บทที่ 9 การแข่งขัน
บทที่ 9

การแข่งขัน

เสียงเชียร์ของเด็กวัยรุ่นที่ดังมาจากสนามแข่งบาสเก็ตบอลดึงความสนใจของผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมาให้หันไปมอง บางคนถึงกับหยุดยืนดูด้วยความสนใจในขณะที่หลายคนเริ่มส่งเสียงเชียร์ตามด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นวูล์ฟวิ่งหลอกล่อผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามและโยนลูกบอลลงห่วงได้สำเร็จ หลายครั้งที่เขาแกล้งทำเป็นยอมปล่อยให้เจอร์ราดแย่งลูกไปได้ แต่เมื่อใกล้จะถึงแป้นหนุ่มหมาป่ากลับชิงคืนกลับมาและเลี้ยงลูกบาสฯกลับไปที่แดนของตนและกระโดดยัดลูกลงห่วงได้อย่างง่ายดาย การเล่นที่คล่องแคล่วและสีหน้าที่ร่าเริงของวูล์ฟทำให้จากเดิมเป็นเพียงเกมส์การแข่งขันเพื่อเอาชนะ กลับกลายเป็นการเล่นอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะจากเด็กวัยรุ่นที่ดังออกมาทำให้เจ้าหน้าที่ขององค์กรทั้งสามคนรู้สึกแปลกใจ
“เข้าใจแล้วว่าทำไมสมิธถึงได้เลือกให้เขาเป็นคนไปสอบถามข้อมูล” เทเลอร์พูดเสียงเรียบ “เจ้าหนุ่มนั่นเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนี่เอง”
“ตอนที่ผมเกือบจะถูกญาติของเหยื่อรายหนึ่งไล่ออกจากบ้าน ก็ได้วูล์ฟนี่แหละครับที่ช่วยทำให้เหตุการณ์ผ่อนคลายขึ้นและให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย” วอลเตอร์เสริมพลางชำเลืองตาไปทาง
วลาร์ดซึ่งกำลังยืนมองเพื่อนด้วยสีหน้านิ่ง “แล้วเขาล่ะครับ”
“เก่ง” เทเลอร์ตอบสั้นๆ บรุคส์เสริมด้วยสีหน้าทึ่ง
“ผมเคยตรวจร่างผู้เคราะห์ร้ายมาแล้วครั้งหนึ่งไม่พบอะไร” เขาหันไปทางลูกครึ่งแวมไพร์ “แต่เขากลับสังเกตเห็นแค่มองผ่านครั้งเดียว”
“เขาเจออะไรหรือครับ” วอลเตอร์ถามด้วยความอยากรู้แต่เทเลอร์กลับตัดบทด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ไว้เจอสมิธแล้วค่อยคุยกัน”
เสียงเฮที่ดังขึ้นดึงความสนใจของชายทั้งสามให้หันไปมองพร้อมกัน พวกเขาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเด็กทั้งกลุ่มกำลังยืนรุมล้อมวูล์ฟพร้อมกับตบบ่าด้วยท่าทางเป็นมิตร
เจอร์ราดเดินไปยืนหน้าวูล์ฟและมองด้วยสายตาชื่นชม
“นายเก่งมาก” เขาพูดพร้อมกับกำมือไว้หลวมๆและยื่นออกไป “ฉันเจอร์ราด”
“วูล์ฟ” หนุ่มหมาป่าตอบพลางใช้กำปั้นแตะมือของอีกฝ่ายและยื่นลูกบาสเก็ตบอลส่งให้ “นายเองก็เก่งไม่ใช่เล่น”
“แต่นายเยี่ยมกว่า” เจอร์ราดพูดและหันไปมองหน้ากลุ่มเพื่อน “ว่าไหม”
“ใช่ นายเร็วมากจนพวกเราตามแทบไม่ทัน เห็นตัวโตแบบนี้ไม่คิดว่าจะวิ่งได้เร็ว” คนที่ดูถูกวูล์ฟครั้งแรกพูดเสียงดัง เขาหงายมือไปข้างหน้า “ดาร์เรล”
“ยินดีที่รู้จัก” วูล์ฟตบมือของเขาไม่แรงนัก ดาร์เรลยิ้มกว้าง
“นายเพิ่งย้ายมาใช่ไหม”
“ก็ทำนองนั้น ฉันอยู่ที่ตึกเก่าห่างจากนี่ไปสามบล็อค”
“ตึกนักบวชนี่เอง” เจอร์ราดพูดและอธิบาย “เราเคยเห็นพวกนักบวชเข้าไปพักหลายครั้งแล้วทำไมพวกนายถึงเข้าไปอยู่ที่นั่นได้”
“หน้าที่น่ะ” หนุ่มหมาป่าตอบ ดาร์เรลทำตาโต
“อย่าบอกนะว่านายจะเป็นนักบวช” เขาหันไปมองหน้าเพื่อนอีกคน วูล์ฟหัวเราะเสียงดังก่อนจะทำเป็นบุ้ยใบ้ไปทางวลาร์ด
“ฉันเปล่า เจ้านั่นต่างหากล่ะที่เป็น”
เจอร์ราดมองไปทางลูกครึ่งแวมไพร์และรีบเบนหน้าหลบเมื่อเห็นดวงตาของอีกฝ่ายทอประกายวาว เขาลดเสียงลง
“ฉันว่าเพื่อนนายคนนี้น่ากลัวเป็นบ้า แน่ใจนะว่าเขาไม่เป็นไร”
“วลาร์ดน่ะเหรอ” หนุ่มหมาป่าพูดเสียงกลั้วหัวเราะ เขาเหลือบตาไปทางเพื่อนและพูดเสียงค่อนข้างดัง “ไม่ต้องห่วง หมอนั่นเป็นพวกชอบวิตกกับหมกมุ่นมากไปหน่อยเท่านั้น”
“วลาร์ด” ดาร์เรลทวน “หมายถึงผีดิบน่ะเหรอ”
“ใช่ แต่หมอนั่นน่ากลัวกว่านั้นมาก” วูล์ฟพูดเสียงต่ำฟังดูน่าสยองและหัวเราะลั่นเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายพึมพำกลับมา
“เจ้าบ้า”
เจอร์ราดมองวลาร์ดด้วยความแปลกใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังผู้ใหญ่สามคนซึ่งกำลังยืนดูพวกเขาอยู่นอกรั้ว เด็กหนุ่มหันกลับไปที่วูล์ฟอีกครั้ง
“พวกเขาก็เป็นนักบวชเหรอ”
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้” หนุ่มหมาป่าตอบ “แต่จะว่าไปแล้วเขาเหมือนคนคอยคุมความประพฤติพวกเรามากกว่า”
“ฟังดูน่าอึดอัดพิลึก” ดาร์เรลพูด เขามองเจอร์ราด “เย็นมากแล้วฉันคงต้องรีบกลับ”
“ฉันก็เหมือนกัน” เด็กหนุ่มอีกคนพูด “ขืนกลับช้ามีหวังโดนกักบริเวณแน่”
เด็กที่เหลือจึงเดินไปหยิบเสื้อและก้าวออกจากสนามบาสฯโดยไม่ลืมที่จะกล่าวคำอำลาต่อกัน ดาร์เรลหันไปตบบ่าวูล์ฟก่อนจะพูดลาและเดินออกไป หนุ่มหมาป่ายิ้มพร้อมกับโบกมือให้ทุกคนอย่างร่าเริง
“ฉันเองก็ต้องรีบไป” เจอร์ราดพูดหลังจากที่เพื่อนทุกคนออกไปจนหมดแล้ว เขามอง
วูล์ฟ “จะมาอีกไหม”
“ถ้านายยินดี” หนุ่มหมาป่าตอบ เจอร์ราดยิ้มกว้าง
“แน่นอน” เขาวิ่งไปหยิบเสื้อที่วางไว้บนเก้าอี้ “เจอกันพรุ่งนี้หลังเลิกเรียน”
เจอร์ราดหันมาตะโกนบอกวูล์ฟขณะวิ่งออกไป หนุ่มหมาป่ายกมือขึ้นโบกเป็นการตอบรับก่อนจะเดินไปหาวลาร์ด
“ไง”
“นายทำให้ฉันเสียเวลา” ลูกครึ่งแวมไพร์บ่นพร้อมกับโยนเสื้อส่งให้ อีกฝ่ายยิ้มกว้าง
“แค่ชั่วโมงเดียวเอง และนายก็ดูไม่หงุดหงิดนี่”
วลาร์ดนิ่วหน้า เขาหันไปทางเทเลอร์ซึ่งยืนรออยู่ด้านนอก บรุคส์กับวอลเตอร์ส่งยิ้มให้กับวูล์ฟ บรุคส์ถึงกับเอ่ยชม
“เก่งไม่เบาเลยนี่วูล์ฟ”
“ครับ”
“ไม่ถ่อมตัวเลยนะ” วอลเตอร์ตบไหล่หนุ่มหมาป่าอย่างอารมณ์ดีและหยุดยิ้มเมื่อได้ยินเสียงกระแอมมาจากเทเลอร์
“เราไม่ได้มาเที่ยวเล่น อย่าสนุกจนลืมหน้าที่”
“ครับ” วูล์ฟรับคำด้วยน้ำเสียงล้อเลียนพร้อมกับแอบหลิ่วตาให้กับวอลเตอร์และบรุคส์ ทั้งสองอมยิ้มและหุบแทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตาเทเลอร์
“ป่านนี้สมิธคงไปถึงที่พักแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “รีบกลับไปหารือเรื่องในวันนี้และเตรียมแผนสำหรับวันต่อไป”

*/*/*/*/*

สมิธเลิกคิ้วและยิ้มขณะฟังวูล์ฟเล่าเรื่องการเล่นบาสเก็ตบอลจนได้เพื่อนใหม่อย่างสนุกสนาน บรุคส์และวอลเตอร์ต่างหัวเราะด้วยความขบขันในขณะที่เทเลอร์นั่งฟังด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“ผมคิดว่าเด็กพวกนั้นเก่งพอตัว” สมิธพูดหลังฟังหนุ่มหมาป่าเล่าจบลง บรุคส์หันไปทางเขา
“ฝีมือพวกเขายังห่างวูล์ฟมาก ขนาดมีตั้งสิบคนยังทำคะแนนไม่ได้ซักแต้ม”
“คุณให้เวลาเขากี่นาที” สมิธหันไปถาม วูล์ฟยกมือขึ้น
“ห้า”
“แต่เด็กพวกนั้นดึงเกมส์ได้ถึงสิบ” สมิธหันไปยิ้มกับบรุคส์ “พวกผมยังทำไม่ได้เลย”
“คุณเล่นบาสฯกับวูล์ฟด้วยหรือ” วอลเตอร์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น สมิธพยักหน้า
“ครับ”
“เคยชนะบ้างไหม”
“ไม่เลยสักครั้ง” เขาหันไปทางลูกครึ่งแวมไพร์ที่นั่งนิ่ง “แต่วลาร์ดเคยทำแต้มเสมอ”
“จริงหรือ” บรุคส์อุทานอย่างเหลือเชื่อคงจะพูดต่ออีกยืดยาวหากเทเลอร์ไม่ตัดบท
“พวกคุณจะมาทำงานหรือคุยกันเรื่องบาสเก็ตบอล”
สายตาตำหนิไล่มองไปทีละคน วอลเตอร์และบรุคส์รีบคว้าเอกสารของตัวเองขึ้นมาวางในขณะที่สมิธหยิบแฟ้มออกมาจากกระเป๋า ส่วนวูล์ฟหันไปทางวลาร์ดและถามเสียงไม่ดังนัก
“นายได้อะไรมาบ้าง”
“ไม่มาก” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ “ตำรวจกับเอฟบีไอเก็บทุกอย่างไปเกือบหมด”
“แสดงว่านายได้อะไรมา” หนุ่มหมาป่าพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้น “ไม่เล่าให้พวกเราฟังบ้าง”
“มันอยู่ในรายงาน” วลาร์ดตอบด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ดวงตาจ้องเทเลอร์นิ่ง อีกฝ่ายตบแฟ้มที่วางตรงหน้าเบาๆ
“ขอโทษที่ฉันเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้กับตัว แต่เราต้องส่งทั้งหลักฐานและรายงานทุกชิ้นไปให้คุณแอชเชอร์”
“ทำไมล่ะครับ” วูล์ฟถามด้วยความสงสัย เทเลอร์มองหน้าเขาและลูกครึ่งแวมไพร์สลับกันก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม
“คิดว่าส่วนกลางจะฟังข้อมูลที่ได้มาจากนักล่าที่อยู่ระหว่างการถูกพักงานอย่างนั้นหรือ ถึงหน่วยของพวกเธอจะย้ายไปขึ้นตรงกับท่านประธานสูงสุดแต่ใช่ว่าจะทำอะไรได้อย่างที่เธอต้องการ”
เขาเบนสายตาไปทางสมิธ
“ผมจะส่งรายงานทุกอย่างไปให้คุณแอชเชอร์ อ้อ คุณอันเดอร์ฮิลล์จะได้รับรู้ข้อมูลเหล่านี้ด้วย ไม่ต้องกังวล”
“ครับ” สมิธรับคำพลางเลื่อนแฟ้มของตนเองส่งให้เทเลอร์ เขารับมาวางรวมไว้กับรายงานชิ้นอื่นก่อนจะหันไปถามวลาร์ดเสียงเรียบ
“จากสิ่งที่เธอนำมาในวันนี้ทำให้ฉันมั่นใจในสมมติฐานของฝ่ายเรา แต่จากสภาพศพที่ผ่านการผ่าพิสูจน์มาหลายครั้ง สิ่งที่เห็นคงใช้ยืนยันอะไรไม่ได้มาก ตอนนี้ทางองค์กรคงยังไม่สามารถเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ได้”
“หมายความว่าเราต้องรอจนกว่าจะมีผู้เคราะห์ร้ายรายใหม่” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดอย่างเคร่งขรึม เทเลอร์ผงกศีรษะรับ
“อาจไม่เข้าท่านัก แต่เราจำต้องทำแบบนั้น”
วลาร์ดนั่งนิ่ง สมิธมองเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ครับ” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ “ผมได้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับอาวุธของคนร้าย”
“ข้อมูลอาวุธ เธอได้มายังไง ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่อง” เทเลอร์ถามเสียงเข้ม เขามองสมิธด้วยสายตาตำหนิแต่วูล์ฟรีบพูด
“วลาร์ดเคยสู้กับเจ้าฆาตกรและเขาจำลักษณะมีดนั่นได้”
“แล้วยังไง” เทเลอร์ถาม วลาร์ดดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อและเลื่อนส่งให้เขา
“ผมไปค้นดูแล้วพบว่าในเมืองนี้มีร้านสองแห่งที่รับทำมีดลักษณะพิเศษแบบนี้”
“นี่มันเป็นมีดของหน่วยนาวิกโยธินไม่ใช่หรือ” เทเลอร์พูดพร้อมกับนิ่วหน้า “แต่คงไม่ใช่ของกองทัพแน่เพราะเนื้อของมันเป็นแบบดามัสคัสเบลด ทหารคงไม่สั่งทำมีดแบบนี้”
“ครับ” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดด้วยสีหน้าที่ดูพอใจจนวูล์ฟถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
เทเลอร์มองที่อยู่บนแผ่นกระดาษแล้วขมวดคิ้ว
“ทั้งสองร้านอยู่ห่างจากตัวเมืองมาก กว่าจะไปถึงคงใช้เวลาเป็นวัน” เขาเงยหน้าขึ้นและหันไปทางบรุคส์พร้อมกับส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ “คุณพอจะไปไหวไหม”
“สบายมากครับ” บรคุส์ตอบรับหลังจากมองแผนที่บนกระดาษ “แต่เราจะได้อะไรจากร้านพวกนี้”
“มากเลยล่ะ” เทเลอร์ตอบ เขาหันหน้ากลับไปทางวลาร์ดและวูล์ฟอีกครั้ง “เธอสองคนไปพักผ่อนได้ เพราะวลาร์ดต้องเดินทางไกล ส่วนวูล์ฟ พรุ่งนี้เธอจะต้องไปหาข้อมูลกับวอลเตอร์และกลับไปที่สนามบาสฯชุมชนนั่นอีกครั้ง”
“ผมเล่นบาสฯได้หรือครับ” หนุ่มหมาป่าพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เทเลอร์ยิ้ม
“ได้ เธอจะต้องพยายามเข้าไปตีสนิทกับเด็กพวกนั้นไว้ คอยสังเกตดูพฤติกรรมของพวกเขากับครอบครัว ถ้ามีอะไรผิดปรกติให้รีบรายงานทันที ถึงแม้เราจะต้องรอให้เจ้าฆาตกรปรากฏตัวอีกครั้งแต่ฉันก็ไม่อยากให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำขึ้นอีก”
เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะสั่งเสียงเรียบ
“ไปได้แล้วทั้งสองคน”
วลาร์ดลุกขึ้นก้าวออกจากห้องทันที วูล์ฟรีบลุกขึ้นและเดินตามโดยไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวลาเจ้าหน้าที่ทั้งสี่ซึ่งยังคงนั่งอยู่ในห้อง ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดไปโดยไม่พูดอะไรกันจนกระทั่งถึงชั้นที่พวกเขาใช้เป็นที่พัก หนุ่มหมาป่าจึงเอ่ยปากถาม
“ตกลงวันนี้นายได้อะไรมา”
“กระดูกสันหลัง” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ อีกฝ่ายทำตาโต
“นายตัดกระดูกคนตายกลับมาด้วยหรือวลาร์ด”
“ก็แค่หลักฐานชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องตื่นเต้น” วลาร์ดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเปิดประตู เขานิ่วหน้าเมื่อวูล์ฟก้าวเข้าไปในห้องและกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงอย่างถือวิสาสะ
“นายไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง”
“ที่ไหน” ลูกครึ่งแวมไพร์ย้อนถามขณะวางแฟ้มลงบนโต๊ะ หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้ว
“สนามบาสฯ”
“คุณเทเลอร์แวะไปหาข้อมูลที่สถานพักฟื้น อยู่แถวหัวมุมถนนพวกเราเลยต้องไป
จอดรถที่ถนนอีกสายแล้วเดินย้อนกลับไป”
“แล้วได้อะไรเพิ่มเติมมาหรือเปล่า” วูล์ฟถามด้วยความอยากรู้ อีกฝ่ายส่ายหน้า
“พวกเอฟบีไอขนหลักฐานทุกอย่างไปหมดแล้ว”
วลาร์ดตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนักขณะคลายผมที่รวบไว้อย่างเรียบร้อยออก หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้วพร้อมกับผิวปากเบาๆ
“นายมัดผม”
“แล้วไง” ลูกครึ่งแวมไพร์ย้อนถามด้วยความรำคาญ “เป็นความคิดของคุณเทเลอร์ เขาไม่อยากให้มีอะไรตกลงไปปะปนกับหลักฐานตอนเข้าไปในห้องเก็บศพ”
“น้ำเสียงนายเหมือนถูกใจวิธีปฏิบัติของคุณเทเลอร์”
วูล์ฟพูดอย่างรู้ทัน วลาร์ดเลิกคิ้ว
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”
“เพราะนายยังยอมทำงานกับเขา แถมทำหน้าเหมือนดีใจตอนที่คุณเทเลอร์รู้เรื่องมีด”
“ฉันแค่ไม่อยากมีปัญหากับองค์กร” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดพลางถอดเสื้อแจ็คเก็ต หนุ่ม
หมาป่ายิ้มกว้าง
“ดีใจใช่ไหมที่ได้ทำงานกับคนที่เหมือนคุณอันเดอร์ฮิลล์”
“ไม่เกี่ยวกัน ฉันชอบที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายให้ฟังยืดยาวเหมือนใครบางคน”
น้ำเสียงประชดจนวูล์ฟอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาหันไปหยิบหมอนขึ้นมาโยนเล่นแทนลูกบาสฯ วลาร์ดมองเพื่อนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้า
“ไม่รู้จักเหนื่อยบ้างหรือไง”
“ไม่” หนุ่มหมาป่าตอบ อีกฝ่ายนิ่วหน้า
“แต่ฉันเหนื่อย” เขาคว้าหมอนมาถือไว้และพูดเสียงห้วน “กลับไปห้องนายได้แล้ว”
“ก็ได้” วูล์ฟพูดพร้อมกับลุกขึ้นและก้าวไปที่ประตู ลูกครึ่งแวมไพร์มองตามก่อนจะเรียกด้วยเสียงไม่ดังนัก
“วูล์ฟ”
“อะไร”
หนุ่มหมาป่าหันหน้ากลับมา วลาร์ดทำท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“อย่าสนิทกับมนุษย์พวกนั้นให้มากนัก มันเป็นแค่หน้าที่” เขาเว้นระยะก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม “ฉันไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบฟ็อกซ์อีก”
“ฉันรู้” วูล์ฟพูดพร้อมกับยิ้ม “ขอบใจ”
หนุ่มหมาป่าก้าวออกจากห้อง ลูกครึ่งแวมไพร์มองบานประตูที่ปิดสนิทนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินที่เตียงและล้มตัวลงนอน เขานอนมองเพดานแน่วนิ่งขณะที่สมองครุ่นคิดถึงเรื่องคดีฆาตกรรม วลาร์ดถอนใจออกมาก่อนจะปิดเปลือกตาลงและหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

*/*/*/*/*















Create Date : 20 ตุลาคม 2552
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 14:04:44 น.
Counter : 313 Pageviews.

0 comment
บทที่ 8 เพื่อนใหม่
บทที่ 8

เพื่อนใหม่

วลาร์ดเดินตามเทเลอร์และบรุคส์เข้าไปในสถานที่เก็บรักษาศพประจำเมืองอย่างเร่งรีบ หลังจากแสดงบัตรประจำตัวต่อพนักงานด้านหน้าและรอจนแน่ใจแล้วว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนภายในตึกขึ้นไปยังห้องประชุมที่ชั้นสามทั้งหมดจึงมุ่งตรงไปยังห้องเก็บศพ เทเลอร์เตือนให้ทุกคนรีบสวมหมวกและถุงมือระหว่างที่เดินไปตามทาง วลาร์ดชำเลืองตามองกล้องวงจรปิดที่ถูกติดตั้งไว้เป็นระยะด้วยสายตากังวล เขาเอ่ยถามเสียงไม่ดังนักระหว่างคาดผ้าปิดปาก
“ไม่จัดการมันก่อนหรือครับ”
“อะไร” บรุคส์หันหน้ากลับมาถามเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มขณะมองกล้องบนกำแพงแล้วเขาจึงยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ผมจัดการของพวกนั้นไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”
“เมื่อคืนนี้” ลูกครึ่งแวมไพร์ทวนคำ เขามองไฟสีแดงบนกล้องซึ่งแสดงสถานะว่ากำลังทำงานด้วยสายตาไม่เข้าใจ บรุคส์จึงอธิบายขณะเลี้ยวไปตามทาง
“ผมติดลูกเล่นนิดหน่อยไว้กับกล้องทุกตัว” เขายกมือเป็นสัญญาณให้หยุด “พวกมันยังคงทำงานตามปรกติเพียงแต่ไม่สามารถส่งภาพกลับไปที่ห้องควบคุมได้ ยกเว้นที่นี่ที่เดียวเท่านั้น”
บรุคส์หันหน้าไปมองเทเลอร์และวลาร์ด
“ขอเวลาหนึ่งนาที”
เขาเปิดประตูพร้อมกับก้าวเข้าไปอย่างเงียบกริบและกลับออกมาอีกครั้งภายในเวลาเพียงแค่อึดใจ
“เชิญ”
บรุคส์พูดพร้อมกับหมุนตัวเดินนำไปยังช่องเก็บร่างผู้เสียชีวิตซึ่งอยู่ด้านในสุดและเปิดฝาช่องที่อยู่ตรงกลางดึงถาดขนาดใหญ่ออกมา
“เหยื่อรายที่ห้า ไรลีย์ วัตสัน อายุสี่สิบสองปี” เขาพูดด้วยท่าทางคล่องแคล่ว “ผลการชันสูตร เสียชีวิตเพราะถูกของมีคมแทงที่บริเวณท้องและศีรษะ”
บรุคส์เหลือบตามองวลาร์ดที่กำลังก้มหน้าก้มตาตรวจร่างเย็นชืดอย่างตั้งอกตั้งใจ
“น่าเสียดายที่ส่วนสมองถูกเจ้าหน้าที่ห้องชันสูตรดึงออกไปจนหมดแล้ว รวมถึงอวัยวะภายในบางส่วน ความจริงแล้วเราคงไม่ได้อะไรจากเหยื่อรายนี้มากนัก”
“ก็ไม่เชิง” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบพลางไล่มือไปตามรอยเย็บที่แพทย์ชันสูตรทำไว้ เขาเงยหน้าขึ้น “พอมีเวลาไหม”
“สามสิบนาที” เทเลอร์ตอบพร้อมกับเลื่อนถาดวางอุปกรณ์ผ่าตัดมาไว้ข้างศพ บรุคส์หยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมา เขามองวลาร์ดที่กำลังหยิบกรรไกร
“ลงมือกันเลย”

*/*/*/*/*

วูล์ฟนั่งตีหน้ายุ่งขณะเปิดรายงานไปทีละหน้า หลังจากอ่านไปได้สักพักเขาก็โยนแฟ้มทั้งหมดไปเบาะหลังและถอนใจออกมา วอลเตอร์เหลือบมองหนุ่มหมาป่าที่กำลังทำสีหน้าเบื่อหน่ายขณะเอนตัวพิงเบาะด้วยสายตาขบขันและถามเสียงไม่ดังนัก
“สมิธบอกว่าคุณไม่ชอบอ่านรายงาน”
“ครับ” วูล์ฟตอบพร้อมกับยื่นมือไปเปิดวิทยุและกดปุ่มเปลี่ยนสถานีเพื่อหาเพลงถูกใจ
วอลเตอร์ยิ้ม
“ทำไม”
“มันน่าเบื่อ” หนุ่มหมาป่าตอบขณะโยกตัวไปตามจังหวะเพลง “อีกอย่างยังไงวลาร์ดก็ต้องอ่านอยู่แล้ว รอฟังจากหมอนั่นก็ได้”
“ได้ยินมาว่าเขาไม่ใช่คนช่างพูด”
“เจ้านั่นพูดเท่าที่จำเป็นต่างหาก” วูล์ฟแก้และเริ่มร้องเพลงออกมาเบาๆ วอลเตอร์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“คุณสองคนทำงานด้วยกันมานานแล้วหรือ”
“เราโตมาด้วยกัน” หนุ่มหมาป่าตอบ เขาหันไปมองหน้าวอลเตอร์ “อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้เรื่องนี้”
“พวกเรารู้เฉพาะงานในหน้าที่ ยกเว้นคุณเทเลอร์” อีกฝ่ายตอบพร้อมกับหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นหนึ่ง วูล์ฟมองบ้านที่ปลูกเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบทั้งสองด้านและถามด้วยความสงสัย
“คุณเทเลอร์เป็นหัวหน้าของพวกคุณหรือครับ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” วอลเตอร์ตอบ “อย่างที่สมิธบอกให้พวกคุณฟังเมื่อคืน เราเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษที่ขึ้นตรงต่อคุณแอชเชอร์เพียงคนเดียวเท่านั้น คำสั่งของท่านคือสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และคุณเทเลอร์เท่านั้นที่สามารถเข้าพบคุณแอชเชอร์ได้”
“เหมือนคุณอันเดอร์ฮิลล์” หนุ่มหมาป่าพึมพำ เขามองทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไป
“เราจะไปไหนกันครับ”
“บ้านของเหยื่อรายแรก” วอลเตอร์ตอบขณะหยุดรถที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง วูล์ฟมองไปที่ประตูและนิ่วหน้าเมื่อพบว่ามันถูกคล้องด้วยโซ่เส้นโตและมีแถบสีเหลืองสดคาดทับไว้อีกชั้น
“ที่นี่ไม่มีคนอยู่นี่ครับ”
“ใช่” วอลเตอร์ตอบพร้อมกับก้าวลงจากรถ หนุ่มหมาป่ารีบเปิดประตูและถาม
“แล้วเราจะไปถามใคร”
“เพื่อนบ้าน” อีกฝ่ายตอบพลางไล่นิ้วไปยังบ้านที่อยู่รายรอบ “อย่าทำตัวเป็นตำรวจเพราะคุณจะไม่ได้อะไรจากคนพวกนั้น พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดเข้าใจไหม”
“ครับ” วูล์ฟรับคำด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย วอลเตอร์มองเขาแล้วส่ายหน้าก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“คุณสอบถามเพื่อนบ้านฝั่งนี้ ส่วนผมจะไปสอบถามอีกด้าน อีกสามชั่วโมงมาเจอกันที่รถ”เขามองหนุ่มหมาป่าที่กำลังจะเดินจากไป “อย่าทำอะไรให้เป็นพิรุธล่ะวูล์ฟ”
ตลอดทั้งวัน วูล์ฟและวอลเตอร์ได้ออกตระเวณสอบถามรายละเอียดของผู้เคราะห์ร้ายไปได้กว่าครึ่ง แม้บางครั้งเพื่อนบ้านบางคนจะมองทั้งสองอย่างหวาดระแวงแต่ด้วยคำพูดและท่าทางเป็นมิตรของหนุ่มหมาป่าทำให้คนเหล่านั้นยอมเปิดเผยเรื่องราวบางอย่างที่แม้แต่ตำรวจยังไม่เคยรู้
หลังจากที่ทั้งคู่ออกจากที่พักของเหยื่อรายที่เจ็ดซึ่งเป็นอพาตเม้นท์ระดับกลาง วอลเตอร์พาวูล์ฟแวะร้านแฮมเบอเกอร์ซึ่งหนุ่มหมาป่ากินเข้าไปถึงสามชิ้นในขณะที่อีกฝ่ายดื่มกาแฟเพียงถ้วยเดียว เมื่อออกจากร้านทั้งสองจึงเดินไปตามถนนเพื่อกลับไปที่รถซึ่งจอดทิ้งไว้อีกด้านหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินคุยกันอยู่นั้นก็มีเสียงหัวเราะเฮฮาดังมาจากช่องว่างระหว่างอาคาร เสียงบอลกระทบพื้นทำให้วูล์ฟชะงักและหันไปมองทันที
“มีอะไรหรือวูล์ฟ” วอลเตอร์ถามพลางมองตาม หนุ่มหมาป่ายิ้ม
“เด็กพวกนั้นกำลังเล่นบาสเก็ตบอล” เขาก้าวตรงไปหากลุ่มวัยรุ่นผิวสีที่กำลังเล่นบาสฯกันอย่างสนุกสนาน วอลเตอร์รีบเดินตาม
“จะไปไหน”
“ไม่น่าถาม” วูล์ฟตอบ “ผมจะไปเล่นกับพวกเขา”
“ไม่ได้” อีกฝ่ายร้องห้ามและคว้าแขนเขาไว้ หนุ่มหมาป่าหันไปจ้องหน้าวอลเตอร์
“ทำไม หรือว่าพวกคุณมีกฏห้ามเล่นบาสเก็ตบอล”
“ผมไม่ได้ห้ามแต่คุณไม่มีทางเล่นกับพวกเขาได้” วอลเตอร์อธิบาย วูล์ฟขมวดคิ้ว
“ทำไม”
“เพราะ” อีกฝ่ายเว้นระยะคล้ายพยายามหาคำพูด “คุณต่างจากพวกเขา”
“ผมไม่เข้าใจ คุณกำลังจะบอกว่าคนพวกนั้นรู้ตัวจริงของผม”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” วอลเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ เขาเลื่อนสายตาไปที่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งกำลังสนุกกับการเล่นบาสเก็ตบอลก่อนจะหันกลับมาที่หนุ่มหมาป่าอีกครั้ง “มันเป็นเรื่องของความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ”
“ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมันเป็นความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์” เสียงเรียบเย็นของวลาร์ดพูดขึ้น เขาเดินนำเทเลอร์และบรุคส์ตรงเข้าไปหาหนุ่มหมาป่าและมองหน้าเขม็ง “ระหว่างคอเคเซียนกับอัฟฟริกัน-อเมริกัน”
“พูดเรื่องอะไร” วูล์ฟหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “แล้วทำไมนายถึงได้มาอยู่ที่นี่”
“ไว้บอกตอนถึงที่พัก” อีกฝ่ายตอบพลางเลื่อนสายตาไปทางกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่กำลังเล่นบาสเก็ตบอลกันอย่างสนุกสนาน “คนพวกนั้นไม่มีทางยอมรับนาย”
“ทั้งที่ยังไม่รู้จักกันเลยเนี่ยนะ” หนุ่มหมาป่าพูดเสียงดัง เขาหมุนตัวและเดินตรงไปที่กลุ่มวัยรุ่นอีกครั้งโดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของวอลเตอร์ วลาร์ดมองเพื่อนด้วยสีหน้าระอาก่อนจะเดินตาม บรุคส์ทำท่าจะเรียกเขาแต่เทเลอร์กลับยกมือห้ามพร้อมกับพูดเสียงเรียบ
“รอก่อนบรุคส์ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าหมาป่าน้อยจะเข้ากับคนพวกนั้นได้ไหม”
“แต่มันอันตรายนะครับ” วอลเตอร์หันไปแย้ง อีกฝ่ายสั่นศีรษะ
“ไม่เป็นไร” เขามองนักล่าทั้งสองที่กำลังหยุดยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มวัยรุ่นผิวสี “พนันได้เลยว่าเจ้าหนุ่มนั่นได้เล่นบาสฯกับคนพวกนั้นแน่”

*/*/*/*/*

เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากประตูหลังบ้านทำให้นางมาร์ตินเงยหน้าขึ้นจากอาหารที่เธอกำลังปรุง เด็กสาวซึ่งกำลังยืนปอกมันฝรั่งเหลือบตามองเงาเด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งออกจากบ้านพร้อมลูกบาสเก็ตบอลในมือ
“เจอร์ราดใช่ไหม” นางมาร์ตินถาม ลูกสาวของเธอพยักหน้า
“ใช่”
“กลับมาแล้วไม่เห็นเข้ามาทักทายกันซักคำ” มารดาของเธอบ่นก่อนจะหันไปหั่นเนื้อต่อและหยิบเครื่องเทศออกมาวาง “ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน”
“คงไปสนามบาสฯชุมชน แม่ก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเจอร์ราดคลั่งบาสเก็ตบอลมากแค่ไหน”
“แม่รู้” นางมาร์ตินตอบ “และหวังว่าคงไม่เล่นเพลินจนเสียการเรียน”
เมอร์ซี่ยิ้มให้กับคำพูดของมารดา เธอวางมันผรั่งหัวสุดท้ายลงในชามและถาม
“มีอะไรให้หนูช่วยอีกไหม”
“ไม่มี” อีกฝ่ายตอบ เด็กสาวหันหน้าไปมองนาฬิกาบนผนัง
“ถ้าอย่างนั้นหนูขอออกไปข้างนอกสักชั่วโมงได้ไหม” เธอพูดเป็นเชิงขอร้อง นางมาร์ตินชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“กลับมาให้ทันมื้อค่ำก็แล้วกัน อ้ออย่าลืมพาน้องกลับมาด้วยล่ะ”
*/*/*/*/*

เจอร์ราดวิ่งเต็มฝีเท้าด้วยความร้อนใจ เขาเลี้ยวเข้าไปในตรอกซึ่งทะลุไปยังถนนอีกสายและวิ่งข้ามไปฝั่งตรงกันข้าม เสียงเจ้าของร้านขายผลไม้ซึ่งกำลังเข็นลังใบใหญ่ร้องทัก
“จะรีบไปไหนเจอร์ราด”
“สนามบาสฯครับ ผมมีนัดแข่งวันนี้” เด็กหนุ่มตอบ และเร่งฝีเท้าไปโดยไม่รอฟังคำพูดของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเลี้ยวซ้ายและข้ามถนนอีกครั้ง เขาวิ่งเข้าไปในสนามชุมชนและขมวดคิ้วดัวยความแปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนกำลังยืนรุมล้อมใครบางคนโดยมีผู้ใหญ่สามคนยืนดูอยู่ไม่ห่างนัก เจอร์ราดมองชายทั้งสามด้วยสายตาระแวงรีบก้าวเข้าไปหาเพื่อนทันที
“เกิดอะไรขึ้น” เขาร้องถามเสียงดัง เด็กคนหนึ่งชี้มือไปที่วูล์ฟพร้อมกับตอบ
“หมอนี่มาขอเล่นบาสฯ”
เจอร์ราดหันไปมองหนุ่มหมาป่าทันที เขานิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายกำลังยืนยิ้ม
“นายไม่ใช่คนแถวนี้” เขาพูดขณะเลื่อนสายตาไปที่วลาร์ด สีหน้าเรียบนิ่งกับแววตาของลูกครึ่งแวมไพร์ทำให้เขารู้สึกไหวเยือกขึ้นมา เด็กหนุ่มจึงหันกลับไปมองวูล์ฟอีกครั้ง “พวกเราไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า”
“มีคนบอกฉันแบบนั้นเหมือนกัน” หนุ่มหมาป่าพูดพลางพยักหน้าไปยังลูกบอลที่เจอร์ราดถืออยู่ “แต่ไม่คิดว่าจะกีดกันถึงเรื่องนี้ด้วย”
“เราไม่ได้กีดกัน แต่คนอย่างนายคงไม่เหมาะกับสนามชุมชนแบบนี้” เพื่อนของเจอร์ราดพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก วูล์ฟเลิกคิ้ว
“อะไรคือเหมาะ สำหรับฉันแล้วบาสเก็ตบอลก็คือบาสเก็ตบอล จะเล่นที่ไหนมันก็สนุกเหมือนกัน”
“พูดแบบนี้คิดว่าตัวเองเก่งนักหรือไง” อีกคนหนึ่งพูดพร้อมกับเดินมายืนมองด้วยสายตาหาเรื่อง เจอร์ราดมองหนุ่มหมาป่าที่ยังคงยืนยิ้มอย่างใจเย็น
“ก็ไม่ถึงกับเก่ง แค่โยนลูกเข้าห่วงได้”
“กระจอก” เด็กคนเดิมพูดอย่างดูแคลนก่อนจะหันกลับไปมองเจอร์ราดและเพื่อนที่ยืนล้อมรอบ “ไปแข่งกันเถอะอย่าสนใจเจ้าบ้านี่เลย”
“สิบลูก” วูล์ฟพูดขึ้น เจอร์ราดชะงักและหันไปมองหน้าเขา
“นายว่าอะไรนะ”
“ถ้าฉันโยนลูกเข้าห่วงสิบลูกก่อนพวกนายทำแต้มได้จะยอมรับไหม” หนุ่มหมาป่าถาม
เจอร์ราดหันไปประจันหน้าพร้อมกับตอบ
“ได้ แต่นายต้องเล่นกับพวกเขาทั้งหมด”
“ตกลง” วูล์ฟตอบพร้อมกับถอดเสื้อแจ็คเก็ตส่งให้วลาร์ด “ฝากหน่อย”
“หมายความว่าอะไร” ลูกครึ่งแวมไพร์ถามด้วยความสงสัย หนุ่มหมาป่ามองหน้าเขาแล้วยิ้ม
“หนึ่งต่อสิบ ฉันคนเดียวแข่งกับเจ้าพวกนั้นทั้งหมด”
“ไร้สาระ” วลาร์ดพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายก่อนจะถอยไปยืนชิดรั้ว “นายทำให้ฉันเสียเวลาไปเปล่าๆ”
“ไม่ต้องห่วง” วูล์ฟพูดพร้อมกับขยับคอไปมา “แค่ห้านาทีก็จบแล้ว”
เขาหันกลับไปที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่กำลังยืนประจำตำแหน่งอยู่บนสนาม เจอร์ราดถือลูกบอลไปยืนที่เส้นแบ่งเขต
“ฉันไม่รับประกันถ้ามีการเล่นพลาดจนนายเจ็บตัว”
“เลิกพูดได้แล้ว” หนุ่มหมาป่าตัดบทพร้อมกับฉีกยิ้ม “มาเริ่มกันเลย”

*/*/*/*/*

















Create Date : 20 ตุลาคม 2552
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 14:04:05 น.
Counter : 309 Pageviews.

0 comment
บทที่ 7 ผู้ร่วมงาน
บทที่ 7

ผู้ร่วมงาน

เสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงอย่างแผ่วเบาดังมาจากลำโพงซึ่งถูกซ่อนไว้ในผนังรอบห้อง ความไพเราะของมันบ่งบอกถึงคุณภาพชั้นยอดของเครื่องเสียงอันแสดงถึงรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ ประกอบกับความเย็นอันพอเหมาะของอุณหภูมิภายในห้องและกลิ่นหอมละมุนของชารสเลิศจากถ้วยกระเบื้องเนื้อดีที่วางอยู่ตรงหน้าแล้ว เปรียบเสมือนผู้ที่อยู่ในห้องกำลังนั่งผ่อนคลายอารมณ์เล่นท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม
แต่ความไพเราะของเพลงก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของอันเดอร์ฮิลล์คลายความเคร่งเครียดลง หลายครั้งที่เขาชำเลืองมองไปยังประตูห้องและถอนใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มจนแอชเชอร์ต้องละสายตาจากเอกสารและถามเสียงไม่ดังนัก
“ไม่ชอบเพลงนี้หรือ”
“ครับ” อันเดอร์ฮิลล์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบพูดต่อ “ไม่หรอกครับท่าน ผมชอบฟังเพลงของบีโธเฟ่นมาก”
“โมสาร์ท” แอชเชอร์กล่าวพลางวางเอกสารลง “นี่เป็นเปียโนคอนแชโต หมายเลข 12 ของโมสาร์ท น่าแปลกใจจริงที่คุณจำผิด”
เขามองหน้าชายชราและถาม
“กังวลเรื่องอะไรอยู่”
“อย่างที่ท่านทราบ” อันเดอร์ฮิลล์ตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ผมกำลังหนักใจเรื่องที่
วลาร์ดถูกเข้าใจผิด”
“ตอนนี้พวกเขากำลังหาทางพิสูจน์ตัวเองอยู่ไม่ใช่หรือ” ผู้นำองค์กรพูดพร้อมกับลุกขึ้น “ผมก็ส่งเจ้าหน้าที่ฝีมือดีไปช่วยพวกเขาถึงสามคน อีกไม่นานเรื่องราวทุกอย่างคงคลี่คลาย”
“ผมต้องขอบคุณท่านมากสำหรับเรื่องนั้น แต่ทางเรายังกังวลเรื่องเจ้าหน้าที่พิเศษจากส่วนกลาง”
“เขาไม่ใช่คนของมิลเลอร์” แอชเชอร์พูดพลางหยิบถ้วยใบใหม่มาวางและไล่สายตามองโถชาที่วางเรียงรายไว้บนตู้ทีละใบ “วันนี้ผมมีชาใหม่เข้ามา จะลองดูสักหน่อยไหม”
เขาถามพลางเอื้อมมือไปหยิบโถใบหนึ่งลงมา อันเดอร์ฮิลล์สั่นหน้าพร้อมกับกล่าวปฏิเสธ
“ขอบคุณครับ ผมขอแค่ถ้วยนี้ก็พอ” เขานั่งมองหัวหน้าองค์กรที่กำลังเติมน้ำร้อนลงถ้วย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งชายชราจึงตัดสินใจถาม“ท่านพอจะรู้จักเจ้าหน้าที่คนนั้นไหมครับ”
“ผมทราบ และเขาก็ไม่ใช่สายของอิลูมิเนติคแน่” แอชเชอร์ตอบอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับหมุนตัวเดินกลับมานั่ง เขามองกองเอกสารตรงหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“ตอนนี้ผมอยากจะให้คุณพักเรื่องของนักล่าทั้งสองคนนั่นก่อน” เขาวางมือลงบนแฟ้มอันหนึ่งและถามเสียงเรียบ “แน่ใจแล้วหรือว่าจะให้ผมอนุมัติเรื่องนี้”
“ผมแน่ใจ”
“คุณควรนำกลับไปทบทวนอีกครั้ง” แอชเชอร์พูดพลางเลื่อนแฟ้มไปหาอันเดอร์ฮิลล์ ชายชรากลับส่ายหน้าพร้อมกับเลื่อนส่งคืน
“ผมทบทวนมาอย่างดีแล้วครับ”
“ในเมื่อคุณยืนยันแบบนั้นผมก็ไม่ขัดข้อง” ผู้นำองค์กรพูดและถอนใจ “พวกเขารู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง”
“ยังเลยครับ ผมคิดว่าจะบอกทุกคนหลังจากคลี่คลายคดีนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“ตกลง” แอชเชอร์หยิบแฟ้มมาวางไว้บนโต๊ะข้างตัว “ผมจะเซ็นอนุมัติให้หลังจากภารกิจของพวกคุณเสร็จสิ้น”
“ขอบคุณครับ” อันเดอร์ฮิลล์ก้มศีรษะลงเล็กน้อย หลังจากนั่งนิ่งไปชั่วขณะ ชายชราจึงตัดสินใจถาม “แล้วเรื่องของท่านผู้หญิงการ์ดเนอร์ล่ะครับ ทางองค์กรสืบอะไรได้บ้าง”
“น่าเสียดาย ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักนิด การ์ดเนอร์ระวังตัวทุกฝีก้าว” แอชเชอร์ตอบอย่างเคร่งขรึมและเว้นระยะคำพูดไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ที่คุณควรระวังในตอนนี้คือการเคลื่อนไหวของนักการเมืองบางคน โดยเฉพาะส.ส.ที่ชื่อร็อคนีย์”
“ร็อคนีย์” อันเดอร์ฮิลล์ทวนชื่อและนิ่วหน้า “นักการเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านชอบบริจาคเงินเพื่อการกุศลน่ะหรือครับ”
“แค่ฉากบังหน้าเท่านั้น คนของผมสืบรู้มาว่าเขาลอบติดต่อกับบุคคลลึกลับทุกๆห้าวัน น่าเสียดายที่สายคนหนึ่งของเราถูกฆ่าตายระหว่างการติดตาม”
“ท่านสงสัยว่าบุคคลลึกลับนั่นเป็นพวกอิลูมิเนติค” อันเดอร์ฮิลล์ถาม แอชเชอร์สั่นศีรษะ
“ผมแน่ใจต่างหาก เพราะบาดแผลบนชิ้นส่วนของเจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ได้เกิดจากอาวุธ” เขามองใบหน้าที่กำลังแสดงความตระหนกของอันเดอร์ฮิลล์ “ถูกต้อง สายของเราถูกส่งมาทางพัสดุไปรษณีย์เหมือนครั้งก่อน นั่นบ่งบอกได้ว่ามันเป็นการกระทำของพวกอิลูมิเนติค”
“ไม่มีหลักฐานสาวไปถึงตัวร็อคนีย์บ้างเลยหรือครับ” ชายชราถาม แอชเชอร์ส่ายหน้าพร้อมกับตอบเสียงเรียบ
“ไม่มี ตอนนี้เราได้แต่รอให้ทางฝ่ายนั้นเคลื่อนไหวอีกครั้ง”
“ท่านจึงส่งคนไปช่วยวลาร์ด” อันเดอร์ฮิลล์พูด อีกฝ่ายยิ้ม
“ถูกต้อง คำพูดของนักล่าที่ถูกสั่งพักงานไม่มีน้ำหนักพอที่จะปรักปรำใครได้ โดยเฉพาะคนฉลาดอย่างการ์ดเนอร์ ผมคิดว่าเธอคงยกประเด็นนี้ขึ้นมาหักล้างจนพวกเราไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้แน่ การส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยงานจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมหวังว่านักล่าของคุณคงทำงานสำเร็จ”
“ผมก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกันครับ” อันเดอร์ฮิลล์พูดพลางถอนใจ “หวังว่าเด็กสองคนนั่นจะจับฆาตกรตัวจริงได้และพิสูจน์ว่าทุกอย่างเป็นแผนการขององค์กรมืดเพื่อที่พวกเราจะได้หาทางทำลายมันให้หมดสิ้นไปเสียที”

*/*/*/*/*/*

แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าทำให้วลาร์ดต้องหรี่ตาและยกมือขึ้นป้อง เขาพยายามคิดทบทวนถึงคดีที่เกิดขึ้นแต่เสียงพูดคุยของผู้คนซึ่งเริ่มออกมาเดินบนถนนทำให้เด็กหนุ่มนิ่วหน้า เขาลุกขึ้นและเดินไปยืนที่หน่าต่างพร้อมกับดึงผ้าม่านลงมาปิดด้วยท่าทางรำคาญก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาจากนั้นจึงเปิดตู้เพื่อเปลี่ยนชุด แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในนั้นแล้วลูกครึ่งแวมไพร์ก็ต้องถอนใจ เขาดึงเสื้อออกมาจ้องนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงผลัดชุดนอนออก หลังจากสวมเสื้อผ้าใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ววลาร์ดจึงเดินไปเปิดกระเป๋าและหยิบแฟ้มคดีขึ้นมาอ่านอีกครั้งและขมวดคิ้วเมื่อเห็นรายละเอียดของเหยื่อรายที่ห้า เขาอ่านทวนอีกครั้งก่อนจะวางมันลงและหยิบข้อมูลของเหยื่อที่ถูกสังหารในโรงพยาบาลอีกสามรายมาวางเรียงกัน
“แปลก”
เด็กหนุ่มพึมพำพลางหยิบรูปก่อนเสียชีวิตของเหยื่อขึ้นมาพิจารณา แต่ความคิดทั้งหมดก็ต้องสะดุดเมื่อมีเสียงเคาะประตูค่อนข้างแรง ร่างสูงใหญ่ของวูล์ฟก้าวเข้ามาด้วยท่าทางร่าเริง
“อรุณสวัสดิ์” เขาร้องทักและไล่สายตามองลูกครึ่งแวมไพร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า หนุ่มหมาป่ายิ้มกว้าง “นายดูดีมากกว่าทุกครั้งเลยนะ”
“เรื่องของฉัน” วลาร์ดพูดพร้อมกับเก็บเอกสารทุกชิ้นกลับเข้าแฟ้ม วูล์ฟมองตามด้วยความทึ่ง
“นายอ่านเอกสารพวกนี้ตลอดเวลาเลยหรือ”
“ฉันไม่มีเวลาว่างเหมือนนาย” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบก่อนจะทำท่าจะเดินออกจากห้อง หนุ่มหมาป่าคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้
“เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะ” วลาร์ดพูดด้วยความรำคาญ อีกฝ่ายยิ้มกวนขณะดึงชายเสื้อของเพื่อนออกมาจากกางเกง
“วัยรุ่นที่ไหนแต่งตัวกันแบบนี้” เขาพูดพลางแกล้งยกมือขึ้นขยี้ผมลูกครึ่งแวมไพร์จนยุ่ง อีกฝ่ายรีบปัดออกด้วยความโมโห
“ทำบ้าอะไรของนาย” วลาร์ดพูดเสียงดังพร้อมกับยัดชายเสื้อกลับเข้าไปในกางเกงแต่วูล์ฟก็ดึงมันออกมาอีกครั้งและบ่น
“ขืนปล่อยให้นายออกไปในสภาพนี้มีหวังคนมองกันทั้งถนน” เขาเดินไปเปิดตู้และหยิบเสื้อแจ็คเก็ตส่งให้ “ดึงชายเสื้อออกแล้วสวมนี่ทับ”
“ไม่” ลูกครึ่งแวมไพร์โยนมันกลับไปให้หนุ่มหมาป่าแต่อีกฝ่ายกลับเหวี่ยงกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“นายต้องใส่ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกพวกตำรวจจำได้”
“ฉันไม่ได้แต่งเครื่องแบบ” วลาร์ดเถียง วูล์ฟยื่นหน้าเข้าไปใกล้และพูดเสียงห้วน
“แต่การแต่งตัวของนายตอนนี้แทบไม่ต่างจากเครื่องแบบเลยสักนิด” เขาตบลงไปบน
แจ็คเก็ตที่คลุมไหล่เพื่อนค่อนข้างแรง “ใส่มันซะ อย่าให้ฉันต้องใช้กำลัง”
ถึงจะไม่พอใจแต่ลูกครึ่งแวมไพร์ก็ยอมสวมเสื้อตามที่หนุ่มหมาป่าบอกโดยดีและเดินออกจากห้องทันทีที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยโดยไม่สนใจเสียงหัวเราะของเพื่อนที่ดังไล่หลัง เด็กหนุ่มลงบันไดไปจนถึงห้องกว้างชั้นสอง เขาต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นสมิธกำลังนั่งคุยกับชายสามคนที่พบเมื่อคืน ทั้งหมดอยู่ในเครื่องแต่งกายเรียบร้อยคล้ายเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ
“อรุณสวัสดิ์วลาร์ด” สมิธเอ่ยทักพลางยกถ้วยกาแฟขึ้น “ดื่มอะไรหน่อยไหม ผมเตรียมนมร้อนกับชาไว้แล้ว ถ้าหิวก็มาหยิบขนมปังบนโต๊ะนี่เลย”
“ขอบคุณครับ” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบแต่ยังคงยืนนิ่ง วูล์ฟซึ่งตามมาภายหลังผลักเขาไม่แรงนัก
“ทำไมไม่เข้าไปนั่ง” หนุ่มหมาป่าพูดพร้อมกับก้าวผ่านเพื่อนไปคว้าเหยือกนมมารินใส่แก้ว สมิธอมยิ้มเมื่อเห็นเขาหยิบขนมปังก้อนโตยัดใส่ปากและดื่มนมตาม ชายสามคนถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ คนหนึ่งหันไปทางวลาร์ด
“มานั่งด้วยกันสิวลาร์ด”
“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำเสียงไม่ดังนักก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างวูล์ฟ ชายอีกคนจึงจัดแจงรินนมใส่แก้วและเลื่อนส่งให้เขา
“คุณควรกินอะไรสักหน่อยก่อน เพราะวันนี้อาจจะต้องเจองานหนัก”
“ผมว่าเราน่าจะรีบออกไป” ลูกครึ่งแวมไพร์แย้งแต่อีกฝ่ายกลับจ้องเขาพร้อมกับพูดเสียงดุ
“ดื่ม”
น้ำเสียงที่ฟังคล้ายผู้ใหญ่ตำหนิเด็กทำให้วลาร์ดนิ่วหน้าและจำใจยกแก้วนมขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด หนุ่มหมาป่าหันไปมองเพื่อนแล้วยิ้ม
“เป็นครั้งแรกที่นอกจากคุณอันเดอร์ฮิลล์แล้วมีคนสั่งหมอนี่ได้” เขาหันไปหลิ่วตาให้กับสมิธ อีกฝ่ายยิ้ม
“คงเพราะคุณเทเลอร์อาวุโสที่สุดในกลุ่ม” เขาเว้นระยะและพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ผมคิดว่าเราควรเลิกเล่นกันได้แล้ว วันนี้เราจะเริ่มต้นที่ไหนกันก่อนดี”
“ประวัติของเหยื่อรายที่ห้า” วลาร์ดตอบเสียงเรียบ สมิธเลิกคิ้วในขณะที่เทเลอร์ยิ้ม
“คิดไว้แล้วว่าเธอต้องเริ่มต้นที่เหยื่อรายนั้น” เขาดึงบัตรเจ้าหน้าที่ห้องเก็บศพของเทศบาลออกมาวาง “เธออายุเท่าไหร่แล้ว”
“19”
“ยังแค่ 18 เท่านั้นไม่ใช่เหรอ” วูล์ฟเถียงและทำเป็นนั่งไม่รู้ไม่ชี้ทันทีเมื่อเห็นสายตาเพื่อน เทเลอร์ส่ายหน้าพร้อมกับยื่นบัตรทั้งสองใบส่งให้บรุคส์กับวลาร์ด
“18 ก็ยังทำงานพิเศษได้ เราจะไปที่เทศบาลเพราะศพของเหยื่อบางรายยังเก็บไว้ที่นั่น รีบเข้าไปหาข้อมูลและกลับออกมาภายในหนึ่งชั่วโมง”
“แล้วเจ้าหน้าที่ในนั้นล่ะครับ” ลูกครึ่งแวมไพร์ถามขณะเอื้อมมือไปหยิบบัตรมาถือไว้ อีกฝ่ายตอบอย่างเคร่งขรึม
“ที่นั่นจะมีการประชุมงานทุกเก้าโมงเช้า เจ้าหน้าที่ทุกคนจะไปรวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมชั้นสาม ระหว่างนั้นเราจะจัดการกับกล้องวงจรปิดให้ ส่วนเธอรีบจัดการเรื่องศพ งานนี้ต้องลงมือให้เงียบและเร็วที่สุด คิดว่าทำได้ไหมวลาร์ด”
“ครับ”
“อันที่จริงแล้วพวกเราเคยลอบเข้าไปตรวจศพเหยื่อเหล่านั้นมาแล้ว แต่ไม่พบอะไร” ชายอีกคนหนึ่งพูดพร้อมกับวางแฟ้มอันหนึ่งลงบนโต๊ะ “บางทีสิ่งที่เราสงสัยอาจถูกฆาตกรคนนั้นทำลายไปแล้วก็ได้”
“สิ่งที่พวกคุณสงสัย” ลูกครึ่งแวมไพร์ทวนคำด้วยความแปลกใจ “หรือว่า”
“คุณแอชเชอร์คิดแบบเดียวกับเธอ” เทเลอร์พูดพร้อมกับลุกขึ้น “พร้อมจะไปกันหรือยัง”
“ครับ” วลาร์ดตอบและลุกขึ้นตามวูล์ฟมองเจ้าหน้าที่ทุกคนก่อนจะถามเสียงดัง
“แล้วผมล่ะ” เขามองเทเลอร์และเลื่อนสายตาไปยังสมิธ “จะให้ผมทำอะไร”
“เธอเป็นคนที่มีปฏิสัมพัทธ์ดีเยี่ยม” เทเลอร์ตอบก่อนจะหันหน้าไปทางเพื่อนร่วมงานอีกคน “ไปสืบหาข้อมูลอื่นนอกเหนือจากนี้กับพวกญาติหรือบรรดาเพื่อนบ้านที่พอจะคุยได้ เราต้องรวบรวมทุกอย่างมาประกอบกันเพื่อให้คดีนี้คลี่คลายโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นหน่วยนักล่าอาจตกเป็นเป้าหมายของเอฟบีไอ”

*/*/*/*/*



Create Date : 15 กันยายน 2552
Last Update : 15 กันยายน 2552 21:49:35 น.
Counter : 283 Pageviews.

0 comment
บทที่ 6 การเคลื่อนไหวที่เงียบสงบ
บทที่ 6

การเคลื่อนไหวที่เงียบสงบ

วูล์ฟนั่งปรับเครื่องเล่นเพลงที่กำลังฟังเล่นอย่างสนุกอยู่ภายในรถยนต์ส่วนบุคคลสีเข้มซึ่งกำลังวิ่งออกจากเมืองอันเป็นที่ตั้งของหน่วยนักล่า สมิธเหลือบตามองเขาแต่ไม่ได้ห้ามปรามอะไรต่างจากวลาร์ดที่นั่งหน้าบูดบึ้งอยู่เบาะหลัง
“ปิดเพลงนั่นได้ไหม”
เขาพูดเสียงห้วน หนุ่มหมาป่าหันไปมองหน้าเพื่อนพร้อมกับยิ้ม
“ไม่” เขากลับไปปรับเสียงเล่นอีกครั้ง สมิธอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของลูกครึ่งแวมไพร์
“อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเมืองนั้น นั่งฟังเพลงเล่นไปก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ วลาร์ด”
ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบและทำท่าจะหัวเราะเมื่อได้ยินลูกครึ่งแวมไพร์กระแทกลมหายใจ
“ผมอยากอยู่เงียบๆ”
“แต่ฉันอยากฟังเพลง” วูล์ฟแย้งขึ้นมาทันที เขาหันหน้าไปมองวลาร์ดที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงเข้าชุดกันแล้วยิ้มกว้าง “ทำหน้าแบบนั้นไม่เข้ากับเสื้อที่นายใส่เลยนะ”
“อย่ายุ่งได้ไหมเจ้าหมาบ้า”
เสียงพูดอย่างเหลืออด หนุ่มหมาป่าหัวเราะอย่างชอบใจก่อนจะหันหน้าไปทางสมิธ
“ผมว่าองค์กรน่าจะออกแบบเครื่องแบบนักล่าใหม่ให้เป็นเสื้อกล้ามกางเกงยีนส์หรือเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นก็ไม่เลวนะครับ”
“นั่นสินะ” สมิธพูดกลั้วหัวเราะ “แต่ว่าผมคงไม่เหมาะกับกางเกงขาสั้นนักหรอก”
“ไม่เห็นยากนุ่งกางเกงยีนส์ก็สิ้นเรื่อง” วูล์ฟพูดพลางขยับขาไปมา “ใส่แบบนี้สบายกว่าชุดที่เหมือนนักบวชโรคจิตจะตาย ไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกลัวคนมอง”
ประโยคท้ายหนุ่มหมาป่าแกล้งทำเป็นชำเลืองไปทางลูกครึ่งแวมไพร์ เสียงอีกฝ่ายบ่นพึมพำก่อนจะหันหน้ามองออกไปนอกรถ
“ฉันชอบแบบนั้น”
วูล์ฟเลิกคิ้วและหัวเราะออกมาเบาๆ เขาหันหน้ากลับไปมองถนนและปิดวิทยุก่อนจะเอนตัวพิงเบาะ สมิธมองด้วยความแปลกใจ
“ไม่ฟังแล้วหรือ”
“ครับ” หนุ่มหมาป่าตอบพร้อมกับอ้าปากหาว “ผมขอนอนสักงีบดีกว่า”
“ตามใจ” ชายหนุ่มพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบถ้วยกาแฟ วูล์ฟเหลือบมองพร้อมกับถามเสียงไม่ดังนัก
“ง่วงหรือครับ”
“เปล่า” สมิธตอบขณะยกกาแฟขึ้นดื่ม “แค่ความเคยชินเท่านั้น คุณสองคนนอนไปเถอะ”
หนุ่มหมาป่าพยักหน้าก่อนจะหลับตาลง เสียงกรนเบาๆทำให้สมิธรู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว เขาเหลือบตามองกระจกหลังและขมวดคิ้วเมื่อเห็นวลาร์ดยังคงนั่งนิ่ง ดวงตาซึ่งกำลังมองทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านฉายแววครุ่นคิดออกมา ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากถาม
“คิดเรื่องอะไรอยู่หรือ”
“คดีฆาตกรรม” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ “ถึงจะพอเดาออกว่าคนร้ายกำลังทำอะไร แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจการกระทำของเขา”
“ไม่มีใครเดาใจฆาตกรได้หรอกวลาร์ด” สมิธพูดพลางเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วเพื่อแซงรถบรรทุก “บางครั้งสิ่งที่คนพวกนั้นทำลงไปก็เพียงเพื่อสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น”
“แต่คนร้ายรายนี้ไม่ใช่ เขามีเป้าหมายชัดเจนทุกครั้งที่ลงมือ” ลูกครึ่งแวมไพร์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ผมสังเกตจากข้อมูลที่คุณรวบรวมมาทั้งหมดแล้วคิดว่าเขาน่าจะรู้จักเหยื่อทุกคนเป็นอย่างดี”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”
“รูปแบบการลงมือ” วลาร์ดเลื่อนสายตาไปมองสมิธ “หลังสังหารเหยื่อสี่รายที่เป็นอัมพาตแล้วเขาจะทำลายสมองจนเสียหาย ในขณะที่รายอื่นถูกแทงบริเวณท้องเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเป็นการแทงจนทะลุไปถึงไขสันหลัง”
“ฟังดูเหมือนเป็นการเจาะจง” สมิธพูดเสียงเรียบ ลูกครึ่งแวมไพร์พยักหน้า
“ผมถึงสงสัยว่าบางทีทั้งเหยื่อและฆาตกรรายนี้อาจเกี่ยวข้องกับพวกอิลูมิเนติค” เขานิ่วหน้า “ผมอยากจะสืบประวัติผู้เคราะห์ร้ายทุกคน”
“เรื่องนั้นผมพอจะหาวิธีให้ได้ แต่คุณต้องการย้อนหลังไปประมาณเท่าไหร่”
“หกเดือน” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ สมิธนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพูด
“นั่นเป็นระยะเวลาหลังจากที่พวกเราทำลายห้องทดลองใหญ่ของอิลูมิเนติคไม่ใช่หรือครับ”
“ใช่” วลาร์ดตอบพร้อมกับเลื่อนสายตามองออกไปนอกรถอีกครั้ง “แต่ผมไม่คิดว่าคนพวกนั้นถูกทำลาย บางทีตอนนี้พวกมันอาจกำลังทดลองสร้างอมนุษย์แบบใหม่อยู่ในห้องทดลองอื่นก็ได้”
“ถึงผมจะไม่อยากคิดแบบนั้น แต่ดูเหมือนความกังวลของคุณจะเป็นจริง”
สมิธพูดด้วยสีหน้าหนักใจ ลูกครึ่งแวมไพร์นั่งนิ่งไม่พูดอะไรกลับมา ชายหนุ่มจึงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองอีกครั้ง เขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การขับรถ จากนั้นทั้งสองจึงไม่พูดคุยอะไรต่อกันอีกเลยจนกระทั่งเข้าเขตเมือง สมิธเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าอาคารแห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นสถานที่ร้าง เขาดับเครื่องยนต์และหันไปมองวูล์ฟซึ่งกำลังหลับสนิทในขณะที่วลาร์ดเปิดประตูก้าวลงจากรถ ลูกครึ่งแวมไพร์กวาดตามองไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง เขาลดสายตาลงมองชายจรจัดสองสามคนซึ่งกำลังยืนจ้องตรงมายังพวกเขาไม่ห่างไปเท่าใดนัก
“แน่ใจหรือว่าที่นี่จะปลอดภัย”
ลูกครึ่งแวมไพร์ถามเสียงไม่ดังนัก มือเลื่อนไปด้านข้างด้วยความเคยชิน เขาขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านายอันเดอร์ฮิลล์สั่งห้ามไม่ให้นำดาบติดตัวมาด้วย เด็กหนุ่มกำมือแน่น เขาจ้องชายจรจัดทั้งสามซึ่งกำลังเดินเข้ามาหา
“มีคนมาทางนี้” วลาร์ดพูดเสียงเข้ม สมิธซึ่งกำลังเขย่าปลุกหนุ่มหมาป่าชะงักและหันหน้าไปมอง เขายิ้มกว้างขณะก้าวออกจากรถ
“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มวางมือลงบนไหล่ลูกครึ่งแวมไพร์ “เขาเป็นเจ้าหน้าที่จากองค์กรเหมือนกับเรา”
วลาร์ดหันไปมองสมิธด้วยความแปลกใจ อีกฝ่ายผงกศีรษะให้กับชายทั้งสามขณะตวัดตาไปทางอาคาร ชายทั้งสามคนจึงทำเป็นเดินเลี่ยงและหายเข้าไปในตรอกด้านข้าง ลูกครึ่งแวมไพร์นิ่วหน้าพร้อมกับพูด
“ผมคิดว่าการมาของพวกเราเป็นความลับ”
“ใช่” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบก่อนจะกลับเข้าไปในรถและเริ่มเรียกวูล์ฟอีกครั้ง วลาร์ดมองเขาด้วยความสงสัย
“ทำไม”
“ขึ้นไปที่ห้องพักแล้วผมจะอธิบายให้ฟัง” สมิธพูดพลางเขย่าหนุ่มหมาป่าแรงขึ้น “ทำไมเรียกยากเย็นแบบนี้”
เขาบ่นพึมพำ ลูกครึ่งแวมไพร์มองด้วยความเอือมระอาก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดกระโปรงรถและดึงห่อแฮมเบเกอร์ชิ้นโตออกมาจากถุงใบหนึ่ง เขาเดินไปเปิดประตูด้านที่วูล์ฟนั่งและโปะมันลงไปบนหน้าของเพื่อน
“ตื่นได้แล้วเจ้าหมาบ้า”
วลาร์ดพูดเสียงดัง หนุ่มหมาป่าลืมตาขึ้นคว้าแฮมเบเกอร์ชิ้นนั้นเอาไว้และแกะกระดาษออกอย่างรวดเร็ว สมิธอ้าปากค้างในขณะที่ลูกครึ่งแวมไพร์เดินกลับไปหลังรถอีกครั้งพร้อมกับดึงกระเป๋าใบย่อมออกมา
“จะไปกันหรือยัง”
“ครับ” สมิธรีบออกจากรถและขนสิ่งของเครื่องใช้มากองรวมกัน วูล์ฟก้าวออกมายืนบ่นทั้งที่อาหารยังเต็มปาก
“เมื่อยแทบตายกว่าจะถึง” เขาเหยียดแขนทั้งสองข้างและบิดตัว “ว่าแต่ยังมีอะไรให้กินอีกไหมฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว”
“ผมให้เจ้าหน้าที่ขึ้นไปเตรียมมื้อค่ำไว้แล้ว” สมิธพูดพลางก้มตัวลงเพื่อเตรียมจะยกกระเป๋าแต่หนุ่มหมาป่ารีบคว้าทั้งหมดมาถือเอาไว้
“คุณถือแค่ใบนั้นใบเดียวก็พอ” เขาบุ้ยใบ้ไปที่กระเป๋าเอกสารก่อนจะหันไปทางวลาร์ด “ช่วยหน่อยได้ไหม”
“นายเป็นคนอาสาเองไม่ใช่หรือ” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ เขาหันไปทางสมิธ “รีบไปกันเถอะ”
“ครับ” ชายหนุ่มเดินนำหน้าเด็กทั้งสองไปทันที ระหว่างที่รอให้สมิธไขประตู วูล์ฟเงยหน้ามองตึกซึ่งเป็นอาคารสูงสี่ชั้นแต่ค่อนข้างเก่าด้วยสายตาแปลกใจ ส่วนวลาร์ดหลังจากไล่สายตาสำรวจอาคารที่พักอาศัยอื่นซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสองช่วงตึกจึงเอ่ยปากถาม
“มาใช้ตึกร้างแบบนี้ไม่สะดุดตาไปหน่อยหรือ”
“ถึงจะเป็นอาคารร้าง แต่มันก็ได้รับการดูแลอย่างดีมาโดยตลอดครับ” สมิธตอบพลางเปิดประตู “เราจะส่งคนมาทำความสะอาดและให้พักอาศัยบ้างเป็นบางครั้งโดยบอกคนแถวนี้ว่าที่นี่เป็นที่พักชั่วคราวของพวกแสวงบุญที่ค่อนข้างเคร่งครัดซึ่งต้องการสถานที่สันโดษและสงบเงียบ”
“พูดง่ายๆก็คือที่นี่เป็นอาคารขององค์กร” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดอย่างเคร่งขรึมขณะเดินตาม
สมิธขึ้นบันได อีกฝ่ายยิ้ม
“ครับ” เขาหยุดที่ชั้นสองและเปิดประตูบานหนึ่งออกพร้อมกับก้าวเข้าไปด้านใน วลาร์ดเลื่อนสายตามองตามและนิ่วหน้าเมื่อพบว่ามันเป็นห้องขนาดใหญ่ในขณะที่วูล์ฟยื่นหน้าเข้าไปมองด้วยความอยากรู้และยิ้มกว้างเมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะ
“แบบนี้ถึงจะเรียกว่ามื้อค่ำ” เขาวางกระเป๋าไว้ข้างประตูและเดินไปนั่ง สมิธมองกิริยาของเขาแล้วหัวเราะ
“ไม่ต้องรีบก็ได้วูล์ฟ” เขาหันไปมองลูกครึ่งแวมไพร์ซึ่งยังคงยืนนิ่ง “มานั่งสิวลาร์ด”
“สามคนนั่นล่ะครับ” เด็กหนุ่มถามเสียงเรียบ สมิธจึงเลื่อนสายตามองผ่านไปทางด้านหลัง
“เชิญครับ”
วลาร์ดหันไปมองชายสามคนซึ่งกำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึม เสื้อผ้าสกปรกรุงรังที่เห็นในตอนแรกถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบสีเข้ม อกเสื้อด้านซ้ายปักเครื่องหมายสัญลักษณ์ขององค์กรมองคล้ายตราของหน่วยนักล่า ต่างกันตรงที่เป็นรูปกางเขนธรรมดาไม่ใช่กางเขนดาบ
“พวกเขาเป็นใครกันแน่” ลูกครึ่งแวมไพร์ถาม สมิธยิ้มก่อนตอบ
“คนขององค์กรที่ถูกส่งมาช่วยเหลือพวกเราสืบคดี”
“คิดว่าการมาของพวกเราเป็นความลับ” วลาร์ดพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น เขามองชายทั้งสามด้วยสายตาไม่ไว้วางใจและหันหน้าไปมองสมิธซึ่งเดินมาตบไหล่พร้อมกับอธิบาย
“ภารกิจของพวกเราเป็นความลับ ไม่มีเจ้าหน้าที่ในองค์กรคนใดรู้” เขาเลื่อนสายตาไปยังบุคคลทั้งสามซึ่งยังคงยืนนิ่ง “นอกจากท่านประธานเพียงคนเดียว”
“หมายความว่า” ลูกครึ่งแวมไพร์เบนสายตากลับไปมองชายทั้งสามและขมวดคิ้ว สมิธพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมขณะตอบ
“ทั้งสามเป็นคนของคุณแอชเชอร์ พวกเขาถูกส่งมาเพื่อช่วยเรา”

*/*/*/*/*

























Create Date : 15 กันยายน 2552
Last Update : 15 กันยายน 2552 21:48:40 น.
Counter : 305 Pageviews.

0 comment
บทที่ 5 ร่องรอยที่หายไป
บทที่ 5

ร่องรอยที่หายไป

หลังจากจดบันทึกรายละเอียดและข้อมูลของผู้ป่วยที่ตกเป็นเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว สมิธจึงนำเอกสารทั้งหมดกลับไปคืนเจ้าหน้าที่และรีบออกเดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุการฆาตกรรมทั้งหมด ชายหนุ่มแกล้งทำตัวเป็นนักข่าวหรือสายสืบจากสถานีตำรวจเพื่อสอบถามเรื่องราวต่างๆจากบรรดาเพื่อนบ้านและต้องแปลกใจเมื่อพบว่าทุกรายเกิดอาการเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุก่อนถูกสังหาร

สมิธสืบหาข่าวอยู่ในเมืองแห่งนั้นสองสามวัน เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอแล้วเขาจึงแจ้งกลับไปที่หน่วยและเตรียมตัวเดินทางกลับ ขณะเดินไปที่รถชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงไซเรนดังใกล้เข้ามา สมิธหันหน้าไปยังถนนและนิ่วหน้าเมื่อเห็นรถตำรวจหลายคันวิ่งผ่านไปท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ยืนดูทั้งสองข้างทาง เสียงเจ้าของร้านขายของชำซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณนั้นพูดกับลูกค้าคนหนึ่งที่ยืนดูด้วยกัน

“เห็นข่าวประกาศว่ามีคนถูกฆ่าตายอีกแล้ว”

“เจ้าฆาตกรต่อเนื่องคนนั้นน่ะเหรอ” คู่สนทนาถาม เจ้าของร้านพยักหน้า

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น”

“โดนฆ่าไปกี่คนล่ะ” ชายอีกคนหันหน้ามาถาม สีหน้าเจ้าของร้านขายของชำเคร่งเครียดขึ้นขณะตอบ

“สอง”

สมิธไม่อยู่รอฟังเรื่องราวต่อจากนั้น เขารีบขึ้นรถและขับตามไปยังที่เกิดเหตุทันที เมื่อเข้าไปถึงบริเวณนั้นชายหนุ่มจึงจอดรถไว้ข้างทางหลังจากถอดสูทออกแล้วชายหนุ่มจึงเดินไปรวมกับฝูงคนที่กำลังยืนมุงดู เขาพยายามชะโงกหน้ามองเข้าไปในบ้านและจ้องร่างที่นอนจมกองเลือดอย่างพิจารณา เสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่กำลังรายงานผู้บังคับบัญชาทำให้สมิธเงี่ยหูฟัง

“เหยื่อทั้งสองคนถูกแทงที่หน้าท้องจนทะลุกระดูกสันหลังเหมือนรายที่ผ่านมา ตรวจสอบโดยรอบแล้วไม่พบรอยเท้าหรือสิ่งแปลกปลอมเลยครับ”

“แล้วพยานล่ะ มีใครเห็นคนแปลกหน้าบ้างไหม”

“ผมสอบถามเพื่อนบ้านที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงแล้ว ไม่มีใครพบหรือสังเกตเห็นอะไรเลยครับ มีคนหนึ่งบอกว่าหลังจากผู้เคราะห์ร้ายบ่นเรื่องอาการปวดเอวแล้วก็แยกตัวกลับเข้าไปในบ้าน มารู้เรื่องอีกครั้งตอนเห็นรถตำรวจมานี่แหละครับ”

“แล้วใครเป็นคนแจ้ง”นักสืบเครนถาม พลตระเวนหันไปยังชายวัยกลางคนที่กำลังยืนให้ปากคำกับตำรวจอีกนาย

“คุณกิบส์ เขาบอกว่าจะเข้าไปยืมสว่านไฟฟ้าของผู้เคราะห์ร้ายแต่ผิดสังเกตที่กดกริ่งเรียกอยู่นานก็ยังไม่มีคนมาเปิดประตูรับเลยเดินไปมองที่ช่องหน้าต่างก็พบเหยื่อทั้งสองนอนจมกองเลือดอยู่”

“แล้วหน่วยแพทย์กับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาถึงหรือยัง” เครนถามเสียงเรียบ สายตากวาดมองไปโดยรอบอย่างตรวจตราและหยุดชะงักที่เจ้าหน้าที่พิเศษคาร์เพนเตอร์ นักสืบหนุ่มขมวดคิ้วทันที

“ขอบใจ คุณกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อได้” เขารีบพูดก่อนจะเดินตรงไปหาคาร์เพนเตอร์ที่กำลังเดินก้มหน้ามองสนามหญ้าหน้าบ้านคล้ายพยายามมองหาอะไรบางอย่างอยู่

“เจ้าหน้าที่พิเศษคาร์เพนเตอร์” นักสืบเครนทัก “ไม่คิดว่าจะมาถึงที่เกิดเหตุเร็วแบบนี้”

“คดีมันร้อน” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ดูเหมือนคนร้ายจะไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้เลยใช่ไหม”

“ก็ทำนองนั้น” เครนตอบ เจ้าหน้าที่พิเศษมองเขา

“ไม่คิดว่ามันแปลกหรือ” เขาถาม อีกฝ่ายทำหน้าฉงน

“อะไร”

“สนามนี่เพิ่งถูกรดน้ำ มันชุ่มจนสามารถเกิดรอยได้ง่ายถ้ามีคนย่ำ” คาร์เพนเตอร์ชี้มือไล่จากถนนไปจนถึงหน้าบ้าน “นอกจากรอยเท้าของตำรวจที่คุณยกมาทั้งสถานีแล้ว ผมไม่เห็นรอยของใคร”

“เพิ่งรู้ว่าเอฟบีไอแยกแยะรอยเท้าได้โดยไม่ต้องรอหน่วยพิสูจน์” เครนประชดแต่คาร์เพนเตอร์กลับหันหน้าไปที่สวนด้านหลัง

“ผมกำลังพูดถึงสนามในส่วนนั้น ถ้าคนร้ายบุกเข้าไปสังหารคนในบ้านจริงก็น่าจะใช้ทางเข้าด้านหลังซึ่งปลอดตาคนมากกว่า อีกอย่างคนของคุณก็รายงานให้ฟังแล้วไม่ใช่เหรือว่าขณะที่เกิดเหตุคุณกิบส์เพื่อนบ้านกำลังยืนกดกริ่งอยู่ที่หน้าประตู”

“แล้วยังไง”

“ในเมื่อมีคนยืนขวางทาง คนร้ายจะเลือกหนีทางไหน” เจ้าหน้าที่พิเศษถาม อีกฝ่ายนิ่ง

“ประตูหลัง” เขารีบหันไปทางหน่วยพิสูจน์หลักฐานและร้องถามเสียงดัง “ไปตรวจดูที่สนามหลังบ้านหรือยัง”

“เราตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ไม่พบร่องรอยผิดปรกติ” เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตอบ เครนหันกลับไปทางคาร์เพนเตอร์ทันที

“แสดงว่าคนร้ายไม่ได้หนีไปทางนั้น”

“ตรงกันข้าม ผมคิดว่าเขาใช้สวนด้านหลังเป็นเส้นทางในการหลบหนี” เอฟบีไอหนุ่มพูดขณะเดินเข้าไปในบ้าน เขาชำเลืองมองร่างของเหยื่อที่กำลังถูกบรรจุลงในถุงห่อศพก่อนจะกวาดสายตาสำรวจอย่างรวดเร็ว

“คนร้ายไม่สนใจทรัพย์สินของเหยื่อเลยแม้แต่น้อย” เขาพูดเมื่อก้าวไปหยุดยืนที่ประตูครัวและจ้องการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งกำลังตรวจสภาพที่เกิดเหตุก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ลูกบิดประตู “แถมยังทำงานได้รวดเร็ว สะอาดเรียบร้อยอย่างกับมืออาชีพ”

“คุณรู้ได้ยังไง”

“ที่เกิดเหตุยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ แสดงว่าเหยื่อทั้งสองถูกฆ่าเกือบจะพร้อมกันโดยที่ยังไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำและที่สำคัญ” คาร์เพนเตอร์ผลักบานประตูให้เปิดออก “เขาหลบหนีออกไปโดยไม่มีรอยเลือดทิ้งไว้สักหยด”

“คนร้ายอาจทำความสะอาดอาวุธก่อนออกจากที่เกิดเหตุ”

“คุณพบคราบเลือดในอ่างล้างจานหรือในห้องน้ำบ้างไหม” เอฟบีไอหนุ่มถาม นับสืบเครนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนตอบ

“ไม่พบ”

“นั่นแสดงว่าคนร้ายไม่ได้ล้างอาวุธที่นี่”

“แต่จะเป็นไปได้ยังไง ถ้าหมอนั่นไม่ได้ทำความสะอาดอาวุธ มันก็ต้องมีเลือดหยดลงมาบนพื้นบ้าง คนของผมตรวจที่เกิดเหตุอย่างละเอียดแล้วไม่พบร่องรอยอะไรเลย อย่าว่าแต่เลือดสักหยด ละอองหรือรอยสาดกระเซ็นก็ยังไม่มี”

เครนแย้งด้วยความรู้สึกฉงนแต่คาร์เพนเตอร์กลับพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ผมถึงบอกว่าคนร้ายเป็นมืออาชีพ และยังมีอาการทางจิตประเภทหมกมุ่นอีกด้วย”

“คุณรู้ได้ยังไง” นักสืบเครนถาม เอฟบีไอหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ข้อมูลจากฝ่ายวิเคราะห์พฤติกรรม เราทำการศึกษานิสัยคนร้ายรายนี้ตั้งแต่เกิดคดีที่สอง”

“นั่นก็ยังไม่ได้บอกว่าทำไมถึงไม่เหลือรอยเลือดสักหยด” เครนพูดเสียงกระด้าง อีกฝ่ายหันไปมองหน้าเขา

“ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่หรือว่า คนร้ายมีอาการทางจิต”

“หมายความว่าอะไร” นักสืบเครนชะงักคำถามและเบิกตาโพลงราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เดี๋ยว ถ้าอย่างนั้นคนร้ายก็ใช้วิธี...”

เขาทำหน้าผะอืดผะอมก่อนที่จะหลุดคำพูดประโยคสุดท้ายออกมา คาร์เพนเตอร์จึงพูดต่อให้

“เลียเลือดของเหยื่อเพื่อทำความสะอาดมีด”

เครนใช้แขนเสื้อปิดปากของตัวเองก่อนจะเค้นเสียงพูด

“เอาล่ะ ถ้านั่นอธิบายเรื่องหยดเลือดที่เราไม่พบในที่เกิดเหตุ แล้วร่องรอยอย่างอื่นของคนร้ายล่ะ”

“ผมยังไม่มีคำอธิบายในเรื่องนั้น” เอฟบีไอหนุ่มตอบ เขามองหญ้าเขียวชอุ่มที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ “ทั้งที่สนามเปียกแฉะขนาดนี้ทำไมถึงไม่มีรอยเท้าของคนร้ายเลยสักนิด”

ขณะที่ทั้งสองกำลังปรึกษากัน สมิธรีบเดินสำรวจรอบบริเวณที่เกิดเหตุและบันทึกทุกอย่างที่เขาพบอย่างละเอียด ชายหนุ่มมองนายตำรวจอายุน้อยซึ่งยืนระวังอยู่ห่างจากกลุ่มมากที่สุด สีหน้าและท่าทางที่ดูเหมือนกำลังพยายามระงับความตื่นเต้นของเขาทำให้สมิธตัดสินใจเดินเข้าไปหา

“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยทักด้วยท่าทางสุภาพ นายตำรวจใหม่หันมามอง

“สวัสดีครับ” สายตาจ้องสมิธอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะแกล้งดึงบัตรประจำตัวออกมาสะบัดอย่างรวดเร็ว

“ผมเป็นนักข่าวอิสระ ได้ยินว่าที่นี่เกิดคดีฆาตกรรม ไม่ทราบว่าคุณตำรวจพอจะให้รายละเอียดกับผมได้ไหม”

“คงไม่ได้” นายตำรวจหนุ่มตอบพลางชำเลืองตามองผู้บังคับบัญชา สมิธรีบตีสีหน้าเศร้า

“สักนิดก็ไม่ได้หรือครับ อย่างเช่นคนร้ายมีกี่คน เข้ามาทางไหนหรือลงมือสังหารเหยื่อด้วยวิธีอะไร บอกมาแค่อย่างเดียวก็ยังดี”

“มันเป็นความลับของทางราชการ” ตำรวจผู้นั้นตอบ น้ำเสียงที่ลดความขึงขังลงทำให้สมิธรีบพูด

“ผมเป็นนักข่าวอิสระ คงอดตายแน่ถ้าไม่มีอะไรไปเสนอให้หนังสือพิมพ์” เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอน สีหน้าของนายตำรวจหนุ่มฉายแววลำบากใจขึ้นมา

“แต่ผม...” เขาชำเลืองไปยังด้านหลังอีกครั้งก่อนลดเสียงลง “อย่าบอกนะครับว่าฟังมาจากผม”

“ครับ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” สมิธรับคำ ตำรวจหนุ่มผู้นั้นจึงเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์และรายละเอียดต่างๆภายในที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวัง

*/*/*/*

สมิธรีบเดินทางกลับหน่วยนักล่าทันทีที่รวบรวมข้อมูลของคดีฆาตกรรมทั้ง 13 รายได้ จากเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ฟังมาทำให้เขาพยายามครุ่นคิดหาวิธีที่จะนำร่างผู้เสียชีวิตไปผ่าพิสูจน์ที่หน่วยเพื่อตรวจหาสาเหตุบางอย่าง แต่เมื่อนึกถึงเจ้าหน้าที่พิเศษจากเอฟบีไอในที่เกิดเหตุแล้ว ชายหนุ่มถึงกับถอนใจออกมา

“แบบนี้คงทำงานลำบากแน่”

เขาบ่นพึมพำขณะเลี้ยวรถเข้าไปจอดในอาคารที่ทำการ สตีฟซึ่งเดินอยู่แถวนั้นร้องทักและเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับถาม

“ได้เรื่องอะไรไหม”

“มากพอดู” สมิธตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะรวบรวมเอกสารทั้งหมด สตีฟมองภาพศพผู้เสียชีวิตรายล่าสุดที่เพื่อนของเขาแอบถ่ายกลับมา

“ไม่คิดว่านายไปอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย”

“บังเอิญฉันอยู่แถวนั้น” ชายหนุ่มตอบ “แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรมาก” เขาหอบเอกสารทั้งหมดเดินเข้าไปในอาคารโดยมีสตีฟช่วยถือกระเป๋าที่บรรจุข้อมูลหลายอย่างเอาไว้ตามไปด้วย

“นายจะไปพบคุณอันเดอร์ฮิลล์เลยใช่ไหม” สตีฟถาม สมิธพยักหน้า

“ใช่ ฉันต้องส่งรายงานพวกนี้ก่อนที่เจ้าหน้าที่พิเศษจะมาถึง”

“ถ้าอย่างนั้นตรงไปที่ห้องเก็บข้อมูลเลย เพราะทั้งคุณอันเดอร์ฮิลล์ วลาร์ดและวูล์ฟกำลังค้นหารายละเอียดของดคีอยู่ที่นั่น”

สมิธกล่าวขอบใจเพื่อนและเดินตรงไปยังห้องเก็บข้อมูลซึ่งอยู่ด้านตรงข้ามกับอาคารกลาง เขาวางเอกสารทั้งหมดลงบนโต๊ะและหันไปทำความเคารพนายอันเดอร์ฮิลล์ทันทีที่ไปถึง

“กลับมาแล้วหรือ” หัวหน้าหน่วยนักล่าถามและมองกองเอกสารรวมทั้งกระเป๋าที่สตีฟถือตามเข้ามา “ได้ข้อมูลมามากพอดูนี่”

“ข้อมูลที่ได้ยังไม่มากพอที่เราจะค้นหาคนร้ายรายนี้” สมิธตอบพลางหันไปมองวลาร์ดซึ่งกำลังดึงรูปเหยื่อรายล่าสุดออกมาจากแฟ้มอันหนึ่ง

“คุณไปดูที่เกิดเหตุด้วยหรือครับ” เขาเหลือบตามองชายหนุ่ม “พบอะไรน่าสงสัยบ้างไหม”

“ไม่เลย คนร้ายไม่ทิ้งอะไรไว้เลยหลังก่อเหตุฆาตกรรม ผมได้ยินนักสืบคุยกับเอฟบีไอว่าไม่มีแม้กระทั่งรอยเท้าหรือเลือดสักหยด”

“เอฟบีไอลงมาสืบคดีนี้แล้วหรือ” นายอันเดอร์ฮิลล์พูดพร้อมกับนิ่วหน้า “ไม่แปลกเพราะมันเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่อุกอาจมาก แล้วได้อะไรจากเหยื่อที่ถูกฆ่าในโรงพยาบาลบ้าง”

“ครับ” สมิธตอบพลางหยิบเอกสารปึกใหญ่ออกมาจากกระเป๋า “ผมมีรายงานทางการแพทย์และบันทึกของสถานพักฟื้นซึ่งเป็นที่เกิดเหตุครั้งที่สาม”

เขาส่งรายงานทั้งหมดให้กับอันเดอร์ฮิลล์และหยิบสมุดบันทึกออกมา

“ส่วนนี่เป็นบันทึกข้อมูลของเหยื่อที่ถูกฆ่าตายภายในบ้าน” เขาดึงกระดาษและรูปถ่ายมาวาง วลาร์ดหยิบไปอ่านอย่างละเอียดขณะที่วูล์ฟชะโงกหน้าไปดูด้วยความสนใจ

“พวกเขาถูกฆ่าตายคนละที่ นอกจากวิธีการสังหารแล้วไม่เห็นมีอะไรที่เหมือนกันเลยสักนิด เหมือนคนร้ายก่อคดีแบบสุ่มเลือกมากกว่า”

หนุ่มหมาป่าพูดหลังจากกวาดตาอ่านเอกสารอย่างคร่าวๆ สมิธส่ายหน้า
“คล้ายจะเป็นอย่างนั้นแต่ความจริงแล้วไม่ใช่” เขาเรียงรายงานของเหยื่อตั้งแต่รายแรกไปจนกระทั่งถึงรายล่าสุด “ก่อนถูกฆ่า ทุกคนมีบางอย่างที่เหมือนกัน นั่นก็คืออาการปวดลำตัวในช่วงเอว”

“แค่นั้นเองหรือ” วูล์ฟพูด “ผมไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน”

“คงใช่ถ้าเหยื่อรายที่สาม ห้า และแปดกับสิบเอ็ดไม่ได้เข้าโรงพยาบาลด้วยอาการแบบเดียวกัน” สมิธพูดและหันไปมองวลาร์ด สีหน้าของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที

“คุณกำลังจะบอกว่าพวกเขาเป็นอัมพาต”

“ใช่แล้ววลาร์ด ทั้งสี่คนเป็นอัมพาต หนึ่งในนั้นอาการหนักจนถึงกับต้องใช้เครื่องช่วยชีวิต”

“ถ้าอย่างนั้นฆาตกรนั่นก็โหดร้ายมาก ที่เข้าไปฆ่าคนป่วยถึงในโรงพยาบาล” วูล์ฟบ่นด้วยน้ำเสียงโกรธแต่วลาร์ดกลับส่ายหน้า

“เขากำลังทำอะไรบางอย่างมากกว่า” ลูกครึ่งแวมไพร์หันไปทางอันเดอร์ฮิลล์ “ผมคิดว่าคดีฆาตกรรมในครั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับโฟริด”

“เรายังสรุปอะไรลงไปไม่ได้จนกว่าจะนำร่างของเหยื่อมาตรวจสอบ” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม วลาร์ดนั่งนิ่ง

“เอฟบีไอลงมาสืบคดีนี้แล้ว ทางเราไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านี้ได้” สมิธพูดขึ้นมาบ้าง “คงต้องคิดหาทางอื่นเพื่อจัดการ”

คำพูดของเขาทำให้นายอันเดอร์ฮิลล์มองหน้า

“คุณมีแผนแล้วใช่ไหม”

“ครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับเลื่อนสายตาไปที่วลาร์ด “มันอาจจะเสี่ยงแต่ผมคิดว่ายังดีกว่ารอให้พวกหน่วยพิเศษเข้ามาทำหน้าที่นี้แทน”

“บอกแผนของคุณมา” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงเรียบ สมิธมองเขาและพูดอย่างเคร่งขรึม

“พวกเราต้องแทรกตัวเข้าไปในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจะได้เข้าไปในที่เกิดเหตุและนำร่างของผู้เสียชีวิตกลับมา”

“มันอันตรายมาก โดยเฉพาะวลาร์ดที่กำลังถูกตำรวจหมายหัว” นายอันเดอร์ฮิลล์แย้งแต่วูล์ฟกลับยิ้ม

“พวกเขาเห็นหมอนี่ในเครื่องแบบ เปลี่ยนชุดซะก็หมดเรื่อง” เขาขยี้ผมเพื่อน “ใช่ไหม”

“ฉันไม่แต่งตัวบ้าๆแบบนายแน่”

“แต่นายต้องทำ” หนุ่มหมาป่าพูดเสียงดัง เขาหันไปทางอันเดอร์ฮิลล์ “ตกลงตามนี้นะครับ”

ชายชรานั่งนิ่งหลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงถอนใจ

“คงต้องเป็นไปตามนั้น สมิธคุณต้องคอยดูแลสองคนนี้ให้ดีอย่าให้พวกเขาทำอะไรที่มันเสี่ยงจนเกินไปโดยเฉพาะวลาร์ด เธอต้องทำทุกอย่างตามที่สมิธสั่งเข้มใจไหม”

“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก อันเดอร์ฮิลล์มองเอกสารที่กองรอบตัว

“ศึกษาข้อมูลทั้งหมด จำไว้ว่าต้องทำงานให้เร็วที่สุด พวกแธอจะต้องสืบให้แน่ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นแผนการของพวกอิลูมิเนติค เพื่อพวกเราจะได้วางแผนรับมือกับพวกมัน”

*/*/*/*/*














Create Date : 15 กันยายน 2552
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 2:49:21 น.
Counter : 294 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี