บทที่ 14 รังสยอง
บทที่ 14

รังสยอง

“น่าเบื่อ ไม่รู้หัวหน้าจะสั่งให้เรามาตรวจที่นี่ทำไมอีก”
พลตระเวนร่างท้วมบ่นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายขณะยกกระบอกไฟฉายส่องเข้าไปในห้องของตึกร้างข้างสนามบาสฯชุมชน เพื่อนที่มาด้วยกันซึ่งกำลังกวาดไฟฉายไปโดยรอบเพื่อตรวจดูอาคารด้านตรงข้ามตอบเสียงไม่ดังนัก
“ตอนนี้มีทั้งคดีฆาตกรรม ไหนจะศพที่เพิ่งเจอเมื่อวันก่อน” เขาเตะลังกระดาษไปให้พ้นทางและสบถเบาๆเมื่อมีหนูวิ่งตัดหน้า “ให้ตายเถอะในนี้สกปรกชะมัด”
“นายว่ามันจะเกี่ยวข้องกันไหม” พลตระเวนคนแรกถาม อีกฝ่ายสั่นหัว
“ฉันไม่รู้ แต่ที่แน่ๆก็คือหัวหน้าไม่ชอบที่ตอนนี้พวกเอฟบีไอเข้ามาวุ่นวายในสถานี” เขาลดเสียงลง “ได้ยินมาว่าพวกนั้นบุกเข้าไปในห้องชันสูตรและแบกศพที่เจอในตึกร้างนี้กลับไปด้วย”
“พวกเขาจะเอาไปทำไม”
“เป็นของที่ระลึกมั้ง” เพื่อนเขาตอบด้วยน้ำเสียงแดกดันแต่แล้วอยู่ๆเขาก็ชะงักและดึงแขนเพื่อน “นายได้ยินอะไรไหม”
“อะไร” พลตระเวนคนแรกถามและพยายามเงี่ยหูฟัง “ฉันไม่ได้ยินอะไรเลย นายหูฝาดไปหรือเปล่า”
เชาทำท่าจะพูดต่อแต่ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงแกรกกรากคล้ายอะไรบางอย่างถูกลากไปบนพื้น ทั้งคู่กำไฟฉายแน่นและเลื่อนมือไปแตะปืนที่เอว
“ตรงนั้น” เพื่อนของเขาพูดพร้อมกับขยับไปข้างหน้าและกราดไฟฉายไปมาแต่ต้องชะงักอีกครั้งเมื่ออยู่ๆแสงไฟในมือก็ดับวูบลง
“ทำอะไรของนาย” ตำรวจคนแรกบ่นและสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงลั่นเปรียะมาจากไฟฉายที่ตนเองถือ เขายกขึ้นมองด้วยความสงสัย “มันแตกได้ยังไง”
“คงเพราะหลอดมันร้อนจัด” เสียงเรียบเย็นดังขึ้น ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัวและหันไปมองพร้อมกัน พวกเขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำทอแสงลุกโชนอยู่ในความมืด
“นั่นใคร” พลตระเวนทั้งสองร้องถามขณะกระชับปืนในมือที่อยู่ข้างเอว ทั้งคู่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจดังมาจากดวงตาคู่นั้น
“หยุด”
ทั้งคู่ยืนตัวแข็งราวถูกสะกด วลาร์ดจ้องพวกเขาเขม็งพร้อมกับสั่ง
“เอามือออกจากปืนและเดินออกไปจากตึก จำไว้ให้ดีว่าที่นี่ไม่มีอะไร ทุกอย่างเป็นปรกติ”
ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบน่าสะพรึง พลตระเวนทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่องช้าขณะพูดทวน
“ที่นี่ไม่มีอะไร ทุกอย่างเป็นปรกติ”
“ดีมาก ไปได้”
พลตระเวนทั้งสองนายหมุนตัวและเดินออกไปจากที่นั่น วลาร์ดมองตามจนแน่ใจว่าพวกเขาพ้นไปจากตึกจึงหันหน้าไปทางวูล์ฟซึ่งกำลังยืนกอดอก เด็กหนุ่มบ่นพึมพำ
“เจ้าตัวซุ่มซ่าม”
“ใครจะไปรู้ว่ามีถุงขยะวางอยู่ตรงนี้” หนุ่มหมาป่าเถียง “แต่ไม่คิดเลยนะว่านายจะทำแบบนั้นได้”
“แบบไหน” ลูกครึ่งแวมไพร์ถามเสียงห้วนขณะไล่สายตาสำรวจทั่วห้องอย่างระวัง อีกฝ่ายยิ้มกวน
“สะกดจิตคน”
วลาร์ดเหลือบตามองเพื่อน เขาพูดเสียงกระด้าง
“ฉันเองก็เพิ่งรู้”
“หมายความว่ายังไง” หนุ่มหมาป่าถามพลางก้าวข้ามกองกระดาษที่ตั้งขวางทาง “นายโผล่ไปให้ตำรวจเห็นทั้งที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังแบบนี้เรอะ”
“อย่างน้อยก็เคยทำให้คนตัวแข็งได้” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงเรียบเรื่อยอย่างไม่สนใจ อีกฝ่ายอ้าปากค้างก่อนจะบ่นออกมา
“เจ้าซีดผีดิบ ทำอะไรไม่รู้จักคิดบ้างเลย”
“ก็ยังดีกว่าพวกหมาบ้าที่ไม่รู้จักระมัดระวัง” วลาร์ดโต้ก่อนจะเดินไปที่บันไดเพื่อขึ้นไปชั้นบน วูล์ฟรีบเดินตาม
“นายคิดว่ารังของพวกการ์กอยล์อยู่บนชั้นสองหรือไง”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงป่านนี้พวกตำรวจคงเจอไปแล้ว” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ฉันขึ้นมาเพราะเผื่อจะเจอร่องรอยอะไรบ้างเท่านั้น”
“ไม่เห็นจะมีอะไร”
“นายมีจมูกไว้ทำไมกัน” วลาร์ดย้อนถาม วูล์ฟทำตาโต
“เพิ่งรู้ว่าแวมไพร์ก็ใช้จมูกดมหาของ”
“ฉันใช้การสังเกตต่างหากเจ้าบ้า” อีกฝ่ายพูดอย่างเหลืออดและชี้ไปที่พื้นซึ่งมีเศษขยะเกลื่อน “เห็นนั่นไหม”
“อะไร”
“รอยเล็บ จากรอยกดและขนาดฉันคิดว่ามันน่าจะมาจากเจ้าการ์กอยล์ที่เราเจอเมื่อตอนเย็น” ลูกครึ่งแวมไพร์อธิบายพร้อมกับไล่สายตามองไปบนเพดาน “ปิศาจพวกนี้ชอบอยู่ตามที่สูง ฉันคิดว่ารังของพวกมันน่าจะอยู่บนนั้น”
“ถ้ามีห้องใต้หลังคา ตำรวจก็น่าจะเจออีกอย่างถ้าศพทั้งหมดอยู่บนนั้นจริงเพดานก็ไม่น่าจะรับน้ำหนักไหว”
“แต่ถ้ามีเฉพาะส่วนหัวล่ะ” วลาร์ดถามขณะพยายามมองหารอยต่อของช่องที่พอจะใช้เป็นทางเข้าหนุ่มหมาป่าทำหน้าเหมือนคิดได้
“นั่นสินะทำไมฉันถึงลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงแล้วส่วนลำตัวของศพล่ะ หายไปไหน”
“ฉันไม่สนใจเรื่องนั้น” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบพลางลดสายตาลง “หยุดพูดและช่วยกันหาได้แล้ว”
วูล์ฟเลิกคิ้วและแอบยิ้มเหมือนดีใจที่สามารถยั่วโทสะเพื่อนได้สำเร็จ เขาเงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจสองสามครั้ง
“มันอยู่ที่นี่”
“แน่ใจนะ” วลาร์ดถาม หนุ่มหมาป่าพยักหน้า
“ฉันแน่ใจ กลิ่นแย่ๆแบบนั้นเจอครั้งเดียวก็จำได้แล้ว”
เขาพูดพร้อมกับกวาดตามองและหยุดตรงมุมห้องทางด้านหลัง
“พวกมันอยู่ตรงนี้ ถึงกลิ่นไม่แรงนักแต่ฉันแน่ใจว่าพวกมันต้องอยู่บนนี้แน่” เขาชะงักและนิ่วหน้า ลูกครึ่งแวมไพร์มองด้วยความแปลกใจ
“มีอะไร”
“ฉันได้กลิ่นอะไรบางอย่างปนอยู่ด้วย” วูล์ฟทำท่าคิดและเบิกตากว้าง “สาบเสือ!”
“ว่าไงนะ” วลาร์ดพูดเสียงดัง เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานในทันที “หรือว่า...”
เด็กหนุ่มก้าวถอยหลังและพยายามมองหาทางขึ้น เขาเลื่อนมือไปแตะที่เอวด้วยความเคยชินและขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังอยู่นอกเครื่องแบบ วลาร์ดกำมือแน่น
“หาทางขึ้นให้เจอวูล์ฟก่อนที่เจ้านั่นจะทำลายหลักฐานทุกอย่างจนหมด”เขาร้องบอกเพื่อนอย่างร้อนใจ
“ฉันกำลังหาอยู่” หนุ่มหมาป่าตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรนไม่แพ้กัน เขาลดสายตาลงและมองไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ตั้งกลางห้อง “วลาร์ด”
“รู้แล้ว” ลูกครึ่งแวมไพร์ก้าวไปที่ตู้ใบนั้นทันที วูล์ฟผลักเต็มแรงแต่มันกลับไม่ขยับเขยื้อน วลาร์ดนิ่วหน้า
“อาจมีกลไก” เขาเปิดตู้ออกและมองดูเสื้อผ้าที่แขวนจนแน่น “อยู่ที่ไหน”
“ข้างล่าง ตรงที่เก็บรองเท้า” หนุ่มหมาป่าพูดพร้อมกับรื้อกล่องกระดาษที่วางซ้อนกันออกมา “ฉันได้กลิ่นของมันจากตรงนี้”
เขาชี้ไปที่รอยแตกตรงมุมตู้ วลาร์ดเพ่งสายตามองอยู่ชั่วอึดใจ
“มีสลักเล็กๆอยู่ข้างในรอยแตกนั่น เราต้องหาอะไรมากด” เขาพูดพลางกวาดตามองหาของที่มีขนาดพอจะสอดเข้าไปในรอยแตกนั้นได้ “ให้ตายสิถ้าตอนนี้ฉันมีดาบอยู่ล่ะก็”
เด็กหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและดึงมีดพกขนาดเล็กออกมา
“ซีเกียน” ลูกครึ่งแวมไพร์พึมพำก่อนจะใช้ปลายมีดสอดเข้าไปในร่องและกดสลักที่อยู่ด้านใน ตู้ทั้งใบสั่นเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนไปด้านข้าง วูล์ฟมองช่องขนาดพอดีตัวที่ซ่อนอยู่ด้านหลังด้วยสายตาดีใจ
“ไปกันเถอะ”
“เดี๋ยววูล์ฟ” วลาร์ดร้องห้ามแต่ไม่ทันเพราะอีกฝ่ายวิ่งเข้าไปในช่องทางเข้าเสียแล้ว “ให้ตายเถอะเจ้าหมาบ้า”
ลูกครึ่งแวมไพร์บ่นก่อนจะรีบตามเพื่อนไปด้วยความเป็นห่วง ทันทีที่ก้าวถึงชั้นบน วลาร์ดก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อได้กลิ่นเหม็นคาวจัดรุนแรง เด็กหนุ่มก้าวขึ้นไปยืนบนห้องใต้หลังคาอย่างะมัดระวัง
“วูล์ฟ”
“ฉันอยู่นี่” เสียงหนุ่มหมาป่าดังไม่ห่างจากตัวเขานัก วลาร์ดทำท่าจะก้าวไปหาเขาแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นดวงตาสีทองทอประกายอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง
“เจอกันอีกแล้วนะเจ้าหนูผีดิบ” เสียงแหบต่ำเอ่ยทัก ลูกครึ่งแวมไพร์ขยับตัวอย่างระวัง อีกฝ่ายหัวเราะ
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันฆ่าเฉพาะพวกโฟริด”
“แกมาที่นี่ทำไม” วลาร์ดถามเสียงห้วน เขากำมีดในมือแน่นเมื่อชายคนนั้นตอบ
“ฆ่าโฟริด”
“เพื่ออะไร”
“กำจัดเจ้าพวกปิศาจ” อีกฝ่ายตอบเสียงต่ำพลางขยับตัวหลบไปด้านข้าง ลูกครึ่งแวมไพร์หรี่ตาลงมื่อเห็นหัวคนที่ถูกผ่าเป็นสองซีกกองสุมกันอยู่ราวเจ็ดหรือแปดหัว วูล์ฟมองเมือกเหนียวข้นที่กำลังไหลเยิ้มไปทั่วบริเวณส่งกลิ่นเหม็นคาวจัดรุนแรงจนเขาสำลัก
“เหม็นเป็นบ้า” หนุ่มหมาป่าบ่นและจ้องซากหัวแห้งสองอันตรงมุมห้อง เสียงคำรามดังมาจากผู้ที่กำลังยืนประจันหน้า
“มีสองตัวที่ฟักออกมา” ร่างนั้นพูด วลาร์ดจ้องเขาเขม็ง
“พวกมันถูกจัดการไปแล้ว”
“ฉันรู้” ชายผู้นั้นพูดพลางสอดมีดกลับเข้าฝักและเดินตรงไปยังช่องทางที่วลาร์ดและวูล์ฟเข้ามา ทั้งคู่รีบขยับไปยืนขวางทันที
“หลีก” เขาพูดเสียงห้วนแต่หนุ่มหมาป่าส่ายหน้า
“ไม่”
“ฉันไม่อยากทำร้ายพวกแก” อีกฝ่ายพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อจะผลักวูล์ฟให้พ้นทางแต่หนุ่มหมาป่าคว้าข้อมือของเขาไว้และบีบแน่น
“จะรีบไปไหน เรายังคุยกันไม่จบ”
“ปล่อย เจ้ามนุษย์หมาป่า” ชายผู้นั้นพูดเสียงกระด้าง วูล์ฟจ้องเขาด้วยดวงตาที่ดุดัน
“ล้มฉันให้ได้ก่อน”
“ตกลง” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงคำราม เขาหมุนข้อมือตัวเองคว้าข้อมือของหนุ่มหมาป่าและบิดอย่างแรง วูล์ฟนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดจนต้องคลายมือออก วลาร์ดขยับจะเข้าไปช่วยแต่ต้องชะงักและเบิกตากว้างเมื่อชายคนนั้นคว้าคอของหนุ่มหมาป่าเหวี่ยงข้ามห้องไปกระแทกกับผนังอีกด้าน เขาร้องเรียกเพื่อนด้วยความตกใจ
“วูล์ฟ”
“ฉันไม่เป็นไร” วูล์ฟตอบขณะดันตัวลุกขึ้น เขาจ้องผู้ที่กำลังยืนอยู่ที่ช่องทางออกด้วยสายตาโกรธจัด “แกทำฉันเจ็บมากไอ้คนครึ่งเสือ”
“กีพาร์ด” เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้น “แกชื่อวูล์ฟใช่ไหมเจ้ามนุษย์หมาป่า”
“ใช่”
“ส่วนเจ้าหนูผีดิบนี่คงเป็นวลาร์ด” เขาหันไปมองลูกครึ่งแวมไพร์ เด็กหนุ่มจ้องกลับมาด้วยความแปลกใจ
“แกรู้จักพวกเรา”
“แค่เคยได้ยิน” กีพาร์ดพูดพร้อมกับหมุนตัว “ฉันต้องขอตัว ลาก่อนเจ้าหนูนักล่าแห่งรัตติกาล”
ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไปที่ช่องทางออกอย่างรวดเร็ว วลาร์ดรีบพุ่งตัวตามและทันเห็นชายเสื้อคลุมรุ่มร่ามที่กำลังกระโดดออกทางหน้าต่าง เขากระโจนตามไปทันที
“วลาร์ด” วูล์ฟซึ่งวิ่งตามมาร้องเรียกและสบถเมื่อพบว่าทั้งคู่หายไปจากสายตา เขารีบลงไปยังชั้นล่างและตรงไปหาเทเลอร์ซึ่งกำลังยืนรออยู่ที่รถกับสมิธ ทั้งสองมองหนุ่มหมาป่าด้วยความแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้น แล้ววลาร์ดหายไปไหน” เทเลอร์ถาม วูล์ฟรีบพูด
“เราเจอเจ้าฆาตกรที่ตึกนั่น มันกำลังทำลายตัวอ่อนของการ์กอยล์อยู่”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” เทเลอร์ถามอย่างเร็ว หนุ่มหมาป่าขบกราม
“หนีไปได้ วลาร์ดกำลังไล่ตาม” เขากำหมัดแน่นและหมุนตัว สมิธเรียกเขา
“จะไปไหนวูล์ฟ”
“ไปช่วยวลาร์ด เจ้าฆาตกรนั่นไม่ใช่คนธรรมดา ผมมั่นใจว่ามันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวก
อิลูมิเนติค”
“เธอรู้ได้ยังไง” เทเลอร์ถาม หนุ่มหมาป่าหันมาตอบเสียงเครียด
“เจ้านั่นรู้จักชื่อของพวกเรา และรู้ด้วยว่าเราสองคนเป็นใคร”
เขาจ้องหน้าชายสูงวัยก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางสมิธ วูล์ฟขบกรามแน่นก่อนจะหมุนตัวและวิ่งออกไป

*/*/*/*/*/*
















Create Date : 30 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2552 12:23:55 น.
Counter : 309 Pageviews.

0 comment
บทที่ 13 บุคคลที่สูญหาย
บทที่ 13

บุคคลที่สูญหาย

สีหน้าของเทเลอร์เต็มไปด้วยความยุ่งยากขณะวางเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะ เขาหันไปทางแอชเชอร์ซึ่งละสายตาจากรายงานและกำลังมองมาด้วยความสงสัย อันเดอร์ฮิลล์วางซองหลักฐานและถาม

“เกิดอะไรขึ้น”

“เด็กที่พบศพในตึกร้างถูกการ์กอยล์โจมตีครับ”

“การ์กอยล์” อันเดอร์ฮิลล์ทวนคำ “มันเป็นปิศาจที่คอยก่อกวนมนุษย์ในเวลากลางคืน และไม่เคยมีใครเห็นมากว่าสองร้อยปีแล้ว หรือว่าพวกอิลูมิเนติคสร้างพวกมันขึ้นมา”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงสมมติฐานของเราก็น่าจะถูกต้อง” แอชเชอร์พูดอย่างเคร่งขรึมและหันกลับไปที่เทเลอร์ “มีใครได้รับอันตรายบ้างไหม”

“ไม่มีครับ พวกมันถูกวลาร์ดกับวูล์ฟจัดการก่อนจะทันเข้าถึงตัวเด็ก” ผู้ใต้บังคับบัญชารายงาน “ที่แปลกก็คือพอถูกกำจัด ศพของพวกมันก็สลายไปทันที”

“สลายไป...ยังไง” แอชเชอร์ถามด้วยความแปลกใจ เทเลอร์รีบอธิบาย

“วอลเตอร์บอกว่าร่างของพวกมันถูกย่อยกลายเป็นของเหลวคล้ายเมือกจนดูไม่ออกว่าเคยเป็นตัวอะไรมาก่อน”

“เหมือนกรณีของมนุษย์จิ้งเหลนที่วลาร์ดเคยเจอ” อันเดอร์ฮิลล์พูดและค้นแฟ้มดึงรายงานเมื่อหกเดือนก่อนส่งให้แอชเชอร์ ผู้นำองค์กรนิ่วหน้า

“เป็นลักษณะการทำลายตัวเองที่เหมือนกันจริงๆ” เขาเอนตัวพิงเก้าอี้และขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “หรือนี่จะเป็นผลพวงจากการทดลองของพวกมัน”

“และอาจจะเป็นผลงานของบุคคลคนเดียวกัน เพราะมีแต่เขาเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้”

อันเดอร์ฮิลล์พูดด้วยสีหน้าหวาดหวั่น แอชเชอร์กัดกรามแน่น

“เรายังสรุปอะไรไม่ได้จนกว่าจะมีข้อมูลที่แน่ชัดกว่านี้” เขาพูดเสียงเรียบและเงยหน้ามองเทเลอร์ “รีบกลับไปที่นั่นและสืบค้นทุกอย่างให้มากที่สุด นอกจากคดีฆาตกรรมแล้วผมอยากให้ตรวจสอบเรื่องบุคคลสูญหายด้วย”

“ทำไมครับ ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเรากำลังสืบอยู่”

“แต่ผมไม่คิดแบบนั้น” แอชเชอร์วางมือบนแฟ้มรายงานศพในตึกร้างและสั่งเสียงเข้ม “กรุณาทำตามที่แนะนำ ผมจะส่งหน่วยพิเศษไปประจำที่จุดนัดพบนอกเมือง หากมีเหยื่อหรือผู้เคราะห์ร้ายเกิดขึ้นอีกให้แจ้งโดยเร็วและพาพวกเขาออกมาก่อนตำรวจหรือเอฟบีไอจะไปถึง”

“ครับ” เทเลอร์ค้อมตัวลงเล็กน้อยขณะรับคำสั่งและหันไปก้มศีรษะให้อันเดอร์ฮิลล์ก่อนจะเดินจากไป แอชเชอร์มองตามด้วยสายตากังวล

“ผมเกรงว่าการไปสืบคดีของหน่วยนักล่าในครั้งนี้จะไม่เป็นความลับ”

“จะเป็นไปได้ยังไงกันครับในเมื่อท่านผู้หญิงเองยังไม่รู้เรื่องนี้”

“แต่บางคนในส่วนกลางรู้” แอชเชอร์ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “และเมื่อเขารู้การ์ดเนอร์ก็ต้องรู้ด้วย”

ผู้นำองค์กรถอนใจ

“ตอนนี้ควรระวังหน่วยนักล่าเอาไว้ให้ดี ผมสังหรณ์ใจว่าอิลูมิเนติคต้องทำทุกอย่างเพื่อทำลายหน่วยของคุณ”


*/*/*/*/*

รถสีดำสนิทวิ่งออกจากลานกีฬาร้างอันเป็นที่ตั้งลับขององค์กร เทเลอร์นั่งมองแสงไฟจากถนนที่กำลังเคลื่อนผ่านไปด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด บรุคส์เหลือบตามองเขาด้วยความกังวล แม้จะรู้ดีว่าหัวหน้าของตนกำลังหนักใจเรื่องใดแต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรออกมา จนกระทั่งรถของพวกเขาวิ่งไปจอดในตรอกข้างอาคารซึ่งเป็นที่พัก เทเลอร์จึงพูดขึ้น

“ช่วยรวมเอกสารทั้งหมดไปวางไว้ที่ห้องโถงใหญ่ ผมมีธุระจะต้องรีบจัดการ”

“ครับ” บรุคส์รับคำ เขาหยิบกระเป๋าใส่เอกสารออกมาจากรถและเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เปิดประตู บรุคส์ก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นวลาร์ดกับวูล์ฟรวมทั้งสมิธและวอลเตอร์กำลังนั่งหารือกันอย่างเคร่งเครียด

“ทำไมพวกคุณถึงยังนั่งอยู่ในนี้” เขาถามขณะวางกระเป๋าเอกสารไว้บนโต๊ะในตำแหน่งที่
เทเลอร์นั่งประจำ วูล์ฟตอบด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังมากกว่าทุกครั้ง

“ผมนอนไม่หลับ”

“ทุกคนเลยอย่างนั้นหรือ” บรุคส์มองหน้าพวกเขา ทั้งหมดพยักหน้ารับยกเว้นวลาร์ดที่ยังคงนั่งนิ่ง

“คุณเทเลอร์ล่ะครับ” ลูกครึ่งแวมไพร์ถาม บรุคส์เตรียมจะตอบแต่ต้องชะงักเมื่อเสียง
เทเลอร์ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ฉันอยู่นี่”

เขาก้าวเข้าไปในห้องและกวาดตามองทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ผมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นแล้ว” เทเลอร์พูดหลังจากนั่งประจำที่และเปิดกระเป๋าดึงแฟ้มรายงานออกมา “คุณแอชเชอร์เป็นกังวลมาก ท่านต้องการให้เราคลี่คลายคดีนี้โดยเร็วที่สุด”

“แต่เราแทบไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม” วอลเตอร์พูด “แถมศพที่พบเมื่อวานยังทำให้ตำรวจเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราตามสถานที่ต่างๆมากยิ่งขึ้น”

“ทางองค์กรเข้าใจในข้อนั้นดี คุณแอชเชอร์จึงสั่งให้สืบเรื่องคดีคนหายที่เกิดขึ้นในเมืองนี้เพิ่มขึ้นด้วย”

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมจัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ” สมิธพูดพร้อมกับเลื่อนแฟ้มที่อยู่ตรงหน้าส่งให้เทเลอร์ อีกฝ่ายมองด้วยความแปลกใจ

“คุณรู้ได้ยังไง”

“ผมไม่รู้” สมิธตอบก่อนจะหันไปมองลูกครึ่งแวมไพร์ “วลาร์ดเป็นคนบอกให้ผมไปหาข้อมูลเหล่านี้มา”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” เทเลอร์ถามขณะเปิดแฟ้มอ่าน วลาร์ดตอบเสียงเรียบ

“หลังจากพบศพในตึกร้าง จากการตรวจสอบไม่มีใครรู้จักหรือจำศพนั่นได้เลย มันทำให้ผมคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในกลุ่มคดีคนหาย”

“ย้อนหลังไปนานแค่ไหน” เทเลอร์ถามทั้งที่สายตายังคงไล่อ่านรายงาน ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ

“แปดเดือน” น้ำเสียงราบเรียบจนอีกฝ่ายเงยหน้า

“ทำไมถึงเลือกช่วงเวลานี้”

“ผมให้คุณสมิธลองสืบค้นดู พบว่าสถิติก่อนหน้านั้นต่ำมาก เฉลี่ยประมาณสองคนต่อหนึ่งปีแต่หลังจากถล่มห้องทดลองของอิลูมิติค สถิติคนหายกลับพุ่งสูงขึ้น ในช่วงเวลาแปดเดือนมีคนหายตัวไปถึงสิบคน”

“และถ้าสมมติฐานในเรื่องโฟริดเป็นความจริง ตอนนี้มีการ์กอยล์เหลืออีกแปดตัว”

เทเลอร์พูดด้วยสีหน้าหนักใจ วอลเตอร์ทำหน้างงก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ผมไม่เข้าใจ การ์กอยล์จะไปเกี่ยวกับคดีคนหายได้ยังไงกัน”

“คุณรู้จักวิธีการขยายพันธุ์ของแมลงวันโฟริดไหม” เทเลอร์ถามและอธิบายต่อเมื่อเห็น
วอลเตอร์ส่ายหน้า

“โฟริดจะวางไข่ในร่างของแมลงตัวอื่น และเมื่อเติบโตในระยะหนึ่งมันจะเคลื่อนไปอาศัยที่ส่วนหัวและดูดของเหลวของเจ้าของร่างจนกระทั่งโตเต็มวัยจึงเจาะออกมา”

“ฟังแล้วสยองชะมัด” วูล์ฟแทรกขึ้นมาและทำหน้าเจื่อนเมื่อเห็นสายตาเทเลอร์ วอลเตอร์นั่งขมวดคิ้ว

“หมายความว่าตอนนี้พวกอิลูมิเนติคใช้แมลงวันโฟริดฝังตัวอ่อนการ์กอยล์ลงไปบนตัวมนุษย์อย่างนั้นหรือครับ”

“เขาใช้วิธีการเดียวกันต่างหาก” วลาร์ดพูดขึ้น “ถ้าสมมติฐานที่พวกเราตั้งไว้เป็นความจริง คนพวกนั้นกำลังสร้างปิศาจจากร่างของมนุษย์”

ทั้งห้องเงียบลงในทันใด สีหน้าของวอลเตอร์และบรุคส์ฉายแววตระหนกออกมาในขณะที่เทเลอร์ยังคงสงบนิ่ง หนุ่มหมาป่ามองหน้าเพื่อน

“ถ้าเจ้าคนชั่วพวกนั้นไม่ได้ใช้แมลงวันในการแพร่เชื้อ แล้วทำไมนายถึงได้เรียกว่าโฟริด”

“ฉันไม่ได้เรียก เจ้าฆาตกรนั่นต่างหาก” ลูกครึ่งแวมไพร์แย้ง “นายรู้จักวิธีการแพร่พันธุ์ของแมลงวันโฟริดไหม”

เขาถามและมองหน้าวูล์ฟ อีกฝ่ายสั่นหน้า

“โฟริดจะใช้วิธีบินตามเหยื่อและยิงไข่เข้าไปในช่องท้องอย่างแรงทำให้แมลงเคราะห์ร้ายตัวนั้นกลายเป็นอัมพาต มันจะมีชีวิตอยู่ในสภาพนั้นปล่อยให้ตัวอ่อนดูดกินของเหลวจากร่างอาศัยจนกระทั่งเติบโตขึ้นอีกระยะหนึ่งจากนั้นตัวอ่อนก็จะเคลื่อนย้ายไปยังส่วนหัวและอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปอีกสักพัก ถึงตอนนี้ร่างอาศัยได้ตายไปเรียบร้อยแล้วและหัวของมันก็จะหลุดออกจากลำตัวเพราะถูกตัวอ่อนแมลงวันดูดของเหลวไปจนหมด จากนั้นแมลงวันโฟริดที่โตเต็มวัยก็จะเจาะหัวของร่างอาศัยออกมา”

“ฟังคล้ายกับอาการของเหยื่อทั้งหมดก่อนถูกฆาตกรรม” สมิธพูดเสียงเรียบ เทเลอร์พยักหน้า เขาเลื่อนสายตามองแฟ้มคดีคนหายอีกครั้ง

“ดูเหมือนเจ้าฆาตกรนั่นกำลังไล่ล่าคนที่ถูกฝังไข่ไว้ในร่าง ส่วนคนพวกนี้” เขาเคาะมือบนแฟ้มรายงานการพบหัวคนในตึกร้าง “อาจจะเป็นพวกที่หลุดรอดสายตาจนตัวอ่อนเติบโตและพัฒนากลายเป็นการ์กอยล์”

“แต่นั่นยังเป็นเพียงข้อสมมติฐานเท่านั้นไม่ใช่หรือครับ เรายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าปิศาจพวกนั้นถูกสร้างมาด้วยวิธีที่วลาร์ดอธิบาย” สมิธพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อีกฝ่ายนิ่วหน้า

“ผมถึงต้องรีบกลับมา” เทเลอร์พูดเสียงเข้ม เขาหันหน้าไปทางวลาร์ดและวูล์ฟ “การ์กอยล์เป็นปิศาจหวงถิ่น การที่พวกมันโจมตีเด็กสองคนนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

“หมายความว่ายังไงหรือครับ”

วูล์ฟถามด้วยความสงสัย แต่วลาร์ดกลับเป็นฝ่ายตอบ

“มันโกรธที่ถูกรบกวน ตึกนั้นเป็นรังของพวกมัน” เขาหันไปทางเทเลอร์ “จะให้เราสองคนไปตรวจที่นั่นเมื่อไหร่ครับ”

ชายสูงวัยนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเรียบ

“คืนนี้”



Create Date : 30 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2552 12:22:58 น.
Counter : 295 Pageviews.

0 comment
บทที่ 12 การ์กอยล์
บทที่ 12

การ์กอยล์

วลาร์ดนั่งมองซากแห้งที่วูล์ฟเก็บมาจากศพในตึกร้างอย่างพิจารณาและเอ่ยถามหนุ่ม
หมาป่าทั้งที่สายตายังคงจ้องสิ่งที่อยู่ในมือ
“นอกจากของที่นายเก็บมาแล้วมีอย่างอื่นอีกไหม”
“ฉันไม่ทันได้ดู” วูล์ฟตอบ “แต่เท่าที่ได้กลิ่นก็น่าจะมีส่วนอื่นอยู่แถวนั้น”
“ทำไมไม่ค้น” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ อีกฝ่ายขมวดคิ้วพร้อมกับตอบอย่างนึกฉุน
“พวกตำรวจกำลังมา ฉันไม่มีเวลามานั่งคุ้ยหาของให้นายหรอก”
“ไม่ได้เรื่อง” วลาร์ดพึมพำ หนุ่มหมาป่ามองเขาและทำท่าจะเถียงแต่เทเลอร์ยกมือห้าม เขาหันไปมองลูกครึ่งแวมไพร์
“พอจะดูออกไหมว่ามันคืออะไร”
“อย่างที่เจ้าหมาบ้านั่นบอก มันเป็นชิ้นส่วนของหัวมนุษย์”
“แน่ใจหรือวลาร์ด เธอแค่ตรวจดูด้วยตาเท่านั้น” ผู้อาวุโสกว่าพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม วลาร์ดหันไปมองเขา
“ถึงมันจะแห้งจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม แต่ลักษณะแบบนี้เป็นหัวคนอย่างแน่นอน” เขาเลื่อนซองเก็บหลักฐานส่งให้อีกฝ่าย “เพราะไม่ได้มีแค่ส่วนหนังเท่านั้น มันยังมีส่วนที่เป็นกะโหลกติดมาด้วย”
“หมายความว่ามันเป็นชิ้นส่วนที่ครบสมบูรณ์” เทเลอร์พูดขณะยกซองขึ้นพิจารณา “แต่ทำไมมันถึงได้แห้งสนิทได้ขนาดนี้”
“ตอนนี้ผมยังบอกอะไรไม่ได้มาก” ลูกครึ่งแวมไพร์พูด “จนกว่าจะนำมันกลับไปตรวจสอบที่ห้องทดลองอย่างละเอียดอีกครั้ง”
เขาหันไปทางวูล์ฟ
“สภาพของมันเป็นยังไง”
“ฉันไม่ทันได้ดู กว่าจะรู้ดาร์เรลก็เหยียบจนแหลกไปแล้ว” หนุ่มหมาป่าตอบ “แต่เท่าที่เห็นมันเป็นหัวคนแน่ เพียงแต่แห้งเหมือนถูกดูดน้ำไปจนหมด”
“อย่างนั้นหรือ” วลาร์ดทำท่าคิด “นายแน่ใจนะว่าส่วนลำตัวไม่ได้อยู่แถวนั้น”
“มันอาจจะอยู่ในห้องแต่ไม่ใกล้กับหัวแน่” วูล์ฟพูด “ตอนเห็นครั้งแรกฉันนึกถึงเรื่องโฟริดที่นายพูดเลยแอบเก็บชิ้นส่วนพวกนี้กลับมา”
“ก็ยังดีแต่มันน้อยเกินไป ฉันอยากเห็นส่วนที่เหลือของศพ” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดและหันไปทางเทเลอร์ “ให้ผมไปที่นั่นได้ไหมครับ”
“ป่านนี้พวกตำรวจคงขนทุกอย่างไปไว้ที่หน่วยนิติเวชแล้ว” เทเลอร์ตอบ “จากนั้นเอฟบีไอคงย้ายไปที่ส่วนกลาง”
“ผมน่าจะอยู่ที่นั่นด้วย” วลาร์ดบ่นพึมพำ หนุ่มหมาป่าชำเลืองตามองเพื่อนและพูดเสียงไม่ดังนัก
“ถ้านายอยู่ที่นั่นป่านนี้ฉันคงได้พาคนในหน่วยไปเยี่ยมหน้าห้องขัง”
“วูล์ฟ” เทเลอร์ปรามเสียงดุ วูล์ฟยิ้มกวนก่อนจะแกล้งหันหน้าหนีไปด้านอื่น สมิธส่ายหน้าด้วยความระอาในขณะที่วอลเตอร์และบรุคส์อมยิ้ม
“แล้วจะทำยังไงต่อไปกันดีครับ เราสืบหาข้อมูลของเหยื่อทั้งหมดแล้วแต่ไม่ได้อะไรคืบหน้าเลยสักนิด” สมิธถาม เทเลอร์เคาะโต๊ะเบาๆอย่างใช้ความคิด
“ถ้าศพที่วูล์ฟพบในวันนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราคิด มันอาจเกี่ยวข้องกับฆาตกร ฉันคิดว่าเจ้านั่นคงเคลื่อนไหวอีกแน่”
“คุณหมายความว่าเราต้องรอจนกว่าจะมีผู้เคราะห์ร้าย” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เทเลอร์มองเขาพร้อมกับตอบเสียงเรียบ
“ใช่” เขาถอนใจ “ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบใจนัก แต่มันไม่มีทางเลือกอื่น” เทเลอร์เว้นระยะคำพูดเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางวูล์ฟ
“ฉันอยากให้เธอคอยจับตามองเพื่อนใหม่ทั้งสองนั่นเอาไว้”
“ทำไมครับ หรือคุณสงสัยว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับคนร้าย” หนุ่มหมาป่าถาม เทเลอร์ส่ายหน้า
“ฉันกลัวว่าเขาจะตกเป็นเป้าของฆาตกรต่างหาก อย่าลืมว่าทั้งสองคนนั่นเป็นคนเจอศพ” เขาพูดอย่างเคร่งขรึมขณะมองวูล์ฟและเลื่อนสายตาไปทางวลาร์ด “พรุ่งนี้เธอไม่ต้องออกไปหาข้อมูล แต่ให้ตามวูล์ฟไปที่สนามบาสฯชุมชน”
เขายกมือห้ามเมื่อเห็นลูกครึ่งแวมไพร์ทำท่าจะแย้ง
“ถ้านี่เป็นผลงานของอิลูมิเนติค การพบศพในวันนี้อาจทำให้เด็กทั้งสองคนนั่นตกอยู่ในอันตราย”

*/*/*/*

แสงไฟสว่างจ้าเหนือศีรษะของชายในเสื้อคลุมสีฟ้าหม่นซึ่งกำลังคร่ำเคร่งกับการตรวจซากแห้งกรังบนเตียงโลหะ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพิศวงระคนแปลกใจขณะมองเศษที่แตกเป็นชิ้นของส่วนที่คาดว่าจะเป็นหัวของศพ ความดันอากาศภายในห้องชันสูตรที่กำลังเปลี่ยนแปลงทำให้เขารู้ว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามา แพทย์ชันสูตรเหลือบตามองชายคนหนึ่งซึ่งหยุดยืนอยู่ข้างเตียง
“ได้เรื่องอะไรบ้างหมอ” นักสืบเครนถามเสียงดังตามนิสัย แพทย์ชันสูตรชี้ไปที่ส่วนอกซึ่งมีรอยผ่าเป็นทางยาวไปจนถึงช่องท้อง
“บอกยาก” เขาหันไปหยิบชามรูปไตซึ่งมีอวัยวะภายในชิ้นหนึ่งวางอยู่ “อย่างที่เห็นทุกอย่างมีสภาพแห้งเหมือนถูกดูดของเหลวออกไปจนหมด ตอนแรกผมพยายามตรวจหารอยเข็มเพราะคิดว่าน่าจะเป็นการกระทำของพวกจิตผิดปรกติแต่ก็ไม่พบอะไรเลย”
เขาส่งชามใบนั้นให้เครน อีกฝ่ายรับไปดูอย่างพิจารณา
“แล้วที่คอของเขาล่ะ มันบอกหรือเปล่าว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นผีหัวขาด”
“นั่นเป็นเรื่องที่ผมงงมาก” แพทย์ชันสูตรตอบพลางเลื่อนแว่นขยายไปที่ส่วนลำคอ “บาดแผลมันเรียบร้อยมาก ไม่มีทั้งร่องรอยของการตัด เลื่อย หรืออะไรเลยสักอย่างคล้ายกับว่าหัวของเขาหลุดออกจากลำตัวไปเอง”
“หมอกำลังจะบอกผมว่าหัวของเหยื่อนิรนามรายนี้หลุดออกไปเหมือนผลไม้สุกที่หลุดจากขั้วอย่างนั้นหรือ”
นักสืบเครนถามด้วยสีหน้าที่ดูเหลือเชื่อ อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
“นั่นยังไม่แปลกเท่าส่วนหัวของเขา มันมีสภาพที่แปลกมาก” เขาหยิบเศษกะโหลกชิ้นหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “สังเกตเห็นไหมว่ามันมีทุกอย่างครบถ้วนทั้งหนังศีรษะ กะโหลกหรือแม้แต่รากผม แต่ทั้งหมดแห้งกรอบเหมือนคราบดักแด้ของผีเสื้อหรือหนอนแมลงวัน”
“นั่นมันแปลกเกินไปแล้ว” นักสืบพูด “หมอพูดจนผมนึกว่ากำลังอยู่ในหนังเขย่าขวัญ”
เขาวางชามรูปไตลง
“บอกได้ไหมว่าเขาตายมากี่วัน”
“บอกยาก” แพทย์ชันสูตรตอบด้วยสีหน้าหนักใจ “เพราะศพแห้งมากแถมไม่มีไข่ของแมลงพอที่จะใช้คะเนเวลาได้เลย แต่จากประสบการณ์ของผม คาดว่าเขาน่าจะตายมาประมาณแล้วหนึ่งเดือน”
“หนึ่งเดือน” เครนทวนคำขณะบันทึกลงไปในสมุดเล่มเล็ก “รู้หรือยังว่าเขาเป็นใคร”
“ยัง” แพทย์ชันสูตรตอบ “อย่างที่เห็น เขาไม่มีฟันเหลือเลยสักซี่ และถึงจะตรวจดีเอ็นเอก็ไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบ...”
เขาชะงักคำพูดและจ้องไปทางประตู เครนหันหน้าไปมอง
“เจ้าหน้าที่พิเศษคาร์เพนเตอร์” เขาทักด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ถ้ามีธุระกับผมก็น่าจะรออยู่ข้างนอก”
“ก็ไม่เชิง” เอฟบีไอหนุ่มพูดพลางเลื่อนสายตาไปที่เตียงโลหะ “อันที่จริงแล้วผมมีธุระกับเขามากกว่า”
“หมายความว่ายังไง” เครนถามเสียงเข้มขึ้น อีกฝ่ายยิ้ม
“อย่างที่รู้ คดีฆาตกรรมทุกคดีในเมืองนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเอฟบีไอแล้ว” เขาหันไปส่งสัญญาณให้ชายสองคนซึ่งกำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตู นักสืบเครนจ้องมองตามอย่างไม่พอใจพร้อมกับพูดเสียงห้วน
“เรายังยืนยันไม่ได้ว่าศพนี้เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง”
“คุณคงยังไม่เข้าใจ ผมพูดว่าคดีฆาตกรรมทุกคดี” คาร์เพนเตอร์เน้นเสียงที่ละคำก่อนจะขยับหลบคนของเขาที่กำลังยกถุงใส่ศพเครนสูดลมหายใจเข้าอย่างระงับอารมณ์สุดกลั้นก่อนหลุดคำพูดออกมาอย่างเหลืออด
“คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคาร์เพนเตอร์”
“ครับผมไม่ได้ทำ แต่เอฟบีไอทำได้” คาร์เพนเตอร์ตอบพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างสุภาพ “คุณจะเข้าร่วมฟังการชันสูตรกับเราก็ได้”
“ผมไปแน่” นักสืบเครนพูดลอดไรฟัน เอฟบีไอหนุ่มมองเขาแล้วยิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
“ฉันเกลียดเอฟบีไอ” เครนตะโกนไล่หลังพร้อมกับส่งสัญญาณมือแบบหยาบคายให้ แพทย์ประจำห้องชันสูตรพูดเสียงไม่ดังนัก
“เขาไม่ได้เอาไปทั้งหมด”
“หมายความว่ายังไง” นักสืบเครนหันมาถามเสียงรัวชนิดแทบลืมหายใจ นายแพทย์ผู้นั้นยิ้มละมุนอย่างคนอารมณ์ดีก่อนจะเดินไปหยิบโหลแก้วที่อยู่ด้านหลังมาวาง เครนก้มลงไปมอง
“อะไรน่ะ”
“กระเพาะอาหาร ผมตัดออกมาและเตรียมจะตรวจหาวัตถุหรือสารแปลกปลอมที่บางทีเหยื่ออาจเผลอกลืนเข้าไป”
“เยี่ยม งั้นรีบลงมือเลยหมอเพราะอย่างน้อยเจ้ากระเพาะนี่ก็น่าจะบอกอะไรเราได้บ้าง” เขายืดตัวขึ้น “ฉันจะต้องสืบคดีนี้ให้ได้เรื่องก่อนพวกเอฟบีไอ”

*/*/*/*/*

เช้าวันรุ่งขึ้น วูล์ฟเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ชั้นสองซึ่งเป็นที่รวมพลของทุกๆวัน เขาต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อหัวโต๊ะซึ่งเป็นที่นั่งประจำของเทเลอร์ว่างเปล่า ห้องซึ่งปรกติจะมีการปรึกษาหารือกันกลับเงียบเหงา มีเพียงสมิธกับวอลเตอร์เท่านั้นที่นั่งคุยกันด้วยเสียงไม่ดังนัก
“อรุณสวัสดิ์วูล์ฟ” สมิธเอ่ยทัก หนุ่มหมาป่าอ้าปากหาวก่อนจะเดินไปนั่ง วอลเตอร์มองข้ามไหล่เขาไปทางด้านหลังและถาม
“วลาร์ดยังไม่ตื่นอีกหรือ”
“ตื่นแล้วครับแต่หมอนั่นชอบหมกตัวอยู่กับข้อมูลมากกว่ากินอาหารเช้า” วูล์ฟตอบขณะเอื้อมมือไปหยิบขนมปังบนโต๊ะ สมิธเลิกคิ้ว
“น่าจะชวนเขาลงมาด้วย จะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง”
“ไม่มีทาง” หนุ่มหมาป่าพูดทั้งที่ยังเคี้ยวขนมปังเต็มปาก เขายกแก้วนมขึ้นดื่ม “จับมัดแล้วลากไปยังจะง่ายกว่า”
“ฉันตัดมือนายทิ้งแน่ถ้าทำแบบนั้น” เสียงเรียบเย็นดังมาจากด้านหลัง สมิธกับวอลเตอร์หันไปมองหน้ากันในขณะที่วูล์ฟนั่งยิ้ม
“แอบฟังคนอื่นมันไม่ดีนะเพื่อน”
“เสียงนายดังไปถึงชั้นสาม ไม่อยากฟังก็ยังได้ยิน” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ เขามองเก้าอี้ว่างตรงหัวโต๊ะก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางสมิธ อีกฝ่ายตอบอย่างรู้ทัน
“คุณเทเลอร์กับบรุคส์นำหลักฐานกลับไปที่องค์กรตั้งแต่เมื่อคืน”
วลาร์ดนิ่วหน้าทันที เขานั่งลงข้างวูล์ฟพร้อมกับบ่นพึมพำ
“ผมน่าจะตามไปด้วย”
“นายจะไปทำไม” หนุ่มหมาป่าหันไปถาม อีกฝ่ายตอบเสียงขุ่น
“ฉันยังไม่ได้ตรวจหลักฐานที่ได้มาเลยสักชิ้น มีหลายอย่างที่ต้องวิเคราะห์ ทั้งเศษกะโหลก ทั้งขนสัตว์ที่นายเก็บมา ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่”
“เสร็จงานทางนี้ค่อยกลับไปทำก็ได้” วูล์ฟพูดแต่วลาร์ดส่ายหน้า
“ยิ่งช้าหลักฐานก็จะยิ่งเสียหาย”
“ป่านนี้คุณเทเลอร์คงไปถึงองค์กรแล้ว ที่นั่นมีห้องตรวจหลักฐานที่ทันสมัยกว่าของหน่วยนักล่ามาก” วอลเตอร์พูดและยิ้ม “อีกอย่างคุณอันเดอร์ฮิลล์ก็อยู่ที่นั่นด้วย”
“คุณอันเดอร์ฮิลล์อยู่ที่องค์กรด้วยหรือ” วลาร์ดถามด้วยสีหน้าที่ดูโล่งใจ วอลเตอร์ยิ้มและพยักหน้ารับ
“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหมครับ” เขาพูดพร้อมกับเลื่อนถาดขนมปังส่งให้ “กินอะไรรองท้องสักหน่อย เพราะวันนี้เราต้องออกไปทำธุระกันหลายที่”
เมื่อเสร็จสิ้นมื้อเช้า วอลเตอร์ขับรถตระเวณไปตามที่ต่างๆภายในตัวเมืองซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่เกิดเหตุ จนกระทั่งถึงช่วงบ่ายเขาจึงพาวูล์ฟกับวลาร์ดไปที่สนามบาสฯชุมชนโดยวอลเตอร์ได้จอดรถไว้ที่หน้าร้านแฮมเบอร์เกอร์และพาเด็กหนุ่มทั้งสองเข้าไปนั่งเพื่อรอเวลาซึ่งดูเหมือนจะเป็นที่ถูกใจหนุ่มหมาป่าเป็นอย่างมาก เขากินเบอร์เกอร์เข้าไปถึงสี่อันในขณะที่ลูกครึ่งแวมไพร์ดื่มเพียงน้ำแก้วเดียว
“ไม่กินอะไรหน่อยหรือวลาร์ด”
วอลเตอร์ถามด้วยความเป็นห่วง อีกฝ่ายสั่นหน้าก่อนจะเลื่อนสายตามองออกไปนอกร้าน วูล์ฟยิ้ม
“หมอนี่ไม่ชอบอาหารแบบนี้”
“ผมไม่รู้ ต้องขอโทษด้วย” วอลเตอร์พูดอย่างตกใจแต่หนุ่มหมาป่ากลับโบกมือ
“อย่าไปสนใจเลยครับ ขืนมัวแต่หาร้านที่เขาชอบมีหวังผมหิวตายไปก่อนแน่” วูล์ฟยกน้ำขึ้นดูดทีเดียวหมดแก้ว “ไปกันหรือยัง”
ลูกครึ่งแวมไพร์เหลือบตามองเขาและพึมพำอย่างเบื่อหน่าย
“เจ้าหมาจอมตะกละ”
“ยังดีกว่าผีดิบเอาแต่ใจอย่างนาย” หนุ่มหมาป่าตอบอย่างร่าเริงขณะกอดคอเพื่อนและเดินตรงไปยังสนามบาสฯพร้อมกับบรรยาย “ฉันชอบเด็กพวกนั้นนะ เจอร์ราดน่ะเก่งมาก ดาร์เรลก็ฝีมือดี แซมมวลก็เร็วไม่ใช่ย่อย จะว่าไปพวกนี้เล่นเก่งกันทุกคน นายน่าจะมาเล่นกับพวกเรา”
วูล์ฟชวนคุยด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน วลาร์ดปัดมือเขาและตอบเสียงห้วน
“ไม่”
“น่าเสียดาย” หนุ่มหมาป่าพูดล้อก่อนจะก้าวเข้าไปในสนามพร้อมกับโบกมือทักทายคนที่อยู่ด้านใน
“ไงดาร์เรล เจอร์ราด” เขากวาดตามอง “คนอื่นล่ะ”
“พวกเขาไม่ได้มา” เจอร์ราดตอบพลางตบบอลลงพื้นขณะที่พูดต่อ “ไม่แปลกหรอกก็เราเจอศพข้างสนามเป็นใครก็ต้องกลัว”
“งั้นหรือ” วุล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “แล้วพวกนายไม่กลัวหรือไง”
“สำหรับฉันไม่ แต่กว่าจะลากหมอนี่มาได้ก็เสียเวลากล่อมอยู่นาน” เจอร์ราดพูดพลางพยักเพยิดไปทางดาร์เรล อีกฝ่ายหน้าเข้มเล็กน้อย
“ฉันไม่ได้กลัว แต่ไม่แน่ใจว่าพวกตำรวจจะปิดที่นี่ด้วยหรือเปล่าเท่านั้น”
“เขาจะปิดทำไม” หนุ่มหมาป่าถามด้วยความสงสัย ดาร์เรลชำเลืองตามองไปยังตึกร้างที่อยู่ทางด้านหลัง
“ก็ฉันเห็นตำรวจที่อยู่ในหนังเขาทำกันแบบนั้นนี่นา”
คำพูดของเขาทำให้ทั้งเจอร์ราดและวูล์ฟหัวเราะออกมาดังลั่น ทั้งคู่ตบไหล่เพื่อนและพูดอย่างขบขัน
“นั่นมันหนัง เขาแค่ทำให้มันดูตื่นเต้นเท่านั้น”
“ฉันไม่รู้นี่” ดาร์เรลบ่นอุบอิบ “เลิกหัวเราะกันได้หรือยัง”
“ตกลง” เจอร์ราดโบกมือและกลืนน้ำลายหลายครั้งเพื่อเป็นการสะกดอารมณ์ขันของตัวเอง เขาหันไปมองวลาร์ดที่ยืนพิงรั้วอยู่ “เขาไม่มาเล่นกับเราหรือ”
“คงไม่” หนุ่มหมาป่าตอบ “อย่าไปสนใจหมอนั่นเลย เมื่อวานเป็นยังไงบ้าง”
“โดนสอบถามนิดหน่อย” เจอร์ราดตอบอย่างไม่สนใจก่อนจะโยนลูกบาสฯให้วูล์ฟ “มาเล่นกันดีกว่า”
เด็กทั้งสามเล่นบาสเก็ตบอลกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งถึงเวลาเย็น ดาร์เรลมองท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วพูดขึ้น
“ฉันต้องกลับแล้ว”
“ฉันก็เหมือนกัน” เจอร์ราดพูดพลางหันไปโยนลูกบาสฯใส่ห่วง มันตกกระทบพื้นก่อนจะกระดอนเข้ามือวูล์ฟ เขาเลิกคิ้ว
“ทำไมกลับกันเร็วนักล่ะ”
“เพราะเรื่องที่เราสามคนเจอเมื่อวานไง แม่คงกลัวว่าฉันจะกลายเป็นแบบนั้นด้วยมั้ง”
เจอร์ราดพูดติดตลกขณะเดินไปหยิบเสื้อแจ็คเก็ตที่วางพาดไว้บนเก้าอี้ ดาร์เรลก้มลงหยิบกระเป๋าและหันมาทางเพื่อนทั้งสอง
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
“โชคดีเพื่อน” เจอร์ราดพูดพร้อมกับโบกมือ ดาร์เรลยิ้มรับก่อนจะเดินออกจากที่นั่น วลาร์ดเหลือบตามองตาม
“บ้านดาร์เรลอยู่ไหน” วูล์ฟถาม เจอร์ราดหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย
“เลยมุมถนนนั่นไปหน่อยเดียว” เขาชะงักและยืนนิ่งลังเลครู่หนึ่งก่อนถาม “วันนี้นายรีบกลับไหม”
“ไม่” หนุ่มหมาป่าตอบ เจอร์ราดยิ้มกว้าง
“ฉันอยากชวนนายไปดูของสะสมที่บ้าน จะพาเพื่อนของนายไปด้วยก็ได้” เขาหันไปทาง
วลาร์ดและทำหน้าแปลกใจ “เขาหายไปไหน”
“คงกลับไปที่รถกับคุณวอลเตอร์” วูล์ฟตอบ เจอร์ราดพยักหน้า
“ตกลงนายไปได้ใช่ไหม” เขาหันมาถาม หนุ่มหมาป่ายิ้ม
“ถ้านายเต็มใจ”
“แน่นอน” เจอร์ราดพูดและตบไหล่วูล์ฟอย่างดีใจ “รอเพื่อนนายมาก่อนแล้วเราค่อยไป”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหมอนั่นจะตามไปเอง” หนุ่มหมาป่าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจอร์ราดมองเขาด้วยความแปลกใจ
“เขาจะรู้ได้ยังไงว่าบ้านฉันอยู่ไหน”
“เจ้านั่นหาเจอก็แล้วกัน” วูล์ฟตัดบท “ไปกันเถอะ”
แม้จะไม่เข้าใจแต่เจอร์ราดก็ก้าวออกจากสนามบาสฯและเดินนำหนุ่มหมาป่าตรงไปที่บ้าน ทั้งคู่เดินคุยไปเล่นไปอย่างสนุกสนาน เจอร์ราดแวะทักทายเจ้าของร้านขายของระหว่างทางก่อนจะพาวูล์ฟข้ามถนนและเดินต่อไปอีกสองบล็อคจนกระทั่งถึงสวนสาธารณะ
“ใกล้ถึงแล้ว” เจอร์ราดพูดพร้อมกับชี้มือไปข้างหน้า วูล์ฟมองตามและเห็นบ้านที่ตั้งเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบไม่ห่างไปจากที่พวกเขายืนอยู่เท่าใดนัก
“เป็นหมู่บ้านที่สวยดี” เขาหันไปทางเพื่อน “พวกนายอยู่กันกี่คน”
“สาม มีแม่ พี่สาวแล้วก็ฉัน” เจอร์ราดตอบและแกล้งโยนลูกบาสฯให้อีกฝ่าย “รับรองว่านายจะต้องชอบพวกเขา”
“ดูจากนายก็ฉันก็คิดแบบนั้น” หนุ่มหมาป่าตอบพลางหมุนบอลด้วยปลายนิ้ว เจอร์ราดมองด้วยสายตาทึ่ง
“นายทำได้ยังไง”
“ไม่ยาก นายก็แค่หมุนมันแล้วเลี้ยงให้อยู่บนปลายนิ้ว” เขาพูดพร้อมกับวางบอลลงบนปลายนิ้วเจอร์ราด “พยายามให้นิ้วตั้งตรง ตอนแรกก็ประคองมันเอาไว้ก่อน”
วูล์ฟสอนและหัวเราะเมื่อเจอร์ราดทำมือเอียงไปมาก่อนจะทำลูกบาสฯตก เขาก้มลงเก็บและจัดแจงวางบนนิ้วเพื่อนอีกครั้ง หนุ่มหมาป่าชะงักเมื่อได้ยินเสียงลมพัดกรรโชกผ่านต้นไม้
“เป็นอะไร” เจอร์ราดถามด้วยความแปลกใจแต่อีกฝ่ายกลับยกมือห้ามและพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อย่าขยับ”
“ทำไม” เจอร์ราดถามด้วยความสงสัยขณะมองไปรอบตัว “มีอะไรหรือวูล์ฟ”
“มีใครบางคนกำลังแอบมองพวกเรา” วูล์ฟตอบเสียงเรียบและสูดลมหายใจ “ฉันไม่ชอบกลิ่นแบบนี้เลย”
“นายกำลังพูดเรื่องอะไร” เจอร์ราดดึงไหล่ของหนุ่มหมาป่าและพูดเสียงดัง “ฉันไม่ชอบท่าทางแบบนี้นะเพื่อน”
“ฉันก็ไม่ชอบ แต่นายต้องเข้าใจ...” เขาหยุดคำพูดค้างเมื่อได้ยินเสียงกระพือปีกดังขึ้นเหนือหัว วูล์ฟเงยหน้าขึ้นและเบิกตากว้างเมื่อเห็นตัวอะไรบางอย่างกำลังร่อนลงมาอย่างรวดเร็ว
“หลบเร็วเจอร์ราด” เขากดร่างของเพื่อนให้ก้มต่ำลง เจ้าตัวประหลาดโฉบผ่านตัวหนุ่ม
หมาป่าและส่งเสียงกรีดร้องดังบาดหูก่อนจะบินขึ้นไปบนยอดไม้อีกครั้ง วูล์ฟคำรามด้วยความโกรธ
“หาที่ซ่อนเร็ว” เขาสั่งเสียงห้วน และออกแรงผลักไหล่ของเพื่อนไปที่พุ่มไม้ด้านข้างเมื่ออีกฝ่ายยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับ ร่างของเจอร์ราดเซเข้าไปในนั้นและล้มกลิ้งลงไปบนพื้น หนุ่มหมาป่ามองด้วยความโล่งใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นและจ้องสัตว์ร้ายที่กำลังร่อนลงมาอีกครั้ง
“เข้ามาเลย” วูล์ฟคำรามในลำคอและกางกรงเล็บออกตวัดใส่ตัวประหลาดที่พุ่งเข้ามา มันแยกเขี้ยวและพยายามบินวนเพื่อหาทางกัดเขาแต่ไม่สำเร็จเพราะการหลบที่ว่องไว เจ้าสัตว์ร้ายกระพือปีกและบินสูงขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง หนุ่มหมาป่าเงยหน้าและกระโดดตาม
“ฉันไม่ให้แกหนีไปได้หรอก” เขาคว้าหางของมันและเหวี่ยงลงไปกระแทกพื้น ตัวประหลาดร้องลั่นและกระเสือกกระสนหนี วูล์ฟจับปีกของมันแต่ต้องปล่อยเมื่อถูกหางที่มีหนามแหลมฟาดเข้าที่ลำตัว เจ้าสัตว์ร้ายรีบฉวยโอกาสบินหนีทันที
“ซัดฉันแล้วคิดจะหนีเรอะ” หนุ่มหมาป่าคำราม เขากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้และกระโจนไปตามกิ่งอย่างรวดเร็วไล่ตามตัวประหลาดจนทัน วูล์ฟพุ่งเข้าไปหาและฝังกรงเล็บลงไปบนไหล่ของสัตว์ร้ายฉีกปีกทั้งสองข้างของมันจนขาดกระจุย ทั้งคู่ร่วงลงไปบนพื้นเบื้องล่างแต่หนุ่มหมาป่าหมุนตัวยืนได้ทันในขณะที่เจ้าตัวประหลาดหล่นลงมากองราวเศษผ้า วูล์ฟเดินไปมองร่างอัปลักษณ์ที่มีขนาดเท่าเด็กเจ็ดขวบด้วยความแปลกใจ
“นี่มันตัวอะไรกัน” เขาพึมพำขณะย่อตัวลงนั่งพลางจ้องปีกที่เหมือนค้างคาวซึ่งขาดรุ่งริ่งของมันและทำท่าจะจับ แต่ต้องชะงักเมื่อเสียงวลาร์ดร้องห้าม
“อย่าจับ” ลูกครึ่งแวมไพร์ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน “ถอยออกมาวูล์ฟ”
หนุ่มหมาป่าลุกขึ้นและขยับตัวถอยออกมาเป็นจังหวะเดียวกันที่มีควันคลุ้งขึ้นมาจากร่างสัตว์ร้าย วูล์ฟเบิกตากว้างด้วยความตระหนกขณะมองซากที่กำลังย่อยสลายไปอย่างรวดเร็ว
“เซลล์ของมันจะปล่อยของเหลวออกมาย่อยตัวเองทันทีที่ตาย” วลาร์ดพูดเสียงเรียบ หนุ่มหมาป่ามองหน้า
“นายรู้ได้ยังไง” เขาทำท่าตกใจ “หรือว่า”
“ฉันเพิ่งจัดการตัวที่ตามไปทำร้ายเด็กอีกคน” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ เขาจ้องตัวประหลาดที่กลายเป็นของเหลวขุ่นข้น “รู้สึกคุ้นบ้างไหม”
“รู้สึก” วูล์ฟตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ดูเหมือนมันจะเป็นฝีมือของคนที่เราเคยรู้จัก”
เขามองเพื่อนและพูดเสียงลอดไรฟัน
“เจ้านั่นยังไม่ตาย”
วลาร์ดขบกรามแน่น เขามองของเหลวที่กองอยู่บนพื้นก่อนจะเลื่อนสายตามองข้ามไหล่เพื่อนไปทางด้านหลังและนิ่วหน้าเมื่อเห็นเจอร์ราดกำลังวิ่งเข้ามา
“วูล์ฟ” เขาร้องเรียกและผงะถอยหลังเมื่อเห็นของเหลวคล้ายเมือกกองใหญ่ “นั่นอะไรน่ะ”
“ตัวประหลาดที่เราเจอไง พอจัดการมันได้ก็กลายเป็นแบบนี้” หนุ่มหมาป่าตอบ เจอร์ราดมองเขาด้วยสายตาตระหนก
“นายจัดการมัน ยังไง”
“แบบเดียวกับลูกบาสเก็ตบอล” วูล์ฟตอบ เจอร์ราดมองเขาแล้วนิ่งไปเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลงมองเมือกบนพื้น
“มันเป็นตัวอะไรกันแน่”
“การ์กอยล์” วลาร์ดตอบก่อนจะเบนสายตากลับไปที่วูล์ฟ “นายไปส่งเขาส่วนฉันจะรอที่นี่”
“ได้” หนุ่มหมาป่าตอบ เขาหันไปทางเจอร์ราด “ไปกันเถอะ”
“แต่เราต้องแจ้งตำรวจ”
“ไม่จำเป็น” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดและมองหน้าเขา “คิดหรือว่าพวกนั้นจะเชื่อเรื่องที่นายเล่า”
เจอร์ราดยืนอึ้ง เขาหันไปมองวูล์ฟและยอมเดินไปจากที่นั่น วลาร์ดมองด้วยสายตากังวลก่อนจะย่อตัวลงนั่งและมองกองเมือกอย่างครุ่นคิด เขาเหลือบมองวอลเตอร์ที่กำลังรีบเดินตรงเข้ามาหา
“ติดต่อคุณเทเลอร์แล้วใช่ไหม” เขาถาม วอลเตอร์พยักหน้าขณะเลื่อนสายตามองของเหลวข้น
“ใช่ปิศาจชนิดเดียวกันกับตัวที่เราเจอหรือเปล่า”
“ใช่” วลาร์ดตอบพร้อมกับลุกขึ้น “และผมเชื่อว่ามันจะต้องถูกสร้างมาจากฝีมือของคนที่พวกเราเคยเจอ”

*/*/*/*/*/*












Create Date : 20 ตุลาคม 2552
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 14:06:52 น.
Counter : 397 Pageviews.

4 comment
บทที่ 11 ซากศพปริศนา
บทที่ 11

ซากศพปริศนา

เทเลอร์วางรายงานของวลาร์ดและนั่งเท้าคางอย่างใช้ความคิด สมิธซึ่งก้าวเข้ามาในห้องมองท่าทางของชายชราด้วยความสงสัย หลังจากรินกาแฟใส่ถ้วยเรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินไปนั่งและเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือครับ”
เจ้าหน้าที่อาวุโสเหลือบตามองชายหนุ่มแต่ยังไม่ตอบ เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเลื่อนแฟ้มเอกสารส่งให้พร้อมกับพูด
“ข้อมูลที่วลาร์ดไปสืบมาเมื่อวาน”
“เรื่องอาวุธของคนร้ายน่ะหรือครับ” สมิธพูดพร้อมกับเปิดแฟ้ม เขาเลิกคิ้วหลังจากนั่งอ่านไปได้สักพัก“มีดนั้นถูกทำมาเมื่อ50 ปีก่อน ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกัน”
“แต่ช่างยืนยันว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน” เทเลอร์พูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม สมิธนิ่วหน้า
“เรื่องมันนานมาแล้ว เขาอาจจะจำผิด”
“แต่วลาร์ดบอกว่า จากรูปร่างที่เขาบรรยายให้ฟัง มันตรงกับลักษณะของผู้ต้องสงสัยทุกอย่าง แม้แต่การเคลื่อนไหวที่ผิดธรรมชาติ”
“ถ้าชายต่างชาติคนนั้นเป็นคนคนเดียวกับผู้ต้องสงสัยในเวลานี้จริง อายุของเขาก็น่าจะเกิน 60 ปี” สมิธพูดขณะปิดแฟ้มรายงานและส่งคืนให้กับเทเลอร์ อีกฝ่ายมีสีหน้าหนักใจ
“นั่นแหละที่ผมกังวล เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงแสดงว่าฆาตกรคนนั้นจะต้องเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ซึ่งก็หมายความว่าพวกอิลูมิเนติคจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมครั้งนี้แน่” เขาถอนใจ “แต่เพื่ออะไร”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน” สมิธตอบและกวาดสายตามองรอบตัว “สองคนนั่นยังไม่ลงมาอีกหรือครับ”
“วลาร์ดออกไปหาข้อมูลที่โรงพยาบาลกับบรุคส์ ส่วนวอลเตอร์กับวูล์ฟไปหาหลักฐานบางอย่างที่บ้านของเหยื่อรายล่าสุด”
“ป่านนี้พวกเอฟบีไอคงเก็บทุกอย่างไปจนหมดแล้ว” สมิธพูดแต่เทเลอร์ส่ายหน้า
“คงใช่ถ้าเป็นมุมมองแบบมนุษย์ธรรมดา แต่สำหรับนักล่าที่มีประสาทสัมผัสดีอย่างวูล์ฟ เขาคงพบอะไรบางอย่างที่อมนุษย์นั่นทิ้งเอาไว้แน่”
เขาเอนตัวพิงเก้าอี้และมองรายงานที่กองไว้ตรงหน้า หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่เทเลอร์จึงถาม
“คุณทำงานกับเด็กสองคนนั่นมานานคงรู้จักนิสัยของพวกเขาดีใช่ไหม”
สมิธมองหน้าชายชราด้วยความแปลกใจ
“ครับ”
“พวกเขาเป็นยังไง”
“หมายความว่ายังไงครับ” สมิธถามด้วยความสงสัย เทเลอร์โน้มตัวมาข้างหน้าพร้อมกับประสานมือและวางลงบนแฟ้ม
“เท่าที่ร่วมงานกันมาสองสามวัน เด็กสองคนนั่นมีความตั้งอกตั้งใจมาก ถึงคนหนึ่งจะทำเป็นเล่นมากไปหน่อยก็ตาม”
“วูล์ฟ” สมิธพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “เห็นเป็นแบบนั้นแต่เขาก็เป็นคนที่จริงจังมากนะครับ”
“ผมพอจะมองวิธีการทำงานของทั้งสองคนนั่นออกแต่อยากจะรู้นิสัยส่วนตัวเพิ่มเติมเท่านั้น เผื่อวันข้างหน้าเราอาจต้องทำงานร่วมกันอีก”
เทเลอร์พูดเสียงเรียบ สมิธมองด้วยความแปลกใจขณะวางถ้วยกาแฟลง
“วลาร์ดเป็นเด็กที่ค่อนข้างเก็บตัว จะพูดก็ต่อเมื่อแน่ใจแล้วเท่านั้น ถึงจะเป็นคนฉลาดแต่ก็ยังด้อยในเรื่องการมีปฏิสัมพัทธ์กับบุคคลอื่น ผมเองยังอยากให้เขาเปิดใจให้กว้างขึ้นอีกนิดแต่คงเป็นไปได้ยาก ยังดีที่เขามีเพื่อนอย่างวูล์ฟอยู่ด้วย”
“เจ้าหนูหมาป่านั่นน่ะหรือ” เทเลอร์พูด “เป็นเด็กที่ร่าเริงและแข็งแรงเอาการ”
“วลาร์ดบ่นบ่อยๆว่าวูล์ฟเป็นพวกบ้าพลัง” สมิธพูดกลั้วหัวเราะ “เขาเป็นเด็กช่างพูดช่างคุยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายและเป็นหนึ่งในสองคนที่วลาร์ดยอมรับ”
“หนึ่งในสองคน” เทเลอร์ทวนคำ “อีกคนคงจะเป็นอันเดอร์ฮิลล์”
“ครับ” สมิธรับคำและพูดต่อ “ยังดีที่หลังเกิดเหตุการณ์กับลีโอวลาร์ดเปิดใจตัวเองมากขึ้นและยอมทำงานร่วมกับพวกเรา”
“คุณพูดเหมือนก่อนหน้านั้นเขาไม่ให้ความร่วมมือกับใคร”
“วลาร์ดชอบทำงานคนเดียวครับ แต่ผมเข้าใจดีว่าที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงกลัวว่าพวกเราจะได้รับอันตราย” สมิธอธิบาย เทเลอร์ผงกศีรษะ
“นับเป็นคนมีน้ำใจเหมือนกัน” ชายชราพึมพำและเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง “ตอนที่ผมถูกส่งไปช่วยงานที่หน่วยนักล่า ลีโอเคยคุยเรื่องเด็กเลือดผสมแวมไพร์ให้ฟังอยู่สองสามครั้ง ดูเขาภูมิใจกับเด็กคนนี้มากตั้งใจจะฝึกให้เด็กคนนี้เป็นนักล่าที่เก่งที่สุดในองค์กร”
“เวลานี้วลาร์ดก็เป็นนักล่าที่มีฝีมือที่สุดอยู่แล้ว” สมิธพูด “รวมถึงวูล์ฟด้วย”
“เท่าที่สังเกตดูทั้งสองเป็นทั้งพี่น้อง เพื่อนและคู่หูที่รักใคร่กันมาก” เทเลอร์พูดอย่างอารมณ์ดี สมิธยิ้ม
“เด็กสองคนนี้ผ่านการต่อสู้อย่างหนักและเผชิญกับเรื่องเลวร้ายมาด้วยกันโดยตลอด พวกเขาไม่มีวันหักหลังกันเองอย่างแน่นอน”
“ผมดีใจที่ได้ยินแบบนี้” เทเลอร์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ต่อไปพวกเราคงทำงานด้วยกันง่ายขึ้น”
คำพูดสุดท้ายทำให้สมิธมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจแต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก เขายกถ้วยกาแฟขึ้นพร้อมกับพูด
“วลาร์ดก็คิดแบบเดียวกับคุณ”

*/*/*/*/*

วูล์ฟเลื่อนเก้าอี้สนามซึ่งตั้งอยู่ในสวนหลังบ้านของสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมและย่อตัวลงนั่งพร้อมกับกวาดตาไล่สำรวจอย่างละเอียด เขาขยับตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยและแหวกพุ่มไม้ประดับอย่างระมัดระวัง หนุ่มหมาป่ายิ้มเมื่อเห็นอะไรบางอย่างตกอยู่ที่โคนราก เขาหันหน้าไปทาง
วอลเตอร์
“ผมเจออะไรบางอย่าง”
เขาพูดพร้อมกับรับซองเก็บหลักฐานมาจากเจ้าหน้าที่องค์กรและใช้คีมคีบเส้นใยบางอย่างขึ้นมา วอลเตอร์ชะโงกหน้าไปมองด้วยความสนใจ
“อะไรน่ะวูล์ฟ”
“ผมไม่แน่ใจแต่มันดูเหมือนเส้นขนของอะไรสักอย่าง” หนุ่มหมาป่าตอบพลางหย่อนขนเส้นนั้นลงไปในซองพลาสติกและรูดปากถุงให้ปิดสนิทก่อนจะส่งให้กับอีกฝ่าย
“อาจจะเป็นแมวหรือหมาของเพื่อนบ้าน” วอลเตอร์ตั้งข้อสังเกตแต่วูล์ฟส่ายหน้า เขาหันกลับไปที่พุ่มไม้อีกครั้ง
“ผมได้กลิ่นสาปสัตว์ ถึงตอนนี้จะจางไปมากแต่แน่ใจว่าไม่ใช่แมวหรือหมาแน่นอน”
“พอจะรู้ไหมว่าเป็นตัวอะไร” วอลเตอร์ถาม หนุ่มหมาป่าขมวดคิ้วขณะทำท่านึก
“จะเป็นเสือก็ไม่น่าใช่ เพราะกลิ่นของมันไม่เหมือนพวกที่อยู่ในสวนสัตว์” เขายกมือขึ้นเกาศีรษะ “แต่หมอนั่นคงรู้”
“วลาร์ดน่ะหรือ” วอลเตอร์ถามขณะมองวูล์ฟวางเก้าอี้สนามไว้ตามเดิม หนุ่มหมาป่าพยักหน้า
“ครับ” เขากวาดตามองรอบตัวอีกครั้ง “ผมคิดว่าไม่น่าจะเหลือหลักฐานอะไรแล้ว เรากลับกันเถอะ”
วูล์ฟก้าวออกจากที่นั่นมุ่งตรงไปยังรถ วอลเตอร์ยิ้มขณะเดิมตาม
“ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลานัด ไปหาอะไรกินกันก่อนก็ได้วูล์ฟ” เขาพูดอย่างรู้ทัน หนุ่มหมาป่ายิ้มอย่างเก้อเขิน
“ผมขอเป็นร้านเบอร์เกอร์นะครับ”
“ตกลง” วอลเตอร์รับคำพร้อมกับสตาร์ทรถและขับออกไปจากที่นั่น เขาเหลือบมองวูล์ฟซึ่งกำลังนั่งร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี
“ชอบบาสเก็ตบอลมากขนาดนี้เลยหรือ”
“ครับ” หนุ่มหมาป่าตอบ วอลเตอร์เลิกคิ้ว
“แล้ววลาร์ดล่ะชอบอะไร”
“หลายอย่าง” วูล์ฟตอบ “ที่เห็นทำประจำก็ผ่าศพ นั่งหมกตัวอยู่ในห้องเก็บหลักฐาน หรือไม่ก็ไปค้นหาข้อมูลให้ห้องสมุด ยังไม่นับตอนที่หายเข้าไปในห้องฝึกเป็นวัน”
“ฟังดูเหมือนเขายุ่งตลอดเวลา” วอลเตอร์พูดด้วยสีหน้าแบบทึ่งสุดๆ หนุ่มหมาป่าหัวเราะ
“หมกมุ่นมากกว่า แต่ก็ดีเพราะขืนให้อยู่เฉยหมอนั่นคงคลั่งตายสักวัน”
“เหมือนกับคุณถ้าวันไหนไม่ได้เล่นบาสเก็ตบอล” วอลเตอร์พูดเย้า วูล์ฟยิ้มกว้าง
“ใช่แล้วครับ”
หนุ่มหมาป่าพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงและเริ่มร้องเพลงอีกครั้ง วอลเตอร์มองเขาและส่ายหน้าอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดริมถนน หลังจากจัดเก็บแฟ้มเอกสารทั้งหมดจนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถและเดินตรงเข้าไปในร้านขายแฮมเบอร์เกอร์โดยมีวูล์ฟนำหน้า เมื่อรับประทานอาหารมื้อด่วนเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสองจึงเดินตรงไปยังสนามบาสเก็ตบอลชุมชน หนุ่มหมาป่ายิ้มกว้างเมื่อเห็นเจอร์ราดกำลังซ้อมการเลี้ยงลูกบาสฯอยู่กับดาร์เรล
“ไงเจอร์ราด ดาร์เรล ทำไมวันนี้มาเร็วนักล่ะ”
“ไงวูล์ฟ” เด็กหนุ่มทั้งสองร้องตอบพร้อมกัน “พอดีวันนี้พวกเรามีกิจกรรมพิเศษเลยเลิกเร็วกว่าทุกวัน”
เจอร์ราดอธิบายขณะเดินไปหาวูล์ฟ หนุ่มหมาป่ายิ้ม
“แล้วคนอื่นล่ะ”
“พวกนั้นต้องกลับบ้านก่อน ฉันกับดาร์เรลไม่อยากเสียเวลาเลยตรงมาที่นี่” เด็กหนุ่มตอบพลางตบลูกบาสฯลงพื้นสองสามครั้งก่อนจะส่งให้วูล์ฟ “จะเล่นกันเลยไหม”
“ตกลง” หนุ่มหมาป่าตอบพร้อมกับโยนบอลกลับไปให้ดาร์เรล อีกฝ่ายออกวิ่งและพยายามเลี้ยงลูกหลบเขาก่อนจะส่งต่อให้เจอร์ราด
“นายไม่มีทางแย่งฉันได้หรอกวูล์ฟ”
“อย่าแน่ใจนัก” หนุ่มหมาป่าพูดพลางวิ่งไปดักหน้าเขาและตัดลูกออกมาได้ เสียงเจอร์ราดร้องด้วยความเจ็บใจก่อนจะวิ่งเข้าประชิดวูล์ฟและกันไม่ให้เขาโยนลูกบาสฯเข้าห่วง
“ฉันไม่ยอมให้นายทำแต้มนำหรอก” เขาพูดเสียงดังขณะพยายามต้อนหนุ่มหมาป่า เมื่อได้จังหวะดาร์เรลจึงวิ่งมาจากด้านข้างและแย่งบอลมาได้ วูล์ฟรีบหมุนตัวเพื่อจะแย่งแต่อีกฝ่ายรีบเลี้ยงลูกตรงไปยังแป้นฝั่งตรงข้ามและโยนลูกเข้าห่วงด้วยลีลาสวยงาม เสียงเจอร์ราดหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
“ฉันบอกแล้วว่าจะไม่ยอมให้นายทำแต้มนำ” เขารับบอลมาจากดาร์เรลและเลี้ยงไปมา หนุ่มหมาป่ารีบวิ่งไปดักหน้าแต่เจอร์ราดกลับหมุนตัวหลบและส่งต่อให้เพื่อน ดาร์เรลรีบตบลูกบาสฯสองสามครั้งก่อนจะวิ่งตรงไปที่แป้นอีกครั้ง และนิ่วหน้าเมื่อเห็นวูล์ฟวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มมองแป้นที่อยู่ห่างออกไปสิบฟุต เขาตัดสินใจโยนลูกยาวทันที
“นายโยนไปไหนกันน่ะ”
เจอร์ราดร้องถามเมื่อเห็นลูกบาสฯกระทบแป้นและกระดอนไปอีกด้านแทนที่จะหมุนลงห่วง ทั้งสามอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเสียงกระจกจากอาคารด้านข้างแตกกระจาย ดาร์เรลยืนหน้าซีดขณะที่เจอร์ราดหันหน้าไปมองวูล์ฟ เขาเลื่อนสายตาไปที่เพื่อนและพูดเบาๆ
“เป็นเรื่องแล้ว”
“เอาไงดี” ดาร์เรลกระซิบ เจอร์ราดหันไปทางหนุ่มหมาป่าอีกครั้ง
“ตึกนี่มันร้าง เราน่าจะเข้าไปเก็บบอลได้”
“แต่ฉันได้ยินว่าในนั้นมีผี” ดาร์เรลแย้งเสียงสั่น “นายเข้าไปคนเดียวเถอะ”
“ได้ยังไง นายเป็นคนทำก็ต้องเข้าไปเก็บ” เจอร์ราดเถียง เพื่อนของเขาส่ายหัวพร้อมกับก้าวถอยหลัง
“ไม่”
“นั่นเป็นลูกบาสฯที่เพิ่งได้มา ถ้าหายฉันโดนแม่ฆ่าแน่” เจอร์ราดพูดเสียงเข้ม “ไปเก็บมาเดี๋ยวนี้ดาร์เรล”
“ฉันไม่มีวันเข้าไปในตึกผีสิงนี่อย่างเด็ดขาด” ดาร์เรลยืนกราน เพื่อนของเขาถอนใจในขณะที่วูล์ฟยิ้ม
“ทำไมไม่เข้าไปด้วยกัน” เขาเดินนำไปสองสามก้าวและหันหน้ากลับมายังเพื่อนทั้งที่ยังคงยืนนิ่ง “กลางวันแบบนี้ไม่มีผีที่ไหนกล้าออกมาหรอก เชื่อฉันสิ”
“จริงด้วย” เจอร์ราดพูดและหันไปดึงแขนดาร์เรล “ไป”
ทั้งสองเดินตามหลังวูล์ฟตรงไปยังตึกร้างที่อยู่ด้านข้าง หนุ่มหมาป่าดึงโซ่ที่เต็มไปด้วยสนิมออกก่อนจะเปิดประตูก้าวเข้าไปด้านใน เจอร์ราดกวาดตามองไปรอบตัวและนิ่วหน้าด้วยความรังเกียจเมื่อเห็นหนูหลายตัววิ่งผ่านเศษวัสดุซึ่งถูกทิ้งเกลื่อนพื้น ดาร์เรลพึมพำ
“น่าขยะแขยงเป็นบ้า”
“ทำไมที่นี่ถึงถูกปล่อยให้ร้าง” วูล์ฟถาม เจอร์ราดกวาดตามองรอบตัวอย่างหวาดระแวงก่อนตอบ
“ได้ยินว่าเจ้าของตึกคุ้มคลั่งเพราะถูกผีสิง” เขาเตะลังเปล่าใบหนึ่งปลิวข้ามไปอีกด้าน “แล้วหายสาบสูญไป”
“มีข่าวลือว่าเขากลายเป็นปิศาจคอยจับคนที่แอบเข้ามาในนี้” ดาร์เรลพูดแบบสยองเล็กน้อย หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้ว
“นายเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”
“หรือนายไม่เชื่อ” ดาร์เรลย้อนและชะงักเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังแตกอยู่ใต้ฝ่าเท้า เขากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืนก่อนจะตัดสินใจก้มหน้าลงไปมอง เด็กหนุ่มร้องลั่นเมื่อพบว่ามันเป็นหัวมนุษย์
“คนตาย!”
เขาก้าวถอยหลังและวิ่งออกจากที่นั่นทันที เจอร์ราดตะโกนเรียกเพื่อนด้วยความตกใจ เขาหันกลับไปมองวูล์ฟซึ่งกำลังยืนมองหัวที่แตกเป็นเสี่ยงอย่างพิจารณาก่อนจะกวาดตามองไปโดยรอบ
“มัวรออะไรอยู่ เราต้องรีบไปแจ้งตำรวจนะวูล์ฟ”
“นายไปก็แล้วกัน ฉันขออยู่จนกว่าจะหาลูกบาสฯเจอ”
“จะบ้าหรือไง ในนี้มีคนตายนะ” เจอร์ราดพูดเสียงดัง หนุ่มหมาป่าหันไปมองเขาแล้วยิ้มอย่างใจเย็น
“ฉันรู้” เขาไล่สายตามองไปโดยรอบอีกครั้ง “แล้วเจอกันข้างนอก”
เจอร์ราดมองวูล์ฟที่มีท่าทางสงบนิ่งด้วยความสงสัย หลังจากยืนลังเลอยู่ชั่วครู่เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจวิ่งออกไปจากที่นั่น หนุ่มหมาป่าชำเลืองตามองตามและเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายพ้นไปจากบริเวณนั้นแล้วเขาจึงรีบดึงซองพลาสติกออกมาจากกระเป๋ากางเกงและจัดการเก็บเศษหัวมนุษย์ใส่ซองอย่างรวดเร็ว
เสียงไซเรนจากรถตำรวจซึ่งดังใกล้เข้ามาทำให้วอลเตอร์ต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ เขาหันไปมองวูล์ฟเดินออกจากตึกร้างด้านข้างเพียงลำพังและมุ่งตรงมาหาโดยถือลูกบาสเก็ตบอลเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น”
“ผมเจอศพในตึกนั่น” หนุ่มหมาป่าตอบและกวาดตามองรอบตัวอย่างระวังก่อนจะดึงซองพลาสติกส่งให้วอลเตอร์”ช่วยเก็บไว้ด้วย”
“คุณเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุมา”
วอลเตอร์ถามด้วยความตกใจก่อนเก็บอาการขณะรับซองและรีบเก็บเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ วูล์ฟพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ผมว่ามันแปลก” เขาพูดพลางไล่สายตาไปโดยรอบและโบกมือให้เจอร์ราดกับดาร์เรลซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของถนน ทั้งคู่วิ่งข้ามมาหา
“เราโทร.แจ้งตำรวจแล้ว” ดาร์เรลพูดด้วยน้ำเสียงหวาด เสียงไซเรนของรถตำรวจที่ดังใกล้เข้ามาทำให้เขานิ่วหน้า “รีบไปจากที่นี่กันดีกว่า”
“นายสองคนกลับไปก่อน” เจอร์ราดพูด “ฉันต้องอยู่ให้ปากคำกับตำรวจ”
“ทำไม” ดาร์เรลถามด้วยความสงสัย เจอร์ราดหันไปมองหน้าเขา
“คนแถวนี้รู้ดีว่าพวกเรามาเล่นบาสฯที่นี่กันประจำ ยังไงตำรวจก็ต้องตามหาจนเจออยู่ดี” เขาตอบดาร์เรลก่อนจะหันไปทางวูล์ฟ “นายรีบไปเถอะ”
“แต่” หนุ่มหมาป่าทำท่าจะแย้งแต่เจอร์ราดรีบอธิบาย
“ฉันกับดาร์เรลเป็นคนที่นี่ ส่วนนายเป็นคนแปลกหน้า รับรองได้เลยว่าตำรวจพวกนั้นต้องสงสัยนายแน่”
เจอร์ราดหันไปมองรถตำรวจที่กำลังเลี้ยวมาจากหัวมุมถนน เขาตบไหล่วูล์ฟ
“พวกเขามากันแล้ว รีบไปเร็ว”
“ตกลง” หนุ่มหมาป่าจำใจรับคำพร้อมกับส่งลูกบาสฯให้เพื่อน “ระวังตัวด้วยล่ะ”
“นายก็เหมือนกัน” เจอร์ราดยิ้ม “โชคดีเพื่อน”
“แล้วเจอกันดาร์เรล” วูล์ฟหันไปพูดกับดาร์เรล อีกฝ่ายพยักหน้ารับ วอลเตอร์มองรถตำรวจที่วิ่งเข้าไปจอดหน้าอาคารร้างด้วยสายตากังวล
“วูล์ฟ” เขาดึงแขนหนุ่มหมาป่าซึ่งกำลังยืนลังเลและลากออกไปจากที่นั่นทันที เมื่อไปถึงที่รถหนุ่มหมาป่าเปิดประตูเข้าไปนั่งและกระแทกลมหายใจด้วยท่าทางหงุดหงิด วอลเตอร์ชะงักมือที่กำลังเตรียมสตาร์ทรถและพูด
“เด็กสองคนนั่นไม่อยากเห็นคุณเดือดร้อน” เขาติดเครื่องยนต์ “เพราะสำหรับตำรวจแล้ว พวกเราคือคนต่างถิ่น”
วอลเตอร์อธิบายขณะขับรถออกจากบริเวณนั้น เขาเหลือบตามองวูล์ฟและถอนใจ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเดินเข้าไปหาพวกเขาและจะเป็นยังไงถ้าตำรวจเกิดสงสัยเราขึ้นมา คงไม่ดีแน่ถ้าถูกพวกนั้นตามไปค้นถึงที่พัก”
วอลเตอร์มองวูล์ฟที่นั่งนิ่ง
“ตำรวจแค่สอบปากคำเพื่อนของคุณในฐานะผู้แจ้งเหตุ อย่ากังวลไปเลย”
“ผมรู้” หนุ่มหมาป่าพูด “แต่มันเหมือนเป็นการทิ้งเพื่อน”
“ไม่ใช่เลยวูล์ฟ อย่างน้อยทั้งเจอร์ราดและดาร์เรลก็ไม่ได้คิดแบบนั้น” เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดในตรอก “ทำใจให้สบาย พรุ่งนี้ค่อยไปหาพวกเขาใหม่ก็ได้”
วอลเตอร์พูดพลางเปิดประตูและก้าวลงจากรถ วูล์ฟถอนใจออกมาเบาๆ
“ครับ”
“ทีนี้คุณจะเล่าเรื่องศพที่เจอวันนี้ให้ผมฟังได้หรือยัง”
“ครับ” หนุ่มหมาป่าตอบขณะเดินตามวอลเตอร์เข้าไปในอาคาร “คุณลองดูของที่อยู่ในถุงให้ดีสิครับ”
วอลเตอร์ดึงซองเก็บหลักฐานออกมาจากกระเป๋าเสื้อและมองวัตถุสีน้ำตาลเข้มที่อยู่ในนั้นด้วยสายตาสงสัย
“มันคืออะไร”
“เศษหัวคน” วูล์ฟตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม อีกฝ่ายทำตาโตและยกขึ้นจ้อง
“มันเหมือนซากหรือคราบของพวกแมลงมากกว่า แน่ใจนะว่าคุณมองไม่ผิด”
“ผมแน่ใจ” หนุ่มหมาป่าตอบขณะที่หยุดยืนอยู่หน้าห้องประชุมชั้นสอง “เพราะคิดว่าศพนั่นมีสภาพที่แปลกถึงได้แอบเก็บมา”
เขาเปิดประตูและมองลูกครึ่งแวมไพร์ซึ่งกำลังนั่งคุยอยู่กับสมิธ เทเลอร์และบรุคส์อยู่ภายในห้อง ทุกคนหันหน้ามามองเขาเป็นตาเดียว วูล์ฟพูดเสียงดัง
“ผมคิดว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่วลาร์ดเรียกว่า โฟริด”

*/*/*/*/*















Create Date : 20 ตุลาคม 2552
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 14:06:15 น.
Counter : 280 Pageviews.

1 comment
บทที่ 10 ดามัสคัส เบลด
บทที่ 10

ดามัสคัส เบลด

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากนั่งทบทวนถึงรายละเอียดและข้อมูลต่างๆรวมไปถึงสภาพของศพผู้เคราะห์ร้ายอยู่พักใหญ่วลาร์ดจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินลงไปยังห้องโถงชั้นสอง เมื่อเปิดประตูก้าวเข้าไปเด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสมิธกำลังนั่งดื่มกาแฟและตรวจสอบเอกสารต่างๆตามลำพัง เขาเงยหน้าขึ้นและเอ่ยทัก
“อรุณสวัสดิ์ ตื่นเช้าเหมือนเคยนะ”
“ครับ” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบพลางเดินไปเทนมจากเหยือกใส่แก้วและเดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้านตรงข้ามกับชายหนุ่ม
“แผนงานของวันนี้หรือครับ” วลาร์ดถาม อีกฝ่ายผงกศีรษะรับ
“วันนี้ผมต้องไปหอสมุดกับคุณเทเลอร์ เราจะต้องค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องทุกคดีย้อนหลังไปห้าหรือหกเดือน” เขายกถ้วยกาแฟขึ้น “ใช้เวลาเป็นวันแน่”
“ค้นจากอินเตอร์เน็ตจะไม่เร็วกว่าหรือครับ”
ลูกครึ่งแวมไพร์ถาม สมิธยิ้ม
“มันอาจจะเร็วกว่าจริงแต่เราคงไม่ได้ข้อมูลปลีกย่อยบางอย่างเพิ่มเติม” เขาลุกขึ้นและเดินไปรินกาแฟเพิ่ม “บางครั้งผมได้ข่าวสารมาจากการพูดคุย ถึงคนเล่าจะพูดเกินเลยไปนิดแต่ถ้ารู้จักวิเคราะห์และกลั่นกรองสักหน่อยสิ่งที่เหลือก็เป็นข้อมูลสำคัญได้เหมือนกัน”
“ผมไม่เข้าใจ”
“โลกไม่ได้มีอยู่แค่ห้องหนังสือหรืออินเตอร์เน็ตเท่านั้น มันกว้างกว่าหน่วยนักล่าที่คุณเติบโตมามาก” สมิธพูดอย่างเคร่งขรึมขณะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ “ผมยอมรับว่าคุณเป็นเด็กที่เก่งและมีไหวพริบดีกว่าคนที่อยู่ในวัยเดียวกันกับคุณแต่บางครั้งเราก็ต้องรู้จักการพูดคุยสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้าง เหมือนกับที่คุณคุยกับวูล์ฟ”
“ผมไม่ได้คุยข้อมูลสำคัญอะไรกับหมอนั่นมากนัก”
“แต่หลายครั้งที่คุณได้ความคิดระหว่างการคุยกับวูล์ฟ” สมิธพูดและยิ้ม “คุณอาจจะคิดว่าตัวเองแตกต่างไปจากคนอื่นและพยายามแยกตัวออกจากพวกเขา แต่สำหรับผม วูล์ฟและเจ้าหน้าที่หน่วยนักล่าทุกคนแล้ว คุณคือมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ลองเปิดใจยอมรับคนอื่นดูบ้าง”
“ยังไม่จำเป็น”
วลาร์ดตัดบททั้งที่สีหน้าแสดงความลังเลออกมา สมิธยิ้มก่อนจะยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มและหันไปสนใจเอกสารตรงหน้าอีกครั้ง ลูกครึ่งแวมไพร์มองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถาม
“ผมเห็นคุณให้ความเคารพคุณเทเลอร์มาก เขาเป็นใครหรือครับ”
สมิธเลิกคิ้วและเงยหน้าขึ้น
“เขาเป็นคนระดับมันสมองขององค์กรที่ติดตามคุณแอชเชอร์มานาน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขาเป็นคนของคุณแอชเชอร์โดยตรง รวมทั้งบรุคส์กับวอลเตอร์ด้วย”
เขามองสีหน้าของลูกครึ่งแวมไพร์และยิ้มอย่างรู้ทัน
“ทั้งสามคนนั่นปฏิบัติหน้าที่สำคัญให้คุณแอชเชอร์มาหลายครั้ง พวกเขาทำงานให้กับองค์กรมาก่อนหน้าผมเสียอีก และคุณเทเลอร์เองยังเคยทำงานร่วมกับคุณลีโอด้วย”
วลาร์ดมองหน้าสมิธด้วยความคาดไม่ถึง
“คุณเทเลอร์รู้จักคุณลีโอด้วยหรือครับ”
น้ำเสียงเจือความกระตือรือร้นเล็กน้อยจนชายหนุ่มนึกขำ เขายิ้มก่อนตอบ
“ครับ ทั้งสองคนเคยออกปฏิบัติภารกิจด้วยกัน โดยเฉพาะตอนบุกทำลายห้องทดลองครั้งใหญ่ของคุณลีโอ เขาเองก็เป็นหนึ่งในทีมวางแผนงาน”
“แสดงว่าคุณลีโอไว้ใจเขา” ลูกครึ่งแวมไพร์พึมพำ สมิธผงกศีรษะ
“รวมทั้งคุณอันเดอร์ฮิลล์ด้วย” เขามองหน้าเด็กหนุ่ม “พวกเราสามารถเชื่อใจคุณเทเลอร์ได้ เขาไม่ใช่สายของคนเหล่านั้นแน่”
“ครับ” วลาร์ดรับคำ เสียงร้องเพลงดังลั่นของวูล์ฟทำให้ทั้งคู่ยุติการสนทนา สมิธมองหนุ่มหมาป่าที่กำลังเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับร้องทักอย่างร่าเริง
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณสมิธ เช้านี้อากาศดีจังเลยนะครับ” เขามองเพื่อน อีกฝ่ายนิ่วหน้า
“ดีจนกระทั่งนายเข้ามา” เขาพูดเสียงไม่ดังนัก หนุ่มหมาป่าหัวเราะลั่นก่อนจะคว้าเหยือกนมรินใส่แก้วแล้วดื่มรวดเดียวหมด
“อย่าทำให้บรรยากาศเสียน่า” เขาแกล้งดึงผมของวลาร์ดที่มัดไว้อย่างเรียบร้อย “ตอนอยู่ที่หน่วยนายน่าจะทำผมแบบนี้นะ”
“ยุ่งน่า” ลูกครึ่งแวมไพร์บ่นพร้อมกับปัดมือวูล์ฟออก อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังก่อนจะหันไปทางสมิธ
“พวกคุณเทเลอร์ล่ะครับ”
“ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า แต่เดี๋ยวคงกลับเข้ามา”
“ไปข้างนอก เช้าแบบนี้เนี่ยนะครับ” วูล์ฟพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบแซนวิชมาใส่ปาก “พวกเขาออกไปทำอะไรกันเหรอ”
“สังเกตการณ์แถวนี้” เสียงขรึมตอบมาทางประตู หนุ่มหมาป่าสำลักแซนวิชที่เพิ่งกลืนเข้าไปและหันไปส่งยิ้มให้เทเลอร์ซึ่งกำลังเดินมานั่ง วลาร์ดมองเพื่อนอย่างระอาก่อนจะหันไปถามชายสูงอายุด้วยเสียงเรียบ
“พบอะไรบ้างไหมครับ”
“ไม่เลย” เทเลอร์ตอบขณะรับถ้วยกาแฟมาจากบรุคส์ “คนร้ายรายนี้ฉลาดมาก เขาไม่เคยปรากฏตัวออกมาให้ใครเห็นเลยสักครั้ง”
“แบบนี้ยิ่งทำให้ค้นหาตัวเขายากเพราะเราไม่มีเบาะแสอะไรเลย” บรุคส์เสริมพลางเดินไปนั่งข้างสมิธ “คงต้องรอข้อมูลวันนี้”
“ผมไม่แน่ใจว่าเราจะได้อะไรมากนัก” สมิธพูดอย่างเคร่งขรึม เขาหันไปมองวลาร์ด “คงต้องรอข้อมูลเรื่องอาวุธจากวลาร์ด”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบจัดการมื้อเช้าและแยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว” เทเลอร์สั่งเสียงเรียบก่อนจะหันไปทางลูกครึ่งแวมไพร์ “ฉันไม่แน่ใจว่าทางตำรวจจะมีข้อมูลในส่วนนี้ไหม ยังไงก็ระวังตัวให้ดี ส่วนวูล์ฟ”
เขาเลื่อนสายตาไปที่หนุ่มหมาป่า
“อย่าเล่นเพลินจนลืมหน้าที่”
“ครับ”
วูล์ฟตอบด้วยท่าทางที่ดูเรียบร้อยมากขึ้นจนสมิธแอบยิ้ม เทเลอร์มองเขาด้วยสายตาดุก่อนจะสั่ง
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว”

*/*/*/*/*

ดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะยามเที่ยงเปล่งประกายสว่างเจิดจ้า แสงที่สาดส่องลงมาร้อนแรงเหมือนจะแผดเผาผืนแผ่นดินให้มอดไหม้ ความร้อนของมันทำให้เหล่าบรรดาสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กต้องหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ก้อนหินรอเวลาให้ดวงตะวันคล้อยต่ำเพื่อออกหากินอีกครั้ง ดวงตากลมโตของพวกมันมองรถสีดำคันหนึ่งซึ่งกำลังแล่นผ่านไป
“ไม่คิดว่าร้านนี้จะอยู่ห่างจากที่แรกมาก” บรุคส์ทำลายความเงียบขึ้น เขาเหลือบมอง
วลาร์ดที่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างและนิ่วหน้า “ดูเหมือนคุณไม่ใช่คนชอบพูด”
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ อีกฝ่ายเลิกคิ้ว
“ไม่เหมือนวูล์ฟเลยสักนิด”
“ผมไม่ชอบพูดอะไรที่มันไร้สาระ” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเเสียงเรียบพลางหันหน้าไปมองหน้าอีกฝ่าย
“บางครั้งเราก็ต้องรู้จักสื่อสารกับคนอื่นบ้าง” บรุคส์พูด “บางทีคำพูดไร้สาระอาจแฝงข้อมูลอะไรบางอย่างเอาไว้ก็ได้”
“นั่นเป็นหน้าที่ของวูล์ฟ” วลาร์ดตัดบทและเลื่อนสายตามองออกไปนอกรถอีกครั้ง บรุคส์
มองเขาแล้วยิ้มแต่ไม่พูดอะไรจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่คุยอะไรกันจนกระทั่งรถวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนขนาดเล็ก บรุคส์มองบ้านซึ่งตั้งเรียงรายริมถนนเพียงไม่กี่หลังแล้วนิ่วหน้า เขาหยิบแผนที่ขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ร้านขายอาหารแห่งหนึ่ง วลาร์ดถามด้วยความสงสัย
“หยุดทำไม”
“ผมขอซื้อกาแฟหน่อย” บรุคส์ตอบพลางหยิบกระติกและก้าวลงจากรถ เขาหันกลับมาทางเด็กหนุ่ม
“จะไปด้วยกันไหม”
“ไม่”
วลาร์ดตอบเสียงเรียบ บรุคส์ยิ้มขณะปิดประตูและเดินหายเข้าไปในร้านราวสิบนาทีเขาจึงกลับมาที่รถพร้อมกับยื่นน้ำเย็นขวดหนึ่งส่งให้ลูกครึ่งแวมไพร์
“ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบเครื่องดื่ม” เขาพูดขณะติดเครื่องยนต์และขับรถออกจากที่นั่น บรุคส์ยิ้มเมื่อเหลือบตามองวลาร์ดและเห็นเขากำลังวางขวดน้ำไว้ข้างตัว
“ถ้าเป็นวูล์ฟคงถามผมว่าทำไมหายไปนาน” บรุคส์พูดขึ้น ลูกครึ่งแวมไพร์นั่งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ
“คุณเข้าไปถามทาง”
“รู้ได้ยังไง”
“เจ้านั่นก็ทำแบบนั้น” วลาร์ดตอบ เขาหันหน้าไปมองคู่สนทนา “ร้านอยู่ที่ไหน”
“ห่างจากนี่ไปสามไมล์” บรุคส์ตอบและบ่น “ไกลขนาดนี้ยังอุตส่าห์มีคนมาจ้าง”
“ไม่แปลก” ลูกครึ่งแวมไพร์พูด “มนุษย์ชอบทำอะไรให้มันดูยุ่งยากแบบนี้เสมอ”
“ฟังเหมือนพวกพฤติกรรมต่อต้านสังคม” บรุคส์พูดขณะเริ่มมองหาที่หมาย “โชคดีมากที่คุณมีเพื่อนแบบวูล์ฟ”
“หมายความว่ายังไง”
วลาร์ดถามเสียงห้วน ผู้อาวุโสกว่ายิ้มกว้าง
“คุณน่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ” เขาพยักพเยิดไปทางด้านหน้า “นั่นใช่ร้านที่เรากำลังหาอยู่หรือเปล่า”
วลาร์ดมองตามสายตาของบรุคส์ และขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นบ้านทาสีขาวสะอาดตาหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนเนิน เขามองป้ายขนาดเล็กที่แขวนไว้ริมทางแล้วพยักหน้า
“ใช่”
“ไม่เห็นตรงไหนบอกว่าเป็นร้านทำมีด” บรุคส์พูดขณะเลี้ยวรถเข้าไปจอด ลูกครึ่งแวมไพร์เปิดประตูและก้าวลงไปยืนพร้อมกับหันหน้าไปตรงป้าย
“นั่นก็บอกอยู่แล้ว”
“ไหน” อีกฝ่ายพยายามอ่าน “มันเขียนว่าอะไร”
“ซีเกียน” วลาร์ดตอบพลางหมุนตัวเดินไปหยุดยืนหน้าประตูบ้าน”ในภาษาไอริชแปลว่ามีด”
“ทำไมต้องเป็นภาษาไอริช คิดว่าคนอื่นจะอ่านออกหมดทุกคนหรือไง” บรุคส์บ่นขณะกดกริ่งเรียก ลูกครึ่งแวมไพร์เหลือบตามองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เสียงขานรับค่อนข้างหนักดังขึ้นภายในพร้อมกับฝีเท้าของผู้ที่อยู่ในบ้านซึ่งกำลังตรงมาที่ประตูทำให้บรุคส์ต้องรีบปรับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมและยิ้มกว้างเมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตูออกมา
“มีธุระอะไร”
“ผมสนใจสั่งทำมีดครับ” บรุคส์ตอบ อีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาระแวงก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกระด้าง
“เราเลิกรับทำแล้ว”
เขาทำท่าจะปิดประตูแต่ต้องชะงักเมื่อวลาร์ดพูดขึ้น
“คุณเคยทำคอมแบทดามัสคัสเบลดใช่ไหมครับ”
สีหน้าของอีกฝ่ายฉายแววฉงนออกมาทันทีและปรับให้ดูเป็นปรกติเหมือนเดิมก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่ลดความกระด้างลง
“เคย” เขาไล่สายตาสำรวจลูกครึ่งแวมไพร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถามทำไม”
“ผมสนใจและอยากให้คุณทำให้อีกเล่ม”
“อีกเล่ม”อีกฝ่ายพูดทวนพร้อมกับขมวดคิ้ว “มีแบบมาให้ด้วยหรือ”
“ครับ” วลาร์ดตอบพร้อมกับส่งรูปมีดที่เขาได้มาส่งให้ ชายเจ้าของบ้านรับไปดูแล้วนิ่วหน้า
“คุณได้มาจากไหน” เขาถามขณะเงยหน้าขึ้น ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบเสียงเรียบ
“คนรู้จักส่งมาให้ เขาบอกว่าได้มีดเล่มนี้มาจากผู้ชายคนหนึ่ง”
“แล้วทำไมถึงรู้ว่าเป็นงานของผม” อีกฝ่ายถาม วลาร์ดยิ้มก่อนตอบ
“ชื่อเสียงของคุณเป็นที่รู้จักของกลุ่มคนรักมีด”
สีหน้าของชายผู้นั้นฉายแววภาคภูมิใจออกมาในทันที เขาขยับถอยจากประตูพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ
“เข้ามานั่งคุยกันข้างในดีกว่า”
บรุคส์อมยิ้มเมื่อเห็นลูกครึ่งแวมไพร์ก้าวนำเข้าไปด้านใน แม้จะวางท่าทางให้ดูเหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปแต่เขาก็เห็นวลาร์ดกวาดตามองรอบตัวอย่างระวัง
“เชิญนั่ง” ชายคนนั้นกล่าวพร้อมกับเดินโขยกเขยกไปอีกด้านหนึ่งของห้อง “กาแฟคนละถ้วยดีไหม”
“ขอบคุณ” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบเสียงไม่ดังนักและถือโอกาสมองเจ้าของบ้านซึ่งเป็นชายสูงวัยอายุราว 60 ปีอย่างพิจารณาก่อนจะไล่สายตาสำรวจโดยรอบอีกครั้งขณะที่ช่างทำมีดชราผู้นั้นหันหลังให้ บรุคส์เอื้อมไปหยิบอัลบั้มรูปที่วางไว้บนโต๊ะและเปิดดูทีละหน้าอย่างสนใจ กลิ่นหอมที่โชยมากระทบจมูกทำให้เขาชะงักและเงยหน้าขึ้น เจ้าของบ้านยิ้มพร้อมกับส่งถ้วยกาแฟให้
“ผลงานที่ผ่านมาทั้งหมด” เขาพูดด้วยสีหน้าภูมิใจขณะหย่อนตัวนั่งลงด้านตรงข้าม
วลาร์ดวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะและพูด
“เป็นผลงานชั้นเยี่ยม” เขาหันไปมองมีดที่วางโชว์ไว้ในตู้ “ทำไมถึงเลิกทำล่ะครับ”
“มีปัญหาเรื่องสุขภาพนิดหน่อย” เจ้าของบ้านตอบพลางขยับข้อมือและขา “จากอุบัติเหตุรถชนเมื่อห้าปีก่อน”
“น่าเสียดาย” เด็กหนุ่มพูด “คุณเป็นช่างตีมีดด้วยวิธีดั้งเดิมที่หาไม่ได้ในสมัยนี้”
“ยังไงผมก็สู้พวกช่างโรงงานไม่ได้” ช่างทำมีดชราพูดพร้อมกับเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “งานของผมต้องรอเป็นเดือน ในขณะที่คนพวกนั้นรับงานมาเพียงไม่กี่อาทิตย์ก็ส่งขายได้แล้ว”
“นั่นไม่เรียกว่ามีด” วลาร์ดพูดเสียงเรียบ “เฉือนเนื้อบนเขียงไม่กี่ครั้งก็หมดคม”
คำพูดของลูกครึ่งแวมไพร์ทำให้ชายผู้นั้นยิ้มกว้าง เขามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยสายตาพอใจก่อนจะเอ่ยชม
“อายุแค่นี้แต่รู้เรื่องมีดดีกว่าผู้ใหญ่บางคน น่าเสียดาย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าขณะก้มหน้ามองข้อมือของตัวเอง บรุคส์เหลือบตามองเขาก่อนจะปิดอัลบั้มและถามด้วยความสงสัย
“นี่เป็นรูปผลงานทั้งหมดของคุณใช่ไหมครับ”
“ใช่” อีกฝ่ายตอบ บรุคส์นิ่วหน้า
“ทำไมถึงไม่มีรูปมีดที่พวกเราให้คุณดูเมื่อครู่”
“มันจะไปมีได้ยังไง ในเมื่ออัลบั้มนี้เก็บเฉพาะงานของผมเท่านั้น” ช่างทำมีดตอบ วลาร์ด
หันไปทางบรุคส์
“ผมเดาว่านี่เป็นงานฝีมือที่สืบทอดกันในตระกูล” เขาหันกลับไปที่ชายคนนั้นอีกครั้ง “ใช่ไหมครับ”
“ใช่” เจ้าของบ้านตอบพร้อมกับยกกาแฟขึ้นดื่ม “พ่อผมเป็นคนตีมีดเล่มนั้น ท่านทำมันตามคำขอของชาวต่างชาติคนหนึ่งประมาณ 50 ปีก่อนเห็นจะได้”
“50 ปี!” บรุคส์อุทาน “เหลือเชื่อ ในรูปมันยังมีสภาพเหมือนใหม่มาก”
“นั่นเป็นแค่มีดที่ถูกสร้างเลียนแบบในภายหลัง” ช่างทำมีดตอบพลางวางถ้วยลงบนโต๊ะ “ผมเห็นครั้งเดียวก็รู้แล้ว”
“ถ้าเป็นของเลียนแบบทำไมคุณถึงยอมคุยกับเรา” บรุคส์ถามอย่างระแวง อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะตอบอย่างอารมณ์ดี
“เพราะคำพูดของพ่อหนุ่มคนนี้” เขาหันไปมองวลาร์ด “กับรูปที่พวกคุณเอามาให้ผมดู บางคนอาจจะเห็นว่ามันเป็นแค่มีดที่มีลายเหมือนดามัสคัสเบลดทั่วไป แต่ถ้าเป็นพวกผมจะรู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ใช่เพราะลายในเนื้อดาบที่ถูกตีขึ้นจากช่างฝีมือของพวกเราจะมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากดาบที่ถูกตีโดยช่างทำมีดคนอื่น”
“เอกลักษณ์ประจำตระกูล” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงเรียบ “คุณรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเราเจาะจงมาหามีดเล่มนี้โดยเฉพาะ”
“ใช่” ช่างทำมีดตอบ “และผมก็รู้ด้วยว่าคุณทั้งสองคนไม่ใช่นักสะสมธรรมดา ที่มาหาก็เพื่ออยากรู้รายละเอียดอาวุธของฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อคดีสยองในตอนนี้ว่าผมรู้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา”
“แล้วมีอะไรที่เราสองคนควรจะรู้บ้างไหมครับ” วลาร์ดถาม อีกฝ่ายยิ้ม
“มี” เขาโน้มตัวมาด้านหน้าและพูดเน้นทีละคำ“ผมรู้จักผู้ชายคนนั้นและเชื่อว่าเขาเป็นคนเดียวกันกับชาวต่างชาติที่มาจ้างให้พวกเราตีมีดให้เมื่อ 50 ปีก่อน”
“เป็นไปไม่ได้” บรุคส์แย้งแต่วลาร์ดกลับมองหน้าช่างทำมีดชราและถามเสียงเรียบ
“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น”
“มีดนั่นตีขึ้นมาเพื่อคนถนัดซ้าย และวิธีการใช้มีดของคนร้ายก็เป็นแบบเดียวกับชายคนนั้น”
สีหน้าของลูกครึ่งแวมไพร์ฉายความแปลกใจออกมา เขาขยับตัวไปข้างหน้าพร้อมกับถามอย่างเคร่งขรึม
“คุณแน่ใจได้ยังไง”’
“ผมเป็นช่างทำมีด จะรับงานแต่ละครั้งก็ต้องศึกษาลักษณะนิสัยของลูกค้าให้ดีก่อน” ชายผู้นั้นพูดพลางวางมือลงบนภาพที่วลาร์ดนำมา “ถึงตอนนั้นผมยังเด็กแต่ก็ยังจำสีหน้าและท่าทางของชาวต่างชาติคนนั้นได้ดี”
“ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ช่างทำมีดชรารีบพูดทันทีโดยไม่ลังเล
“เป็นคนขรึมระวังคำพูดทุกคำ ทุกครั้งที่มาเขามักจะให้ความสนใจมีดทุกเล่มที่อยู่ในร้านและยืนดูอยู่เป็นชั่วโมง ตอนนั้นผมยังคิดเลยว่าเขาคงจะเป็นพวกหมกมุ่นและรักสันโดษเพราะผู้ชายคนนั้นมักจะมาที่นี่เพียงคนเดียว แต่ที่น่าสนใจก็คือการเคลื่อนไหวของเขา มันทั้งเงียบและเร็ว โดยเฉพาะตอนเอี้ยวตัว มันดูเหมือนกับ...ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้พวกคุณเข้าใจ”
“แมว” วลาร์ดต่อคำพูดให้เขา “หรือสัตว์จำพวกเสือดาว”
“ใช่” เจ้าของบ้านตอบ “นอกจากนี้เขายังชอบเรื่องที่เกี่ยวกับสัตว์ป่ามาก ถึงจะเป็นคนพูดน้อยแต่ถ้าได้คุยถึงสองเรื่องนี้แล้วผู้ชายคนนั้นจะเล่าให้ฟังได้เป็นวัน”
“จำได้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไรและมาจากไหน” บรุคส์ถามขึ้นมาบ้างแต่ช่างทำมีดสั่นศีรษะ
“เสียใจ ผมจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เป็นไร” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบก่อนจะลุกขึ้น “ขอบคุณสำหรับการให้ความร่วมมือ”
“ผมยินดี” เจ้าของบ้านตอบและยิ้ม “เพราะคุณมีมารยาทกว่าพวกตำรวจที่มาก่อนหน้านี้มาก”
คำพูดของเขาทำให้วลาร์ดชะงัก
“มีตำรวจมาถามเรื่องนี้เหมือนกันหรือครับ”
“ครับ แต่ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะเป็นตำรวจหรือเปล่า แต่ดูจากท่าทางและการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นพวกนักสืบมากกว่า”
ช่างทำมีดตอบ ลูกครึ่งแวมไพร์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางบรุคส์
“เรากลับกันเถอะ” เขาหันกลับไปที่เจ้าของบ้านอีกครั้ง “ขอบคุณอีกครั้งครับ”
ช่างทำมีดยิ้มอย่างเป็นมิตร เขาเดินไปที่ตู้โชว์และหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากนั้นจึงเดินกลับมาหาวลาร์ดอีกครั้ง
“เก็บนี่ไว้” ชายชราพูดพร้อมกับส่งมีดพกขนาดเล็กให้ เด็กหนุ่มชะงักและมองด้วยความฉงน
“ทำไม”
“มีไม่กี่คนที่รู้คุณค่าของมีดอย่างแท้จริง” เขาเดินไปเปิดประตู “ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นใครและถ้าจับคนร้ายรายนี้ได้ ช่วยบอกเขาด้วยว่ามีดเล่มนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยคน”
“ผมจะบอก” วลาร์ดรับคำก่อนจะก้มศีรษะให้เขาและก้าวออกจากบ้านบรุคส์ยิ้มให้กับช่างทำมีดชรา
“ขอบคุณสำหรับกาแฟ”
เขาหมุนตัวเดินกลับไปที่รถและขับออกจากที่นั่น หลังจากวิ่งไปได้สักพักบรุคส์จึงพูดขึ้น
“คิดไม่ถึงว่าพวกตำรวจจะรู้เรื่องมีดเหมือนกัน”
“คนที่ไปหาเขาไม่ใช่ตำรวจ และไม่ใช่เอฟบีไอ” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงเรียบ อีกฝ่ายขมวดคิ้ว
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“พวกตำรวจรู้แค่ว่าคนร้ายใช้มีดเป็นอาวุธ อาจจะรู้ประเภทจากบาดแผล แต่ไม่มีทางรู้รายละเอียดที่ลึกไปกว่านั้น”
“พวกเขาอาจจะเจอเศษโลหะในที่เกิดเหตุ อีกอย่างบาดแผลของผู้ตายลึกจนถึงกระดูกบางทีมันอาจจะมีบางส่วนของมีดหักติดอยู่” บรุคส์แย้งแต่วลาร์ดสั่นหน้า
“เป็นไปได้ยากเพราะเนื้อของดามัสคัสเบลดจะมีความยืดหยุ่นสูง เหนียวไม่บิ่นหักง่าย และต่อให้มีเศษหลงเหลืออยู่ในร่างของเหยื่อจริงพวกเขาก็จะรู้แค่ว่ามันเป็นโลหะผสมชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
“ถ้าเป็นจริงอย่างที่พูด คุณคิดว่าคนพวกนั้นเป็นใคร"” อีกฝ่ายถามแต่เด็กหนุ่มกลับนั่งนิ่ง บรุคส์ชำเลืองมองท่าทางของเขาแล้วถอนใจ
“เอาไว้บอกตอนกลับไปถึงที่พักแล้วก็ได้”

*/*/*/*/*
















Create Date : 20 ตุลาคม 2552
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 14:05:29 น.
Counter : 325 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี