รักละไม ไอทะเล บทที่ 3 การพบกันอีกครั้ง (2)

  รถยนต์สีเขียวสดใสของมุกมณีวิ่งด้วยความเร็วค่อนข้างสูงผ่านสี่แยกย่านธุรกิจ มุ่งหน้าตรงไปยังอาคารอันเป็นที่ตั้งของบริษัท พีเจ แอดเวอร์ไทซิ่ง ปรกติแล้วนางแบบสาวมักจะนั่งรถของเย็นตาโฟ แต่ในวันนี้เขามีงานด่วนทำให้ไม่สามารถแวะไปรับเธอได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องขับรถออกมาเองโดยนัดเจอกับช่างแต่งหน้าคนเก่งที่บริษัทแห่งนี้
การจราจรที่ติดขัดเกือบตลอดเส้นทางทำให้มุกมณีถึงกับหงุดหงิด หลายครั้งที่เธอนึกอยากจะจอดรถไว้กลางถนนและเดินขึ้นรถไฟฟ้าให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความกลัวว่าจะถูกแฟนคลับรุมทึ้ง หญิงสาวจึงละความคิดนั้นและขับรถปาดซ้ายป่ายขวาอย่างไม่เกรงใจใคร แต่พอไปถึงที่หมาย มุกมณีต้องอารมณ์เสียมากขึ้น เพราะที่จอดรถเต็มทุกชั้นจนเธอต้องวนถึงสองรอบจึงจะหาที่จอดได้

ทันทีที่ถอยรถเข้าซองได้สำเร็จ มุกมณีหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาโทร.ไปหาเย็นตาโฟทันที เสียงอีกฝ่ายรับอย่างระริกระรื่นพร้อมกับบอกว่าอีกสิบนาทีเจอกัน นางแบบสาวจึงปิดโทรศัพท์และคว้ากระเป๋ามาสะพายจากนั้นจึงเดินไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นของห้องรับรอง

เมื่อไปถึง พนักงานประจำบริษัทที่รออยู่จึงนำนางแบบสาวไปนั่งพักที่ห้องรับรองพิเศษ เพราะต้องรอช่างแต่งหน้า ซึ่งพอจัดหาเครื่องดื่มให้เธอเสร็จเรียบร้อย พนักงานสาวผู้นั้นก็อันตรธานหายไป ทิ้งให้มุกมณีนั่งอยู่เพียงลำพัง ตอนแรกเธอก็รู้สึกเฉยๆเพราะชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่พอผ่านไปได้สักพัก หญิงสาวก็เริ่มหงุดหงิดเพราะมันเหมือนกับว่า ทางบริษัทไม่สนใจใยดีในตัวเธอ

“หายไปไหนกันหมดเนี่ย” มุกมณีเปรยด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังและขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นมีใครโผล่หน้ามาสักคน “นี่ ฉันคอแห้ง ใครก็ได้ช่วยหาน้ำมาให้หน่อย”

เธอแกล้งสั่งทั้งที่ข้างตัวก็มีแก้วน้ำวางไว้อยู่แล้ว นั่งรออยู่สองสามนาที พอเห็นว่าไม่มีใครเข้ามาดูแลเธอแน่ นางแบบสาวจึงหันมองรอบห้องและเตรียมจะอาละวาด แต่สายตาไปสะดุดที่ป้ายบอกหมายเลขติดต่อภายในเสียก่อน ไม่รอช้า เธอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขทันที

“ครับ”

เสียงทุ้มของชายหนุ่มขานรับ มุกมณีจึงพ่นคำพูดใส่ชนิดไฟแลบ

“จะให้ฉันนั่งรอไปถึงไหน แล้วทำไมไม่มีใครมาดูแลฉันสักคน รู้หรือเปล่าว่าในนี้มันร้อน คอฉันก็แห้งจนจะเป็นผงอยู่แล้ว”

เสียงปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจก่อนตอบกลับ

“งั้นรอสักครู่นะครับ”

เสียงสัญญาณตัดสายดังขึ้น มุกมณีกระแทกหูโทรศัพท์อย่างแรงด้วยความโมโห

“ไม่มีมารยาท” เธอบ่นพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหงุดหงิด อารมณ์คุกรุ่นเมื่อครู่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการนางแบบ ไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้เลยสักคน ส่วนใหญ่แล้วเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายตัดสายทิ้ง แล้วหมอนั่นเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้ทำอย่างนี้กับเธอ

ความโกรธทำให้มุกมณีคว้าแจกันดอกไม้บนโต๊ะและเงื้อขึ้นเตรียมจะขว้างแต่ต้องชะงักค้างเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“เชิญ” เธอพูดเสียงห้วนพร้อมกับวางแจกันลง คิ้วเรียวสวยขมวดเข้ากันเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่ก้าวเข้ามาเป็นหนุ่มแว่นหน้าตาดี ที่สำคัญคือเธอจำได้แม่นว่าเขาทำหน้าที่เป็นช่างภาพแทนนายอะไรสักอย่างที่ไม่ได้มาทำงาน

“มีธุระอะไร” เธอถามแต่จิรายุสไม่ตอบ เขาเดินไปเปิดตู้เย็นที่อยู่ภายในห้องและหันกลับมาถาม

“คุณจะดื่มน้ำอะไรครับ”

นั่นเองทำให้นางแบบสาวรู้ว่าเขาคือคนรับโทรศัพท์เมื่อครู่ เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนถามเสียงกระด้าง

“คุณใช่ไหมที่กระแทกหูโทรศัพท์ใส่ฉัน”

“ผมเปล่า” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ มุกมณีเม้มปากแน่นและสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับความโกรธ

“อย่ามาโกหก ถ้าไม่ใช่คุณ แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันต้องการอะไร”

“คุณบอกว่าคอแห้ง” จิรายุสตอบอย่างเคร่งขรึม แต่นางแบบสาวกลับมองว่ากิริยานั้นคือเขากำลังวางท่าหยิ่งยโสใส่เธอ

“คุณเป็นคนรับโทรศัพท์เมื่อกี้จริงๆ แล้วยังจะมีทำเป็นตีหน้าเซ่อบอกว่าเปล่า”

“ผมยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่ใช่คนรับ” จิรายุสพูดอย่างอดทนพลางหยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมา “ตกลงคุณจะรับอะไร ชาหรือน้ำเปล่า”

“อย่ามาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง” มุกมณีพูดเสียงเขียวพร้อมกับลุกขึ้น “ฉันจะแจ้งคุณพีระให้เฉดหัวคุณออกจากบริษัท โทษฐานที่ไร้มารยาทกับลูกค้า”

คราวนี้จิรายุสวางขวดน้ำกลับที่เดิมและปิดตู้เย็นก่อนจะหันหน้ามาประจันกับนางแบบสาว

“ตามสบายเลยครับ ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเจ้านายของผมเป็นคนมีเหตุผลมากกว่าที่คุณคิด ถ้าจะหาเรื่องไล่ผมออกจากบริษัท คุณคงต้องหาข้ออ้างที่มันหนักแน่นกว่านี้หน่อย ไม่อย่างนั้นคุณก็คงต้องทนเห็นหน้าผมทุกครั้ง ที่ถ่ายแบบ”

“ช่างภาพมีเยอะแยะ” มุกมณีเถียง แต่จิรายุสยักไหล่

“แต่ตอนนี้มีผมแค่คนเดียว”

“งั้นฉันไปทำที่บริษัทอื่นก็ได้” นางแบบสาวโต้อย่างไม่ลดละ ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นเกาคางด้วยท่าทางเนือยๆ

“สัญญาว่าจ้างเขาทำล่วงหน้ากันเป็นเดือน คงไม่มีที่ไหนยอมเสียค่าปรับราคาแพงเพื่อเอาใจคุณหรอกครับ”   

มุกมณีกำหมัดแน่นยืนตัวสั่น แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเธอเลยสักครั้ง แล้วเจ้าหนุ่มแว่นคนนี้เป็นใคร กล้าดียังไงถึงมาเถียงกับเธอ

ด้านจิรายุสพอเห็นนางแบบสาวยืนหน้าแดงก่ำเป็นมะเขือเทศสุกก็รู้ว่าเธอกำลังโกรธจัด ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงใช้คำพูดกวนอารมณ์อีกสองสามคำให้คนฟังเดือดจนสมองระเบิดกระจาย แต่เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นนางแบบชื่อดังซึ่งถือเป็นลูกค้า เขาจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับอธิบาย

“มันอาจจะเหมือนเป็นการแก้ตัว แต่เมื่อกี้ผมรีบไปหน่อยเลยเผลอทำโทรศัพท์หลุดมือ” เขามองหน้ามุกมณีแน่วนิ่ง

“เห็นคุณบอกว่าคอแห้ง ผมเลยเป็นห่วง ไม่อยากให้รอนาน”

ลำพังคำพูดไม่ทำให้มุกมณีเชื่อถือเท่าใดนัก แต่สีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของจิรายุส ทำให้เธอรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมดเป็นความจริง นางแบบสาวคลายมือออกแต่ยังไม่ยอมทิ้งมาดของราชินีผู้สูงศักดิ์ เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับถามเสียงห้วน

“เป็นห่วงอย่างนั้นหรือ”

“ครับ” ชายหนุ่มตอบตามตรงพลางชี้หัวแม่มือไปที่ตู้เย็น “คุณเป็นลูกค้าคนสำคัญ คงไม่ดีแน่ถ้าให้เดินมาหยิบน้ำด้วยตัวเอง”

เขาเปิดตู้เย็นอีกครั้งพร้อมกับถาม

“ตกลงคุณจะรับน้ำอะไรครับ”

มุกมณีไล่สายตามองเข้าไปในตู้เย็นเพื่อสำรวจว่ามีน้ำอะไรบ้างก่อนหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้และยกขาขึ้นไขว่ห้างก่อนตอบเสียงกระด้าง

“ชาเขียว”

จิรายุสหยิบขวดชาเขียวรินใส่แล้วและแอบอมยิ้มเมื่อเห็นว่าคำพูดของตนเองสามารถสงบสติอารมณ์ของนางแบบสาวเจ้าปัญหาคนนี้ได้ เขารีบปรับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมก่อนหมุนตัวหันกลับไปที่เธอและวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะ

“เชิญครับ”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุภาพทำให้มุกมณีเหลือบตาขึ้นมองเพราะคิดว่าเขากำลังประชด แต่พอเห็นสีหน้าที่ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมกับการวางตัวอย่างระมัดระวังแล้วเธอจึงรู้ว่าเป็นการกระทำอย่างจริงใจ ซึ่งนับว่าแปลกเพราะส่วนใหญ่แล้วเธอจะพบแต่ผู้ชายที่เสแสร้ง ยอมทำทุกอย่างเพื่อหวังบางสิ่งบางอย่างจากร่างกายของเธอ

“คุณเป็นช่างภาพมานานแล้วหรือยัง”

นางแบบสาวเปิดหัวข้อสนทนา จิรายุสยิ้ม

“เพิ่งเป็นได้ห้าวันนี่เองครับ”

มือที่กำลังยกแก้วชาขึ้นดื่มชะงักค้าง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสนเท่ห์ก่อนจะหลุดปากพูด

“อย่าบอกนะว่า อัญมณีแห่งหิมพานต์เป็นงานแรกของคุณ”

“ใช่ครับ” จิรายุสตอบอย่างภาคภูมิใจ แต่มุกมณีกลับนิ่วหน้า

“ตายแล้ว เอาช่างภาพมือใหม่มาทำงานใหญ่แบบนี้มันจะได้เรื่องเหรอ”

เธอพูดเป็นเชิงบ่นเพราะกลัวว่าจะต้องย้อนกลับมาถ่ายทำโฆษณาชิ้นนั้นใหม่อีกครั้ง แต่จิรายุสกลับสั่นศีรษะ


“มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกครับ ตัวเจ้าของจิวเวอรี่เองก็เห็นผลงานชิ้นนี้แล้ว ถ้ามันไม่ดีป่านนี้คงโทร.มาแล้วละครับ”
มุกมณีวางแก้วชาลง

“อะไรกัน แค่ห้าวันเอง งานเสร็จหมดแล้วเหรอ”

“ครับ” จิรายุสตอบสั้นๆ นางแบบสาวนั่งนิ่งไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากถาม

“ขอฉันดูหน่อยได้ไหม”

“ไม่ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบสวนทันควัน คิ้วของมุกมณีขมวดเข้าหากันทันที

“ทำไมถึงไม่ได้ ฉันเป็นนางแบบงานชิ้นนี้นะ”

เธอตวาดแหวอย่างไม่พอใจ จิรายุสส่ายหน้าช้าๆก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นเชิงอธิบาย

“งานทุกชิ้นถือเป็นความลับของบริษัท คุณเป็นนางแบบก็จริงแต่ไม่ใช่ผู้ว่าจ้าง จึงไม่มีสิทธิดูงานโฆษณาก่อนได้รับอนุญาต”

“ถ้าไม่ให้ดู ฉันก็ไม่ยอมถ่ายโฆษณากับบริษัทคุณอีกต่อไป”

เธอยื่นคำขู่ จิรายุสถอนใจออกมาเบาๆด้วยความเบื่อหน่ายในความเอาแต่ใจแบบเด็กๆของนางแบบสาวก่อนขยับแว่นและตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“งานแต่ละชิ้นขึ้นอยู่กับผู้จ้างว่าต้องการนางแบบคนไหน และอย่างที่ผมบอกในตอนแรก งานโฆษณาทุกชิ้น มีการทำสัญญากันล่วงหน้า คุณอาจจะบ่ายเบี่ยงไม่มาบริษัทผมก็ได้ แต่อย่าลืมนะครับว่าทางคุณเองก็มีสัญญาเหมือนกัน ขืนเบี้ยวแล้วละก็มีหวังโดนเรียกค่าเสียหายกันกระเป๋าแฟบ”

“ฉันมีปัญญาจ่าย” มุกมณีตอกกลับเสียงดัง จิรายุสยักไหล่

“ผมทราบครับ แต่ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ อีกหน่อยคงไม่มีใครกล้าจ้างคุณ”

“ฉันไม่สน” นางแบบสาวพูดอย่างไม่แยแส ชายหนุ่มจึงมองเธออย่างสมเพช เพราะเท่าที่ผ่านมาเขานึกว่ามุกมณีจะเป็นผู้หญิงมีสมองอยู่บ้าง แต่เท่าที่เห็นในตอนนี้ นอกจากความเจ้าอารมณ์แล้ว เธอมีแค่ความสวยเพียงอย่างเดียว

“ผมยอมรับตอนนี้คุณเป็นนางแบบที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สมัยนี้คนสวยมีให้เลือกเยอะแยะ ถ้าคุณทำเล่นตัวบอกปัดทุกคนไปเสียหมด อีกหน่อยเขาก็จะมองหาคนอื่น ไม่ต้องนานนักหรอกแค่สองสามเดือนเท่านั้น วงการแฟชั่นก็มีนางแบบสาวเซ็กซี่หน้าใหม่มาแทนคุณแล้วละครับ”

คำเตือนของจิรายุสทำเอามุกมณีถึงกับสะอึก เธอนั่งนิ่งอยู่ราวหนึ่งนาทีเพื่อหาคำตอบโต้ แต่กลับนึกอะไรไม่ออก เพราะทุกอย่างที่ชายหนุ่มพูดเป็นความจริง เมื่อเถียงไม่ได้ นางแบบสาวจึงเลี่ยงไปหยิบแก้วชาและขว้างไปที่ผนังอย่างสุดกำลัง

“ปากดีนักนะ !”

เธอตวาดเสียงดังลั่น ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ จิรายุสมองเศษแก้วที่กระจายเกลื่อนพื้นด้วยความไม่พอใจและขยับเตรียมจะต่อว่า เป็นจังหวะเดียวกับที่ประพจน์เปิดประตูเข้ามาพอดี

“สวัสดีครับคุณมุกมณี” เขาเอ่ยทักและชะงักคำพูดค้างเมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของนางแบบสาว พอเห็นเศษแก้วบนพื้นกับจิรายุสที่กำลังใช้นิ้วชี้ดันแว่นตาเท่านั้น นายประพจน์ก็รู้ในทันทีว่าเจอลมได้ฝุ่นมุกมณีเข้าให้แล้ว

“เอ่อ คุณมุกมณีไม่พอใจอะไรหรือเปล่าครับ”

เขาเลียบเคียงถามอย่างระมัดระวังเพราะกลัวคำพูดจะไปสะกิดต่อมอารมณ์ร้ายของนางแบบสาวจนเกิดเรื่องใหญ่ มุกมณีสะบัดหน้าไปทางจิรายุสพร้อมกับตอบ

“ก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรหรอกค่ะ แค่โมโหอะไรนิดหน่อย”

“พอจะบอกได้ไหมครับ ว่าเรื่องอะไร” นายประพจน์ถามด้วยท่าทางที่คิดว่าสุภาพที่สุด นางแบบสาวจ้องหน้าจิรายุ

สเขม็งก่อนตอบ

“ฉันแค่อยากเห็นอะไรนิดหน่อยเท่านั้น แต่ลูกน้องของคุณอ้างโน่นอ้างนี่ไม่ยอมให้ดู”

“คุณมุกมณีอยากดูอะไรหรือครับ ผมจะหามาเปิดให้” นายประพจน์รีบเอาใจ มุกมณียิ้มในหน้าแต่ก็ยังแกล้งทำเป็นปฏิเสธ

“มันจะดีหรือคะ พวกคุณงานยุ่ง ฉันกลัวว่ามันจะเป็นการรบกวน”

น้ำเสียงกระแทกกระทั้นในขณะที่คนพูดยืนกอดอกและเชิดหน้าขึ้น จิรายุสขยับเพื่อจะแย้งแต่นายประพจน์กลับยกมือห้ามพร้อมกับพูด

“ไม่เป็นการรบกวนหรอกครับ คุณมุกมณีอยากดูอะไร ผมจะให้จิรายุสจัดการเปิดเดี๋ยวนี้เลย”

“ได้แน่เหรอคะ” นางแบบสาวถามย้ำ นายประพจน์รีบพยักหน้าครับ

“ครับ ได้แน่นอน”

“มุกอยากดูอัญมณีแห่งหิมพานต์ค่ะ” เธอพูดเน้นเสียงทีละคำโดยไม่มองนายประพจน์ซึ่งยืนอ้าปากค้างหน้าซีด

“เอ่อ สำหรับเรื่องนี้ผมคง...”

“คุณบอกว่าได้” มุกมณีตัดบท นายประพจน์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถอนใจและผงกศีรษะ

“งั้นก็ได้ครับ” เขาหันไปทางจิรายุสที่กำลังยืนขมวดคิ้ว “ช่วยจัดการตามที่คุณมุกมณีต้องการด้วย”

“แต่ว่า” ชายหนุ่มแย้งแต่ต้องเงียบเมื่อเห็นสายตาเชิงสั่งจากนายประพจน์ “รอสักครู่นะครับ”

เขาพูดกับมุกมณีก่อนเดินออกจากห้อง อึดใจก็กลับเข้ามาพร้อมกล่องดีวีดี ซึ่งพอเปิดให้นางแบบสาวชมแล้วเขาก็ขอตัวไปเตรียมงานที่สตูดิโอ

อันที่จริงมุกมณีไม่ได้สนใจเรื่องภาพยนต์ที่เธอเป็นนางแบบเท่าใดนัก เพราะเห็นมาหลายครั้งจนชินตา แต่พอได้ดูโฆษณาชุด อัญมณีแห่งหิมพานต์แล้วกลับให้ความรู้สึกแตกต่าง เพราะเพียงภาพแรกก็สามารถสะกดสายตาของเธอจนไม่อาจละไปมองสิ่งอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นแสง สี หรือบรรยากาศทั้งหมด ล้วนงดงามอย่างน่าหลงใหล โดยเฉพาะเหล่าสัตว์หิมพานต์ซึ่งมีรูปลักษณ์และเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนของจริง ช่างมีมนต์เสน่ห์อันลึกลับอย่างน่ามหัศจรรย์

สิ่งที่สร้างความทึ่งให้กับมุกมณีมากที่สุดคือรัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวของเธอ มันดูเรืองรอง งดงาม จนแทบจะกลบประกายระยิบระยับของสร้อยเพชรบนลำคอ หญิงสาวเคยถ่ายทำโฆษณาเชิงแฟนตาซีแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีใครทำได้วิเศษอย่างโฆษณาชิ้นนี้เลย

“สวยมาก” คำแรกหลุดจากปากเมื่อโฆษณาจบลง นายประพจน์ซึ่งกำลังยืนลุ้นถึงกับถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

“ขอบคุณครับ ดีใจที่คุณมุกมณีชอบ”

เขารีบพูดแต่ดูเหมือนนางแบบสาวจะไม่สนใจเลยสักนิดเพราะเธอหันมาถาม

“ใครเป็นคนทำ”

“จิรายุสครับ”

“จิรายุส” มุกมณีทวนคำและขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าได้ยินนายประพจน์เรียกหนุ่มแว่นจอมกวนเมื่อครู่ด้วยชื่อนี้ “เขาเป็นช่างกล้องไม่ใช่เหรอ”

“อันที่จริงเขาเป็นคนตัดแต่งภาพกราฟฟิคอนิเมชั่นครับ แต่ตอนนี้คนของเราขาดเลยให้เขามาทำหน้าที่นี้ชั่วคราว”

 




Create Date : 15 กันยายน 2556
Last Update : 15 กันยายน 2556 9:16:34 น.
Counter : 289 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog