงกเข้าไปมองจนหน้าแทบจะติดจอคอมพิวเตอร์

“มีด” เขาทวนคำและจ้องภาพบนหน้าจอเขม็ง “ทำไมมันใหญ่นักล่ะ แถมใบมีดยังมีลายแปลกๆด้วย ใช่มีดของจริงแน่หรือวลาร์ด”

“มันเป็นมีดจริงและคมชนิดสามารถผ่ากะโหลกนายให้แยกเป็นสองซีกได้ในครั้งเดียว” วลาร์ดพูดอย่างเหลืออด นายอันเดอร์ฮิลล์โบกมือห้ามพร้อมกับถามเสียงขรึม

“มันเป็นมีดของคนร้ายอย่างนั้นหรือ”

“ครับ” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ วูล์ฟยืนกอดอก

“นายแน่ใจได้ยังไงในเมื่อตอนนั้นมันมืดแถมทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด”

“ลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นอะไร” วลาร์ดพูดเสียงห้วน “และอีกอย่างตอนสู้กันฉันเห็นมีดของคนร้ายมีลักษณะที่พิเศษ”

“อะไร” หนุ่มหมาป่าถาม ลูกครึ่งแวมไพร์ชี้ไปที่ใบมีดซึ่งมีลวดลายแปลกตา
“เห็นลายพวกนั้นไหม ริ้วในเนื้อโลหะแบบนั้นน่ะเป็นลักษณะเฉพาะตัวของมีดที่เรียกว่าดามัสกัส เบลด”

นายอันเดอร์ฮิลล์ถึงกับยืนอึ้ง เขามองภาพมีดบนจอและนิ่วหน้า

“ลักษณะแบบนี้เป็นมีดของหน่วยนาวิกโยธินไม่ใช่หรือวลาร์ด ฉันไม่เคยได้ยินว่าพวกเขาใช้เนื้อโลหะที่เธออธิบายให้ฟังเมื่อครู่”

“ผมถึงหาข้อมูลจากร้านที่รับสั่งทำมีดแบบพิเศษ ยิ่งลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบนี้ทำให้ช่วยจำกัดการค้นหาให้แคบลง” เขาเลื่อนข้อมูลขึ้นมาแทน “ทำให้รู้ว่ามีเพียงสองร้านในเมืองเท่านั้นที่ทำมีดชนิดนี้ขึ้นมา”

“เยี่ยม นายรีบส่งข้อมูลนี่ไปให้ตำรวจเลย พวกเขาจะได้จับเจ้าฆาตกรโหดนี่เสียที” วูล์ฟรีบพูดแต่วลาร์ดกลับสั่นหน้า

“ฉันอยากจัดการเจ้านี่เอง”

หนุ่มหมาป่าทำหน้าแปลกใจและเตรียมจะแย้งเพื่อนแต่เสียงฝีเท้าที่เดินอย่างร้อนรนทำให้เขาชะงัก ทั้งหมดหันไปมองดิกสันซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตู อันเดอร์ฮิลล์มองสีหน้าแสดงความยุ่งยากใจของเขา

“มีอะไร”

“ครับ” ดิกสันตอบและนิ่วหน้า “เชิญพวกคุณมาดูเองดีกว่า”

ทั้งหมดก้าวออกจากห้องและเดินตามดิกสันไปจนถึงห้องโถงกลางซึ่งมีเครื่องรับโทรทัศน์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เจ้าหนาที่หลายคนกำลังยืนจับกลุ่มสนทนากันและเงียบเสียงลงทันทีเมื่อเห็นอันเดอร์ฮิลล์

“ดูนั่นสิครับ” ดิกสันชี้ไปที่โทรทัศน์ ชายชราจึงหันไปมองและขมวดคิ้วเมื่อเห็นผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานคดีฆาตกรรม

“เมื่อคืนนี้ฆาตกรต่อเนื่องได้ออกเล่นงานคนบริสุทธิ์อีกแล้ว ครั้งนี้มีผู้เคราะห์ร้ายถึงสามคนซึ่งทั้งหมดถูกฆ่าตายอย่างทารุณเพราะคนร้ายใช้อาวุธซึ่งทางตำรวจคาดว่าเป็นของมีคมขนาดยาวประมาณ 12 นิ้วแทงบริเวณหน้าท้องทะลุถึงกระดูกสันหลัง ทั้งหมดเสียชีวิตทันที ทางตำรวจได้ไล่ตามผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งไปจนถึงนอกเมืองแต่คนร้ายอาศัยความมืดหลบหนีไปได้....ขออภัยนะคะ”

ผู้ประกาศข่าวสาวหยุดอ่านและหันไปรับกระดาษจากเจ้าหน้าที่ของสถานี สีหน้าของเธอฉายแววตระหนกออกมาครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะรีบปรับให้เป็นปรกติ

“มีรายงานด่วนแจ้งเข้ามาว่าคนร้ายได้ทำการฆาตกรรมชายคนหนึ่งถึงในโรงพยาบาล ตอนนี้ตำรวจกำลังออกทำการติดตามฆาตกรรายนี้ไปทั่วเมือง เราได้รูปพรรณของคนร้ายซึ่งสายตรวจคนหนึ่งพบเมื่อคืนนี้ เป็นเด็กหนุ่มอายุราว 16-20 ปี สูงประมาณ 180 ซ.ม. ผมสีดำ แต่งกายคล้ายนักบวชแต่เสื้อผ้าเป็นสีดำสนิททั้งชุด มีดาบเป็นอาวุธ ใครพบเบาะแสผู้ต้องสงสัยกรุณาติดต่อที่หมายเลข.....”

“เป็นเรื่องแล้วไง” วูล์ฟพูดแทรกขึ้น เจ้าหน้าที่ทั้งหมดหันไปมองวลาร์ดเป็นตาเดียว เด็กหนุ่มนิ่วหน้าทันที

“ยังดีที่ไม่ถูกเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้” สตีฟรีบพูด หนุ่มหมาป่าหันไปมองเพื่อน

“ที่แย่ก็คือป่านนี้ตำรวจคงออกตรวจตราอย่างเข้มงวดมากกว่าเดิม” ดิกสันพูดอย่างเคร่งเครียด “สองคนนี่คงทำงานกันลำบาก”

“ก็ไม่เชิง” นายอันเดอร์ฮิลล์พูดขึ้น เขาหันไปทางวลาร์ดและพูดเสียงเครียด “เธอสองคนตามฉันไปที่ห้อง”

ชายชรากวาดตามองเจ้าหน้าที่ซึ่งยืนจับกลุ่มอยู่รายรอบ

“ทุกคนกลับไปทำงานตามหน้าที่”

นายอันเดอร์ฮิลล์เดินออกจากห้องโถงทันทีที่สั่งจบ วูล์ฟหันไปมองวลาร์ดซึ่งยังคงยืนนิ่ง

“ก็แค่การเข้าใจผิด คงไม่มีอะไรหรอก”

“แต่ฉันไม่คิดแบบนั้น”

ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงเรียบและเดินตามนายอันเดอร์ฮิลล์ หนุ่มหมาป่ามองเพื่อนด้วยความเป็นห่วงก่อนจะรีบก้าวตาม

“ฉันไม่เข้าใจ ตอนนั้นตำรวจน่าจะเห็นเราทั้งสองคนแต่ทำไมข่าวถึงรายงานว่าเจอนายคนเดียว”

“มันเป็นการปกปิดข้อมูล” วลาร์ดอธิบาย “อีกอย่างจากคำให้การของพยานที่ยืนยันว่าคนร้ายมีเพียงคนเดียวทำให้พวกตำรวจไม่มั่นใจว่าฉันเป็นฆาตกรตัวจริง”

“แต่พวกเขาก็ปล่อยข่าวออกมาแบบนั้นแถมยังตามหานาย” วูล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก ลูกครึ่งแวมไพร์เหลือบตามองเขา

“ไม่แปลก เพราะตอนนี้ฉันคือเบาะแสสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา”

“บ้าบอสิ้นดี” หนุ่มหมาป่าบ่น พร้อมกับฟาดกำปั้นไปที่ผนัง จากนั้นทั้งคู่จึงเดินไปด้วยกันโดยไม่มีการพูดคุยอะไรอีกจนกระทั่งถึงห้องที่มีป้ายเขียนไว้ว่า “ห้องทำงานของหัวหน้าหน่วย” วูล์ฟเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะเปิดออกเมื่อได้ยินเสียงผู้ที่อยู่ภายในกล่าวอนุญาต ทั้งสองก้าวเข้าไปในห้อง วลาร์ดชำเลืองตามองสมิธซึ่งยืนอยู่หลังเก้าอี้ของนายอันเดอร์ฮิลล์ในขณะที่หนุ่มหมาป่าเอ่ยทัก

“สวัสดีครับคุณสมิธ”

“สวัสดีวูล์ฟ” เขาเลื่อนสายตาไปที่ลูกครึ่งแวมไพร์ “ไงวลาร์ด”

เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยปากตอบคำทักทาย เขามองชายชราที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และถามเสียงไม่ดังนัก

“มีอะไรหรือครับ”

“นั่งลงก่อนสิ”

เสียงนายอันเดอร์ฮิลล์พูดอย่างเคร่งขรึม สองนักล่าจึงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา ชายชรามองบุตรบุญธรรมทั้งสองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น

“ทางองค์กรรู้เรื่องทั้งหมดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พวกเขารู้ด้วยว่าตำรวจกำลังเพ่งเล็งมาที่วลาร์ด” สายตาจ้องลูกครึ่งแวมไพร์เขม็ง วูล์ฟรีบแย้ง

“แต่เขาไม่ได้เป็นคนทำ”

“ฉันรู้ และทางองค์กรก็ด้วย แต่ตอนนี้หลักฐานของตำรวจชี้ตรงมาที่วลาร์ด ทางเราจึงจำต้องหาทางป้องกัน”

“แค่การเข้าใจผิดเท่านั้น และตำรวจก็ไม่เห็นหน้าเขาด้วยผมว่ามันน่าจะมีการอธิบายกันได้”

หนุ่มหมาป่าเถียงอย่างไม่ลดละ สมิธซึ่งยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้น

“คงลำบากนะวูล์ฟ เพราะตอนนี้เราได้ข่าวมาว่ามีนายตำรวจและเจ้าหน้าที่เอฟบีไอระดับสูงบางคนตั้งหน่วยพิเศษขึ้นเพื่อไล่ล่าผู้ต้องสงสัยตามรูปพรรณโดยเฉพาะ”

“หมายความว่ายังไง”

“หมายความว่าตอนนี้พวกอิลูมิเนติคเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง และเป้าหมายของพวกมันก็คือทำลายวลาร์ด”

นายอันเดอร์ฮิลล์ตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากกว่าทุกครั้ง เขาเลื่อนสายตาไปยังลูกครึ่งแวมไพร์ที่ยังคงนั่งนิ่ง

“เพราะเหตุนี้ส่วนกลางจึงส่งเจ้าหน้าที่พิเศษมาช่วยงานเรา และสั่งห้ามวลาร์ดออกปฏิบัติหน้าที่จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง”

“อะไรกัน” วูล์ฟอุทาน “แบบนี้เหมือนการลงโทษมากกว่า”

“คำสั่งที่ว่าจะมีผลเมื่อไหร่หรือครับ” วลาร์ดถามเสียงเรียบ นายอันเดอร์ฮิลล์ขมวดคิ้ว

“ทันทีที่เอกสารและเจ้าหน้าที่พิเศษมาถึง”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมก็ยังทำงานได้” ลูกครึ่งแวมไพร์ลุกขึ้น ชายชรามองเขานิ่งในขณะที่ สมิธรีบถาม

“คุณจะไปไหน”

“หาข้อมูล” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าฆาตกรคนนี้เป็นใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับพวกอิลูมิเนติค”

วลาร์ดเปิดประตูและก้าวออกจากห้องทันทีที่พูดจบ วูล์ฟหันไปกล่าวขอโทษบิดาบุญธรรมก่อนจะรีบเดินตามเพื่อนออกไป นายอันเดอร์ฮิลล์เปิดแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะและดึงเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมาอ่าน เขาเอนตัวพิงเก้าอี้พลางถอนใจ

“เอกสารนั่น” สมิธพูดขณะมองตราประทับบนหัวกระดาษ ชายชรากวาดตาอ่านข้อความทั้งหมดอีกครั้งด้วยสีหน้าหนักใจก่อนจะตอบ

“คำสั่งแจ้งระงับการปฏิบัติงานของวลาร์ด มันถูกส่งมาให้ฉันตั้งแต่เมื่อคืน”
“ตั้งแต่เมื่อคืน แล้วทำไมท่านถึงยัง...”

“ฉันรู้ดีว่าวลาร์ดไม่มีทางทำตามคำสั่ง เขาจะต้องหาทางจับตัวคนร้ายรายนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง” นายอันเดอร์ฮิลล์วางเอกสารกลับลงไปในแฟ้ม “สมิธ”

“ครับ”

“มันอาจจะเสี่ยงต่อหน้าที่ แต่ฉันอยากให้เธอคอยช่วยเหลือวลาร์ด” เขามองหน้าอีกฝ่าย “ไปสืบประวัติของเหยื่อทุกรายและตรวจดูว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกันยังไง”

“ครับ” สมิธรับคำและก้าวออกจากห้องไปในทันที อันเดอร์ฮิลล์มองบานประตูที่ปิดลง ฉับพลันชายชราก็สะดุ้งขึ้นสุดตัว เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกและหอบหายใจอย่างหนักมือข้างหนึ่งควานลงไปในลิ้นชักและดึงขวดยาออกมา หลังจากกินยาเข้าไปสองสามเม็ดสีหน้าของอันเดอร์ฮิลล์คลายความเจ็บปวดลง เขาถอนใจ

“ต้องรีบคลี่คลายคดีนี้ให้เร็วที่สุด” ชายขราพึมพำพลางเอนตัวพิงเก้าอี้และหลับตาลง “ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”

*/*/*/*/*









Create Date : 31 สิงหาคม 2552
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 2:41:18 น.
Counter : 297 Pageviews.

0 comment
บทที่ 2 ฆาตกร
บทที่ 2

ฆาตกร

วลาร์ดเบี่ยงตัวหลบคมมีดที่ตวัดลงมาและเหวี่ยงดาบโต้กลับไปอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายกลับพลิกตัวหลบได้ทัน ร่างในชุดผ้าคลุมรุงรังกระโดดถอยหลังและจ้องลูกครึ่งแวมไพร์ด้วยสายตาน่ากลัว

“โฟริด”

เสียงแหบต่ำดังออกมา วลาร์ดนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ

“อะไรนะ”

“โฟริด” ร่างนั้นพูดซ้ำคำเดิมพร้อมกับขยับมีดในมือ “แกเป็นพวกโฟริดใช่ไหม”

“พูดเรื่องอะไร” ลูกครึ่งแวมไพร์ถามเสียงห้วน ดวงตาสีแดงก่ำจ้องคู่ต่อสู้นิ่ง อีกฝ่ายแสยะยิ้มออกมา

“ตายังมีแวว” เขาพึมพำขณะลดมีดในมือลง “แกยังไม่เป็นโฟริด”

ร่างนั้นหมุนตัวและทำท่าจะวิ่งวลาร์ดรีบพุ่งเข้าไปขวางเอาไว้ทันที อีกฝ่ายแยกเขี้ยวคำรามด้วยความโกรธ

“หลีก”

“ไม่” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบและยกดาบขึ้น “ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใครแต่เลือดบนเสื้อบอกว่าแกต้องทำเรื่องไม่ดีมาแน่”

“แค่ฆ่าพวกโฟริด”

“มันคืออะไร”

วลาร์ดถามเสียงห้วน อีกฝ่ายมองเขาด้วยดวงตาวาว

“ความชั่วร้าย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มืดที่ถือมีดกำแน่นจนสั่นระริก ลูกครึ่งแวมไพร์ขมวดคิ้ว

“แกหมายถึงพวกอิลูมิเนติค”

“ฉันพูดถึงโฟริด” ร่างนั้นพูดย้ำคำเดิม ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมทอประกายกร้าว มันจ้องเด็กหนุ่มเขม็งก่อนจะแสยะยิ้ม “โชคดีที่พวกมันไม่ชอบผีดิบ”
เขาสอดมีดกลับเข้าฝักและหมุนตัวหันหลังให้วลาร์ด

“ลาก่อน”

ร่างสูงใหญ่วิ่งหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ลูกครึ่งแวมไพร์ร้องห้ามเสียงดัง

“เดี๋ยว!”

วลาร์ดขยับตัวจะวิ่งตามแต่ต้องชะงักเมื่อวูล์ฟถลันเข้ามาขวาง หนุ่มหมาป่ากวาดตามองรอบตัว

“เจ้านั่นล่ะ”

“หนีไปแล้ว” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบเสียงห้วน วูล์ฟเลิกคิ้ว

“ทำไมถึงไม่ตาม”

“เพราะมีหมาบ้าวิ่งมาขวาง” อีกฝ่ายตอบเสียงขุ่น หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้วและหันไปมองหน้าเพื่อน

“หมายความว่าไง”

วลาร์ดไม่ตอบแต่กลับสอดส่ายสายตามองไปบนพื้นถนนคล้ายกำลังหาอะไรบางอย่าง

วูล์ฟมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม

“นายกำลังหาอะไร”

“เศษผ้าของเจ้าตัวประหลาดนั่น” เด็กหนุ่มตอบพลางหยุดสายตาไว้ที่ขอบถนน หนุ่มหมาป่าเลื่อนสายตามองตาม

“อย่าบอกนะว่าเจ้านั่นทำผ้าเช็ดหน้าตกไว้”

“ฉันฟันถูกผ้าคลุมของมันต่างหากเจ้าบ้า” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงห้วนขณะใช้ปลายดาบตวัดเศษผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาวูล์ฟมองด้วยความสนใจ

“จะเอากลับไปด้วยเหรอ”

“ใช่” วลาร์ดพูดสั้นๆก่อนจะหย่อนผ้าชิ้นนั้นลงไปในซองพลาสติกที่ดึงมาจากกระเป๋าด้านในของเสื้อ หนุ่มหมาป่าผิวปาก

“ไม่ยักรู้ว่านายพกซองเก็บหลักฐานมาด้วย”

“ฉันไม่เหมือนนาย” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบเสียงเรียบ วูล์ฟทำท่าจะต่อปากกับเพื่อนแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงไซเรนดังขึ้น เขามองผ่านร่างเพื่อนไปทางด้านหลังและนิ่วหน้าเมื่อเห็นสัญญาณไฟวับวาบกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

“สายตรวจ” หนุ่มหมาป่าพึมพำและขมวดคิ้วเมื่อเห็นรถหยุด ตำรวจสองนายก้าวลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมอาวุธในมือ “รีบไปกันเถอะ”

“จะทำได้ยังไงในเมื่อรถของเราตกถนน” วลาร์ดตอบเสียงไม่ดังนักและหยุดทันทีเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากเจ้าหน้าที่

“หยุดอยู่ตรงนั้น” ทั้งคู่เล็งปืนมายังเด็กหนุ่มทั้งสอง “วางอาวุธและคุกเข่านอนคว่ำหน้าลงกับพื้น”

“เอาไงดี” วูล์ฟกระซิบ ลูกครึ่งแวมไพร์นิ่วหน้า

“ฉันจะล่อไว้ให้ นายพาแฮมเมอร์หลบไปก่อน”

“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร” หนุ่มหมาป่าถาม วลาร์ดชำเลืองตามองเขา

“พวกนี้เป็นแค่มนุษย์” น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ เสียงร้องเตือนย้ำอีกครั้งของตำรวจทำให้ลูกครึ่งแวมไพร์นิ่วหน้าด้วยความรำคาญ “ไปเร็ว”

“ระวังตัวด้วยล่ะ”

หนุ่มหมาป่าเตือนด้วยความเป็นห่วงก่อนจะกระโดดหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว กิริยาที่ว่องไวผิดนุษย์ของเขาทำให้สายตรวจทั้งสองร้องอุทานด้วยความตกใจ ทั้งคู่จ้องวลาร์ดที่ยังคงยืนหันหลังให้ด้วยความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม

“วางอาวุธ เดี๋ยวนี้!”

“ไม่”

“ว่าอะไรนะ” สายตรวจคนหนึ่งพูด เขาเบิกตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อร่างของเด็กหนุ่มหายวับไปกับตา

“ห...หายไปอีกแล้ว”

“ฉันอยู่นี่”

เสียงพูดดังขึ้นใกล้ตัว สายตรวจทั้งสองอุทานลั่นก่อนจะหันกระบอกปืนเล็งไปยังลูกครึ่งแวมไพร์ที่กำลังยืนนิ่งอยู่บนหลังคารถ

“ขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ตำรวจนายหนึ่งหลุดปากถาม วลาร์ดกระตุกยิ้มก่อนจะกระโดดข้ามหัวเขาไปยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน สายตรวจทั้งสองรีบเบนกระบอกปืนตาม

“ฉันบอกให้หยุด และวางอาวุธลง!”

ทั้งคู่พูดย้ำอีกครั้งขณะเล็งไปที่ลูกครึ่งแวมไพร์ซึ่งยังคงยืนนิ่งและชะงักเมื่อได้ยินเสียงรายงานจากวิทยุ

“เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นที่กรีนฮิลล์ มีผู้เสียชีวิตสามราย มีพยานยืนยันว่าเห็นคนถืออาวุธคล้ายมีดขนาดใหญ่วิ่งออกมาจากบ้านและหลบหนีไปทางถนนลองทาวน์ ขอให้สายตรวจที่อยู่ในบริเวณนั้นสังเกตผู้ต้องสงสัยที่สวมเสื้อคลุมสีเข้ม มีอาวุธเป็นของมีคมซึ่งอาจจะเป็นมีด พบเห็นผู้ที่มีลักษณะดังกล่าวให้ทำการจับกุมได้ทันที”

ดวงตาของวลาร์ดทอประกายวาวดุดันในขณะที่สายตรวจทั้งสองมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ทั้งคู่กระชับปืนแน่นและจ้องเด็กหนุ่มด้วยท่าทางที่จริงจังมากกว่าเดิม

“ฝีมือนายใช่ไหม” หนึ่งในนั้นถาม ลูกครึ่งแวมไพร์มองหน้าแต่ไม่ตอบอะไรออกมา เขาชำเลืองตามองไปด้านข้างพลางขยับตัว

“หยุด!”

สายตรวจคนเดิมตวาดเสียงดังลั่น วลาร์ดมองเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ผมไม่ใช่คนที่พวกคุณกำลังตาม” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงเรียบ ยังไม่ทันที่สายตรวจทั้งสองจะได้พูดตอบโต้ ร่างในเสื้อคลุมสีดำสนิทก็หายวับไป ทั้งคู่เบิกตาโพลง

“หายไปไหนแล้ว” คนหนึ่งถาม เพื่อนของเขาสบถเสียงดังก่อนจะลดปืนลงและคว้าวิทยุสื่อสารขึ้นมา

“พบผู้ต้องสงสัยบนถนนลองทาวน์ห่างจากเมืองไปทางใต้สามไมล์ ตอนนี้กำลังติดตามขอกำลังเสริมด่วน”

“รับทราบ” เสียงปลายทางตอบกลับมา สายตรวจคนนั้นวางวิทยุกลับเข้าที่และก้าวมายืนนอกรถ

“จะเอายังไง ลองหาดูก่อนดีไหม” คู่หูของเขาถาม อีกฝ่ายนิ่วหน้าพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงเครียด

“เจ้านั่นเป็นฆาตกรโหดที่ก่อคดีฆ่าคนตายมาหลายศพ ไม่ดีแน่ถ้าจะออกหากันตามลำพัง” เขาเลื่อนสายตามองฝ่าไปในความมืด”เราคงต้องรอกำลังเสริม”

*/*/*/*

วูล์ฟยืนมองสายตรวจทั้งสองนายที่กำลังเดินวนรอบรถขององค์กรด้วยสายตาไม่ชอบใจ เขาหันไปมองแฮมเมอร์ซึ่งกำลังปิดเครื่องมือสื่อสารและถามเสียงไม่ดังนัก

“ว่าไง”

“ทางหน่วยกำลังส่งคนมารับ” อีกฝ่ายตอบขณะชะเง้อมองรถด้วยสายตากังวล “คงไม่ดีแน่ถ้ารถของพวกเราถูกตำรวจยึด”

“ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวคุณสมิธก็หาทางจัดการเอากลับมาได้” หนุ่มหมาป่าพูดพลางชำเลืองตามองไปยังด้านหลังและถามเงาร่างสูดที่กำลังเดินมาใกล้ “ทำไมนายไม่อัดตำรวจพวกนั้นให้สลบไปเลยล่ะ”

“ขืนทำแบบนั้นเราจะยิ่งเดือดร้อนหนัก” วลาร์ดตอบขณะก้าวเข้ามา “ฉันได้ยินมาว่ามีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น”

“แล้วมันเกี่ยวกับพวกเราตรงไหน” วูล์ฟถาม ลูกครึ่งแวมไพร์นิ่วหน้า

“เพราะลักษณะของฉันไปตรงกับรูปพรรณของคนร้ายน่ะสิ”

“ไม่แปลก” หนุ่มหมาป่าพูดเสียงไม่ดังนัก วลาร์ดเหลือบตามองเขาก่อนจะหันไปทางแฮมเมอร์

“ติดต่อกลับไปที่หน่วยแล้วใช่ไหม”

“ครับ”

“ช่วยเร่งพวกเขาหน่อย” ลูกครึ่งแวมไพร์สั่งเสียงเครียด อีกฝ่ายรับคำทั้งที่ยังทำหน้างงและเปิดเครื่องมือสื่อสารอีกครั้ง วูล์ฟมองเพื่อนด้วยความแปลกใจ

“ทำไมต้องรีบขนาดนั้น”

“คนร้ายไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา” วลาร์ดตอบและยืนจ้องรถตำรวจที่กำลังวิ่งตามกันมาเป็นขบวน เขานิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังใกล้เข้ามา

“บ้าชะมัด” ลูกครึ่งแวมไพร์บ่นพึมพำ หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้ว

“อะไรอีกล่ะ”

“ไม่ได้ยินเสียงนั่นหรือไง” วลาร์ดถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด วูล์ฟเงยหน้าขึ้น

“แค่คอปเตอร์เท่านั้น จะกังวลอะไรนัก”

“แถวนี้เป็นทุ่งโล่ง” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดพลางกวาดตามองรอบตัว “ถ้ามองจากบนนั้นพวกเราเสร็จแน่”

“แล้วจะทำยังไง” หนุ่มหมาป่าถาม วลาร์ดหันไปทางแฮมเมอร์อีกครั้ง

“พวกเขามากันหรือยัง”

“มาแล้วครับ คงจะถึงในอีกสองหรือสามนาที”

ลูกครึ่งแวมไพร์พยักหน้าและรีบทำสัญญาณให้ทุกคนย่อตัวลงต่ำเมื่อแสงไฟจากตำรวจส่องมาทางพวกเขา เสียงวูล์ฟบ่นอย่างขัดใจ

“น่าเบื่อเป็นบ้า นายน่าจะไปทุบไฟพวกนั้นนะ”

“แค่นี้ยังไม่ยุ่งพออีกหรือไง” วลาร์ดย้อนและชะงักเมื่อแสงสว่างจ้าจากไฟบนเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจทางหลวงกวาดเข้ามาใกล้ “หลบเร็ว”

หนุ่มหมาป่ารีบกระโดดหลบโดยไม่ลืมคว้าคอเสื้อแฮมเมอร์แล้วลากตามไปด้วย เขาหันไปมองลูกครึ่งแวมไพร์ที่กำลังวิ่งลัดเลาะไปตามกอหญ้าและอุทานเมื่อพบว่าเขามุ่งหน้าตรงไปหากลุ่มตำรวจที่ยืนอยู่บนถนน

“นั่นนายจะทำอะไร”

วลาร์ดกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังคารถตำรวจและกระโจนหายไปอีกด้านแทบจะทันทีเมื่อแน่ใจว่าถูกตำรวจเห็น เสียงตะโกนเอะอะดังขึ้นทันที บางคนรีบยกวิทยุติดต่อขึ้นในขณะที่หลายคนออกวิ่งตาม วูล์ฟขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องเฮลิคอปเตอร์ซึ่งกำลังบินห่างออกไป

“เจ้าบ้า” เขาสบถเบาๆและหันหน้าไปยังอีกด้านหนึ่งของถนน เขามองรถตู้สีดำที่กำลังวิ่งเข้ามาจอดอย่างเงียบกริบ เจ้าหน้าที่ของหน่วยนักล่าเปิดประตูรถและก้าวออกมา

“วูล์ฟ” เขาเอ่ยทักก่อนจะกวาดตามองไปโดยรอบ “วลาร์ดล่ะครับ”

“อยู่นี่” เสียงตอบไม่ดังนัก ลูกครึ่งแวมไพร์เดินตรงเข้ามา เขาหันหน้าไปมองรถขององค์กรอีกสองคันที่กำลังวิ่งเข้าไปจอดในสถานที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสีเข้มสามคนลงจากรถและเดินตรงไปหานายตำรวจที่ดูเหมือนจะมีตำแหน่งสูงที่สุด วลาร์ดมองทั้งสองเจรจากันอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดเสียงเรียบ

“กลับกันเถอะ”

เขาก้าวขึ้นไปนั่งบนรถตามด้วยแฮมเมอ์ซึ่งรีบขยับไปนั่งเบาะหลัง เจ้าหน้าที่ของหน่วยเลื่อนบานประตูปิดทันทีเมื่อวูล์ฟขึ้นไปนั่งเป็นคนสุดท้าย เจ้าหน้าที่อีกคนหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาและรายงาน

“รับวลาร์ดกับวูล์ฟเรียบร้อยแล้วกำลังเดินทางไปที่จุดนัดพบ”

“รับทราบ”

ปลายสายตอบรับกลับมา เจ้าหน้าที่คนนั้นวางวิทยุกลับเข้าที่ก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกจากที่นั่นทันที วูล์ฟเอนตัวพิงเบาะและหันไปมองเพื่อนที่กำลังนั่งจ้องซองบรรจุเศษผ้าอย่างใช้ความคิด

“ทำไมหรือ”

หนุ่มหมาป่าถาม วลาร์ดขมวดคิ้วพลางเก็บซองหลักฐานกลับเข้าไปในเสื้อ

“ไม่มีอะไร”

“อย่ามาทำเป็นอุบเงียบเอาไว้คนเดียว ฉันรู้ว่านายกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง”

หนุ่มหมาป่าพูดอย่างรู้ทัน ลูกครึ่งแวมไพร์นิ่วหน้าพร้อมกับถอนใจ

“ใช่” เขาเอนตัวพิงพนัก วูล์ฟนิ่งไปเล็กน้อย

“เรื่องอะไร” เขาถามเสียงเรียบ วลาร์ดมองหน้าเพื่อนและตอบด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมมากกว่าเดิม

“คดีฆาตกรรม ฉันกำลังสงสัยว่าบางทีเหตุการณ์ในครั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับพวกอิลูมิเนติค”

*/*/*/*/*









Create Date : 31 สิงหาคม 2552
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 2:37:39 น.
Counter : 319 Pageviews.

0 comment
บทที่ 1 รัตติกาลเลือด
หายนะครั้งใหม่ของมวลมนุษย์บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อองค์กรร้ายหวนคืนมาพร้อมความแค้น
มันได้วางแผนอันแยบยลเพื่อทำลายล้างเหล่านักล่า
พวกเขาจะรับมือกับคนชั่วอย่างไร

*/*/*/*/*

นักล่าแห่งรัตติกาล II

โรงงานมรณะ

*/*/*/*/*

บทที่ 1

รัตติกาลเลือด


เสียงหัวร่อต่อกระซิกของชายหนุ่มหญิงสาวดังมาจากทางเดินเลียบแม่น้ำ หากเป็นเวลากลางวัน เส้นทางนี้จะคึกคักไปด้วยผู้คนแต่ในยามกลางคืนมันกลับเงียบเหงาไร้คนสัญจร แม้จะมีแสงจากเสาไฟซึ่งตั้งเป็นระยะแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้บริเวณนั้นสว่างขึ้นมามากนัก

แม้ถนนจะว่างเปล่าแต่ใช่ว่าจะไม่มีใคร นานครั้งจะมีรถยนต์สักคันแล่นผ่านมา แสงไฟคู่หน้าสาดส่องไปกระทบกับร่างวัยรุ่นสองคนซึ่งกำลังเดินเคียงคู่กันอย่างมีความสุข

“งานเลี้ยงกำลังสนุก ทำไมถึงรีบกลับ”

เสียงชายหนุ่มถาม หญิงสาวส่งยิ้มให้กับเขา

“เพราะฉันไม่อยากเห็นเธอเมาจนเดินไม่ไหว”

“แค่เบียร์สองสามแก้วเท่านั้น” ฝ่ายชายแย้งและกุมมือคนรักเอาไว้ “ถ้าเมาเราก็นอนค้างกันที่งาน”

“พ่อฉันจะได้ตามไปยิงเธอน่ะสิ” หญิงสาวพูดพลางหยิกแขนเขาไม่แรงนัก “แค่นี้กลับไปก็โดนบ่นจะแย่อยู่แล้ว ฉันไม่อยากถูกกักบริเวณอีกเป็นอาทิตย์นะ”

“งั้นก็อย่าเพิ่งกลับ” ชายหนุ่มรั้งเธอเอาไว้และดึงเข้าไปกอด “อยู่คุยกับฉันอีกหน่อยก่อน”

“แค่คุยเฉยๆเท่านั้นนะ” หญิงสาวพูดเสียงแผ่ว อีกฝ่ายยิ้มและโน้มใบหน้าลง

“ตกลง” เขากระซิบพลางใช้จมูกแตะแก้มของคนรัก “ฉันไม่ทำอะไรเกินเลยแน่ ขอสัญญา”

ชายหนุ่มพูดและกอดเธอแน่นขึ้น เขาก้มหน้าลงเพื่อจุมพิตหญิงสาวแต่ต้องชะงักเมื่อมีเสียงเหมือนของหนักตกกระทบพื้นดังใกล้ตัว ชายหนุ่มเงยหน้าและหันไปมอง

“เสียงอะไร”

เงาร่างสูงใหญ่ไหววูบเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ฝ่ายชายเบิกตากว้างแต่กรงเล็บคมกริบที่ตวัดผ่านลำคอทำให้เขาร่วงลงไปกองกับพื้น หญิงสาวมองคนรักซึ่งนอนจมกองเลือดตายด้วยความตกใจ เธอจ้องร่างทะมึนซึ่งกำลังย่างสามขุมเข้าไปหาและส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น มันจางหายไปเมื่ออมนุษย์ตนนั้นคว้าไหล่ของผู้หญิงคนนั้นเอาไว้และฝังเขี้ยวลงไปในลำคอ

“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้!”

เสียงตวาดดังมาจากทางด้านหลัง ผีร้ายถอนเขี้ยวของมันออกและหันไปร้องขู่ เสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากเด็กหนุ่มร่างใหญ่ เขากระโจนเข้าใส่อมนุษย์อย่างรวดเร็ว

“ไอ้ผีดิบ”

ผีดูดเลือดแสยะยิ้มก่อนจะโยนร่างหญิงเคราะห์ไปขวาง หนุ่มหมาป่ารีบคว้าตัวเธอเอาไว้และมองอย่างเป็นห่วง

“หล่อนโดนกัดไปแล้ว” เสียงเรียบเย็นพูดขึ้น วูล์ฟเงยหน้ามองวลาร์ดซึ่งกำลังชักดาบออกจากฝัก

“เธออาจรอด”

“นายก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หนุ่มหมาป่ามองปลายดาบที่ตวัดลงดิน

“จะกำจัดตอนนี้เลยหรือ” เขาถาม อีกฝ่ายก้มหน้าลงมองก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน” วลาร์ดเลื่อนสายตามองไปยังผีดิบซึ่งกำลังยืนยิ้มแยกเขี้ยว “นายดูหล่อนไปส่วนเจ้านั่น”

เขาขยับดาบ

“ฉันจะเป็นคนตัดคอมันเอง”

ร่างในเครื่องแบบสีดำพุ่งปราดออกไปทันที ผีดูดเลือดหมุนตัวหลบคมดาบที่ฟาดฟันเข้าใส่อย่างว่องไว วลาร์ดขมวดคิ้วด้วยความโกรธและเพิ่มความเร็วในการจูโจม สีหน้าเยาะเย้ยของผีดิบเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไป มันกระโดดถอยหลังและเสียหลักเซถลา ลูกครึ่งแวมไพร์ฉวยโอกาสนั้นตวัดดาบหมายตัดหัวศัตรู

“ตายเสียเถอะเจ้าผีดูดเลือด”

คมดาบชะงักค้างนิ่งเมื่อผีร้ายยกมือขึ้นรับ วลาร์ดเบิกตากว้างด้วยความตระหนกในขณะที่อีกฝ่ายเหยียดยิ้ม

“แกมันก็เป็นเหมือนกับฉัน” มันปล่อยดาบและใช้มือข้างนั้นฟาดลงไปบนใบหน้าของลูกครึ่งแวมไพร์อย่างแรง ร่างของเด็กหนุ่มถึงกับกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้และทรุดลงไปกอง

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”

เจ้าผีร้ายคำรามก่อนร่างจะหายวับไปปรากฏตรงหน้าวลาร์ด มันคว้าคอเขาและยกขึ้น

“พวกเลือดผสม” น้ำเสียงเต็มไปด้วยการดูถูกขณะกระแทกร่างของเด็กหนุ่มไปที่ต้นไม้ ผีดูดเลือดกางกรงเล็บ “อย่างแกไม่มีค่าพอจะแตะชายเสื้อฉันด้วยซ้ำ”

เล็บคมกริบฝังลงไปบนอกของลูกครึ่งแวมไพร์ เขาผวาขึ้นสุดตัวและจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาว

“แกพูดถูก” วลาร์ดคำรามพลางจ้องผีร้ายด้วยสายตาแดงก่ำ เขาแยกเขี้ยวขณะกางมือออก “ฉันไม่ควรแตะต้องพวกผีดิบ”

เจ้าผีดิบเบิกตาโพลงเมื่อเล็บคมดุจใบมีดของลูกครึ่งแวมไพร์จิกลงไปในลำคอฉีกกระชากเนื้อของมันจนขาดเป็นริ้ว มือที่ฝังบนอกของวลาร์ดคลายออกทันที

“ก...แก” มันร้องขณะสำลักไอออกมาเป็นเลือด ดวงตาจ้องลูกครึ่งแวมไพร์เขม็ง “กล้าทำแบบนี้ได้ยังไง”

“นี่มันแค่การเริ่มต้นเท่านั้น” วลาร์ดตอบเสียงเย็นพลางหมุนดาบในมือ “ของจริงมันหลังจากนี้ต่างหาก”

เด็กหนุ่มยิ้ม

“ลาก่อนท่านเคาท์”

เงาสีเงินวิ่งผ่านลำคอของผีดูดเลือดไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านเคาท์เบิกตากว้างและยังคงอ้าปากค้างขณะที่หัวหลุดร่วงออกจากตัว วลาร์ดมองร่างซึ่งกำลังยืนโอนเอนไปมาด้วยสายตาชิงชังก่อนจะหันหน้ากลับไปยังวูล์ฟซึ่งยืนรออยู่ทางด้านหลัง

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง”

“ตายแล้ว” หนุ่มหมาป่าตอบเสียงเรียบ ลูกครึ่งแวมไพร์มองหญิงสาวด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะปักดาบลงไปบนอกผ่าหัวใจสาวเคราะห์ร้ายออกเป็นสองส่วน เขาถามเสียงเรียบขณะเก็บดาบกลับเข้าฝัก

“เรียกพวกเขาหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้ว อีกสักพักคงมาถึง” วูล์ฟตอบพลางเลื่อนไปมองร่างไร้หัวของผีดิบ เขาชำเลืองมองเพื่อนอย่างเป็นห่วงแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทัน

“ฉันเป็นนักล่า” วลาร์ดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้ว

“ก็ดี” เขาหันไปมองรถตู้สีดำสองคันซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาจอด ชายที่อยู่ในรถต่างลงมาเก็บร่างผู้เสียชีวิตรวมทั้งผีดิบอย่างรวดเร็ว

“จะใช้รถขนศพพวกนี้ไปหรือ” หนุ่มหมาป่าถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาหา เขาตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“พวกเราแค่มารับไปส่งยังจุดนัดพบเท่านั้นครับ”

“จุดนัดพบ” วูล์ฟทวน “ที่ไหน”

“ลานกีฬาร้างห่างจากนี่ไปสามไมล์” วลาร์ดตอบ อีกฝ่ายหันไปมองหน้า

“นายรู้ได้ยังไง”

“มันอยู่ในรายงาน” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดก่อนจะหันไปมองคนของหน่วยซึ่งลำเลียงร่างทั้งสามขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว หนุ่มหมาป่ามองตามอย่างไม่เข้าใจนัก

“จะขนไปขนมาทำไมให้วุ่นวาย ขับรถวิ่งกลับหน่วยเลยก็หมดเรื่อง”

“เมืองนี้ห่างจากที่ตั้งหน่วยของเรามาก ทางฝ่ายชันสูตรกลัวว่ากว่าจะเดินทางไปถึงสภาพของศพอาจจะเสียหายจนไม่สามารถตรวจอะไรได้ คุณอันเดอร์ฮิลล์จึงสั่งให้เฮลิคอปเตอร์มารับ”

เจ้าหน้าที่เป็นผู้ตอบ วูล์ฟถึงกับอ้าปากค้าง

“ส่งศพไปทางอากาศ แต่นักล่าอย่างฉันต้องนั่งขดไปบนรถ” เขาเกาศีรษะจนผมยุ่ง “ทำไมไม่ให้พวกเราเดินทางแบบนี้ตั้งแต่แรก”

“มันเปลืองค่าใช้จ่าย” วลาร์ดตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย หนุ่มหมาป่าแยกเขี้ยวและพูดเสียงดัง

“องค์กรใหญ่ขนาดมีดาวเทียมเป็นของตัวเองเนี่ยนะ” เขาส่ายหน้า “ฉันจะกลับพร้อมคนพวกนั้น”

วูล์ฟพูดและทำท่าจะเดินไปยังรถคันที่บรรทุกศพแต่ลูกครึ่งแวมไพร์กลับคว้าเสื้อของเขาและลากไปที่รถอีกคัน

“นายต้องไปกับฉัน” เขาผลักหนุ่มหมาป่าเข้าไปในรถก่อนจะเดินไปนั่งที่เบาะหน้าโดยไม่สนใจเสียงบ่นของเพื่อน วลาร์ดหันไปมองเจ้าหน้าที่ประจำรถอีกคันและออกคำสั่งเมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อม

“ไปได้แล้ว”

รถทั้งสองวิ่งออกจากบริเวณนั้นทันที หลังจากวิ่งตามกันไปจนถึงทางแยก รถคันที่บรรทุกศพก็เลี้ยวไปอีกทาง ลูกครึ่งแวมไพร์มองตามด้วยความกังวลก่อนจะชำเลืองตาไปยังเบาะหลังและกระตุกยิ้มเมื่อเห็นวูล์ฟกำลังนั่งสัปหงก

“เจ้าหมาบ้า”

เขาพึมพำก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปที่ถนนและมองอาคารบ้านเรือนซึ่งกำลังเคลื่อนผ่านไปตามความเร็วของรถ

“อีกนานกว่าจะถึง ไม่พักสักหน่อยก่อนหรือครับ” คนขับพูดขึ้น วลาร์ดเหลือบตามองเขาก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“ผมไม่ง่วง”

ทั้งสองนั่งนิ่งไม่พูดอะไรต่อจากนั้น หลังจากที่วิ่งมาได้ระยะหนึ่งทั้งหมดจึงพ้นจากเขตชุมชน ลูกครึ่งแวมไพร์มองทุ่งหญ้าโล่งด้วยสายตาครุ่นคิด

“เราทำลายห้องทดลองของพวกอิลูมิเนติคไปแล้ว ผีดิบที่เจอวันนี้คงไม่ใช่คนของพวกนั้นหรอกครับ”

คนขับรถพูดขึ้น วลาร์ดหันไปมองเขา

“คุณเข้ามาทำงานนานหรือยัง”

“หลังพวกคุณถล่มโรงงานร้างจนราบ” อีกฝ่ายตอบและทำท่าคิด “ประมาณเจ็ดเดือนเห็นจะได้ อ้อผมพีท แฮมเมอร์ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับพวกคุณ”

เขายื่นมือออกมาแต่ต้องดึงกลับเมื่อลูกครึ่งแวมไพร์ทำเพียงเหลือบมองอย่างไม่สนใจ

“แค่นั้นเองหรือ” วลาร์ดพูดพลางเบนสายตามองไปนอกรถอีกครั้ง “ยังไม่รู้จักอิลูมิเนติคเลยสักนิด”

“หมายความว่ายังไงหรือครับ” แฮมเมอร์ถามและนิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายนั่งนิ่ง คำเตือนถึงนิสัยของวลาร์ดที่สมิธบอกไว้ก่อนจะออกเดินทางทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าควรสงบปากลงได้แล้ว แฮมเมอร์จึงตั้งสมาธิกลับไปที่การบังคับรถอีกครั้ง

แม้จะเป็นการวิ่งในระยะเวลาอันยาวนาน แต่เพราะผลจากกาแฟรสเข้มที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าทำให้คนที่กำลังขับรถไม่รู้สึกเหนื่อยหรือง่วงเท่าใดนัก หลายครั้งที่เขาแอบมองวลาร์ดเพราะคิดว่าเด็กหนุ่มคงจะหลับไปแล้วแต่แฮมเมอร์ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าลูกครึ่งแวมไพร์ยังคงมองทุ่งหญ้าข้างทางอยู่เช่นเดิม แต่แล้วอยู่ๆวลาร์ดก็ขยับตัวเมื่อเห็นแสงไฟจากอาคารขนาดใหญ่ซึ่งตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่ง เขาถามขึ้น

“นั่นอะไร”

“ไหนครับ” แฮมเมอร์หันไปมอง “ดูเหมือนจะเป็นโรงงาน”

“ผมดูแผนที่ก่อนออกเดินทาง ไม่เห็นมีโรงงานอะไรแถวนี้” ลูกครึ่งแวมไพร์แย้ง คนขับรีบดึงสมุดบันทึกออกมาและเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว

“เป็นโรงงานสร้างใหม่น่ะครับ ดูเหมือนจะเกี่ยวกับพวกเครื่องสำอางหรือยาอะไรทำนองนั้น”

“ตอนแรกทำไมพวกเราถึงไม่เห็น” วลาร์ดหันไปถาม แฮมเมอร์มองแสงไฟที่เปิดอย่างสว่างไสวแล้วยิ้ม

“เขาอาจจะเพิ่งเปิดก็ได้ครับ”

“เปิดทำงานกลางดึกแบบนี้น่ะหรือ”

ลูกครึ่งแวมไพร์พึมพำขณะทำท่าคิด แฮมเมอร์ชำเลืองมองเขาก่อนจะหันกลับไปยังถนนอีกครั้ง แสงไฟจากรถที่วิ่งสวนมาสว่างจ้าเสียจนเขาต้องหรี่ตาลง และเมื่อรถฝั่งตรงข้ามวิ่งผ่านไป แฮมเมอร์ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเงาของอะไรบางอย่างวิ่งตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ไฟที่สาดไปข้างหน้าทำให้ผู้อยู่บนรถเห็นร่างซึ่งกำลังยืนขวางกลางถนน ชายหนุ่มตัดสินใจหักหลบทันที

เสียงล้อครูดไปบนถนนดังลั่น รถตู้ไถลลงข้างทางและหยุดนิ่งเมื่อชนกับคันดินสูงอย่างแรง วลาร์ดสะบัดหัวสองสามครั้งและรีบหันไปมองแฮมเมอร์ซึ่งซบหน้าอยู่กับพวงมาลัยรถ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เจ็บนิดหน่อยเท่านั้นครับ” คนขับรถตอบพลางไอสองสามครั้ง เสียงสบถที่ดังมาจากหลังรถทำให้ลูกครึ่งแวมไพร์ถอนใจ

“ขับรถภาษาอะไรกัน” วูล์ฟบ่นขณะตะกายเบาะเพื่อลุก “เกิดอะไรขึ้น”

“มีใครไม่รู้วิ่งตัดหน้า” แฮมเมอร์ตอบแต่วลาร์ดกลับพูดแทรก

“ไม่ใช่ใคร แต่เป็นตัวอะไรต่างหาก” เขาหยิบดาบและเปิดประตู หนุ่มหมาป่ามองด้วยความแปลกใจ

“จะไปไหน”

“จัดการเจ้าตัวประหลาดที่กล้ามาขวางพวกเรา”

ลูกครึ่งแวมไพร์พูดและวิ่งออกไปโดยไม่รอเพื่อน หนุ่มหมาป่ารีบเลื่อนมือไปเปิดประตูและบ่นเสียงดังเมื่อพบว่ามันไม่ขยับ เสียงโลหะกระทบกันซึ่งดังมาจากถนนทำให้รู้ว่าวลาร์ดกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง วูล์ฟตัดสินใจถีบประตูรถจนพังและรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว


*/*/*/*/*



Create Date : 20 สิงหาคม 2552
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 16:25:25 น.
Counter : 501 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี