บทที่ 16 ครอบครัวมาร์ติน
บทที่ 16

ครอบครัวมาร์ติน

เสียงร้องตะโกนเอะอะที่ดังมาจากพนักงานดับเพลิงซึ่งวิ่งวุ่นดับไฟที่กำลังโหมไหม้ตึกร้างอย่างรุนแรง ฝูงชนแถวนั้นต่างพากันออกมายืนมองด้วยสีหน้าหวาดหวั่น บางคนหันหน้าคุยกัน บางคนรีบกลับบ้านด้วยความกลัวขณะที่หลายคนยังคงยืนปักหลักคอยฟังการสนทนาของเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติงานด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนบางครั้งเผลอตัวขยับเข้าไปใกล้ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งทำหน้าที่ในบริเวณนั้นต้องคอยเตือน
เมื่อควบคุมเพลิงจนสงบ นักสืบเครนยืนรอพนักงานดับเพลิงที่กำลังเก็บอุปกรณ์ด้วยความหงุดหงิดจนกระทั่งหัวหน้าของพวกเขาเดินเข้ามาหา นักสืบร่างใหญ่จึงถามเสียงดัง
“ผมเข้าไปในนั้นได้หรือยัง”
“ยัง” หัวหน้าหน่วยดับเพลิงตอบ “เราต้องดูให้แน่ใจก่อนว่าจะไม่มีการปะทุของเชื้อไฟจึงจะปล่อยให้คนของคุณเข้าไปทำงานได้ ซึ่งก็น่าจะอีกสามชั่วโมงหลังจากนี้”
“สามชั่วโมง” เครนอุทาน “นานขนาดนั้นหลักฐานไม่เหลือแน่”
“ถ้าเรื่องต้นเพลิงคนของผมทราบแล้วว่ามาจากจุดไหน” หัวหน้าหน่วยดับเพลิงพูดและชี้มือไปที่ตึกหลังนั้น “เราพบเชื้อปะทุและตัวเร่งบริวเณผนังใกล้กับจุดที่พวกคุณพบศพเมื่อวันก่อน”
“อาจเป็นการเผาเพื่ออำพรางคดี” เครนพึมพำ อีกฝ่ายสั่นหน้า
“เรื่องนั้นไม่ใช่หน้าที่ผม” เขาตบบ่าเครน “แล้วจะส่งรายงานไปให้”
หัวหน้าหน่วยดับเพลิงหันไปสั่งงานลูกน้องก่อนจะเดินจากไป นักสืบเครนเงยหน้าขึ้นมองควันสีเทาทึบที่ลอยเป็นกลุ่มก้อนขึ้นไปในอากาศด้วยสายตาครุ่นคิด เสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลังทำให้นักสืบร่างใหญ่ไหวตัวเล็กน้อย เขาลดสายตาลงพร้อมกับหันไปมองผู้ที่กำลังยืนอยู่ข้างตัว
“เอฟบีไอนี่จมูกไวไม่ใช่เล่น”
“เสียงรถดับเพลิงดังลั่นเมืองแบบนี้ไม่ได้ยินก็แปลกไป” คาร์เพนเตอร์พูด เขาเลื่อนสายตามองไปยังซากอาคาร “ได้ยินมาว่าเป็นการวางเพลิง คิดว่าเป็นฝีมือของใคร”
“ผมยังไม่ทราบ และคงระบุอะไรแน่นอนไม่ได้จนกว่าจะเข้าไปตรวจดูข้างในก่อน”
“ไม่จำเป็น” เจ้าหน้าที่จากเอฟบีไอพูด เครนหันไปมองหน้าเขาทันที
“ทำไม”
“เอฟบีไอจะรับคดีนี้ไปจัดการเอง”
“คุณไม่มีสิทธิ์” นักสืบเครนพูดเสียงดัง อีกฝ่ายมองและยิ้มอย่างใจเย็น
“คุณต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์ ผมบอกแล้วไงว่าทุกคดีที่เกิดขึ้นในเขตของคุณตอนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเอฟบีไอ”
“แต่นี่เป็นเหตุเพลิงไหม้” นักสืบเครนแย้งอย่างระงับอารมณ์เต็มที่ คาร์เพนเตอร์ส่ายหน้า
“มันอาจเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เอฟบีไอกำลังตามอยู่ในขณะนี้”
“คุณยังไม่มีหลักฐานอะไรมาเชื่อมโยง” อีกฝ่ายแย้งเสียงแข็ง เอฟบีไอหนุ่มมองเขานิ่งและตอบด้วยเสียงเรียบ
“คุณเองก็ไม่มีเหมือนกัน” เขาเว้นระยะ “หรือถ้าจะพูดให้ถูก พวกตำรวจไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคนร้ายรายนี้เลยสักนิด ผมว่าคุณอย่าเข้ามาขัดขวางการสืบสวนของเราดีกว่า หากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมาจะหาว่าผมไม่เตือน”
คาร์เพนเตอร์จ้องหน้านักสืบเครนนิ่ง อีกฝ่ายกำหมัดแน่นด้วยความแค้นก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปที่รถ เขาเข้าไปนั่งประจำที่คนขับและปิดประตูอย่างแรง
“ฉันไม่ยอมให้พวกเอฟบีไอมาทำอวดเบ่งในเมืองนี้ คอยดูให้ดีก็แล้วกันคาร์เพนเตอร์ว่าใครจะคลี่คลายคดีนี้ได้ก่อน”

*/*/*/*/*

เจอร์ราดและดาร์เรลลุกขึ้นและเดินออกจากห้องเมื่อเสียงกริ่งสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียนหยุดลง ทั้งสองเดินไปตามถนนเพื่อไปยังสนามบาสฯเหมือนทุกวันที่ผ่านมา หลังจากเดินไปด้วยกันสักนิดเจอร์ราดจึงหันไปถามเพื่อน
“เมื่อวานเป็นไงบ้าง”
“ก็ดี” ดาร์เรลตอบพลางกระโดดตีใบไม้ที่อยู่เหนือหัวเล่น เจอร์ราดขมวดคิ้ว
“ตอนกลับบ้านไม่เห็นอะไรแปลกๆบ้างเลยหรือ”
“ไม่เห็นมีอะไร” ดาร์เรลตอบ เขาหันไปมองเพื่อนและถามด้วยความสงสัย “นายถามเรื่องนี้ทำไม”
“เปล่าไม่มีอะไร” เจอร์ราดรีบปฏิเสธและแกล้งทำเป็นหมุนลูกบาสเก็ตบอลเล่นเพื่อกลบเกลื่อน ดาร์เรลมองท่าทางของเขาและทำท่าจะถามแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเพื่อนดังมาจากทางด้านหลัง ทั้งคู่หยุดและหันไปมองพร้อมกัน เจอร์ราดยิ้มกว้างเมื่อเห็นแซมมวลก้าวเข้ามาหา
“จะรีบไปไหนเพื่อน” แซมมวลถาม
“ไม่น่าถาม” เจอร์ราดตอบ “ก็ต้องสนามบาสเก็ตบอลที่ประจำของพวกเรา”
“นายไม่ได้ยินข่าวหรือไง” แซมมวลพูด ดาร์เรลและเจอร์ราดมองหน้าเพื่อน
“ข่าวอะไร”
“เมื่อคืนนี้ไฟไหม้ตึกร้างข้างสนามบาสฯ ตอนนี้ที่นั่นมีตำรวจเต็มไปหมด สนามของพวกเราก็พลอยโดนไปด้วย”
“บ้าน่า ที่นั่นไม่ได้โดนไหม้สักหน่อย ตำรวมีสิทธิอะไรมาห้ามพวกเรา” ดาร์เรลพูดอย่างโมโหแต่เจอร์ราดกลับนิ่งจนแซมมวลมองหน้า
“เป็นอะไรไป”
“เปล่า” เจอร์ราดตอบ “พอดีฉันนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ขอตัวก่อนนะเพื่อน”
เขาวิ่งออกไปทันที ดาร์เรลมองตามด้วยความแปลกใจ
“หมอนั่นเป็นอะไรไป ตอนเลิกเรียนยังชวนฉันไปเล่นบาสฯอยู่เลย” เขาบ่นเสียงไม่ดังนัก แซมมวลยักไหล่
“นิสัยเขาก็เป็นแบบนี้อย่าไปสนเลย จริงสิไหนๆวันนี้เราก็ไปสนามบาสฯไม่ได้แล้วไปเล่นเกมส์ที่บ้านฉันกันไหม”
แซมมวลชวนเพื่อน ดาร์เรลทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
“ตกลง” เขากอดคอเพื่อน “ไปกันเถอะ”

ทันทีที่แยกตัวจากเพื่อน เจอร์ราดรีบวิ่งตรงไปยังสนามบาสเก็ตบอลด้วยความกังวล เด็กหนุ่มเฝ้าคิดวนเวียนถึงเรื่องหัวของคนตายที่พบและตัวประหลาดที่โจมตีเขากับวูล์ฟเมื่อเย็นวานอยู่ตลอดเวลา เจอร์ราดนิ่วหน้าและพึมพำ
“มันคงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้แน่”
เด็กหนุ่มหยุดยืนหอบหายใจ เขาหันหน้าไปมองตึกร้างซึ่งบัดนี้กลายเป็นซากอิฐสีดำ
เจอร์ราดกวาดตามองรอบตัวอย่างระวังขณะเดินเข้าไปใกล้แถบสีเหลืองที่ตำรวจคาดไว้รอบบริเวณและคงจะลอดตัวเข้าไปในตึกหากไม่ได้ยินเสียงร้องห้าม
“อย่าเข้าไปเจอร์ราด”
เด็กหนุ่มชะงักและหันหน้าไปมอง เขาเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นวูล์ฟกำลังเดินเข้ามา
“วูล์ฟ นายมาที่นี่ทำไม”
“เหมือนนาย” หนุ่มหมาป่าตอบ “เพียงแต่ฉันเข้าไปดูในนั้นมาแล้ว”
“ฉันเองก็อยากเข้าไปดูบ้าง” เจอร์ราดพูดและเลื่อนมือไปแตะแถบสีเหลือง วูล์ฟคว้าไหล่ของเขาพร้อมกับอธิบาย
“ในนั้นไม่มีอะไรแล้ว พวกเอฟบีไอมาขนทุกอย่างออกไปจนหมด”
“เอฟบีไอ” เจอร์ราดทวนคำ “พวกนั้นมาทำอะไรที่ตึกไฟไหม้ ฉันคิดว่าพวกเขาจะทำแต่คดียากๆเท่านั้น”
“ฉันก็คิดแบบนาย” หนุ่มหมาป่าตอบและหันมองรอบตัว “เราไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะถูกสงสัยว่าเป็นคนวางเพลิง”
ทั้งสองคนเดินออกไปจากที่นั่นและมุ่งตรงไปยังสวนสาธารณะ เจอร์ราดเหลือบตามองวูล์ฟก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากถาม
“เพื่อนนายคนนั้นไม่ได้มาด้วยหรือ”
“ไปทำธุระเดี๋ยวคงตามมา” หนุ่มหมาป่าตอบ เจอร์ราดนิ่งไปอีกครั้ง เขาทำหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงถามเสียงไม่ดังนัก
“นายสองคนไม่ใช่นักบวชฝึกหัดใช่ไหม” เด็กหนุ่มเว้นระยะ “คนพวกนั้นก็เหมือนกัน เขาไม่ได้เป็นผู้ปกครองธรรมดาอย่างที่นายพูด”
เจอร์ราดหันไปมองวูล์ฟ
“ความจริงแล้วพวกนายเป็นใครกันแน่”
หนุ่มหมาป่าหยุดเดินทันที เขานิ่วหน้าด้วยความลำบากใจก่อนจะตอบ
“นายเข้าใจได้ถูกต้องแล้วเจอร์ราด พวกฉันไม่ได้เป็นนักบวชฝึกหัดหรืออะไรก็ตามที่เคยพูดไว้” วูล์ฟถอนใจ “แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอโทษที่ยังบอกนายตอนนี้ไม่ได้”
“เพราะอะไร”
“เพราะสิ่งที่ฉันและวลาร์ดกำลังทำอยู่มันอันตรายมาก” หนุ่มหมาป่ามองหน้าเขา”และที่สำคัญนายคือเพื่อน และฉันก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาพลอยได้รับอันตรายไปกับการกระทำของพวกเรา หวังว่านายคงเข้าใจ”
น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังของวูล์ฟทำให้เจอร์ราดนิ่งอึ้ง เขาขบกรามตนเองเล็กน้อยก่อนพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฉันเข้าใจ” เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปข้างหน้า “แต่นายต้องสัญญาก่อนว่าจะบอกทุกอย่างให้ฉันรู้เมื่อถึงเวลา”
“ตกลง” หนุ่มหมาป่าตอบพร้อมกับจับมือเจอร์ราดและกระชับแน่น “ฉันสัญญา”
“เยี่ยม ทีนี้มีอีกเรื่องที่นายยังติดค้างฉันไว้”
“เรื่องอะไร” วูล์ฟถามด้วยความแปลกใจ อีกฝ่ายยิ้ม
“ไปเที่ยวบ้านฉันและกินมื้อค่ำด้วยกัน” เขามองหน้า “ว่าไง”
“แล้วครอบครัวนายจะไม่ว่าอะไรเหรอ” หนุ่มหมาป่าพูดด้วยสีหน้ากังวล เจอร์ราดใช้กำปั้นชกแขนเขาเบาๆ
“สบายมาก และที่สำคัญวันนี้มีมันบดกับเนื้อย่างด้วย”
“ของโปรดฉันทั้งนั้น” วูล์ฟพูดพร้อมกับยิ้ม “นำไปได้เลยเพื่อน”
เจอร์ราดหัวเราะและโยนลูกบาสฯส่งให้อีกฝ่าย หนุ่มหมาป่ารับมาโยนเล่นสองสามครั้งก่อนจะส่งกลับไปให้เพื่อน ทั้งสองต่างเดินสลับวิ่งและส่งลูกบอลให้กันไปมาจนกระทั่งถึงหน้าบ้านของเจอร์ราด เด็กหนุ่มรีบตรงไปที่ประตูและร้องบอกคนในบ้านเสียงดัง
“กลับมาแล้วครับ” เขาเปิดประตูและหันมาทางวูล์ฟ “เข้ามาสิ”
หนุ่มหมาป่าเดินตามเพื่อนเข้าไปด้านในและหยุดอยู่ที่ห้องรับแขก เจอร์ราดยกนิ้วขึ้นแตะปากทำนองห้ามเขาส่งเสียงก่อนจะย่องเข้าไปในครัว เขามองมารดาที่กำลังก้มหน้าก้มตาปอกเปลือกมันฝรั่งอย่างขะมักเขม้นและแกล้งส่งเสียงดังเพื่อให้เธอตกใจ
“ทำอะไรน่ะแม่”
นางมาร์ตินสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับร้องอุทานออกมา เธอหันไปตีแขนลูกชายไม่แรงนัก
“เล่นอะไรกันแบบนี้เจอร์ราด” นางมาร์ตินแกล้งทำเป็นดุและหยิบมันฝรั่งขึ้นมาปอกเปลือกต่อ “ทำไมวันนี้กลับเร็วนัก ไม่ได้ไปที่สนามบาสฯเหมือนทุกวันหรือ”
“ที่นั่นมีปัญหานิดหน่อย ตำรวจเลยกั้นไม่ให้พวกเราเข้าไป” เจอร์ราดตอบพลางหยิบแก้วมาวางสองใบ นางมาร์ตินพูด
“คงกลัวจะเป็นอันตรายจากตึกร้างที่ถูกไฟไหม้” เธอเงยหน้าขึ้นและมองลูกชายวัยรุ่นที่กำลังรินน้ำใส่แก้ว “ทำไมมีแก้วสองใบ ดาร์เรลมาบ้านด้วยหรือ”
“ดาร์เรลกลับบ้านไปก่อน วันนี้ผมพาเพื่อนใหม่มาเที่ยว” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับชะโงกหน้าไปเรียกหนุ่มหมาป่า “มารู้จักแม่ฉันก่อนสิวูล์ฟ”
นางมาร์ตินวางมือจากมันฝรั่งและหันไปมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามา วูล์ฟยิ้มอย่างสุภาพร้อมกับกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับ ผมวูล์ฟเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองนี้”
“ยินดีที่ได้รู้จัก” นางมาร์ตินพูดพร้อมกับยื่นมือออกไปให้เขา “ได้ยินเจอร์ราดพูดถึงเธอหลายครั้ง เล่นบาสเก็ตบอลเหมือนกันหรือ”
“ครับ เป็นกีฬาโปรดของผมเลยก็ว่าได้” หนุ่มหมาป่าตอบ นางมาร์ตินยิ้ม
“เหมือนเจอร์ราด รายนั้นทำท่าเหมือนคนใกล้ตายถ้าวันไหนไม่ได้ออกไปเล่น”
“ผมไม่เป็นถึงขนาดนั้นสักหน่อย” เจอร์ราดบ่นพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้เพื่อน วูล์ฟรับมาดื่มรวดเดียวหมดแก้วและมองนางมาร์ตินที่กำลังลงมือปอกเปลือกมันฝรั่งต่ออีกครั้ง
“ให้ผมช่วยไหมครับ”
“อย่าเลยเดี๋ยวมือเธอจะเปื้อนเปล่าๆ ไปนั่งคุยกับเจอร์ราดที่ห้องรับแขกดีกว่า” นาง
มาร์ตินตอบแต่หนุ่มหมาป่าส่ายหน้า
“ผมรู้วิธีทำมันบด” เขาขยับเข้าไปยืนใกล้นางมาร์ติน “ผมจัดการตรงนี้เอง คุณไปเตรียมน้ำเกรวี่เถอะครับ”
“แน่ใจนะว่าทำได้”
“ครับ”
วูล์ฟตอบ นางมาร์ตินเลื่อนถาดมันฝรั่งส่งให้และยิ้มอย่างถูกใจเมื่อเห็นเขาปอกและหั่นมันได้อย่างคล่องแคล่ว
“เก่งนี่” เธอเอ่ยชมก่อนจะหันไปลงมือปรุงน้ำเกรวี่ เจอร์ราดเดินไปยืนข้างเพื่อนและกระซิบ
“ไม่ยักรู้ว่านายเข้าครัวเป็น”
“ตอนเด็กๆฉันชอบเข้าไปเล่นในโรงอาหาร” หนุ่มหมาป่าตอบพลางเทมันฝรั่งที่หั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วลงหม้อต้ม เจอร์ราดมองด้วยความสนใจและหันไปทางหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู เมอร์ซี่ก้าวเข้ามาในครัวพร้อมกับถุงใบใหญ่
“วันนี้ร้านคุณลองได้ผลไม้เข้ามาใหม่ หนูเลยได้ส้มกลับมาสามสี่ลูก อ้อคุณเบลล์ฝากของมาให้ด้วย ดูเหมือนจะเป็นยาบำรุงที่แม่อยากได้”
เด็กสาวพูดไปเรื่อยและชะงักค้างเมื่อเห็นวูล์ฟยืนยิ้มอยู่ในครัว ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีในขณะที่เจอร์ราดรีบแนะนำ
“นั่นเมอร์ซี่พี่สาวฉัน ส่วนนี่วูล์ฟอัจฉริยะบาสเก็ตบอลที่เล่าให้ฟังไง”
“สวัสดีครับ” หนุ่มหมาป่าเอ่ยทักด้วยท่าทางสุภาพ เมอร์ซี่รีบวางถุงลงบนโต๊ะพร้อมกับส่งมือให้
“ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กสาวพูดด้วยท่าทางเขินอายจนเจอร์ราดหัวเราะ
“อะไรกัน เจอคนหน้าตาดีหน่อยทำตัวไม่ถูกเลยหรือไง”
“อย่ามาพูดแบบนี้นะ” เมอร์ซี่หันไปทำตาวาวกับน้องชายก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้วูล์ฟ “สองสามวันมานี่เจอร์ราดพูดเรื่องของคุณให้ฟังไม่หยุด โดยเฉพาะเรื่องบาสเก็ตบอล”
“ฉันแค่เล่าว่านายเก่งมากเท่านั้น” เจอร์ราดโต้เสียงอ่อย พี่สาวของเขาทำเป็นไม่สนใจ เธอหันไปหยิบของออกจากถุง
“คุณคงอยู่ทานมื้อค่ำด้วยกันกับเรานะ”
“ครับ” วูล์ฟรับคำ เจอร์ราดคว้าส้มไปโยนเล่น เขามองกิริยาเก้อเขินของพี่สาวแล้วยิ้มพร้อมกับพูดเสียงดัง
“นี่ยังดีนะที่มาแค่วูล์ฟ ถ้าเจอเพื่อนเขาอีกคนมีหวังเมอร์ซี่คงทำอะไรไม่ถูกแน่”
“หมายความว่าไง” เด็กสาวหันมาถามเสียงห้วน เด็กหนุ่มหัวเราะดังลั่น
“เปล่า” เขาปฏิเสธและอุทานออกมาเมื่อถูกเมอร์ซี่ตีเข้าที่แขน วูล์ฟยิ้มขณะเทมันที่ต้มจนสุกแล้วใส่ชามใบใหญ่และเริ่มลงมือบดมันให้ละเอียด เด็กสาวมองด้วยความทึ่ง
“นายน่าจะหัดทำแบบนี้บ้างนะเจอร์ราด” เธอหันไปพูดกับน้องชาย อีกฝ่ายเบ้หน้าพร้อมกับตอบ
“ยุ่งน่า”

หลังช่วยกันปรุงอาหารจนเสร็จเรียบร้อย ทุกอย่างก็ถูกจัดวางบนโต๊ะ สมาชิกครอบครัวมาร์ตินรวมทั้งวูล์ฟก็เริ่มลงมือรับประทานอาหาร พวกเขาสนทนากันอย่างเป็นกันเอง เจอร์ราดคุยเรื่องบาสเก็ตบอลที่เขาชอบเสียงดังลั่นและแลกเปลี่ยนความคิดกับหนุ่มหมาป่าอย่างกระตือรือล้นในขณะที่นางมาร์ตินและเมอร์ซี่ฟังเรื่องต่างๆที่วูล์ฟเล่าอย่างสนใจ
มื้อค่ำที่แสนสนุกจบลง ทุกคนช่วยกันเก็บโต๊ะและทำความสะอาดครัวจนเสร็จเรียบร้อยและย้ายไปสนทนากันต่อที่ห้องรับแขก ขณะที่เจอร์ราดกำลังเล่าถึงการแข่งขันระหว่างโรงเรียนมัธยมที่กำลังจะมีขึ้นอยู่นั้นอยู่ๆวูล์ฟก็ยกมือห้าม เขาถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นายได้กลิ่นอะไรไหม”
เจอร์ราดสูดลมหายใจพร้อมกับส่ายหน้า
“ไม่” เขามองหนุ่มหมาป่าด้วยความแปลกใจ “นายได้กลิ่นอะไรหรือวูล์ฟ”
“ฉันไม่แน่ใจ กลิ่นมันจางมาก อาจจะเป็นเพราะเราอยู่ในบ้านหรือตำแหน่งเหนือลม” วูล์ฟตอบพร้อมกับสูดลมหายใจค่อนข้างแรง เขาลุกพรวดขึ้นและหันหน้ามองไปยังบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
“มันมาจากบ้านหลังนั้น”
“บ้านของครอบครัวเบลล์ทำไมเหรอ” เมอร์ซี่ถาม เธอมองกิริยาของหนุ่มหมาป่าด้วยความตระหนกในขณะที่เจอร์ราดนึกย้อนถึงท่าทางของวูล์ฟเมื่อตอนที่เจอพวกการ์กอยล์ เขาถามเสียงไม่ดังนัก
“นายได้กลิ่นอะไร”
“เลือด” หนุ่มหมาป่าตอบพร้อมกับเบิกตากว้าง “กับกลิ่นเสือ หรือว่าเจ้านั่น...”
เขาก้าวพรวดไปที่ประตูและเปิดออก เจอร์ราดรีบวิ่งตามไปแต่ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายหันมาห้าม
“อย่าออกมา” วูล์ฟวิ่งข้ามถนนไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม เจอร์ราดยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจวิ่งตามไปดู เป็นจังหวะเดียวกับที่หนุ่มหมาป่ากำลังเปิดประตูหน้า ทั้งคู่ต่างผงะเมื่อกลิ่นคาวจัดของเลือดพุ่งทะลักออกมา เด็กหนุ่มสอดสายตามองเข้าไปด้านในและอ้าปากค้างเมื่อเห็นสภาพภายใน
“นี่มันอะไรกัน!”
*/*/*/*/*/*



Create Date : 30 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2552 12:25:59 น.
Counter : 394 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี