บทที่ 1 รัตติกาลเลือด
หายนะครั้งใหม่ของมวลมนุษย์บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อองค์กรร้ายหวนคืนมาพร้อมความแค้น
มันได้วางแผนอันแยบยลเพื่อทำลายล้างเหล่านักล่า
พวกเขาจะรับมือกับคนชั่วอย่างไร

*/*/*/*/*

นักล่าแห่งรัตติกาล II

โรงงานมรณะ

*/*/*/*/*

บทที่ 1

รัตติกาลเลือด


เสียงหัวร่อต่อกระซิกของชายหนุ่มหญิงสาวดังมาจากทางเดินเลียบแม่น้ำ หากเป็นเวลากลางวัน เส้นทางนี้จะคึกคักไปด้วยผู้คนแต่ในยามกลางคืนมันกลับเงียบเหงาไร้คนสัญจร แม้จะมีแสงจากเสาไฟซึ่งตั้งเป็นระยะแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้บริเวณนั้นสว่างขึ้นมามากนัก

แม้ถนนจะว่างเปล่าแต่ใช่ว่าจะไม่มีใคร นานครั้งจะมีรถยนต์สักคันแล่นผ่านมา แสงไฟคู่หน้าสาดส่องไปกระทบกับร่างวัยรุ่นสองคนซึ่งกำลังเดินเคียงคู่กันอย่างมีความสุข

“งานเลี้ยงกำลังสนุก ทำไมถึงรีบกลับ”

เสียงชายหนุ่มถาม หญิงสาวส่งยิ้มให้กับเขา

“เพราะฉันไม่อยากเห็นเธอเมาจนเดินไม่ไหว”

“แค่เบียร์สองสามแก้วเท่านั้น” ฝ่ายชายแย้งและกุมมือคนรักเอาไว้ “ถ้าเมาเราก็นอนค้างกันที่งาน”

“พ่อฉันจะได้ตามไปยิงเธอน่ะสิ” หญิงสาวพูดพลางหยิกแขนเขาไม่แรงนัก “แค่นี้กลับไปก็โดนบ่นจะแย่อยู่แล้ว ฉันไม่อยากถูกกักบริเวณอีกเป็นอาทิตย์นะ”

“งั้นก็อย่าเพิ่งกลับ” ชายหนุ่มรั้งเธอเอาไว้และดึงเข้าไปกอด “อยู่คุยกับฉันอีกหน่อยก่อน”

“แค่คุยเฉยๆเท่านั้นนะ” หญิงสาวพูดเสียงแผ่ว อีกฝ่ายยิ้มและโน้มใบหน้าลง

“ตกลง” เขากระซิบพลางใช้จมูกแตะแก้มของคนรัก “ฉันไม่ทำอะไรเกินเลยแน่ ขอสัญญา”

ชายหนุ่มพูดและกอดเธอแน่นขึ้น เขาก้มหน้าลงเพื่อจุมพิตหญิงสาวแต่ต้องชะงักเมื่อมีเสียงเหมือนของหนักตกกระทบพื้นดังใกล้ตัว ชายหนุ่มเงยหน้าและหันไปมอง

“เสียงอะไร”

เงาร่างสูงใหญ่ไหววูบเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ฝ่ายชายเบิกตากว้างแต่กรงเล็บคมกริบที่ตวัดผ่านลำคอทำให้เขาร่วงลงไปกองกับพื้น หญิงสาวมองคนรักซึ่งนอนจมกองเลือดตายด้วยความตกใจ เธอจ้องร่างทะมึนซึ่งกำลังย่างสามขุมเข้าไปหาและส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น มันจางหายไปเมื่ออมนุษย์ตนนั้นคว้าไหล่ของผู้หญิงคนนั้นเอาไว้และฝังเขี้ยวลงไปในลำคอ

“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้!”

เสียงตวาดดังมาจากทางด้านหลัง ผีร้ายถอนเขี้ยวของมันออกและหันไปร้องขู่ เสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากเด็กหนุ่มร่างใหญ่ เขากระโจนเข้าใส่อมนุษย์อย่างรวดเร็ว

“ไอ้ผีดิบ”

ผีดูดเลือดแสยะยิ้มก่อนจะโยนร่างหญิงเคราะห์ไปขวาง หนุ่มหมาป่ารีบคว้าตัวเธอเอาไว้และมองอย่างเป็นห่วง

“หล่อนโดนกัดไปแล้ว” เสียงเรียบเย็นพูดขึ้น วูล์ฟเงยหน้ามองวลาร์ดซึ่งกำลังชักดาบออกจากฝัก

“เธออาจรอด”

“นายก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หนุ่มหมาป่ามองปลายดาบที่ตวัดลงดิน

“จะกำจัดตอนนี้เลยหรือ” เขาถาม อีกฝ่ายก้มหน้าลงมองก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน” วลาร์ดเลื่อนสายตามองไปยังผีดิบซึ่งกำลังยืนยิ้มแยกเขี้ยว “นายดูหล่อนไปส่วนเจ้านั่น”

เขาขยับดาบ

“ฉันจะเป็นคนตัดคอมันเอง”

ร่างในเครื่องแบบสีดำพุ่งปราดออกไปทันที ผีดูดเลือดหมุนตัวหลบคมดาบที่ฟาดฟันเข้าใส่อย่างว่องไว วลาร์ดขมวดคิ้วด้วยความโกรธและเพิ่มความเร็วในการจูโจม สีหน้าเยาะเย้ยของผีดิบเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไป มันกระโดดถอยหลังและเสียหลักเซถลา ลูกครึ่งแวมไพร์ฉวยโอกาสนั้นตวัดดาบหมายตัดหัวศัตรู

“ตายเสียเถอะเจ้าผีดูดเลือด”

คมดาบชะงักค้างนิ่งเมื่อผีร้ายยกมือขึ้นรับ วลาร์ดเบิกตากว้างด้วยความตระหนกในขณะที่อีกฝ่ายเหยียดยิ้ม

“แกมันก็เป็นเหมือนกับฉัน” มันปล่อยดาบและใช้มือข้างนั้นฟาดลงไปบนใบหน้าของลูกครึ่งแวมไพร์อย่างแรง ร่างของเด็กหนุ่มถึงกับกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้และทรุดลงไปกอง

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”

เจ้าผีร้ายคำรามก่อนร่างจะหายวับไปปรากฏตรงหน้าวลาร์ด มันคว้าคอเขาและยกขึ้น

“พวกเลือดผสม” น้ำเสียงเต็มไปด้วยการดูถูกขณะกระแทกร่างของเด็กหนุ่มไปที่ต้นไม้ ผีดูดเลือดกางกรงเล็บ “อย่างแกไม่มีค่าพอจะแตะชายเสื้อฉันด้วยซ้ำ”

เล็บคมกริบฝังลงไปบนอกของลูกครึ่งแวมไพร์ เขาผวาขึ้นสุดตัวและจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาว

“แกพูดถูก” วลาร์ดคำรามพลางจ้องผีร้ายด้วยสายตาแดงก่ำ เขาแยกเขี้ยวขณะกางมือออก “ฉันไม่ควรแตะต้องพวกผีดิบ”

เจ้าผีดิบเบิกตาโพลงเมื่อเล็บคมดุจใบมีดของลูกครึ่งแวมไพร์จิกลงไปในลำคอฉีกกระชากเนื้อของมันจนขาดเป็นริ้ว มือที่ฝังบนอกของวลาร์ดคลายออกทันที

“ก...แก” มันร้องขณะสำลักไอออกมาเป็นเลือด ดวงตาจ้องลูกครึ่งแวมไพร์เขม็ง “กล้าทำแบบนี้ได้ยังไง”

“นี่มันแค่การเริ่มต้นเท่านั้น” วลาร์ดตอบเสียงเย็นพลางหมุนดาบในมือ “ของจริงมันหลังจากนี้ต่างหาก”

เด็กหนุ่มยิ้ม

“ลาก่อนท่านเคาท์”

เงาสีเงินวิ่งผ่านลำคอของผีดูดเลือดไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านเคาท์เบิกตากว้างและยังคงอ้าปากค้างขณะที่หัวหลุดร่วงออกจากตัว วลาร์ดมองร่างซึ่งกำลังยืนโอนเอนไปมาด้วยสายตาชิงชังก่อนจะหันหน้ากลับไปยังวูล์ฟซึ่งยืนรออยู่ทางด้านหลัง

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง”

“ตายแล้ว” หนุ่มหมาป่าตอบเสียงเรียบ ลูกครึ่งแวมไพร์มองหญิงสาวด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะปักดาบลงไปบนอกผ่าหัวใจสาวเคราะห์ร้ายออกเป็นสองส่วน เขาถามเสียงเรียบขณะเก็บดาบกลับเข้าฝัก

“เรียกพวกเขาหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้ว อีกสักพักคงมาถึง” วูล์ฟตอบพลางเลื่อนไปมองร่างไร้หัวของผีดิบ เขาชำเลืองมองเพื่อนอย่างเป็นห่วงแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทัน

“ฉันเป็นนักล่า” วลาร์ดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้ว

“ก็ดี” เขาหันไปมองรถตู้สีดำสองคันซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาจอด ชายที่อยู่ในรถต่างลงมาเก็บร่างผู้เสียชีวิตรวมทั้งผีดิบอย่างรวดเร็ว

“จะใช้รถขนศพพวกนี้ไปหรือ” หนุ่มหมาป่าถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาหา เขาตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“พวกเราแค่มารับไปส่งยังจุดนัดพบเท่านั้นครับ”

“จุดนัดพบ” วูล์ฟทวน “ที่ไหน”

“ลานกีฬาร้างห่างจากนี่ไปสามไมล์” วลาร์ดตอบ อีกฝ่ายหันไปมองหน้า

“นายรู้ได้ยังไง”

“มันอยู่ในรายงาน” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดก่อนจะหันไปมองคนของหน่วยซึ่งลำเลียงร่างทั้งสามขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว หนุ่มหมาป่ามองตามอย่างไม่เข้าใจนัก

“จะขนไปขนมาทำไมให้วุ่นวาย ขับรถวิ่งกลับหน่วยเลยก็หมดเรื่อง”

“เมืองนี้ห่างจากที่ตั้งหน่วยของเรามาก ทางฝ่ายชันสูตรกลัวว่ากว่าจะเดินทางไปถึงสภาพของศพอาจจะเสียหายจนไม่สามารถตรวจอะไรได้ คุณอันเดอร์ฮิลล์จึงสั่งให้เฮลิคอปเตอร์มารับ”

เจ้าหน้าที่เป็นผู้ตอบ วูล์ฟถึงกับอ้าปากค้าง

“ส่งศพไปทางอากาศ แต่นักล่าอย่างฉันต้องนั่งขดไปบนรถ” เขาเกาศีรษะจนผมยุ่ง “ทำไมไม่ให้พวกเราเดินทางแบบนี้ตั้งแต่แรก”

“มันเปลืองค่าใช้จ่าย” วลาร์ดตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย หนุ่มหมาป่าแยกเขี้ยวและพูดเสียงดัง

“องค์กรใหญ่ขนาดมีดาวเทียมเป็นของตัวเองเนี่ยนะ” เขาส่ายหน้า “ฉันจะกลับพร้อมคนพวกนั้น”

วูล์ฟพูดและทำท่าจะเดินไปยังรถคันที่บรรทุกศพแต่ลูกครึ่งแวมไพร์กลับคว้าเสื้อของเขาและลากไปที่รถอีกคัน

“นายต้องไปกับฉัน” เขาผลักหนุ่มหมาป่าเข้าไปในรถก่อนจะเดินไปนั่งที่เบาะหน้าโดยไม่สนใจเสียงบ่นของเพื่อน วลาร์ดหันไปมองเจ้าหน้าที่ประจำรถอีกคันและออกคำสั่งเมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อม

“ไปได้แล้ว”

รถทั้งสองวิ่งออกจากบริเวณนั้นทันที หลังจากวิ่งตามกันไปจนถึงทางแยก รถคันที่บรรทุกศพก็เลี้ยวไปอีกทาง ลูกครึ่งแวมไพร์มองตามด้วยความกังวลก่อนจะชำเลืองตาไปยังเบาะหลังและกระตุกยิ้มเมื่อเห็นวูล์ฟกำลังนั่งสัปหงก

“เจ้าหมาบ้า”

เขาพึมพำก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปที่ถนนและมองอาคารบ้านเรือนซึ่งกำลังเคลื่อนผ่านไปตามความเร็วของรถ

“อีกนานกว่าจะถึง ไม่พักสักหน่อยก่อนหรือครับ” คนขับพูดขึ้น วลาร์ดเหลือบตามองเขาก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“ผมไม่ง่วง”

ทั้งสองนั่งนิ่งไม่พูดอะไรต่อจากนั้น หลังจากที่วิ่งมาได้ระยะหนึ่งทั้งหมดจึงพ้นจากเขตชุมชน ลูกครึ่งแวมไพร์มองทุ่งหญ้าโล่งด้วยสายตาครุ่นคิด

“เราทำลายห้องทดลองของพวกอิลูมิเนติคไปแล้ว ผีดิบที่เจอวันนี้คงไม่ใช่คนของพวกนั้นหรอกครับ”

คนขับรถพูดขึ้น วลาร์ดหันไปมองเขา

“คุณเข้ามาทำงานนานหรือยัง”

“หลังพวกคุณถล่มโรงงานร้างจนราบ” อีกฝ่ายตอบและทำท่าคิด “ประมาณเจ็ดเดือนเห็นจะได้ อ้อผมพีท แฮมเมอร์ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับพวกคุณ”

เขายื่นมือออกมาแต่ต้องดึงกลับเมื่อลูกครึ่งแวมไพร์ทำเพียงเหลือบมองอย่างไม่สนใจ

“แค่นั้นเองหรือ” วลาร์ดพูดพลางเบนสายตามองไปนอกรถอีกครั้ง “ยังไม่รู้จักอิลูมิเนติคเลยสักนิด”

“หมายความว่ายังไงหรือครับ” แฮมเมอร์ถามและนิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายนั่งนิ่ง คำเตือนถึงนิสัยของวลาร์ดที่สมิธบอกไว้ก่อนจะออกเดินทางทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าควรสงบปากลงได้แล้ว แฮมเมอร์จึงตั้งสมาธิกลับไปที่การบังคับรถอีกครั้ง

แม้จะเป็นการวิ่งในระยะเวลาอันยาวนาน แต่เพราะผลจากกาแฟรสเข้มที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าทำให้คนที่กำลังขับรถไม่รู้สึกเหนื่อยหรือง่วงเท่าใดนัก หลายครั้งที่เขาแอบมองวลาร์ดเพราะคิดว่าเด็กหนุ่มคงจะหลับไปแล้วแต่แฮมเมอร์ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าลูกครึ่งแวมไพร์ยังคงมองทุ่งหญ้าข้างทางอยู่เช่นเดิม แต่แล้วอยู่ๆวลาร์ดก็ขยับตัวเมื่อเห็นแสงไฟจากอาคารขนาดใหญ่ซึ่งตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่ง เขาถามขึ้น

“นั่นอะไร”

“ไหนครับ” แฮมเมอร์หันไปมอง “ดูเหมือนจะเป็นโรงงาน”

“ผมดูแผนที่ก่อนออกเดินทาง ไม่เห็นมีโรงงานอะไรแถวนี้” ลูกครึ่งแวมไพร์แย้ง คนขับรีบดึงสมุดบันทึกออกมาและเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว

“เป็นโรงงานสร้างใหม่น่ะครับ ดูเหมือนจะเกี่ยวกับพวกเครื่องสำอางหรือยาอะไรทำนองนั้น”

“ตอนแรกทำไมพวกเราถึงไม่เห็น” วลาร์ดหันไปถาม แฮมเมอร์มองแสงไฟที่เปิดอย่างสว่างไสวแล้วยิ้ม

“เขาอาจจะเพิ่งเปิดก็ได้ครับ”

“เปิดทำงานกลางดึกแบบนี้น่ะหรือ”

ลูกครึ่งแวมไพร์พึมพำขณะทำท่าคิด แฮมเมอร์ชำเลืองมองเขาก่อนจะหันกลับไปยังถนนอีกครั้ง แสงไฟจากรถที่วิ่งสวนมาสว่างจ้าเสียจนเขาต้องหรี่ตาลง และเมื่อรถฝั่งตรงข้ามวิ่งผ่านไป แฮมเมอร์ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเงาของอะไรบางอย่างวิ่งตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ไฟที่สาดไปข้างหน้าทำให้ผู้อยู่บนรถเห็นร่างซึ่งกำลังยืนขวางกลางถนน ชายหนุ่มตัดสินใจหักหลบทันที

เสียงล้อครูดไปบนถนนดังลั่น รถตู้ไถลลงข้างทางและหยุดนิ่งเมื่อชนกับคันดินสูงอย่างแรง วลาร์ดสะบัดหัวสองสามครั้งและรีบหันไปมองแฮมเมอร์ซึ่งซบหน้าอยู่กับพวงมาลัยรถ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เจ็บนิดหน่อยเท่านั้นครับ” คนขับรถตอบพลางไอสองสามครั้ง เสียงสบถที่ดังมาจากหลังรถทำให้ลูกครึ่งแวมไพร์ถอนใจ

“ขับรถภาษาอะไรกัน” วูล์ฟบ่นขณะตะกายเบาะเพื่อลุก “เกิดอะไรขึ้น”

“มีใครไม่รู้วิ่งตัดหน้า” แฮมเมอร์ตอบแต่วลาร์ดกลับพูดแทรก

“ไม่ใช่ใคร แต่เป็นตัวอะไรต่างหาก” เขาหยิบดาบและเปิดประตู หนุ่มหมาป่ามองด้วยความแปลกใจ

“จะไปไหน”

“จัดการเจ้าตัวประหลาดที่กล้ามาขวางพวกเรา”

ลูกครึ่งแวมไพร์พูดและวิ่งออกไปโดยไม่รอเพื่อน หนุ่มหมาป่ารีบเลื่อนมือไปเปิดประตูและบ่นเสียงดังเมื่อพบว่ามันไม่ขยับ เสียงโลหะกระทบกันซึ่งดังมาจากถนนทำให้รู้ว่าวลาร์ดกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง วูล์ฟตัดสินใจถีบประตูรถจนพังและรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว


*/*/*/*/*



Create Date : 20 สิงหาคม 2552
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 16:25:25 น.
Counter : 500 Pageviews.

4 comments
  
แวะมาหาค่ะพี่มูน

ยังคงขยันเหมือนเดิม
โดย: อิมาอิซัง วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:16:52:33 น.
  
ดีใจจังภาคสองออกแล้ว อ่านภาคหนึ่งแล้วสนุกมากคะ ขออ่านภาคสองต่อเลยนะคะ
โดย: yamakitty IP: 61.90.87.116 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:01:40 น.
  
ขอบคุณมากค่ะ ภาคสองจะวางจำหน่ายกลางธันวาคมนี้นะคะ
ตอนนี้กำลังเร่งเขียนภาคสามอยู่ค่ะ จะนำมาลงให้อ่านเร็ซๆนี้
โดย: moony (Moony_Lupin ) วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:14:35 น.
  
อยากรู้ว่าหนังสือภาคสองจะออกประมาณวันที่เท่าไรคะจะได้ซื้อเพราะตอนนี้อ่านค้างอยู่ อยากอ่านต่อจะแย่อยู่แล้วคะเนี่ย สนุกจริง ๆ ช่วยบอกด้วยนะคะ
โดย: yamakitty IP: 58.9.184.175 วันที่: 11 ธันวาคม 2552 เวลา:13:42:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี