รักละไม ไอทะเล บทที่ 7 การเดทแบบสายฟ้าแลบ 3
 

มุกมณีจึงนั่งเงียบไม่พูดอะไรต่อจากนั้นจนกระทั่งถึงที่หมาย เมื่อลงจากสถานี จิรายุสพาเธอเดินเข้าไปในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีป้ายเขียนไว้ว่า สวนเบญจกิตติ

 

“เป็นไง ชอบไหม” ชายหนุ่มถามพลางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอดผิดกับมุกมณีที่มองรอบตัวอย่างหวาดๆ

 

“ก็สวยดี แต่” เธอหยุดคำพูดและจ้องสระน้ำขนาดใหญ่ตรงหน้านิ่ง “ที่นี่มีบ่อน้ำด้วย”

 

“แหงละครับ ก็สวนสาธารณะแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพ สระที่เห็นเนี่ยมีขนาด2/3 ของพื้นที่ทั้งหมด...”

 

เขาชะงักคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นมุกมณียืนตัวแข็ง

 

“เป็นอะไรไปครับคุณมุก”

 

“ฉันไม่ชอบน้ำ” เธอตอบเสียงสั่น ดวงตาจ้องระลอกคลื่นที่กำลังวิ่งไล่กันบนผิวน้ำอย่างความหวาดกลัว “พาฉันออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้”

 

ถึงจะไม่เข้าใจนักแต่สีหน้าซีดเผือดของนางแบบสาวทำให้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปรกติ จิรายุสจูงเธอออกไปตามคำสั่ง ซึ่งพอพ้นจากที่นั่น เธอก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่

 

“อย่าพาฉันเข้าไปในสถานที่แบบนี้อีกนะ” เธอพูดเสียงแผ่ว ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

 

“คุณมุกกลัวน้ำหรือครับ”

 

“เกลียดต่างหาก” หญิงสาวตอบเสียงเครียด พอนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอะไรเธอก็เม้มปากน้อยๆก่อนพูด “ขอโทษ ตอนเด็กๆฉันเคยจมน้ำน่ะ”

 

จิรายุสผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม

 

“ต้องขอโทษด้วย ผมไม่รู้จริง” เขาพูดอย่างสำนึกผิด มุกมณีส่งยิ้มอ่อนระโหยให้

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ทีนี้จะเอายังไงดี เพราะสวนสาธารณะส่วนใหญ่มีสระน้ำทั้งนั้น ในเมืองแบบนี้ที่เที่ยวก็มีแต่ห้างซึ่งคุณไม่ชอบ”

 

ชายหนุ่มพูดอย่างใช้ความคิด เขามองนกพิราบสองตัวที่กำลังเดินหาอาหารอยู่ในบริเวณนั้น และเบิกตากว้างเมื่อความคิดบางอย่างพุ่งวาบเข้ามาในหัว

 

“จริงสิ มีอีกที่ที่คุณพอจะไปได้ อาจจะเด็กไปสักนิดแต่รับรองว่าคุณต้องชอบ”

 

พูดจบก็พาหญิงสาวขึ้นรถไฟฟ้าอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาลงที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยและพาเธอเดินต่อไปยังป้ายรถประจำทาง ระหว่างรอเขาก็ยืนทบทวน

 

“เอ รถเมล์สายไหนผ่านมั่งหว่า” บ่นพลางเกาหัวแกรกเพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้สถานที่แห่งนั้นมาเกือบยี่สิบปี ครั้งจะถามคนที่อยู่แถวนั้นก็ดูเป็นการเสียฟอร์ม ยืนรออยู่พักใหญ่เขาจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่

 

“ไปเขาดิน”

 

พูดสั้นๆ เมื่อเห็นคนขับผงกศีรษะจิรายุสจึงให้มุกมณีขึ้นก่อน โชคดีที่การจราจรไม่ติดขัดมากนัก ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็ไปถึงสวนสัตว์ดุสิต หรือเขาดินวนา พอลงจากรถ กลิ่นดิน มูลสัตว์ที่ลอยมาตามสายลมทำให้นางแบบสาวทำตาโตด้วยความตื่นเต้น

 

“นี่นะเหรอเขาดิน ได้ยินมานานแล้วแต่ไม่เคยได้มาสักที” เธอหันไปคว้าแขนชายหนุ่ม “ไปกันเถอะ เร็ว”

 

“เดี๋ยวครับ เราต้องเสียค่าผ่านประตูก่อน” พูดพลางหยิบธนบัตรใบละร้อยสองใบส่งให้เจ้าหน้าที่ เมื่อได้รับเงินทอนและตั๋วแล้วเขาจึงเดินนำเธอเข้าไปยังด้านใน เนื่องจากเป็นวันหยุด ผู้คนจึงดูหนาตามากกว่าวันอื่นแต่มุกมณีไม่สนใจ เธอเดินตรงรี่ไปยังกรงสัตว์พร้อมกับชี้มืออย่างตื่นเต้น

 

“ม้าลาย” เธอหันมากวักมือเรียกจิรายุส “ที่นี่มีม้าลายด้วยคุณเต่า”

 

“ครับ” ชายหนุ่มตอบ แต่พอเดินไปถึงหญิงสาวก็ไปส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดที่กรงยีราฟแล้ว

 

“ยีราฟ ของจริงตัวสูงกว่าในรูปเยอะเลย” พูดพลางยื่นถั่วฝักยาวที่เธอซื้อติดมือมาให้ และหัวเราะชอบอกชอบใจเมื่อเจ้ายีราฟตวัดลิ้นเลียมาโดนมือ

 

“จั๊กจี้”  

 

พูดจบก็เดินตรงไปที่กรงเสือ เธอทำตาโต

 

“เพิ่งรู้ว่าว่ามีเสือสีขาวด้วย” มุกมณีหันมาพูดกับจิรายุสเมื่อเห็นเสือลายพาดกลอนสีขาวสะอาดสองตัวในกรงเลี้ยง

 

“พวกนี้เป็นสัตว์นำเข้าครับ เหมือนม้าลายกับยีราฟ”

 

นางแบบสาวหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาบันทึกเสือทั้งสองตัวอย่างตื่นเต้นก่อนก้าวไปยังกรงสัตว์อื่น จิรายุสมองกิริยาที่เหมือนเด็กๆของหญิงสาวอย่างนึกเอ็นดู เพราะตอนนี้เหมือนท่าทางทุกอย่างที่แสดงออก เป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ

 

“ว้าย มีลิงด้วย” เสียงมุกมณีดังลั่นและหัวเราะออกมาอย่างขบขันเมื่อเห็นเจ้าจ๋อตัวหนึ่งกำลังเกาก้นตัวเอง “ดูมันทำเข้าสิ ตลกจังเลย”

 

พูดพลางยกสมาร์ตโฟนขึ้นถ่ายภาพพวกมันสองสามใบ แต่จิรายุสกลับนึกสนุกเดินไปยืนหน้ากรงและกางแขน แยกเขี้ยว ส่งเสียงร้องเจี๊ยกๆแบบลิง

 

“เหมือนมากเลยค่ะคุณเต่า” ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังบันทึกท่าทางทะเล้นของเขาแทบทุกอิริยาบถ “เอาไว้แบล็คเมล์คุณเวลาทำอะไรไม่ถูกใจ”

 

“งั้นผมก็ต้องแบล็คเมล์คุณบ้าง” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับดึงโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา มุกมณีรีบยกมือขึ้นป้องหน้าพร้อมกับร้องห้ามแบบไม่จริงจังนัก

 

“ไม่ได้นะ ตอนนี้ฉันไม่สวย ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด”

 

ไม่จริงหรอก ตอนนี้คุณน่ารักจะตายไป จิรายุสแย้งในใจขณะมองนางแบบสาวที่กำลังยืนอยู่หน้ากรงกระต่าย ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร จะบอกว่ารักก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเพิ่งรู้จักกัน แถมการพบแต่ละครั้งก็เป็นในลักษณะของงาน

 

ชอบ

 

ชายหนุ่มยอมรับกับความคิดนี้ แต่เขาชอบมุกมณีคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากกว่า ปัญหาก็คือตัวจริงของเธอคือคนไหน นางแบบสาวสวยจอมเอาแต่ใจหรือหญิงสาวสดใสที่กำลังหัวเราะอย่างร่าเริงในตอนนี้

 

“คุณเต่ามาดูนี่เร็ว ตรงนี้มีเพื่อนคุณด้วย”

 

เสียงมุกมณีดึงความคิดทั้งหมดกลับมา จิรายุสรีบสะบัดศีรษะเพื่อไล่ความคิดไร้สาระทั้งหมดออกจากหัว เขาจะมามัวเสียเวลาคิดเรื่องพวกนี้อยู่ทำไม เพราะการมาเที่ยวในวันนี้ก็เกิดจากการเอาแต่ใจอย่างหนึ่งของเธอ

 

เดินไปคิดไปจนกระทั่งถึงตัวนางแบบสาวจึงหยุด เธอหันมาส่งยิ้มกวนประสาทกับเขาก่อนชี้มือลงไปยังบ่อเบื้องล่าง

 

“นี่ไงเพื่อนคุณ”

 

เธอพูดแล้วปิดปากหัวเราะคิกคักก่อนหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาบันทึกภาพชายหนุ่มโดยมีฉากหลังเป็นเต่าตัวใหญ่ เขาทำหน้าทะเล้นก่อนชะโงกตัวไปที่บ่อพร้อมกับพูดเสียงดัง

 

“ไงเพื่อน ไม่ได้เจอกันตั้งนานเป็นยังไงบ้าง”

 

มุกมณีตีเขาดังเผียะ

 

“จะบ้าเหรอ เต่ามันจะไปฟังรู้เรื่องได้ยังไง”

 

จิรายุสทำหน้าเหรอหราก่อนกระโดดมายืนข้างเธอ

 

“อ้าว ก็เห็นคุณบอกว่าเขาเป็นเพื่อนกับผม”

 

คราวนี้หญิงสาวหยิกหมับเข้าที่แขน

 

“ฉันพูดเล่นหรอกย่ะ ใครจะนึกว่าคุณจะกล้าทำท่าบ้าบอแบบนั้น” พูดพลางค้อนขวับและเดินหนีไป ชายหนุ่มยิ้มอย่างสนุกก่อนก้าวตาม

 

“มาเที่ยวทั้งทีอย่าจริงจังนักเลย ทำตัวเครียดมากๆระวังอีกามันจะถามหานะครับ”

 

“ถามหาฉันทำไม” มุกมณีถามเสียงห้วน จิรายุสพยายามวางท่าทางให้ดูเคร่งขรึมก่อนตอบ

 

“เท่าที่ผมศึกษาวงจรชีวิตของพวกมัน” เขาเว้นระยะคำพูด พอเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าสนใจจึงอธิบายต่อ “อีกาชอบฝากรอยเท้าไว้บนใบหน้าคนโดยเฉพาะผู้หญิง ทำให้เกิดรอยยับย่น หรือที่เขาเรียกว่ารอยตีนกาไงละครับ”

 

“คุณเต่า !” มุกมณีโพล่งอย่างเหลืออดพร้อมกับฟาดฝ่ามือลงไปบนต้นแขนของเขาอีกหนึ่งผัวะ “ทำเป็นวางท่าพูดดีที่แท้ก็...”

 

เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้นก่อนกระแทกลมหายใจอย่างแรง

 

“ให้ตายเถอะฉันไม่น่าหลงฟังคุณเลย”

 

หญิงสาวทำหน้าง้ำก่อนจะเดินออกห่าง แต่พอเห็นสระน้ำกลางเขาดินเธอก็หยุดกึก ท่าทางของเธอทำให้จิรายุสใจหายวาบ เพราะเขาลึมนึกไปว่าในเขาดินก็มีสระน้ำขนาดใหญ่ด้วยเหมือนกัน ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง

 

“คุณมุก เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

 

นางแบบสาวสั่นศีรษะพลางมองทางเดินที่เลียบขนาดไปกับขอบสระด้วยความหวาดกลัว จิรายุสจึงชี้มือไปอีกด้านพร้อมกับแนะนำ

 

“เราไปอีกทางก็ได้ครับ”

 

หญิงสาวรีบทำตามที่ชายหนุ่มบอกทันที พอห่างสระมาได้สักหน่อยสีหน้าของเธอก็เริ่มดีขึ้น จิรายุสมองใบหน้าที่เริ่มมีสีเลือดอย่างโล่งใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

 

“นั่งพักหน่อยไหมครับ” เขาชี้มือไปที่เก้าอี้สนามใต้ต้นไม้ใหญ่ มุกมณีไม่ตอบแต่เดินไปนั่งอย่างว่าง่าย พอเห็นหญิงสาวยอมพักแต่โดยดีแล้วจิรายุสจึงแวะซื้อไอศกรีมโคนมาสองอัน จากนั้นจึงยื่นให้เธอ

 

“อากาศร้อนๆแบบนี้ต้องแก้ด้วยไอศกรีม”

 

มุกมณีรับมาถือไว้แต่ไม่ยอมรับประทาน ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้ว

 

“คุณมุกไม่ชอบไอศกรีมเหรอครับ”

 

“ชอบค่ะ แต่ฉันเพิ่งทานไอศกรีมแบบนี้เป็นครั้งแรก แล้วก็รู้สึกแปลกๆที่ผู้ชายซื้อให้”

 

จิรายุสหย่อนตัวนั่งลงข้างเธอ ถึงจะเพิ่งรู้จักกันแต่เขาก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของนางแบบสาวคนนี้อยู่บ้างว่า ด้วยอาชีพของเธอ ทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เข้ามาเกี่ยวข้องมีความคิดที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก ถึงบางคนจะไม่ก้าวก่ายเรื่องความสัมพันธ์แต่ก็คิดกับเธอในแง่ของตัวเงินและผลประโยชน์  แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มแต่งแต้ม แต่ลึกลงไปภายในใจแล้วทุกคนพร้อมจะถีบหัวเธอส่งทันทีเมื่อความสวยและความนิยมในตัวเธอลดลง จึงไม่แปลกอะไรที่มุกมณีจะทำตัวเป็นคนเจ้าอารมณ์ อาละวาดใส่ทุกคนที่ไม่ถูกใจ เพราะนั่นคือเกราะป้องกันตัวอย่างหนึ่ง และดูเหมือนจะได้ผลดีเสียด้วย

 

“มันก็ไอศกรีมกะทิสดธรรมดาแหละครับ” พูดพลางเลียไอศกรีมแผลบ “อีกอย่างตอนมากับเพื่อน พวกผมก็ผลัดกันเลี้ยงแบบนี้”

 

“ผู้ชายด้วยกันคงไม่เป็นไรมั้งคะ”

 

“แหม อย่าพูดให้สยองสิครับ ผู้ชายซื้อไอศกรีมเลี้ยงกันนี่แหละที่น่ากลัว” จิรายุสพูดพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจก่อนเล่าต่อ “ผมมีเพื่อนสนิทอยู่สามคน ผู้หญิงแท้ๆทั้งหมด ถึงคนนึงจะโหดไปสักหน่อยเถอะ”

 

คิ้วของมุกมณีเลิกสูงด้วยความสงสัย

 

“โหดยังไงหรือคะ เอ่อ ขอโทษที่ถาม มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณนี่นา”

 

“ก็ไม่ได้ส่วนตัวอะไรมากมายหรอกครับ” จิรายุสพุดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ที่โหดก็คือถ้าผมพูดอะไรผิดหูเธอหน่อยจะโดนเชือดทันที”

 

พูดพลางใช้นิ้วชี้ปาดลำคอตัวเองประกอบ มุกมณีหัวเราะอย่างขบขัน

 

“น่าสนุกจังเลย”

 

“น่าสยดสยองต่างหาก” ชายหนุ่มแก้พร้อมกับท่าขนลุกขนพองจนตัวสั่น หญิงสาวเอียงหน้าน้อยๆก่อนถาม

 

“บอกได้หรือเปล่าคะว่าเพื่อนคุณชื่ออะไรบ้าง”

 

“ก็มีทิพย์ กุ้งกับเสือ” จิรายุสตอบและยิ้มเมื่อเห็นมุกมณีเริ่มทานไอศกรีมก่อนพูดต่อ “ทิพย์ไปทำงานต่างประเทศกับคู่หมั้น กุ้งอยู่ในวงการทำขนม ส่วนเสือกำลังสอบใบประกอบโรคศิลป์”

 

“โอ้โห คนที่ชื่อเสือนี่เป็นหมอด้วยเหรอคะ เก่งจังเลย” มุกมณีพูดอย่างตื่นเต้น “ดูจากนิสัยของคุณเต่าแล้วเพื่อนคุณน่าจะเป็นคนดีกันทุกคน ฉันชักอยากเจอพวกเธอแล้วสิ”    

 

“จะดีหรือครับ” จิรายุสถาม เมื่อหญิงสาวพยักหน้าเขาจึงขมวดคิ้ว “พวกเราเจอกันปีละสองหรือสามครั้ง เอาไว้นัดกันอีกเมื่อไหร่ผมจะบอก”

 

“ดีจังเลย ขอบคุณค่ะ”

 

คำพูดสุดท้ายเล่นเอาจิรายุสหูผี่ง เพราะไม่นึกว่าจะได้ยินคำขอบคุณจากนางแบบสาวจอมเอาแต่ใจ

 

“ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณมุกเหมือนกัน” เขาพูดขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆของตัวเอง แต่กลับยิ่งแย่ลงไปใหญ่เมื่อเห็นรอยยิ้มอย่างจริงใจบนใบหน้าแสนสวย

 

“อะไรหรือคะ”

 

“คือ” เขากระแอมสองสามครั้งเหมือนสิ่งที่กำลังออกจากปาก เป็นเรื่องสลักสำคัญ “คุณรู้เบอร์โทรศัพท์ผมได้ยังไงครับ”

 

มุกมณีกัดโคนไอศกรีมกร้วมแล้วเคี้ยวเรื่อยๆก่อนตอบ

 

“จากพี่โฟค่ะ”

 

“แล้วคุณเย็นตาโฟไปได้เบอร์ผมมาจากไหน”

 

จิรายุสถามเสียงหลง หญิงสาวยักไหล่อย่างไม่สนใจ

 

“เห็นว่าเค้นมาจากคุณประพจน์” เธอหันมามองหน้าเขา “เป็นความลับหรือเปล่าคะ”

 

“เปล่าครับ” จิรายุสรีบปฏิเสธและแอบนึกในใจว่าเขาเองก็แอบเซฟเบอร์มือถือของเธอเอาไว้แล้วเช่นเดียวกัน

 

“เที่ยงกว่าแล้ว หาอะไรกินกันก่อนดีไหมครับ” เขาถามเมื่อเห็นหญิงสาวส่งโคนไอศกรีมชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เธอสั่นศีรษะ

 

“ฉันอยากได้น้ำมากกว่า”

 

ชายหนุ่มโดดผึงจากเก้าอี้ตรงไปยังร้านขายของทันทีและกลับมาอีกครั้งพร้อมน้ำสองขวดในมือ

 

“น้ำเย็นๆมาแล้วครับ” เขาร้องบอกพร้อมกับอำนวยความสะดวกให้ด้วยการเปิดจุกและเสียบหลอดดูดลงไปก่อนยื่นให้ มุกมณีกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งและดูดน้ำทีเดียวหมดไปครึ่งขวด

 

“ค่อยยังชั่ว” เธอพูดด้วยสีหน้าแช่มชื่นก่อนลุกขึ้น “เดินดูสัตว์อื่นกันต่อเถอะค่ะ”

 

ทั้งสองเดินดูสัตว์ชนิดต่างๆจนเกือบครบ ยกเว้นบริเวณใกล้สระกับส่วนการแสดงของแมวน้ำ จากนั้นจิรายุสจึงพาเธอนั่งแท็กซี่กลับไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอีกครั้งเพื่อขึ้นรถไฟฟ้า ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนต่ออยู่นั้น ชายหนุ่มก็ลองเสนอความคิด

 

“ผมว่าเราควรแวะห้าง หาอะไรกินรองท้องกันก่อน”

 

มุกมณีย่นจมูกน้อยๆเหมือนไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าใดนัก ก่อนย้อนถาม

 

“คุณหิวแล้วหรือคะ”

 

“ก็นิดหน่อย แต่ผมเป็นห่วงคุณมากกว่า” จิรายุสตอบ มุกมณีอมยิ้มน้อยๆอย่างถูกใจ

 

“งั้นเราไปแถวสุขุมวิทดีกว่า มุกรู้จักร้านราเม็งอร่อยอยู่สองสามร้าน พออิ่มแล้วก็หาร้านกาแฟดีๆนั่ง คุยกันสักพักแล้วค่อยกลับบ้าน คุณว่าดีมั้ยคะ”

 

เธอลงท้ายด้วยประโยคคำถาม จิรายุสพยักหน้ารับ

 

“ครับ แต่มีข้อแม้อยู่อย่างว่า คราวนี้ผมเป็นคนเลี้ยง”

 

“ด้วยความยินดีเลยค่ะ” นางแบบสาวตอบอย่างร่าเริง ทั้งสองนั่งรถไฟฟ้าไปลงย่านสุขุมวิทและเดินทางต่ออีกนิดหน่อยเพื่อไปยังร้านราเม็งตามที่มุกมณีแนะนำ เสร็จจากนั้นทั้งคู่ก็ตรงดิ่งไปยังร้านกาแฟซึ่งจิรายุสจำได้ว่าเคยมากับเพื่อนๆสองครั้ง เขาจึงเลือกสั่งโกโก้ร้อนกับช็อกโกแลตลาวาในขณะที่นางแบบสาวเลือกกาแฟรสเข้มข้นกับเค้กชาเขียว

 

หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก จิรายุสจึงรู้ว่ามุกมณีไม่ได้สวยแต่รูปอย่างที่คิด นอกจากความรู้ด้านชีววิทยาทางทะเลแล้วเธอยังเชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ในยุคสมัยต่างๆได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ด้วยมารยาท เขาจึงไม่กล้าซักถามว่าเธอเรียนจบที่ไหนหรือสาขาวิชาใด แต่จากที่ได้ฟัง เขาคาดว่าหญิงสาวจะต้องจบการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยมีชื่ออย่างแน่นอน

 

ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างสนุกสนานโดยลืมเรื่องเวลาไป กว่าจะรู้ตัว ความมืดของยามค่ำคืนก็เคลื่อนลงมาปกคลุมไปทั่วทุกที่แล้ว เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย จิรายุสจึงอาสาไปส่งเธอจนถึงคอนโด แต่ก่อนจะลาจากกัน เขาต้องยืนตะลึงงันเมื่อจู่ๆมุกมณีหอมแก้มเขาหนึ่งฟอด พร้อมกระซิบคำขอบคุณ

 

จุมพิตอย่างไม่คาดฝันจากสาวสวยทำให้จิรายุสรู้สึกตัวเบาจนแทบลอยขึ้นฟ้า พอกลับถึงบ้าน เขาจึงตัดสินใจอาบน้ำแต่ไม่ยอมล้างหน้า เพราะอยากเก็บความรู้สึกนั้นไว้ให้นานที่สุด ตอนทิ้งตัวลงนอน หัวใจของชายหนุ่มก็อดกระหวัดถึงมุกมณีไม่ได้ ดวงตาอันแสนแปลกประหลาดที่เขาเห็นเมื่อเย็นวาน ทำให้ช่วงแรกจิรายุสรู้สึกระแวงในตัวของหญิงสาว เพราะกลัวว่าเธออาจจะไม่ใช่มนุษย์ ระหว่างที่อยู่ในเขาดิน เขาพยายามสังเกตมุกมณีอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่าเธอจะอยู่ในอิริยาบถใด ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติ ไม่มีแสงเรืองรองเปล่งออกมาจากร่างกาย ดวงตาทั้งคู่ก็ยังคงเป็นสีน้ำตาลเหมือนคนทั่วไป จิรายุสจึงสรุปว่าสิ่งที่เขาเห็นในวันนั้นคือผลข้างเคียงของพิษจากปลาปักเป้าที่เขากินเข้าไป

 

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆและมองหลอดไฟบนเพดานพร้อมกับอมยิ้ม การไปเที่ยวสองต่อสองในวันนี้ ทำให้จิรายุสเปลี่ยนความคิดที่เคยมีต่อเธอทั้งหมด และตัดสินใจว่าจะมองนางแบบสาวคนนี้ใหม่อีกครั้ง ด้วยมุมมองที่ดีขึ้นกว่าเดิม

 

สิ่งเดียวที่เขาไม่แน่ใจก็คือ มุมมองที่ว่านั่นจะออกมาในรูปแบบใด รัก หรือแค่หลงใหลในความงามของมุกมณี

 

 

*/*/*/*/*/*

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 23 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2556 18:35:30 น.
Counter : 639 Pageviews.

0 comment
รักละไม ไอทะเล บทที่ 7 การเดทแบบสายฟ้าแลบ 2
 

เสียงโทรศัพท์ทำให้จิรายุสจำต้องวางตุ้มน้ำหนักที่กำลังยกลง มือข้างหนึ่งคว้าผ้าขนหนูมาซับเหงื่อส่วนมืออีกข้างหยิบสมาร์ตโฟนที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาดูและขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยเมื่อเห็นหมายเลขที่ไม่รู้จักปรากฏบนหน้าจอ

 

“ใครหว่า” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองพร้อมกับกดปุ่มรับและกล่าวคำทักทายสั้นๆ “ครับ”

 

“คุณจิรายุสใช่ไหม” เสียงหวานคุ้นหูดังมาจากปลายสาย คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วมุ่นเข้าหาอีกนิดจนหน้าผากย่นเมื่อคิดว่าเขาเคยได้ยินเสียงนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร จะว่าเพื่อนสนิทอย่างน้ำทิพย์ พิณพรหรือจันทรนิภาก็ไม่จะเป็นไปได้ เพราะคนแรกตอนนี้อยู่ต่างประเทศกับคนรัก ส่วนอีกสองคนโดยเฉพาะคนหลังไม่มีทางพูดโทรศัพท์กับเขาด้วยคำพูดไพเราะเสนาะหูแบบนี้แน่

 

“ใช่ครับ” เขาตอบแต่นั้นและนิ่งเงียบอยู่นาน จนอีกฝ่ายจึงเรียกอีกครั้ง   

 

“ยังอยู่หรือเปล่าคะ”

 

“ครับ ยังอยู่ครบทุกชิ้นไม่ขาดหายไปไหน” ความไม่รู้ทำให้อดตอบกวนประสาทไปไม่ได้ อีกฝ่ายหัวเราะคิกคัก

 

“ตอบแบบนี้แสดงว่าตื่นนอนแล้ว วันนี้คุณว่างหรือเปล่า ไปเที่ยวเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม”

 

น้ำเสียงเชิงสั่งทำให้จิรายุสเริ่มนึกออกลางๆ กระนั้นเขาก็จำต้องถามเพื่อความมั่นใจ

 

“คงไม่ได้หรอกครับเพราะผมเป็นหนุ่มโสดบริสุทธิ์ ออกไปเที่ยวสองต่อสองกับใครมันไม่เหมาะ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ไม่รู้จักหน้าค่าตา เกิดอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ”

 

“ไม่ต้องห่วงฉันไม่พาคุณไปปล้ำหรอก แต่ถ้ายังขืนทำโยกโย้เล่นตัว ฉันจะให้พี่โฟขึ้นไปหาแล้วขลุกอยู่ในห้องกับคุณซักวันสองวัน”

 

คำขู่นี้เองที่ทำให้จิรายุสรู้ว่าเจ้าของเสียงปริศนาคือใคร

 

“คุณมุกมณี”

 

“จำได้แล้วสินะ” หญิงสาวพูดเสียงสะบัด “ฉันให้เวลาคุณสิบนาที อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาเจอกัน”

 

จิรายุสอ้าปากค้าง

 

“ด...เดี๋ยว หมายความว่ายังไง แล้วจะให้ผมไปเจอคุณที่ไหน”

 

“ข้างล่าง ในร้านกาแฟข้างคอนโด เร็วหน่อยนะฉันไม่ชอบคอยอะไรนานๆ”

 

เธอวางสายทันทีเมื่อพูดจบ จิรายุสยืนตกตะลึงอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่งเพราะคาดไม่ถึงว่าจะโดนฝ่ายหญิงบุกจู่โจมแบบสายฟ้าแลบแบบนี้ พอรู้สึกตัวเขาก็รีบกระโดดเข้าห้องน้ำ ขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดและชโลมโคโลญจน์จนทั่วตัวเพื่อเพิ่มความมั่นใจ  เสร็จแล้วจึงเปิดตู้เลือกเสื้อผ้า ซึ่งตอนแรกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะใส่ชุดแบบไหน เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงนางแบบสาวสวยชื่อดัง ครั้นจะใส่สูทผูกไทแบบเต็มยศก็ออกจะเว่อร์จนเกินไป หยิบตัวโน้น โยนตัวนี้อยู่พักใหญ่สุดท้ายก็เลือกเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีนธรรมดา หันซ้ายหันขวาอยู่หน้ากระจกจนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาก็คว้าสมาร์ตโฟนกับกระเป๋าสตางค์ยัดใส่กระเป๋าเดินออกจากห้อง ลงไปยังจุดนัดพบคือร้านกาแฟขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ข้างคอนโด

 

ทันทีที่เปิดประตู กลิ่นหอมของกาแฟก็ลอยมากระทบจมูก จิรายุสกวาดตามองลูกค้าภายในร้านแล้วขมวดคิ้วเมื่อไม่พบนางแบบสาวนั่งอยู่ตามที่บอกเอาไว้ ชายหนุ่มจึงออกจากร้านและมองไปรอบตัวเพราะคิดว่าอาจจะเป็นร้านอื่น แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง เพราะแถวคอนโด มีร้านกาแฟแค่ร้านนี้เท่านั้น

 

“แล้วเค้าไปรอตรงไหนหว่า” จิรายุสบ่นพึมพำพลางเกาหัวแกรกด้วยความหงุดหงิด อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โกรธเรื่องที่เธอโทร.มากวนตั้งแต่เช้าแต่สงสัยว่าหญิงสาวไปได้เบอร์ของเขามาจากไหนมากกว่า ที่น่ากังวลกว่านั้นก็คือการปรากฏตัวของเธอ นางแบบสาวชื่อดังเดินอยู่ในย่านชุมชนแบบนี้มีหวังผู้คนแตกตื่นกันใหญ่โต ดีไม่ดีอาจถูกพวกโรคจิตฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งหรือประทุษร้ายเหมือนที่เขาเคยเห็นตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ ตอนที่กำลังนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น เสียงมุกมณีก็ดังมาจากทางด้านหลัง   

 

“มองหาใครอยู่เหรอ”

 

 จิรายุสถอนใจออกมาอย่างโล่งอกและหันหน้าไปมองหมายจะต่อว่าเธอสักหน่อยแต่พอเห็นหญิงสาวตรงหน้าแล้วเขากลับตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก เพราะมุกมณีในตอนนี้แตกต่างจากที่เขาเคยพบราวฟ้ากับดิน

 

“คุณมุกมณี”

 

เขาหลุดปากออกมาได้อย่างยากเย็น อีกฝ่ายเอียงคออย่างน่ารัก

 

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆและยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง “เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณจิรายุส”

 

“ครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับกระแอมสองสามครั้งพร้อมกับปรับสีหน้าท่าทางให้ดูเคร่งขรึม “ผมสบายดี แค่แปลกใจนิดหน่อย”

 

เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะหัวใจเจ้ากรรมดันเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาเสียเฉยๆ แน่นอนว่าไม่ใช่จากความโกรธ แต่เพราะความตื่นเต้น ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาช้าๆขณะมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับนึก

 

จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง เพราะมุกมณีในตอนนี้เหมือนสาวแรกรุ่นไม่มีผิด ใบหน้างามที่เคยโปะด้วยเครื่องสำอางจนหนาเตอะ มีเพียงแป้งกับลิปสติกสีชมพูอ่อนแต่งแต้มให้ดูเป็นธรรมชาติ ทรงผมที่เคยชโลมด้วยสเปรย์จนแข็งโป๊ก ถูกปล่อยให้ยาวสยายเคลียไหล่ ดวงตาที่เคยแปะขนตาปลอมจนเป็นแผง แถมยังปาดทั้งมาสคาร่าและอายไลเนอร์จนดำปี๋ เวลานี้กลับเกลี้ยงเกลาราวเด็กไร้เดียงสา การแต่งตัวก็เป็นแบบง่ายๆ คือเสื้อยืดลายการ์ตูนกับกางเกงยีนซึ่งกระชับรัดรูปอวดสะโพกกลมกลึง

 

พิศโดยรวมทั้งหมดแล้วเธอไม่ใช่นางแบบสาวเซ็กซี่ชื่อดัง แต่เป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่นธรรมดาที่มีหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเท่านั้นเอง

 

 มิน่าเล่า ตอนอยู่ในร้านกาแฟถึงมองหาเธอไม่พบ อย่าว่าแต่เขาเลย คนที่เดินผ่านไปมาก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครจำมุกมณีได้เลยสักคน แม้จะมีชำเลืองตามาบ้างแต่ก็เป็นการมองแบบคลับคล้ายคลับคลา พอนึกไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครเขาก็เดินจากไปอย่างไม่สนใจ

 

“มัวยืนเหม่ออะไรอยู่” เสียงนางแบบสาวดึงความคิดทั้งหมดกลับมา จิรรายุสนิ่วหน้าและพูดไปตามตรง

 

“ผมหิว”

 

“ว่าไงนะ” มุกมณีทวนคำถามซ้ำเหมือนไม่แน่ในสิ่งที่ได้ยิน ชายหนุ่มถอนใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนอธิบาย

 

“ผมหิว กาแฟซักแก้วก็ยังไม่ตกถึงท้อง”

 

“แล้วทำไมไม่รู้จักหาอะไรกินก่อนลงมา” หญิงสาวถามเสียงดุ อีกฝ่ายนิ่วหน้าอย่างนึกฉุน

 

“ก็คุณเล่นโทร.มาปลุกตั้งแต่เช้าผมจะไปทำอะไรทัน”

 

มุกมณีนิ่งไปเล็กน้อย เพราะเป็นจริงอย่างที่จิรายุสพูดทุกคำ แต่ก็ยังดันทุรังเถียงแบบข้างๆคูๆ

 

“ตอนโทร.มันตั้งแปดโมงกว่า เช้าที่ไหน”

 

เธอพูดอุบอิบพอให้อีกฝ่ายได้ยิน จิรายุสกลอกตาขึ้นมองฟ้าอย่างเอือมระอาในขณะเดียวกันก็พยายามนับหนึ่งถึงสิบซ้ำไปมาสองรอบเพื่อระงับอารมณ์ไม่ให้ตัวเองโกรธจนเผลอหักคอนางแบบสาวสวยจอมเอาแต่ใจ

 

“ว่าแต่คุณมีธุระอะไรถึงได้มาหาผมตั้งแต่เช้า” เขาถามเข้าประเด็นแต่มุกมณีกลับเสมองไปที่ร้านกาแฟ

 

“เราเข้าไปหาอะไรกินรองท้องที่ร้านนั้นกันดีกว่า”

 

พูดจบก็เดินนำหน้าออกไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้วยหรือเปล่า พอเข้าไปในร้านนางแบบสาวก็สั่งกาแฟร้อนพร้อมเค้กกับขนมจำพวกพายอีกหนึ่งชิ้น จากนั้นจึงหันไปทางจิรายุสซึ่งตามมาสมทบ พอจะถามว่าเขาอยากกินอะไร เสียงพนักงานก็พูดขัดขึ้นมาก่อน

 

“ตื่นเช้าจังเลยนะคะพี่เต่า วันนี้รับอะไรดีคะ กาแฟเหมือนเดิมหรือเปล่า”

 

จิรายุสยักคิ้วให้เธอก่อนตอบ

 

“เห็นพี่เป็นคนซ้ำซากจำเจไปได้ ขอเอสเพรสโซ่ร้อนแก้วนึง”

 

เสียงพนักงานหัวเราะคิกคัก

 

“มันก็เหมือนเดิมไม่ใช่เหรอคะ”

 

“เหมือนเดิมที่ไหน กาแฟก็คนละช้อน แก้วก็คนละใบ” เขาหยุดพูดและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ก่อนลดเสียงลง “หรือน้องเอากาแฟที่ชงเมื่อวานใส่แก้วใบเก่ามาให้พี่กิน”

 

“แหมพี่เต่านี่ละก็พูดไปได้” พนักงานสาวพูดยิ้มๆก่อนถามซ้ำอีกครั้ง “ตกลงเป็นเอสเพรสโซ่นะคะ แล้วจะรับขนมอะไรดีเอ่ย”

 

จิรายุสก้มตัวลงมองเค้กและขนมนานาชนิดในตู้กระจกด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง คิ้วขมวดเข้าหากันพร้อมกับลูบคางอย่างใช้ความคิด

 

“จะยืนเลือกอีกนานมั้ย” มุกมณีถามด้วยความรำคาญหลังจากยืนรอมาเกือบสองนาที ชายหนุ่มจุ๊ปากเบาๆ

 

“ใจเย็นๆสิครับ ของอร่อยมันก็ต้องใช้เวลาพิจารณานานเป็นพิเศษ”

 

นางแบบสาวกระแทกลมหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนใช้นิ้วจิ้มไปที่กระจกพร้อมกับสั่ง

 

“ของเขาเอาโรลไส้กรอก แซนวิชทูน่ากับพัฟไก่ อุ่นด้วยนะ” สั่งเสร็จก็เปิดกระเป๋า พอเห็น

 

จิรายุสทำท่าจะแย้งเธอก็พูดตัดบท “ฉันเลี้ยง”

 

 พนักงานร้านกาแฟมองหน้าจิรายุสพร้อมกับถามด้วยสายตาว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เขารีบส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามตั้งคำถามอย่างเด็ดขาด เมื่อมุกมณีชำระค่าอาหารและรับเงินทอนแล้วก็เดินไปนั่งรอที่โต๊ะ อึดใจกาแฟและขนมทั้งหมดก็ถูกนำมาเสิร์ฟ

 

“บานอฟฟี่นี่อร่อยจังเลย” เธอเปรยออกมาด้วยความถูกใจหลังรับประทานเข้าไปหนึ่งคำ พอเห็นจิรายุสยกโรลไส้กรอกขึ้นมากัดกร้วมเดียวครึ่งชิ้นก็เบ้หน้าอย่างสยอง “กินเข้าไปได้ยังไงน่ะ”

 

“ว่าไงนะครับ” ชายหนุ่มย้อนถามเสียงอู้อี้เพราะอาหารเต็มปากและยัดไส้กรอกที่ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งตามเข้าไปเมื่อกลืนคำแรกลงคอหมดแล้ว

 

“เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก” มุกมณีประชด อีกฝ่ายโบกมือพลางเคี้ยวไส้กรอกด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยก่อนกลืนลงท้องและกรอกกาแฟตาม

 

“ถ้าเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ยังไงก็ไม่ติดคอ” พูดพลางแกะกล่องแซนวิชทูน่า พอเห็นนางแบบสาวนั่งนิ่งเขาก็ถามด้วยความสงสัย

 

“อ้าว ทำไมไม่ทานต่อละครับ”

 

“เห็นคุณแล้วฉันกินอะไรไม่ลง”

 

มุกมณีตอบ จิรายุสจึงดึงจานเค้กมาจากเธอ

 

“งั้นผมจัดการเอง”

 

“เรื่องอะไร” หญิงสาวพูดพร้อมกับตีมืออีกฝ่ายดังเผียะและดึงเค้กจานนั้นกลับ จิรายุสมองตาละห้อย

 

“ไหนคุณบอกว่าไม่กิน”

 

“ฉันพูดว่ากินไม่ลง แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่กินอะไร” มุกมณีเน้นคำพูดทีละคำก่อนหยิบช้อนขึ้นมาตักบานอฟฟี่ใส่ปาก “ของอร่อยแบบนี้ฉันไม่ยกให้ใครง่ายๆหรอก”

 

พูดพลางตักขนมส่งเข้าปากจนหมด จิรายุสมองเธอแล้วอมยิ้ม ถึงจะเป็นกิริยากระเง้ากระงอดเอาแต่ใจแบบที่นางแบบสาวชอบทำเป็นประจำ แต่พออยู่ในลักษณะที่ปราศจากเปลือกจอมปลอมห่อหุ้มแล้ว มุกมณีกลับดูน่ารัก ผิดไปเป็นคนละคน

 

“มองอะไร” หญิงสาวถามเสียงห้วนเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องเธอนิ่ง ชายหนุ่มยิ้ม

 

“คุณ”

 

เป็นครั้งแรกที่มุกมณีไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง เธอเม้มปากน้อยๆเหมือนคนกำลังขัดใจก่อนถามเสียงกระด้าง แต่เบากว่าเดิม

 

“ทำไม ฉันมีอะไรผิดไปเหรอ”

 

“คุณน่ารักดี” จิรายุสตอบตามตรงและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำลามไปจนถึงหูทั้งสองข้าง ตอนแรกเขาคิดว่าเธอคงโกรธ แต่กลับผิดถนัดเพราะจู่ๆมุกมณีวางช้อนและลุกขึ้นพร้อมกับพูด

 

“ไปกันเถอะ”

 

หญิงสาวก้าวฉับๆออกจากร้านทันที ชายหนุ่มรีบเดินตามพร้อมกับร้องเรียก

 

“รอด้วยครับคุณมุกมณี”

 

เธอหยุดกึกและหันขวับมาจ้องตาวาว

 

“ถ้าจะไปเที่ยวด้วยกัน เรียกฉันว่ามุกก็พอ”

 

พูดจบก็สะบัดหน้าเดินต่อ จิรายุสก้าวตามจนทัน

 

“ถ้าจะให้ผมไปเป็นเพื่อน ก็ช่วยเรียกสั้นๆว่าเต่า” เขาพูดขณะเดินเคียงคู่กับมุกมณี เธอมองเขาด้วยหางตา

 

“ชื่อพิลึก”

 

“น่ารักออกจะตายไป” ชายหนุ่มแย้งและเริ่มมองไปรอบตัวเมื่อเห็นหญิงสาวเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย “ตกลงเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี ห้างหรือโรงหนัง”

 

“น่าเบื่อจะตาย” มุกมณีตอบด้วยสีหน้าอย่างที่พูด “ความจริงแล้วฉันอยากไปเที่ยวไกลๆอย่างเขาใหญ่ เขาค้อหรือวังน้ำเขียว นอนดูดาวสูดอากาศบริสุทธิ์สักคืนสองคืนให้สบายใจ”

 

“ก็ไปสิครับ แค่นี้เองวิ่งรถเดี๋ยวเดียวก็ถึง”

 

“เดี๋ยวเดียวที่ไหนกัน” หญิงสาวแหวกลับมาทันใด “อีกอย่างฉันไม่มีวันหยุดเหมือนพวกคุณ จะไปไหนแต่ละทีก็ต้องดูแล้วดูอีกว่าว่างวันไหน มีงานอะไรบ้างหรือเปล่า อย่างเก่งก็ได้เที่ยวแค่วันเดียว”

 

เธอสาธยายยาวยืดและจบลงด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้าจนจิรายุสเริ่มสงสาร เพราะเขาเองก็เห็นด้วยในข้อนั้น ถึงจะไม่รู้วิธีการทำงานของดาราหรือนางแบบแต่เท่าที่เห็นทุกคนทำงานกันตัวเป็นเกลียวจนแทบไม่มีวันหยุด แม้จะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลยสักนาที

 

“ผมพอจะนึกออกแล้วว่าควรพาคุณไปที่ไหน ว่าแต่คุณมาที่นี่ได้ยังไง”

 

เขาพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคอนโดของมุกมณีกับของเขาอยู่ค่อนข้างไกลกัน ซึ่งเธอน่าจะใช้วิธีเดินทางด้วยการขับรถมา แต่คำตอบของหญิงสาวกลับผิดไปจากที่คิด

 

“ฉันมารถไฟฟ้า”

 

“หา ! แต่แถวคอนโดคุณไม่มีรถไฟฟ้านี่ครับ”

 

“จะไปยากอะไร ฉันก็นั่งแท็กซี่ไปลงสถานีแล้วก็ขึ้นรถไฟฟ้ามาอีกที”

 

มุกมณีตอบพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นน้อยๆเป็นเชิงบอกว่าเรื่องแค่นี้เอง เธอก็ทำได้ จิรายุสส่ายหน้า

 

“เฮ้อ มันอันตรายนะครับ”

 

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่” หญิงสาวพูดอย่างอวดดี ฝ่ายชายจึงได้แต่โคลงหัวไปมาอย่างอ่อนใจก่อนสรุปสั้นๆ

 

“งั้นตามผมมา”

 

เขาคว้าข้อมือหญิงสาวให้เดินตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าทันทีเมื่อพูดจบ เมื่อซื้อตั๋วและขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เธอจึงถามด้วยความสงสัย

 

“คุณจะพาฉันไปไหน”

 

“ใจเย็นๆ”จิรายุสตอบด้วยใบหน้าอมยิ้ม “ถึงแล้วคุณก็จะรู้”




Create Date : 23 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2556 18:33:20 น.
Counter : 233 Pageviews.

0 comment
รักละไม ไอทะเล บทที่ 7 การเดทแบบสายฟ้าแลบ 1
 

บทที่ 7 การเดทแบบสายฟ้าแลบ

 

 

แสงไฟจากแผงสปอร์ตไลท์นับสิบดวงสาดส่องลงมายังเวที กระทบนางแบบสาวสวยที่กำลังเดินนวยนาดอวดความงามบนเวทีริมสระน้ำของโรงแรมหรูระดับห้าดาว เนื่งจากวันนี้เป็นการเดินแฟชั่นโชว์ของห้องเสื้อชื่อดังชั้นแนวหน้า ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่จึงเป็นบุคคลชั้นสูงในวงสังคม รูปแบบของงานจึงเป็นไปในแบบโอ่อ่า หรูหราตระการตา

 

แฟชั่นช่วงแรกเป็นเสื้อผ้าลำลองสำหรับหน้าร้อน เน้นความบางเบาโปร่งสบายแต่สวยเก๋ปราดเปรียว นางแบบที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่มโชว์เสื้อผ้าชุดนี้คือช่อแก้ว ผู้มีบุคลิกคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ชุดต่อไปเป็นเสื้อผ้ากึ่งชุดทำงานซึ่งเหมาะกับรัศมีฟ้า ที่มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่ ส่วนมุกมณีเดินแบบในกลุ่มสุดท้ายที่เป็นชุดออกงานตอนกลางคืน แม้จะเรียบง่ายแต่กลับงามสง่า ที่สำคัญคือถึงจะเดินร่วมกับนางแบบอีกหลายคน แต่กลับมีแค่เธอเท่านั้นที่ดูงดงาม โดดเด่นสะดุดตา

 

เมื่อแฟชั่นลำลองชุดสุดท้ายจบลง นางแบบกลุ่มต่อไปจึงก้าวขึ้นเวทีในชุดว่ายน้ำ เสียงเพลงคลาสสิคอันไพเราะของการเดินในชุดก่อนถูกเปลี่ยนให้เป็นจังหวะร้อนแรงเร้าอารมณ์ รับกับท่วงท่าของนางแบบสาวหุ่นเซ็กซี่ที่กำลังเดินโยกย้ายส่ายสะโพกอวดเรือนร่างอวบอิ่มภายใต้ชุดว่ายน้ำตัวเล็กจิ๋ว ทำเอาสุภาพบุรุษทั้งหนุ่มและแก่ยืนน้ำลายหกไปตามกัน หลายคนเปรยด้วยความเสียดายที่ไม่ได้เห็นมุกมณีในชุดวาบหวาม แต่พอเห็นนางแบบสาวซึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในงาน พวกเขาก็รีบหุบปากยืนนิ่งเพราะรู้ดีว่าหากเธอได้ยินสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่เป็นได้เกิดเรื่องใหญ่แน่

 

ความจริงแล้วมุกมณีได้ยินคำวิจารณ์เกี่ยวกับตัวเธอตั้งแต่อยู่ในห้องแต่งตัว ซึ่งก็มาจากกลุ่มคนในวงการด้วยกัน เพราะนางแบบส่วนใหญ่มักไม่เกี่ยงเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ขอเพียงมีงานและไม่ละเมิดต่อศีลธรรมอันดีงามมากเกินไปนัก ต่อให้ต้องนุ่งผ้าแพรผืนเดียวออกมาเดิน พวกเธอก็ยินดี

 

ที่น่าแปลกก็คือครั้งนี้รัศมีฟ้ากับช่อแก้วปฏิเสธการเดินแบบชุดว่ายน้ำด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมุกมณีก็ไม่ได้สนใจซักถามถึงเหตุผล เธอไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเสื้อผ้าที่ใส่ในวันนี้มียี่ห้อว่าอะไร นางแบบสาวแค่ขับรถมาทำงานและคงกลับทันทีเหมือนทุกครั้งแต่เจ้าของห้องเสื้อขอร้องให้เธออยู่ร่วมงานต่ออีกสักนิด เพื่อพูดคุยกับแขกผู้มีเกียรติ แม้ไม่ชอบแต่มุกมณีก็ไม่ปฏิเสธเพราะรู้ดีว่ามันการโปรโมทสินค้าไปในตัว

 

อีกอย่างหนึ่งก็คือ เธอไม่อยากได้ยินเสียงเย็นตาโฟบ่นเรื่องการวางตัวในสังคมให้ฟัง

 

เดินวนรอบงานได้สักพักเจ้าของห้องเสื้อก็เข้ามากล่าวคำทักทายพร้อมกับขอบคุณที่เธออยู่ร่วมงานและแยกตัวไปทักทายแขกท่านอื่นหลังจากนั้น มุกมณีจึงคิดว่าเธอควรกลับบ้านเสียที ตอนที่กำลังวางแก้วลงบนโต๊ะเตรียมจะออกจากงาน รัศมีฟ้าซึ่งยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งเกิดหันมาเห็นเข้าพอดี    

 

“มุก” เธอร้องเรียบพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหา และเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นมุกมณีทำท่าเหมือนจะเดินออกจากงานเลี้ยง “จะกลับแล้วเหรอ”

 

“ค่ะ” มุกมณีตอบสั้นๆ รัศมีฟ้าทำหน้าสงสัย

 

“จะรีบกลับทำไม งานยังไม่เลิกเลยนะ”

 

“แต่งานของมุกเสร็จแล้วค่ะ” นางแบบสาวตอบ อีกฝ่ายจึงจุ๊ปากเบาๆ

 

“ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยเลยนะ เสร็จงานปุ๊บก็กลับปั๊บ ฟ้ารู้ว่ามุกเป็นคนจริงจังกับงาน แต่ถ้ามีงานเลี้ยงแบบนี้ก็ควรอยู่ต่ออีกหน่อย พูดคุยทักทายคนอื่นบ้างเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท”

 

“มุกไม่รู้จักใครสักคน” มุกมณีตอบอย่างไม่แยแสนักจึงโดนรัศมีฟ้าตีแขนเบาๆ

 

“ข้ออ้างเด็กๆ เอ้า ถ้าไม่รู้จักใครฟ้าก็จะแนะนำให้สักคน” พูดพลางคว้าข้อมือเธอลากไปหาชายที่เธอคุยด้วยเมื่อครู่ “เขาเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่งนอกเชียวนะ”

 

ประโยคสุดท้ายจบพอดีเมื่อทั้งสองหยุดยืนตรงหน้าคนที่พูดถึง รัศมีฟ้าผายมือไปที่ชายผู้นั้นพร้อมกับกล่าวแนะนำ

 

“คุณเกริกเกียรติ ลิ้มเจริญภูษาไพศาล เจ้าของบริษัทลิ้มเจริญกาเม้นท์” เธอหันไปทางฝ่ายชาย “มุกมณี วงศ์นาคา เพื่อนของฟ้าเองค่ะ”

 

เขาส่งยิ้มกว้างจนตาหยีพร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า

 

“สวัสดีครับคุณมุกมณี ได้ยินชื่อของคุณมานาน ตัวจริงสวยกว่าที่คิดมาก”

 

มุกมณีชำเลืองตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจนัก เพราะคุณเกริกเกียรติที่รัศมีฟ้าแนะนำเป็นชายร่างท้วมวัยประมาณ 45-55 ปี ใบหน้าค่อนข้างกลม ดวงตาพราวระยับอย่างไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะรอยยิ้ม เห็นแล้วก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าหมอนี่เป็นนักธุรกิจจำพวกเฒ่าหัวงู

 

“สวัสดีค่ะ” นางแบบสาวพนมมือไหว้ เกริกเกียรติจึงดึงมือกลับพร้อมกับส่งยิ้มแห้งแก้เก้อ

 

“แหม ทักทายแบบไทยซะด้วย กุลสตรีร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะครับ”

 

เขาพูดติดตลก รัศมีฟ้ายิ้มพร้อมกับรีบกล่าวเสริม

 

“มุกเขาถือว่าพบผู้หลักผู้ใหญ่ ให้ยกมือไหว้ค่ะ”

 

“ดีครับมือไม้อ่อนแบบนี้ผมชอบ” นายเกริกเกียรติพูดพร้อมกับยิ้มกว้างกว่าเดิมจนแทบจะเห็นฟันทั้ง 32 ซี่ มุกมณียังคงวางสีหน้าเฉยขณะตอบ

 

“ก็ไม่ได้อ่อนอะไรหรอกค่ะคุณเกริกเกียรติ แค่คิดว่าไม่ควรจับมือกับใครโดยไม่สมควรเท่านั้น”

 

รอยยิ้มหดลงมาเล็กน้อย ความกลัวว่าบรรยากาศจะมืดทะมึนมากไปกว่านี้ รัศมีฟ้าจึงต้องรีบแก้ 

 

“มุกเขาหมายถึงขนบธรรมเนียมเก่าแก่ที่ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันค่ะ”

 

“อ๋อ งั้นเหรอครับ แหมหัวโบราณกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”

 

เกริกเกียรติพูดด้วยท่าทางและน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก มุกมณีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบอย่างไว้ตัว

 

“ไม่ใช่แค่โบราณ ฉันมาจากครอบครัวที่เก่าแก่เกินกว่าที่ทุกคนคิดอีกค่ะ คุณเกริกเกียรติ”

 

เห็นได้ชัดว่าเกริกเกียรติไม่ได้สนใจสิ่งที่มุกมณีบอกเลยสักนิด เพราะพอเธอพูดจบเขาก็สวนทันควัน

 

“เรียกผมว่าเสี่ยลิ้มก็ได้”

 

พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างจนใบหน้าอวบอูมเบ่งบานจนแก้มแทบปริ มุกมณีส่งยิ้มตอบแบบแกนๆพลางมองหาทางเลี่ยงแต่รัศมีฟ้าชิงพูดขึ้นเสียก่อน

 

“คุณเกริกเกียรติกำลังมองหานางแบบสำหรับโฆษณาสินค้าในแบรนด์ของตัวเอง พอเห็นมุกเลยสนใจอยากติดต่อขอไปร่วมงาน”

 

“ใช่ครับ รูปร่างของคุณมุกมณีเหมาะกับเสื้อผ้าของบริษัทเรามาก” เกริกเกียรติรีบพูด “ผมขอพูดตรงๆว่าอยากได้คุณมาเป็นนางแบบ มาร่วมงานกับผมเถอะนะครับ”

 

“ความจริงฉันเองก็ไม่อยากให้คุณผิดหวังหรอกนะคะ แต่ระยะนี้คิวงานฉันเต็มตลอด”

 

มุกมณีตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจ แต่เกริกเกียรติกลับเข้าใจไปอีกทาง

 

“ถ้าเป็นเรื่องค่าตัวไม่มีปัญหา ผมยินดีจ่ายไม่อั้น”

 

นางแบบสาวมองเขาด้วยหางตาก่อนตอบเสียงเย็น

 

“ฉันบอกแล้วไงคะว่า ไม่ว่าง”

 

สีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกว่าเธอกำลังไม่สบอารมณ์ ทำให้รัศมีฟ้าใจหายวาบเพราะกลัวมุกมณีจะอาละวาดตะเพิดเสี่ยคนนี้ออกจากงาน แต่ฝ่ายชายกลับยิ้มกว้างเหมือนไม่ถือสาท่าทางของนางแบบสาวเลยสักนิด

 

“ถ้าช่วงกลางวันไม่ว่าง นัดทำงานกันตอนกลางคืนก็ได้ ผมจะหาช่างภาพมือดีมารอ และยินดีเพิ่มค่าใช้จ่ายให้เป็นพิเศษ”

 

ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างออกหน้าออกตาทำให้คิ้วสวยของนางแบบสาวขมวดเข้าหากัน เธอจึงตั้งใจตัดบทด้วยการขอตัวกลับแต่ยังไม่ทันพูด ก็ถูกใครบางคนกระแทกจนเซ ซ้ำตัวยังเย็นวาบเหมือนโดนน้ำเย็นจัดราด มุกมณีมองคราบสีเหลืองที่กระจายบนเสื้อของตัวเองก่อนเบนสายตาไปจ้องต้นเหตุที่กำลังยืนทำตาโต

 

“ต๊าย ขอโทษด้วย ฉันสะดุดพรมน่ะ”

 

ช่อแก้วลอยหน้าลอยตาพูด รัศมีฟ้าจึงโพล่งถามอย่างเหลืออด

 

“สะดุดหรือตั้งใจกันแน่”

 

“ตั้งใจอะไร” ช่อแก้วย้อนเสียงห้วน รัศมีฟ้าพยายามนับให้ถึงสิบก่อนตอบ

 

“คุณตั้งในสาดน้ำใส่มุก”

 

ช่อแก้วทำเป็นยกมือขึ้นปิดปากและมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตระหนก

 

“ตายแล้ว ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย”

 

“ก็คุณ...”

 

“ช่างเถอะค่ะคุณฟ้า” มุกมณีกล่าวตัดบท พลางชำเลืองมองช่อแก้วด้วยดวงตาคมกริบวาววับ ก่อนตวัดกลับไปยังรัศมีฟ้าอีกครั้งและพูดเสียงราบเรียบ

 

“มุกกลับก่อนนะคะ”

 

เธอเดินออกไปทันทีโดยไม่สนใจสายตาคนที่ยืนอยู่รอบตัว รัศมีฟ้ามองตามด้วยความเห็นใจก่อนจะหันกลับไปต่อว่าช่อแก้ว ปรากฏว่าคู่กรณีตัวแสบได้หายไปแล้วเช่นเดียวกัน หญิงสาวเม้มปากแน่นด้วยความแค้นใจ

 

“นังบ้า”

 

เธอพึมพำออกมาเบาๆด้วยความโกรธก่อนปรับอารมณ์ให้เป็นปรกติและหันไปส่งยิ้มหวานกับนายเกริกเกียรติพร้อมกับหาเรื่องพูดคุยเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่เกิดขึ้น

 

 

*/*/*/*/*

 

เมื่อออกจากห้องจัดงาน มุกมณีเลี้ยวเข้าห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดรอยเปื้อนบนเสื้อ เสร็จจากนั้นจึงกดลิฟต์ลงไปยังชั้นจอดรถ ซึ่งเมื่อไปถึง นางแบบสาวต้องยืนลังเลอยู่ชั่วอึดใจเพราะลานจอดรถของสถานที่แห่งนี้ทั้งมืดและวังเวงจนน่ากลัว ตอนแรกเธอคิดจะย้อนกลับขึ้นไปยังล็อบบี้และโทร.ให้เย็นตาโฟมารับ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ช่างคนเก่งไปช่วยงานแต่งงานของเพื่อน เธอจึงเปลี่ยนใจ หลังจากยืนรีรออีกครู่ใหญ่หญิงสาวจึงเดินตรงไปที่รถของเธอ

 

เสียงกอกแกกของรองเท้าส้นสูงทำให้เธออุ่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยทำลายความเงียบอันน่ากลัวนี้ลงไปได้ เดินไปได้สักพักมุกมณีก็เริ่มรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เหมือนจู่ๆอากาศรอบตัวหนักอึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลัน แรงกดดันอันมหาศาลบดอัดลงมาพร้อมกันทุกด้านจนเธอรู้สึกเหมือนร่างกำลังถูกบดขยี้ให้บี้แบน

 

หัวใจเต้นเร็วขึ้นจนแทบไม่เป็นจังหวะด้วยความหวาดกลัว หญิงสาวพยายามข่มความรู้สึกดังกล่าวและกวาดตามองหาต้นเหตุ จากประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในงานอีเว้นท์ทำให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ความผิดปรกติของร่างกาย หากเกิดจากคุณไสยหรืออาคมบางอย่างของใครบางคน ซึ่งเธอไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำเช่นนี้ทำไม  

 

ถึงจะไล่สายตามองรอบตัวไปมาหลายครั้งแต่เธอกลับไม่พบสิ่งของหรือใครสักคน ที่น่าแปลกก็คือ อาการทั้งหมดหายไปอย่างฉับพลัน นางแบบสาวสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับกวาดตาไปโดยรอบอีกครั้ง เมื่อไม่พบใครเธอจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่พอใกล้ถึงรถ มุกมณีต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเงาของใครคนหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด อันที่จริงมันควรจะเป็นเรื่องธรรมดาเพราะที่นี่เป็นลานจอดรถ คนที่มาก็น่าจะมีจุดประสงค์แบบเดียวกัน ที่ไม่ปรกติก็คือ เจ้าของเงาที่ว่ากำลังตรงดิ่งมาหาเธอ 

 

มือกระชับกระเป๋าแน่นโดยตั้งใจว่าจะประเคนลงบนหัวอย่างไม่นับ ถ้าเจ้าคนนั้นมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่พอเจ้าของเงาเดินเข้ามาใกล้ แผนการที่วางไว้ก็หายวับไป เพราะชุดที่บุรุษผู้นั้นสวมใส่เป็นเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และที่มากกว่านั้นก็คือ เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นของช่อแก้ว เพื่อนนางแบบที่เพิ่งมีเรื่องกับเธอเมื่อกี้

 

“อ้าว คุณมุกมณี” เสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม “มาทำอะไรแถวนี้คนเดียวครับเนี่ย”

 

“มุกจะไปที่รถค่ะ” เธอตอบพลางบอกเป้าหมายที่พูดด้วยสายตา ร้อยตำรวจเอกสันติมองตามแล้วผงกศีรษะ

 

“เดินคนเดียวมันอันตราย ถ้าไม่รังเกียจ ให้ผมไปเป็นเพื่อนนะครับ” พูดจบก็เดินนำหน้าออกไป มุกมณียืนลังเลเล็กน้อยก่อนเดินตาม

 

“คุณสันติมาทำอะไรแถวนี้คะ” เธอถาม อีกฝ่ายยิ้มอย่างอารมณ์ดี

 

“ผมมารับแก้วครับ” เขาชำเลืองมองหญิงสาวแล้วขมวดคิ้ว เพราะปรกติแล้วเธอมักจะไปไหนมาไหนโดยมีช่างแต่งหน้าหนุ่มเป็นเงาตามตัว แต่วันนี้กลับเห็นหญิงสาวเดินอยู่ตามลำพัง

 

“แล้ววันนี้คุณเย็นตาโฟไม่มาด้วยเหรอครับ” เขาถาม มุกมณีสั่นศีรษะ

 

“พี่โฟติดธุระที่อื่นค่ะ”

 

“ช่างประจำตัวไม่อยู่แบบนี้คุณมุกไม่ลำบากแย่หรือครับ” นายตำรวจหนุ่มถาม

 

“ไม่หรอกค่ะ ในงานก็ยังมีช่างแต่งหน้าหลายคน ถึงฝีมือจะสู้พี่โฟไม่ได้แต่ไม่ถึงกับแย่จนเกินไป”

 

นางแบบสาวตอบอย่างไว้ตัว สันติยิ้มในหน้าเพราะขำกับท่าทางเชิงยโสของเธอ ทั้งที่เมื่อครู่เขาเห็นชัดเต็มตาว่ามุกมณียืนหน้าซีดตัวสั่นเพราะกลัวความมืดจนเขาต้องรีบเข้ามาคุยเป็นเพื่อน

 

ทั้งสองเดินไปด้วยกันโดยไม่คุยอะไรต่อจากนั้นจนถึงรถ มุกมณีส่งยิ้มให้สันติพร้อมกับกล่าว

 

“ขอบคุณมากค่ะที่อุตส่าห์เดินมาเป็นเพื่อน”

 

“ด้วยความยินดีครับ” นายตำรวจหนุ่มตอบ หญิงสาวจึงเปิดประตูและหย่อนตัวนั่งประจำที่คนขับแต่พอเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเธอจึงเตือน

 

“มุกไม่เป็นไรแล้วค่ะ คุณกลับเข้าไปข้างในเถอะ ป่านนี้ช่อแก้วคงรอคุณแล้วละค่ะ”

 

“เรานัดเวลากันไว้แล้วครับ” สันติตอบ “อีกอย่างผมอยากรอจนแน่ใจว่าคุณออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย”

 

พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าฉงนนายตำรวจหนุ่มจึงรีบอธิบาย

 

“มันเป็นนิสัยของตำรวจน่ะครับ”

 

พูดพลางส่งยิ้มให้ มันเต็มไปด้วยความจริงใจ ปราศจากความกรุ้มกริ่มอย่างที่นางแบบสาวเคยเจออยู่เป็นประจำ มุกมณีจึงส่งรอยยิ้มแบบเดียวกันให้กับเขา

 

“งั้นมุกกลับก่อนนะคะ ขอบคุณคุณสันติอีกครั้งค่ะ”

 

สันติยกมือข้างหนึ่งขึ้นแทนการตอบรับและยืนรอจนกระทั่งรถของนางแบบสาวพ้นไปจากที่นั่นจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในโรงแรม

 

 

รุ่งอรุณของวันใหม่มุกมณีถูกปลุกด้วยเสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือ ตอนแรกเธอไม่คิดจะรับแต่พอเหลือบดูหมายเลขคนโทร.แล้วต้องเปลี่ยนใจ ยิ่งนึกได้ว่าวันนี้เธอมีนัดถ่ายแบบตอนเช้า หญิงสาวจึงรีบลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับคว้ามือถือมากดปุ่มรับ

 

“ไงจ๊ะคนสวยโทษทีที่โทร.มากวนแต่เช้า” เสียงเย็นตาโฟอู้อี้เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน มุกมณีสลัดผ้าห่มออกจากตัวก่อนก้าวลงจากเตียง

 

“ไม่กวนหรอกค่ะ” พูดพลางเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมารินใส่แก้ว “ว่าแต่วันนี้พี่โฟมารับได้หรือเปล่า มุกขี้เกียจขับรถ”

 

“วันนี้มุกจะไปไหนเหรอ” เย็นตาโฟถาม นางแบบสาวทำตาโตเพราะนึกไม่ถึงว่าคนความจำแม่นอย่างเขาจะลืมนัดสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานของเธอ

 

“เรามีถ่ายแบบตอนสิบโมงไม่ใช่เหรอ”

 

“ก็ใช่ ที่พี่โทร.มาก็เพราะเรื่องนี้แหละ” เย็นตาโฟตอบเสียงยานคางเหมือนเบื่อหน่ายที่สุด “ทางนั้นเขาโทร.มาเลื่อน บอกว่าเจ้านายไม่อยู่หรืออะไรสักอย่างพี่ขี้เกียจจำ เขาจะขอนัดเวลาใหม่แต่พี่หมั่นไส้เลยบอกไปว่าเดือนนี้ทั้งเดือนมุกไม่ว่าง เอาไว้เดือนหน้าค่อยว่ากันอีกที”

 

“อะไรกัน มุกอุตส่าห์เคลียร์งานให้เขาทั้งวันเลยนะ” มุกมณีพูดอย่างนึกฉุน ซึ่งอีกฝ่ายคงมีความรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะมีเสียงลมหายใจดังฮึดฮัดก่อนเจ้าตัวจะกระแทกกระทั้นเสียงพูด

 

“ก็เพราะอย่างนี้ไงพี่ถึงเลื่อนเขาไปเดือนหน้า ถ้าไม่พอใจก็ไปจ้างคนอื่น แต่อย่านึกนะว่ามันจะออกมาดีเหมือนมุก”

 

นางแบบสาวกลอกตาขึ้นมองเพดานด้วยความเซ็งสุดขีด

 

“งั้นมุกก็ต้องว่างงานทั้งวัน”

 

“ก็ดีแล้วไง วันหยุดทั้งทีมุกจะได้พักผ่อนเหมือนคนอื่น ของมีเต็มตู้ก็นั่งทำอะไรกินไป ไม่แน่ตอนเย็นๆถ้าพี่โฟว่าง จะแวะไปกินด้วย”

 

“ไม่เอาหรอก พี่โฟกินจุจะตาย เดี๋ยวของในตู้เย็นก็หมดกันพอดี”

 

มุกมณีทำเสียงกระเง้ากระงอดจนเย็นตาโฟต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

 

“พี่พูดเล่นน่ะ มุกนอนพักเถอะ พรุ่งนี้เที่ยงค่อยเจอกัน อ้อจะให้พี่แวะเข้าไปรับหรือเปล่า”

 

เขาปิดประโยคสุดท้ายด้วยคำถาม นางแบบสาวหยิบตารางงานมาเปิดดู พอเห็นสถานที่จัดงานเป็นศูนย์การค้าย่านชานเมืองเธอจึงปฏิเสธ

 

“ไม่ต้องหรอกพี่ มุกขับรถไปเองสะดวกกว่า”

 

“ตามใจ งั้นแค่นี้ก่อนนะ พักผ่อนให้มากๆ หน้าตาได้สดใสเบิกบานไม่บิดเบี้ยวแห้งเหี่ยวเหมือนยัยช่อแก้ว”

 

“ปากร้ายจังนะพี่” มุกมณีพูดกลั้วหัวเราะและกล่าวคำล่ำลาอีกครั้งจากนั้นจึงกดวางสายและวางมือถือไว้บนโต๊ะ ตอนแรกเธอเองก็คิดจะไปนอนต่อ แต่ต้องเปลี่ยนใจเพราะลองได้ตื่นเต็มที่แบบนี้ต่อให้ข่มตายังไงก็คงไม่มีทางหลับ ครั้นจะทำอาหารอย่างที่เย็นตาโฟแนะนำ ก็เกิดอาการขี้เกียจขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อไม่รู้จะทำอะไรหญิงสาวจึงเดินวนไปมาในห้องอยู่พักหนึ่ง พอสายตาเหลือบไปทางปฏิทิน เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งคนส่วนใหญ่จะหยุดงาน

 

รวมถึงตาแว่นคนนั้นด้วย

 

มุกมณียิ้มให้กับตัวเองก่อนคว้าเสื้อคลุมเดินเข้าห้องน้ำ ชำระล้างร่างกายจนสะอาดสดชื่นก็รีบแต่งตัว ในใจภาวนาขอให้คนที่อยากพบไม่หนีไปไหนเสียก่อน เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จหญิงสาวก็ออกจากที่พัก เดินทางตรงไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้ อ

 




Create Date : 23 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2556 18:31:55 น.
Counter : 240 Pageviews.

0 comment
รักละไม ไอทะเล บทที่ 6 ปลาดิบมื้อพิเศษ 3
 

“ที่น่ากลัวน่ะ ปริมาณที่พี่กินเข้าไปมากกว่า” มุกมณีแขวะซึ่งจิรายุสเห็นด้วยในข้อนั้น เพราะพออาหารถูกลำเลียงมาวางบนโต๊ะ ส่วนเยอะที่สุดคือปลาดิบและข้าวปั้นสารพัดแบบของเย็นตาโฟ

 

“แหม ก็ข้าวปั้นน่ะมันคำเล็กๆ ชิ้นสองชิ้นจะไปอิ่มอะไร” เกย์หนุ่มลอยหน้าลอยตาตอบ มุกมณีชำเลืองมองพนักงานเสิร์ฟที่กำลังเดินตรงมาที่โต๊ะ

 

“นึกแล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น มุกเลยสั่งนี่มาเผื่อพี่โฟด้วย”

 

นางแบบสาวพูดเมื่อพนักงานนำอาหารชุดสุดท้ายมาวาง พอเห็นปุ๊บ สมองส่วนกวนประสาทของจิรายุสเริ่มทำงานขึ้นมาในทันทีเมื่อเห็นว่ามันเป็นซูชิหอยเม่นซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่ามันคือไข่ เย็นตาโฟปรบมืออย่างดีใจก่อนใช้ตะเกียบคีบมาหนึ่งคำ เช่นเดียวกับมุกมณี แต่พอเธอเห็นชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่ง จึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

 

“ไม่ชอบเหรอคะ”

 

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ แต่มันตะขิดตะขวงใจนิดหน่อย”

 

“เรื่องอะไรเหรอ” เย็นตาโฟถามทั้งไข่หอยเม่นเต็มปาก จิรายุสสูดลมหายใจเข้าก่อนย้อนคำถามกลับ

 

“พี่โฟรู้หรือเปล่าครับว่าเจ้าอุนิซูชิเนี่ยมันคืออะไร”

 

“ไข่หอยเม่นไง” เย็นตาโฟตอบ ส่วนมุกมณีซึ่งดูเหมือนจะเดาทางชายหนุ่มออกแล้วว่ามาไม้ไหนนั่งอมยิ้ม 

 

“ไข่หอยจริงๆมันไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกครับ”

 

“อ้าวเหรอ” เย็นตาโฟทำตาปริบๆ “แล้วไอ้นี่มันคืออะไรละ”

 

“เจ้านี่น่ะคืออัณฑะกับรังไข่ของหอยครับ”

 

จิรายุสตอบหน้าตาย โชคดีที่เย็นตาโฟกลืนไข่หอยลงคอไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงพ่นพรวดออกมาจากปาก ส่วนมุกมณีกลับนั่งเคี้ยวหน้าตาเฉย

 

“อร่อยดี” เธอพูด “น่าสั่งเพิ่มอีกสักชุด”

 

“แต่พี่ไม่เอาแล้วนะ” เย็นตาโฟรีบพูด นางแบบสาวเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

 

“อ้าวทำไมละคะ ของชอบพี่โฟไม่ใช่เหรอ”

 

เย็นตาโฟค้อนปะหลับปะเหลือกก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสะบัด

 

“นั่นมันก่อนที่จะรู้ว่าเป็นอะไร ไข่คนยังพอไหว แต่ไข่หอยไม่เอาแล้ว”

 

พูดจบก็คว้าถ้วยชาเขียวกรอกเข้าปากเหมือนต้องการล้างสิ่งที่เพิ่งกินเข้าไปเมื่อครู่ จิรายุสรีบใช้นิ้วชี้ดันแว่นตาให้เข้าที่ ความจริงแล้วมันไม่ได้เลื่อนหลุดแต่เพื่อให้มือบังปากที่กำลังอมยิ้มอยู่ต่างหาก

 

“คิดมากไปได้พี่โฟ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายมันก็คืออาหาร” มุกมณีพูดพลางเลื่อนสายตาไปทางจิรายุส “ใช่ไหมคะ คุณจิรายุส”

 

น้ำเสียงเชิงหยอกน้อยๆ จิรายุสผงกศีรษะรับ

 

“ครับ”

 

เขาคีบปักเป้าดิบใส่ปากอีกชิ้น นางแบบสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะเท่าที่ผ่านมาแม้เธอจะไม่เคยพาใครไปเลี้ยงเป็นการส่วนตัวแบบนี้ แต่ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้ากินปลาชนิดนี้เลยสักคน ทุกครั้งที่แกล้งถาม เกือบทั้งหมดมักสั่นหน้าและเลี่ยงคำตอบไปในเชิง หากินยากหรือ ไม่จำเป็นต้องกินอาหารทำนองนี้ แต่จิรายุสเป็นคนแรกที่กล้าทำ แม้จะกลัวอยู่บ้าง แต่เขาก็กล้ากินมันตามคำท้าของเธอ

 

“ทานให้หมดก็ได้นะคะ” เธอแหย่แต่จิรายุสสั่นศีรษะ

 

“ผมขอนิดหน่อยก็พอ” เขาพูด พอเห็นหญิงสาวมองด้วยสายตาเชิงว่า ไม่กล้างั้นเหรอ เขาก็รีบแก้เกี้ยว “ยังมีของอีกตั้งหลายอย่าง ผมไม่อยากให้เหลือทิ้ง เสียดายครับ”

 

สีหน้าของมุกมณีเปลี่ยนไปในทันใด เธอส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับพูด

 

“ดีแล้วค่ะ เพราะฉันก็ไม่ชอบคนกินทิ้งกินขว้าง”    

 

นับเป็นคำพูดที่อยู่เหนือความคาดคิดของชายหนุ่ม เพราะเขาคิดว่านอกจากความเจ้าอารมณ์อย่างเหลือร้ายแล้ว มุกมณีก็น่าจะเป็นเหมือนผู้หญิงสวยคนอื่นคือกินอะไรอย่างละนิดอย่างละหน่อยเพื่อระวังรูปร่าง ไม่หมดก็โยนทิ้ง แต่เท่าที่เห็นเธอกินอาหารทุกอย่างที่สั่งมาจนหมด แทบจะเกลี้ยงจานเลยก็ว่าได้ เย็นตาโฟเองก็เช่นเดียวกัน เพราะอาหารมากมายมหาศาลที่กองเต็มโต๊ะเมื่อครู่ ถูกเกย์หนุ่มจัดการเรียบวุธ ไม่เหลือแม้ข้าวสักเม็ด

 

“อิ่มจัง” เย็นตาโฟซึ่งตอนนี้นั่งเอามือลูบท้องที่กำลังพองอืดเปรยออกมาเบาๆ มุกมณีชะงักถ้วยชาที่กำลังดื่มก่อนเย้า

 

“อัดเข้าไปซะขนาดนั้น ไม่อิ่มก็แปลกแล้วค่ะ” เธอหยุดเล็กน้อยและยิ้ม “แบบนี้ก็กินของหวานไม่ได้สิคะเนี่ย”

 

“อู๊ย มันคนละกระเพาะกันจ้ะ” เย็นตาโฟรีบพูดพร้อมกับโบกมือเรียกพนักงาน “คุณน้องขา ขอเมนูของหวานหน่อย”

 

สั่งเสร็จก็เขาหันไปทางจิรายุส

 

“ขนมที่นี่อร่อยมาก สำหรับพี่โฟนะ ชิ้นเดียวไม่เคยพอ”

 

จิรายุสพบว่าเกย์หนุ่มไม่ได้พูดจาเกินจริงไปเลยสักนิด เพราะจำนวนขนมที่สั่งมามากจนเขาคิดว่าไม่มีทางกินได้หมด แต่เย็นตาโฟก็นั่งละเลียดไปทีละจานอย่างมีความสุข อันไหนถูกใจก็จะทำหน้าอิ่มเอมเปรมปรี แต่ถ้าอันไหนอร่อยน้อยหน่อยหรือไม่ถูกลิ้นเท่าไหร่ เขาก็จะส่งให้ชายหนุ่มพร้อมกับคะยั้นคะยอให้ชิม ไม่นานขนมทุกจานก็ถูกจัดการจนเกลี้ยง เย็นตาโฟยิ้มอย่างมีความสุข

 

“เฮ้อ คราวนี้อิ่มจริงๆแล้วละ”

 

พูดพลางยกถ้วยชาเขียวขึ้นซดด้วยใบหน้าแช่มชื่นจนมุกมณีต้องค้อนด้วยความหมั่นไส้

 

“กินเข้าไปขนาดนั้น ไม่อิ่มก็แปลกแล้วค่ะ”

 

เกย์หนุ่มส่งยิ้มระรื่นพลางหันไปทางจิรายุส

 

“แล้วเต่าละ อิ่มหรือเปล่า”

 

“อิ่มมากเลยครับ” จิรายุสตอบทั้งตามองพนักงานที่เข้ามาเก็บจานเปล่าบนโต๊ะ พอลำเลียงทุกอย่างออกไปจนหมดและทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วเย็นตาโฟก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

 

“สามทุ่มกว่าแล้วเหรอเนี่ย กลับกันดีกว่าเนอะ”

 

เขาพูดกับมุกมณีพร้อมกับดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาแต่นางแบบสาวกลับห้าม

 

“มื้อนี้มุกเลี้ยงเอง”

 

เธอส่งสัญญาณเรียกพนักงานเช็คบิล จิรายุสจึงสังเกตเห็นว่ามุกมณีจ่ายค่าอาหารด้วยเงินสด ซึ่งแตกต่างจากคนในสังคมที่เขารู้จัก ซึ่งมักจับจ่ายใช้สอยชำระสินค้าและค่าบริการต่างๆด้วยบัตรเครดิต

 

จัดการค่าอาหารเสร็จเรียบร้อย นางแบบสาวจึงขอตัวเข้าห้องน้ำ เย็นตาโฟซึ่งเห็น

 

จิรายุสเผลอตัวมองตามมุกมณีไปจนกระทั่งเธอเลี้ยวหายไปทางด้านหลังจึงฉีกยิ้ม

 

            “แปลกใจใช่ไหมที่หนูมุกใช้เงินสด”

 

            ชายหนุ่มหันมามองเขาด้วยความแปลกใจ

 

            “ครับ เอ้อ ขอโทษด้วยที่ผมคิดแบบนั้น แต่คุณเย็นตาโฟรู้ได้ยังไงครับ”

 

            “บอกแล้วใช่ไหมว่าให้เรียกพี่โฟ” พูดพลางหยิกหมับเข้าที่ต้นแขนอย่างเอ็นดู “สายตามันฟ้องน่ะ เก็บความรู้สึกไม่เก่งเลยนะเรา”

 

            อีกครั้งที่จิรายุสต้องหัวเราะแหะๆและลูบท้ายทอยตัวเองเป็นการแก้เก้อ

 

            “แหม ผมดูง่ายขนาดนั้นเลยหรือครับเนี่ย”

 

            “ก็ไม่ง่ายถึงขนาดนั้นหรอก แต่พี่ผ่านอะไรมาเยอะ เลยพอจะเดาออกว่าแต่ละคนคิดยังไง” เย็นตาโฟพูด แต่คราวนี้สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “ที่หนูมุกไม่ยอมใช้บัตรเครดิตเพราะจะได้ระวัง ไม่ใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย”

 

            จิรายุสทำตาโต เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่านางแบบสาวแสนสวยเลิศหรูไปทั้งตัวแถมมีนิสัยเอาแต่ใจเหมือนเด็กอย่างมุกมณีจะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ เย็นตาโฟมองสีหน้าหนุ่มอย่างรู้ทัน

 

            “ตกใจใช่ไหมละ ยังมีอีกนะถ้าเมื่อกี้คุณจิรายุสกินอะไรเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว หนูมุกจะเลิกติดต่อกับบริษัทพีเจอีกต่อไป”

 

            “อ้าว ทำไมครับ” ชายหนุ่มอุทานพร้อมกับถามด้วยความสงสัย เพราะเรื่องของเขากับบริษัทไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด เกย์หนุ่มยักไหล่

 

            “มุกไม่ชอบคนฟุ่มเฟือย กินทิ้งกินขว้าง เธอเคยบอกกับพี่ว่าข้าวแค่หนึ่งช้อนอาจไม่มีความหมายกับคนบางจำพวก แต่สำหรับคนยากจนแล้ว มันมีค่ามหาศาล”

 

            “ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าผู้หญิงสมัยใหม่อย่างคุณมุกจะมีความคิดแบบนี้” จิรายุสพูดด้วยความรู้สึกทึ่ง เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงเรื่องมาก เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจอย่าง

 

มุกมณีจะมีความคิดละเอียดอ่อนลึกซึ้งทำนองนี้ด้วย เย็นตาโฟยิ้มกว้าง

 

            “หนูมุกยังมีเรื่องที่คาดไม่ถึงอีกเยอะแยะ ภายนอกเธออาจจะดูเจ้าอารมณ์จนน่ากลัว แต่ถ้ารู้จักกันมากกว่านี้เต่าอาจชอบเธอก็ได้”     

 

            “คงไม่หรอกครับ” จิรายุสตอบอุบอิบและหุบปากเงียบเมื่อเจ้าตัวเดินกลับมาที่โต๊ะ เธอมองเขากับเย็นตาโฟสลับกันไปมาก่อนถาม

 

            “ทำไมทำหน้ากันแบบนี้ แอบนินทามุกอยู่ใช่ไหมคะ”

 

            ประโยคสุดท้ายหันไปทางเกย์หนุ่ม เขาทำเป็นมองไปด้านอื่นก่อนตอบ

 

            “พี่ไม่กล้าหรอกจ้ะ”

 

            “หลบตาอย่างนี้แสดงว่าใช่” มุกมณีพูดและหันไปจ้องจิรายุส “อย่าให้รู้นะว่าอะไร ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีละก็”

 

            เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้นแต่ทำตาวาวเป็นเชิงขู่ เย็นตาโฟทำไหล่ห่ออย่างล้อเลียนต่างจาก

 

จิรายุส ซึ่งเกิดอาการขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขารีบชำเลืองมองคนที่อยู่ด้านข้างแต่พอเห็นเกย์หนุ่มทำหน้าเฉยเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว ชายหนุ่มจึงปรับสีหน้าเป็นปรกติ

 

            “เอ้า มัวแต่ยืนจังงังอะไรกันอยู่ ไปขึ้นรถเร็ว”

 

            เสียงเย็นตาโฟดังทะลุความคิด จิรายุสรีบสั่นศีรษะ

 

            “ผมกลับเองได้ครับ”

 

            “ไม่ต้องพูดเลยเต่า พี่ลากเธอมา พี่ก็ต้องไปส่ง” ไม่พูดเปล่าเขายังคว้าแขนชายหนุ่มลากให้เดินตาม ปากก็พูดจ้อไม่หยุด “บอกมาว่าบ้านอยู่ไหน พี่โฟจะไปส่งจนถึงเตียงเลย”

 

            ช่างแต่งหน้าคนเก่งก็ผลักชายหนุ่มเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง ส่วนตัวเขาเองเดินอ้อมไปประจำที่คนขับโดยมีมุกมณีนั่งด้านข้าง จากนั้นรถคันงามก็พุ่งออกจากร้านอาหาร มุ่งไปยังคอนโดมิเนียมของจิรายุส

 

            เช่นเดียวกับตอนมา ขากลับเย็นตาโฟส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนนกแก้วนกขุนทองไปตลอดทาง ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ และหันมาถามเรื่องของชายหนุ่มบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งมักไม่พ้นเรื่องงานกับคนรัก พอรู้ว่าหัวใจของจิรายุสยังว่าง เกย์หนุ่มก็ร้องกรี๊ดกร๊าดด้วยความดีใจ ต่างจากมุกมณีที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ พอถึงที่หมาย เย็นตาโฟก็อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น

 

            “ทำเลดีซะด้วย แบบนี้พี่คงต้องมาขอค้างคืนบ้างแล้ว”

 

            “ห้องผมเล็กนิดเดียวเองครับ” จิรายุสรีบออกตัว เกย์หนุ่มแกล้งตีแขนเขาเบาๆ

 

            “เล็กใหญ่ไม่ใช่ปัญหา ถ้ามันแคบนัก นอนเตียงเดียวกันก็ได้”

 

            เจอแบบนี้ชายหนุ่มต้องแอบกลืนน้ำลายด้วยความสยอง เขารีบลงจากรถโดยไม่ลืมหันกลับไปกล่าว

 

            “ขอบคุณครับที่มาส่ง” ดวงตาเลื่อนมายังมุกมณี เขาส่งยิ้มให้กับเธอ “ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับอาหารมื้อนี้ เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาส ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงคุณมุกบ้าง จะได้ไหมครับ”

 

            นางแบบสาวส่งยิ้มหวานหยดย้อย

 

            “ด้วยความยินดีค่ะ”

 

             รอยยิ้มของเธอทำให้จิรายุสใจเต้น เขารีบถอยห่างจากรถและยกมือขึ้นแทนคำอำลา ก่อนออกรถเย็นตาโฟยังไม่วายยื่นหน้าออกมาพูด

 

            “แล้วเจอกันใหม่นะ พ่อรูปหล่อ”

 

            เขาทำปากห่อเหมือนส่งจูบให้ก่อนจะขับรถออกไป พอได้อยู่ตามลำพังแล้ว จิรายุสจึงถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก และหมุนตัวเดินไปที่ลิฟต์ เพื่อกลับห้องของตัวเอง

 

พอถึงห้อง สิ่งแรกที่ทำคืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ชงกาแฟ และเปิดสมุดตารางงาน แต่แทนที่จะอ่าน สมองของเขากลับหวนนึกถึงมุกมณี แน่นอนว่าไม่ใช่ใบหน้าแสนสวยหรือรอยยิ้มที่ทำให้ชวนลุ่มหลง หากแต่เป็นแววตาตอนที่เธอแกล้งขู่เขากับเย็นตาโฟ แม้จะแค่แวบเดียว แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าดวงตาของนางแบบสาวเปลี่ยนไป จากสีน้ำตาลแสนสวย เป็นสีเขียวอมเหลืองที่มีรูม่านตารูปเมล็ดข้าวขีดคาดตรงกลาง ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานด้านภาพกราฟิก และภาพถ่ายทำให้จิรายุสแน่ใจว่า นั่นเป็นดวงตาของสัตว์เลื้อยคลานจำพวก งู

 

ขนแขนของเขาลุกซู่ขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าสิ่งที่เห็นเป็นของจริง แสดงว่ามุกมณีไม่ใช่มนุษย์ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง โลกนี้จะมีเรื่องมหัศจรรย์พันลึกแบบในการ์ตูนหรือนิยายด้วยเหรอ

 

ตอนนั้นเองที่จิรายุสหวนนึกถึงเรื่องของราฟาเอล ถ้าเทวทูตมีจริง อย่างอื่นก็น่าจะมีตัวตนจริงด้วยเหมือนกัน ชายหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด  

 

ถ้าอย่างนั้นมุกมณีคืออะไร นางฟ้า หรือสิ่งมีชีวิตจากแดนหิมพานต์

 

 

*/*/*/*/*/*

 

 




Create Date : 08 ตุลาคม 2556
Last Update : 8 ตุลาคม 2556 19:39:25 น.
Counter : 306 Pageviews.

0 comment
รักละไม ไอทะเล บทที่ 6 ปลาดิบมื้อพิเศษ 2
 

พอถึงชุดสุดท้าย จิรายุสเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย พลังจากดูนาฬิกาและพบว่าครั้งนี้นางแบบสาวใช้เวลาแต่งตัวนานกว่าที่ผ่านมา ตอนแรกเขาคิดว่าเธอคงหยุดพักให้หายเหนื่อยเพราะถึงจะเป็นการถ่ายภาพธรรมดา แต่การยืนหรือนั่งท่าเดียวซ้ำกันหลายครั้งก็สามารถสร้างความเมื่อยล้าได้มากพอดู เพื่อไม่ให้เป็นการรอคอยที่สูญเปล่า ชายหนุ่มจึงหันมาขยับฉากเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ดูเหมือนครั้งนี้หัวข้อของภาพจะเป็นแนวนางในวรรณคดีหรืออะไรทำนองนั้น เพราะม่านที่ใช้เป็นสีเขียวสดสำหรับเติมภาพกราฟฟิกในภายหลัง ส่วนเครื่องตกแต่งก็มีลักษณะเหมือนก้อนหินหรือปะการัง ตรงกลางมีหอยมือเสือขนาดใหญ่กำลังเปิดฝากว้างคล้ายที่นั่งในหนังการ์ตูน

 

สงสัยชุดสุดท้ายจะเป็นเงือก

 

จิรายุสเดาอย่างสนุก เพราะเท่าที่อ่านจากหัวข้อที่ทางกรมส่งมา บอกแค่ว่าชุดสุดท้ายเป็นนางในวรรณคดีเท่านั้น ไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมว่าอะไร ชายหนุ่มยืนอมยิ้มเมื่อนึกถึงนางแบบสาวในชุดคนครึ่งปลากระโดดดึ๋งๆเข้ามาในห้อง มันคงเป็นภาพที่น่าดูพิลึกที่สุดในชีวิต

 

เสียงพูดคุยที่ดังใกล้เข้ามาทำให้จิรายุสคลายรอยยิ้มพร้อมกับปรับสีหน้าของตัวเองให้ดูเคร่งขรึมสงบเสงี่ยม ในขณะเดียวกันก็คอยเตือนตัวเองว่าอย่าเผลอยิ้มหรือหัวเราะออกมาเป็นอันขาด ถ้านางแบบสาวโผล่ออกมาในชุดเงือกจริงๆ เขามองจ้องตรงไปยังประตูด้วยสีหน้าท่าทางของช่างภาพมืออาชีพ พอมุกมณีก้าวเข้ามาในห้อง ความคิดพิเรนท์เมื่อครู่ทั้งหมดก็มลายหายไป

 

มุกมณีไม่ได้อยู่ในชุดคนครึ่งปลาตามที่เขาคิด หากแต่เป็นชุดรัดรูปสีเขียวเหลือบฟ้ายาวกรอมเท้า ช่วงไหล่เปิดเปลือยเผยความขาวเนียนกลมกลึง ประดับทับทรวงลวดลายวิจิตรที่ทำให้ดูเหมือนทองคำรับกับอัญมณีสีเขียวมรกตอย่างงดงาม กำไลข้อมือและต้นแขนล้วนมีสีทองและประดับด้วยมรกตเช่นเดียวกัน ทรงผมถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยสูงรัดด้วยเครื่องประดับรูปทรงแปลกตา กระโปรงช่วงล่างตั้งแต่ต้นขาลงไปปักเลื่อมทองระยับมองคล้ายเกล็ดปลา ดวงหน้าแต่งเติมสีสันเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เสริมให้นางแบบสาวดูโดดเด่นสะดุดตา และงามสง่าประหนึ่งราชินี

 

สิ่งที่ทำให้จิรายุสต้องตกตะลึงยืนจังงังไม่ใช่แค่ความสวยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากเป็นแสงประหลาดที่เปล่งประกายเรืองรองออกมาจากกายของมุกมณี ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นแสงจากสปอร์ตไลท์ที่ห้อยเป็นแผงอยู่เหนือศีรษะ แต่พอพิจารณาดูให้ดีแล้วกลับไม่ใช่ เพราะเจ้าแสงที่ว่านั้นทอออกมาจากเรือนร่างของมุกมณีนั่นเอง

 

จิรายุสรีบถอดแว่นออกมาเช็ดและรีบใส่กลับไปอย่างเดิม ซึ่งก็ไม่เห็นแสงประหลาดอีก เขาจึงสรุปกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมด เกิดจากความสกปรกของเลนส์หรือความผิดเพี้ยนของแว่นตา คิดได้แบบนั้น ชายหนุ่มจึงเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่งานตามเดิม

 

“ชุดสุดท้ายแล้วนะครับ” เขาพูดกับนางแบบสาวขณะเดินนำไปยังฉาก “ผมอยากให้คุณมุกมณีคิดว่าเป็นราชินีใต้ทะเล ดังนั้นจึง....”

 

“นาค” นางแบบสาวขัด เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองกลับมาเป็นเชิงสงสัยจึงพูดต่อ “ฉันเป็นนาค”

 

“อ๋อ งั้นผมต้องขอโทษ พอดีหัวข้องานไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรไว้น่ะครับ” เขาออกตัวและเริ่มอธิบายต่อ “การถ่ายรูปชุดนี้จะต่างไปจากตอนแรก เพราะผมจะบันทึกภาพแบบต่อเนื่องเพื่อเก็บทุกอิริยาบถ ดังนั้นจึงขอให้คุณมุกมณีคิดว่าตัวเองเป็นนาคในนครบาดาล กำลังชื่นชมความงามของท้องทะเลอย่างมีความสุข คิดว่าทำได้ไหมครับ”

 

เขาปิดท้ายด้วยประโยคคำถามทำให้นางแบบสาวเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับตอบอย่างไว้ตัว

 

“ได้”

 

ถึงเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ก็มีความหมายอยู่ในทีว่า ฉันคือมุกมณีนะยะ เรื่องแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้ เมื่อซักซ้อมกันจนเป็นที่เข้าใจแล้วจิรายุสจึงเข้าประจำที่และลงมือทำงาน ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทุกอย่างจึงเสร็จสิ้น ระหว่างเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เย็นตาโฟซึ่งยืนเลียบๆเคียงๆอยู่นานจึงตัดสินในเดินเข้าไปชายหนุ่มพร้อมกับเอ่ยเรียกอย่างเกรงใจ

 

“คุณจิรายุส”

 

“ครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นผู้เรียกกำลังยืนกระมิดกระเมี้ยนเขาจึงถาม “มีอะไรหรือครับคุณเย็นตาโฟ”

 

“เรียกพี่โฟเฉยๆก็ได้” ไม่พูดเปล่ายังทำตาเล็กตาน้อยเป็นการแถม จิรายุสกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ก่อนพูดตามที่อีกฝ่ายแนะนำ

 

“ครับ มีอะไรหรือครับพี่โฟ”

 

เย็นตาโฟหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจและขยับเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนตอบ

 

“พี่อยากขอบคุณที่คุณจิรายุสช่วยหนูมุกเอาไว้เมื่อวานนี้น่ะ”

 

“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขณะเดียวกันก็เก็บข้าวของต่างๆพร้อมกันไปด้วย พอเห็นอีกฝ่ายตอบสั้นๆเหมือนต้องการจะจบการสนทนา เย็นตาโฟจึงหาเรื่องพูดต่อ

 

“จะไม่เป็นไรได้ยังไง คุณจิรายุสอยู่ตั้งไกลยังอุตส่าห์วิ่งเข้ามาช่วย” เขาเบ้หน้าน้อยๆก่อนกล่าวต่อ “ตอนนั้นผู้ชายคนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ แต่ยืนมองเฉยๆไม่ช่วยอะไรเลย ไร้น้ำใจสิ้นดี”

 

เกย์หนุ่มกระแทกกระทั้นเสียงด้วยความโมโหก่อนจะรีบส่งยิ้มหวานให้จิรายุสอีกครั้งพร้อมกับถาม

 

“เลิกงานกี่โมงจ๊ะ”

 

“ปรกติก็ห้าโมงครึ่งครับ แต่วันนี้มีงานคงดึกหน่อย”

 

“ว้า” เย็นตาโฟร้องออกมาอย่างผิดหวัง “งั้นพี่โฟไม่กวนคุณจิรายุสแล้ว ไว้พบกันใหม่นะ”

 

“ครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยความโล่งอกจากนั้นจึงเร่งเก็บข้าวของเดินจ้ำอ้าวกลับห้องทำงานทันทีเพราะกลัวว่าจะโดนเกย์หนุ่มตามมาตอแย เมื่ออยู่ตามลำพังแล้วเขาก็เริ่มดึงภาพที่ถ่ายไว้ทั้งหมดออกมาดู ตรวจไปได้สักพัก นายประพจน์ก็เปิดประตูเดินเข้ามา

 

“ทำอะไรน่ะเต่า”

 

“ตรวจงานครับ” จิรายุสตอบ นายประพจน์มองภาพมุกมณีบนหน้าจอก่อนถาม

 

“กว่าจะส่งตั้งอีกนาน ทำไมรีบทำนักล่ะ”   

 

“ก็ไม่ได้รีบหรอกครับ แต่มันต้องเพิ่มภาพกราฟิก ผมเลยเอามาดูก่อนว่าจะวางรูปแบบยังไง”

 

นายประพจน์พยักหน้าก่อนวางมือลงบนไหล่ลูกน้อง

 

“เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้ก็ได้”

 

“ทำไมละครับ” จิรายุสถามด้วยความสงสัย เพราะตามปรกติแล้วนายประพจน์มักปล่อยให้เขาทำงานตามสบายมาโดยตลอด อีกฝ่ายทำหน้าหนักใจ

 

“คุณมุกมณีรออยู่”

 

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจก่อนถาม

 

“รอใครหรือครับ”

 

“คุณ” นายประพจน์ตอบสั้นๆ “เก็บงานแล้วรีบลงไปพบเธอเร็วๆ”

 

จิรายุสอ้าปากค้าง แต่พอจะถามนายประพจน์ก็เดินออกจากห้องไปแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่นั่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและตั้งคำถามต่างๆนาๆว่าเหตุใดนางแบบสาวเจ้าอารมณ์คนนี้ถึงตามตอแยเขานัก ตอนแรกเขาคิดจะแกล้งเธอด้วยการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั่งทำงานต่อแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าขืนทำแบบนั้น มีหวังบริษัทโดนไต้ฝุ่นถล่มจนพังยับแน่ จิรายุสจึงจำใจปิดเครื่อง เก็บข้าวของ คว้าเป้ประจำตัวเดินออกจากห้อง ตรงไปหามุกมณี ซึ่งกำลังนั่งรออยู่ในห้องรับรอง

 

ทันทีที่โผล่หน้าเข้าไป เย็นตาโฟก็ดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับปรบมือด้วยความดีใจ

 

“มาแล้ว มาแล้ว” เขาหันไปส่งยิ้มให้กับมุกมณี หญิงสาวชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยหางตาก่อนพูดเสียงเรียบ

 

“มาช้าจัง”

 

“ผมไม่ได้นั่งเฉยๆนี่ครับ” จิรายุสสวนคำพูดทันควัน “คุณมีธุระอะไรเหรอ ถึงได้ลากผมออกจากห้องทำงานแบบนี้”

 

“แหม อย่าพูดจาตัดเยื่อตัดใยแบบนั้นสิคุณจิรายุส หนูมุกแค่อยากพาคุณไปเลี้ยงขอบคุณเท่านั้น”

 

“ขอบคุณ ? เรื่องอะไร ?”  ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง เย็นตาโฟค้อนปะหลับปะเหลือกก่อนสะบัดเสียงตอบ

 

“ทำเป็นลืม ก็ที่คุณช่วยเราเมื่อวานนี้ไง”

 

“อ๋อ เรื่องนั้นเอง ผมช่วยโดยไม่หวังอะไรตอบแทนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเลี้ยงอะไรกันหรอกครับ” จิรายุสตอบแต่เย็นตาโฟส่ายหน้าและโดดเข้ามากอดแขนหมับพร้อมกับพูด

 

“คุณจิรายุสไม่คิด แต่พี่โฟคิด คนมีน้ำใจก็ควรได้รับสิ่งดีๆตอบแทน มาอย่ามัวแต่โอ้เอ้โยกโย้มากเรื่อง พี่โฟหิวจนตาลายแล้ว เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่า”

 

พูดจบก็ลากชายหนุ่มออกจากห้องโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน เมื่อจนปัญญาปฏิเสธ จิรายุสจึงจำต้องไปด้วย ตอนแรกเขาคิดจะแยกตัวไปนั่งด้านหลังแต่โดนเย็นตาโฟผลักเข้าไปยังที่นั่งด้านหน้า

 

“คุณจิรายุสนั่งกับพี่”

 

พูดจบก็เดินย้ายสะโพกไปนั่งด้านคนขับ ส่วนมุกมณีนั่งเบาะหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ พอรถเคลื่อนออกจากบริษัท มีเพียงเย็นตาโฟเท่านั้นที่ส่งเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง หลายครั้งที่เขาหันไปป้อนคำถามกับจิรายุสและหัวเราะคิกคักเมื่อได้รับคำตอบที่ถูกใจ

 

จุดหมายของเย็นตาโฟคือร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังย่านสุขุมวิท ทันทีที่เลี้ยวรถเข้าไปจอด พนักงานต้อนรับก็รีบถลันเข้ามาเปิดประตูพร้อมกับโค้งอย่างสุภาพ

 

“ยินดีต้อนรับครับคุณมุกมณี คุณเย็นตาโฟ”

 

เขาเดินนำทั้งสามไปด้วยท่าทางนอบน้อมตามแบบฉบับของชาวอาทิตย์อุทัย เมื่อเข้าไปด้านใน ผู้จัดการร้านซึ่งยืนรออยู่รีบค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวทักทาย

 

“มุกมณีซัง เย็นตาโฟซัง” เขาผายมือ “โต๊ะของคุณอยู่ทางนี้ครับ”

 

ถึงจะเรียกว่าโต๊ะ แต่ความจริงเป็นการนั่งบนเบาะแบบร้านอาหารญี่ปุ่น เมื่อประจำที่เรียบร้อยแล้ว ผู้จัดการร้านจึงส่งเมนูให้คนทั้งสามก่อนหันไปถามมุกมณี

 

“รับชุดพิเศษเหมือนเดิมไหมครับ”

 

นางแบบสาวผงกศีรษะ เย็นตาโฟอ้าปากหวอ

 

“มุกจะทานไอ้นั่นอีกแล้วเหรอ”

 

“ก็มุกชอบนี่คะ” เธอตอบพร้อมกับหันไปสั่ง “เพิ่มซาชิมิเรือชุดใหญ่ อุนิซูชิสามที่” ดวงตาตวัดไปทางจิรายุสที่กำลังนั่งจ้องเมนูอย่างเอาเป็นเอาตาย “อยากทานอะไรสั่งได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

 

ชายหนุ่มนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิดก่อนสั่งอาหารจำพวกข้าวปั้น ส่วนเย็นตาโฟเน้นหนักไปทางปลาดิบโดยเฉพาะแซลมอน กับมากุโร่ ซึ่งเมื่อสั่งเสร็จ เขาก็หันไปคุยกับจิรายุสทันที

 

“คุณจิรายุสชอบข้าวปั้นเหรอ”

 

“ครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ เย็นตาโฟยิ้มกว้าง

 

“พี่โฟก็ชอบข้าวปั้นเหมือนกัน เคยไปทานที่ญี่ปุ่นมาสองครั้ง ติดใจข้าวปั้นชูโทโร่ที่สุด เพราะมันอร่อยมาก” เขาลากเสียงคำสุดท้ายพร้อมกับทำตาพริ้มเหมือนประทับใจอย่างสุดซึ้งก่อนพูดต่อ “ที่โน่นมีปลาดิบให้กินเยอะแยะแถมรสชาติดีกว่าที่อื่นมาก ปลาบางอย่างหากินไม่ได้ในบ้านเรา เอาไว้เมื่อไหร่ไปอีก พี่โฟจะพาคุณจิรายุสไปด้วย นั่งแช่น้ำร้อนไป คุยกันไป คงสนุกน่าดูเลยเนอะ”

 

พูดพลางกระเถิบตัวเข้าไปใกล้อีกนิดพร้อมกับส่งสายตาหวานเชื่อมให้ จิรายุสขยับถอยหนีเล็กน้อย พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะบีบแขน จับมือ ชายหนุ่มจึงหาทางเลี่ยงด้วยการคว้าถ้วยชาด้วยมือซ้ายพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะแหะๆ

 

“ครับ” เขายกน้ำชาขึ้นดื่ม แต่พอแน่ใจว่าเย็นตาโฟคงไม่ยอมหยุดการแต๊ะอั๋งไว้แค่นี้แน่ เขาเลยหาเรื่องคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ  

 

“เมื่อกี้พี่โฟพูดถึงข้าวปั้นชูโทโร มันคืออะไรเหรอครับ”

 

“อ๋อ ก็ปลากมากุโรนั่นแหละ แต่เป็นเนื้อหน้าท้องส่วนท้าย มันจะหวานนุ่มกว่าเนื้อมากุโร่ธรรมดาเพราะมีไขมันคั่นสลับกับเนื้อปลาตลอดทั้งชิ้น”

 

“ฟังดูน่ากินจังเลย แต่ไขมันเยอะขนาดนั้นไม่กลัวคลอเรสเตอรอลสูงเหรอครับ”

 

“โอ๊ย พี่ไม่สนหรอก กินให้มันจุกอกดีกว่านั่งอดข้าวตาย คุณจิรายุสเองเถอะ ผอมแห้งแรงน้อยแบบนี้คงไม่ค่อยกินอะไรเลยสิท่า”

 

  “เรียกผมว่าเต่าดีกว่าครับ” ชายหนุ่มพูดเพราะเริ่มรำคาญที่โดนเรียกว่าคุณจิรายุสอย่างนั้น คุณจิรายุสอย่างนี้ อีกอย่างถึงจะกลัวอยู่บ้างแต่การพูดจาแบบตรงไปตรงมาของเย็นตาโฟทำให้คิดว่าเกย์หนุ่มคนนี้คงไม่มีอะไร นอกจากพูดจากระเซ้าเย้าแหย่เขาเล่นเท่านั้น

 

“ต๊าย ชื่อน่ารักจังพ่อเต่าน้อย” ไม่พูดเปล่ามือยังยื่นไปหยิกแก้มจิรายุสอย่างมันเขี้ยว เล่นเอาชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวถอยหนีแทบไม่ทัน โชคดีที่พนักงานยกจานใบใหญ่มาเสิร์ฟพอดี เย็นตาโฟจึงหันไปมองด้วยดวงตาลุกวาว แต่พอเห็นว่าอาหารชนิดนั้นคืออะไรเขาก็เบ้หน้าพร้อมกับบ่นพึมพำสองสามคำ ที่ไม่กล้าพูดเสียงดังก็เพราะเชฟใหญ่กำลังเดินตรงมาหา พอถึงโต๊ะเขาก็โค้งให้มุกมณีพร้อมกับกล่าวทักทายเป็นภาษาไทยซึ่งไม่ค่อยจะชัดนัก จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาที่ถูกแล่จนบางเฉียบส่งเข้าปากหนึ่งชิ้นและค้อมตัวให้กับนางแบบสาวอีกครั้งก่อนเดินจากไป ตอนแรกจิรายุสก็งงเหมือนกันว่าทำไมเชฟถึงต้องทำแบบนี้แต่พอเห็นว่าจานตรงหน้าคืออะไร เขาถึงกับนั่งตัวแข็งอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก เพราะมันคือฟุกุ ซาชิมิ ปลาดิบที่ทำมาจากปลาปักเป้าซึ่งได้ชื่อว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด

 

“ทานสิ ปลาแบบนี้ไม่ใช่หากินได้ง่ายๆนะ” มุกมณีเอ่ยชวนพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบชิ้นปลา จิ้มพอนสึ ซอสที่เหมาะกับปลาดิบชนิดนี้ก่อนส่งเข้าปาก จิรายุสกลืนน้ำลายลงคอก่อนสั่นศีรษะ

 

“ไม่ดีกว่าครับ”

 

“กลัวเหรอ” นางแบบสาวพูดยิ้มๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เพราะจากสีหน้าทำให้เขาเข้าใจได้ว่า เธอสั่งปลาดิบชนิดนี้มาเพื่อแกล้งเขาโดยเฉพาะ แต่เพื่อไม่ให้เสียเชิงชาย จิรายุสจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาและจ้องปลาที่ถูกเรียงอย่างดงามราวดอกโบตั๋นอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจคีบมัน และนิ่งอยู่ในท่านั้นอีกอึดใจก่อนใส่ปากเคี้ยว

 

“เป็นไง” มุกมณีถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าโล่งอก จิรายุสทำท่ากระแอมอย่างมีมาดพลางยืดอกขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มกลับมา

 

“ก็อร่อยดีนี่ครับ”

 

คำตอบของเขาทำให้นางแบบสาวต้องพยายามซ่อนรอยยิ้มด้วยความขบขันเอาไว้ เพราะแม้จิรายุสจะทำหน้าเหมือนไม่เป็นไร แต่สุ้มเสียงกลับสั่นประจานความรู้สึกที่พยายามปิดเอาไว้เสียอย่างนั้น  

 

“ฟุกุของที่นี่คุณภาพดีแถมยังปลอดภัยเพราะสั่งตรงจากญี่ปุ่น” เธอพูดเป็นเชิงอธิบาย “ตัวเชฟเองก็ได้รับใบอนุญาตพิเศษมาแล้วด้วย”

 

พูดพลางคีบปลาใส่ปากอีกชิ้น

 

“อีกอย่างจะกินของให้อร่อย มันก็ต้องมีเสี่ยงกันบ้างเล็กน้อย น่าสนุกจะตายไป”

 

“แต่พี่โฟไม่เอาด้วยหรอก” เย็นตาโฟขัดพร้อมกับทำท่าขนลุกขนพอง “สรรกินอะไรก็ไม่รู้ น่ากลัวจะตายไป”

 




Create Date : 08 ตุลาคม 2556
Last Update : 8 ตุลาคม 2556 19:38:14 น.
Counter : 264 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog