รักละไม ไอทะเล บทที่ 5 ความวุ่นวายในงานอีเว้นท์
 

บทที่  5 ความวุ่นวายในงานอีเวนท์

 

 

หลังจากส่งมุกมณีแล้วจิรายุสจึงขับรถตรงดิ่งกลับบ้าน ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจแวะร้านข้าวต้มโต้รุ่งข้างทางเพื่อหาอะไรกินรองท้องแต่ต้องล้มเลิกความคิด ซึ่งตัวเขาเองก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าเพราะอะไร จะว่าหงุดหงิดที่ถูกนางแบบสาวแกล้งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเขาแก้ลำเธอไปแล้วตอนจอดรถกลางสี่แยก ซ้ำยังแถมให้นิดด้วยการใช้คำพูดกวนประสาทก่อนจากมา เมื่อนึกไม่ออกว่าทำไมชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับสติอารมณ์ แต่ต้องหยุดชะงักค้างไว้กลางคันเมื่อพบว่าภายในรถ ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมของมุกมณี

 

นั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว เพราะน้ำหอมที่นางแบบสาวใช้เป็นของแท้ราคาแพงจากต่างประเทศ จึงหอมจรุงใจต่างจากที่น้ำหอมที่พนักงานสาวในบริษัทใช้อย่างสิ้นเชิง  ถึงไม่มีความรู้เรื่องชนิดหรือยี่ห้อ แต่จากประสบการณ์ที่ได้พบปะกับผู้คน ทำให้เขาพอจะเดาออกว่าน้ำหอมที่มุกมณีใช้มีชื่อว่าอะไร เพราะเอกลักษณ์พิเศษของน้ำหอมประเภทนี้ก็คือ มันจะปรับสภาพกลิ่นให้เข้ากับตัวผู้ใช้ ทำให้คนรอบตัวสัมผัสความหอมที่แตกต่าง แม้สุภาพสตรีเหล่านั้นจะพรมกายด้วยน้ำหอมชนิดเดียวกันก็ตาม

 

กลิ่นอันทรงเสน่ห์ดุจเจ้าของทำให้จิรายุสเผลอสูดดมด้วยความหลงใหลไปหลายครั้ง แม้จะเลี้ยวเข้าคอนโดและจอดรถเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังนั่งอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นอีกเกือบครึ่งชั่วโมง และคงจะนานกว่านั้นหากท้องของเขาไม่ร้องอุทธรณ์ขึ้นมาเสียก่อน จิรายุสจึงจำต้องลงจากรถด้วยความเสียดาย

 

พอกลับเข้าห้อง สิ่งที่ชายหนุ่มเลือกกินประทังความหิวคือบะหมี่สำเร็จรูป ระหว่างรอให้มันได้ที่ เขาคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย สวมใส่ชุดนอนเสร็จเขาจึงหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์เพื่อดูภาพยนต์ชุดต่างประเทศทางเคเบิ้ลทีวี จากนั้นจึงเปิดฝาครอบชามและใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ใส่ปากด้วยความหิว

 

ไม่ถึงอึดใจบะหมี่เพียงน้อยนิดก็หมดชาม จิรายุสจึงดื่มนมอุ่นๆตบท้ายอีกหนึ่งแก้วจากนั้นก็ปิดโทรทัศน์และดับไฟทุกดวงเพื่อเข้านอน ทั้งที่เหนื่อยมาทั้งวันแต่ทำยังไงเขาก็ข่มตาให้หลับลงไปไม่ได้ หลังจากนอนกระสับกระส่ายอยู่พักใหญ่สมองของชายหนุ่มก็หวนนึกไปถึงใบหน้าของมุกมณี

 

“จะคิดถึงเธอไปทำไมกันนะ”

 

เขาบ่นอย่างหงุดหงิดพลางปัดดวงหน้างามออกจากความคิด แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะต่อให้นึกถึงเรื่องอื่นสุดท้ายมันก็วกกลับมาหานางแบบสาวเจ้าอารมณ์คนนี้อีกจนได้ เมื่อไม่มีทางไล่ออกจากหัว สุดท้ายจิรายุสเลยตั้งสมาธิ มุ่งคิดถึงเธอเพียงคนเดียว

 

เขาทบทวนถึงสิ่งที่มุกมณีทำมาทั้งหมดแล้วขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจว่าเหตุใดเธอจึงเจาะจงมานั่งรถเขา จะว่าชอบก็ดูไม่สมเหตุสมผล เพราะเพิ่งเจอหน้ากันแค่สองครั้ง แถมเขาเป็นเพียงพนักงานบริษัทตัวเล็กๆ ซ้ำรูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้หล่อล่ำเหมือนดาราบางคน ถึงจะพอมีเงินอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากพอจะให้นางแบบหรือสาวสวยคนไหนสนใจ

 

งั้นเธอเข้ามาวอแวเขาทำไม

 

จิรายุสตั้งคำถามพร้อมกับเปิดปากหาวอย่างง่วงงุน ถึงพยายามคิดอยู่หลายตลบ แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้สักที เมื่อนึกอะไรไม่ออก สุดท้ายชายหนุ่มจึงผล็อยหลับไป

 

 

*/*/*/*/*

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นจิรายุสไปทำงานด้วยความแจ่มใส วันนี้เขาตั้งใจจะทำงานโฆษณาให้เสร็จเพราะเหลือแค่เพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น นั่งทำไปได้สักพักนายประพจน์ก็เปิดประตูเดินหน้าตาตื่นเข้ามาหา

 

“ทำอะไรน่ะเต่า”

 

เขาถามเสียงเครียด ชายหนุ่มทำหน้างงก่อนชี้ไปที่หน้าจอพร้อมกับตอบ

 

“ปรับแต่งโฆษณาครีมบำรุงผิวครับ” คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเครียด “มีอะไรหรือครับพี่พจน์”

 

“ยังจะมาถามอีก ลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้เป็นวันอะไร” นายประพจน์พูด จิรายุสเปิดปฏิทินตั้งโต๊ะดูและใจหายวาบ เมื่อเห็นเครื่องหมายดอกจันสีแดงและโน้ตตัวเล็กๆซึ่งเป็นลายมือเขาเองบันทึกไว้ว่า งานอีเวนท์

 

“เฮ่ย วันนี้แล้วเหรอ” ชายหนุ่มอุทานและหันไปกดเซฟงานที่ทำเอาไว้ ส่วนปากก็พูด “ขอโทษครับพี่ ผมลืมดูปฏิทิน เก็บพวกนี้เสร็จแล้วจะรีบไป”

 

“พวกช่างขนอุปกรณ์ไปรอที่รถหมดแล้ว ลงไปเจอพวกเขาในอีกสิบนาที ไม่อย่างนั้นคุณต้องนั่งแท็กซี่ไปเอง”

 

นายประพจน์เร่งเสียงดุก่อนออกจากห้อง ปล่อยให้จิรายุสสาละวนกับการจัดเก็บงาน เตรียมเอกสาร แฟลชไดรฟ ซึ่งเป็นกำหนดการและรายละเอียดของงานอีเวนท์ยัดใส่เป้ประจำตัว จากนั้นจึงเผ่นลงไปยังลานจอดรถชั้นล่างโดยไม่ลืมหยิบโน้ตบุคซึ่งลงโปรแกรมของงานครั้งนี้เอาไว้ติดมือไปด้วย เมื่อไปถึง ชายหนุ่มก็พบว่าบรรดาช่างและพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกำลังรออยู่ พอทุกคนมากันครบแล้ว ทั้งหมดจึงออกเดินทาง

 

โชคดีที่ห้างสรรพสินค้าอันเป็นสถานที่จัดงานอยู่ไม่ไกลจากบริษัทเท่าใดนัก ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทั้งหมดก็ถึงที่หมาย ทุกคนช่วยกันลำเลียงอุปกรณ์เข้าไปในห้าง เนื่องจากฝ่ายจัดฉากได้สร้างเวทีรอไว้ตั้งแต่เมื่อคืน งานของเจ้าหน้าที่ในภาคเช้าก็คือจัดเตรียมคอมพิวเตอร์และเครื่องควบคุมแสง สี เสียง ให้พร้อม ซึ่งงานส่วนนี้จิรายุสต้องรับผิดชอบดูแลโดยตรง หลังจากทดสอบระบบหลายครั้งจนแน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาจึงนั่งทบทวนคิวงานทั้งหมดอีกรอบเพื่อกันความผิดพลาด จากนั้นคนของบริษัทอีกกลุ่มซึ่งตามมาสบทบ ได้นำเสบียงซึ่งเป็นแซนวิชกับกาแฟและนมสดมาแจกจ่าย ชายหนุ่มจึงนั่งกินไปตรวจเช็คเครื่องเสียงและระบบไฟไปจนกระทั่งถึงเวลาห้างเปิดทำการ แต่กำหนดการของงานดังกล่าวคือ 12 นาฬิกาตรง ดังนั้นจึงยังพอมีเวลาให้จิรายุสเดินสำรวจไปรอบๆ กระทั่งนางแบบทยอยกันเข้ามา

 

คนแรกที่มาถึงคือช่อแก้วกับร้อยตำรวจเอกสันติ แฟนหนุ่ม ซึ่งไม่ได้แต่งเครื่องแบบเหมือนทุกครั้ง เมื่อส่งแฟนสาวเข้าห้องแต่งตัวแล้ว นายตำรวจหนุ่มจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้แถวหลังสุดและกวาดตามองไปโดยรอบเหมือนต้องการสำรวจตรวจตรา กระทั่งหันมาเห็นจิรายุสซึ่งเดินโต๋เต๋อยู่แถวนั้นเข้าโดยบังเอิญ

 

“ยุส” เขาเอ่ยทัก ชายหนุ่มหันหน้ามาตามเสียง เมื่อเห็นคนเรียกจึงยิ้มกว้าง

 

“พี่สันต์” เขาเดินเข้าไปตบแขนทักทายด้วยความดีใจ “มาทำอะไรแถวนี้ แล้ววันนี้ไม่ทำงานหรือครับ”

 

“ผมพักร้อน” สันติตอบ จิรายุสเบิกตากว้างเหมือนสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์

 

“คนไม่เคยหยุดงานเลยสักครั้งอย่างพี่สันต์ลาพักร้อน แบบนี้มีหวังหิมะตกกลางห้างแหง”

 

นายตำรวจหนุ่มหัวเราะด้วยความขบขัน

 

“พูดเกินไปน่ายุส ผมน่ะไม่ได้อยากหยุดหรอก แต่เจ้านายนะสิบังคับให้ลา”

 

 จิรายุสเลิกคิ้วสูง เพราะเจ้านายที่ตำรวจหนุ่มพูดถึง คือ พลตำรวจโทวีระชัย บวรกมลพงศ์ ลุงของเขาเอง

 

            “แปลกจริงๆด้วย”

 

เขาพึมพำ เพราะลุงคนนี้เป็นคนซื่อตรง ขยันขันแข็ง จริงจัง ตั้งแต่รับราชการตำรวจ ไม่เคยลางานสักครั้งนอกจากป่วยจนเดินไม่ไหวจริงๆ นิสัยดังกล่าวถ่ายทอดไปถึงลูกน้อง เพราะแต่ละคนเอาจริงเอาจังกับงาน การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถคลี่คลายคดีสำคัญได้หลายคดี จนได้รับฉายาว่าเป็นหน่วยพิฆาตอธรรมแห่งสำนักงานตำรวจ

 

นับเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ยินว่าท่านสั่งให้ลูกน้องลาพักร้อน ซึ่งพอคิดดูอีกทีแล้วลุงของเขาคงมีเหตุผลบางอย่าง แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของราชการ จิรายุสจึงไม่อยากรู้รายละเอียดนอกเหนือจากนั้นและกลับไปให้ความสนใจคู่สนทนาต่อ

 

“ไม่ได้เจอพี่ตั้งนาน  เสร็จงานเราไปหาที่นั่งคุยกันต่อดีมั้ยครับ”

 

            “ยุสมาทำงานหรอกเหรอ” สันติถาม อีกฝ่ายพยักเพยิดหน้าไปที่เวทีกลางห้าง

 

            “บริษัทผมเป็นคนจัดงานอีเวนท์วันนี้ครับ”

 

            “พอดีเลย แฟนพี่ก็มางานนี้เหมือนกัน” เขาบุ้ยใบ้ไปยังห้องด้านหลังเวที จิรายุสทำตาโต

 

            “แฟนพี่เป็นนางแบบเหรอครับ”

 

            “ใช่” นายตำรวจหนุ่มตอบอย่างภูมิใจและยิ้ม “แล้วของยุสล่ะ”

 

            จิรายุสหัวเราะแหะๆพร้อมกับขยับแว่นตาแก้เก้อ

 

            “ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยครับ”

 

            “ยังไม่เจอคนถูกใจมากกว่า” สันติกระเซ้า พลางขยับข้อมือเพื่อดูนาฬิกา จิรายุสจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายมีธุระจึงรีบออกตัว

 

            “จวนจะได้เวลาแล้ว ผมขอตัวไปตรวจระบบไฟก่อน เสร็จงานแล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน พี่สันต์อย่าหนีกลับก่อนเชียวนะครับ”

 

            นายตำรวจหนุ่มส่งยิ้มให้แทนคำตอบ เมื่อจิรายุสเดินห่างไปพอสมควรแล้วเขาจึงเริ่มเดินเป็นวงพร้อมกับกวาดตามองไปโดยรอบ เหมือนกำลังหาใครบางคน เมื่อไม่พบจึงกลับไปนั่งเก้าอี้แถวสุดท้ายตามเดิม แต่ก็ยังคงไล่สายตาไปทั่วอย่างระมัดระวังตลอดเวลา พอสะดุดกับอะไรบางอย่างเขาก็จะหยุดและมองอย่างพิจารณา เมื่อไม่ใช่สิ่งที่กำลังค้นหาแล้ว จึงแสร้งทำเป็นเสมองไปด้านอื่น เพื่อหาเป้าหมายต่อไป

 

            ด้านจิรายุสเมื่อกลับไปยืนประจำตำแหน่งแล้วเขาก็เริ่มเปิดดนตรีที่ถูกกำหนดให้เป็นเพลงเปิดงาน จังหวะที่ค่อนข้างเร้าใจทำให้เขาเผลอโยกตัวตามไปด้วยอย่างสนุกสนาน จึงไม่ทันสังเกตเห็นมุกมณีที่เดินเข้ามาในงานพร้อมเย็นตาโฟ นางแบบสาวเหลือบมองชายหนุ่มแวบหนึ่งและอมยิ้มอย่างขบขันที่เขาทำตัวเหมือนเด็ก ตอนแรกเธอคิดจะเข้าไปแหย่ให้อีกฝ่ายปวดหัวเล่นแต่พอเห็นกลุ่มนักข่าวที่เริ่มรุมล้อมกันเข้ามา หญิงสาวจึงเลี่ยงเข้าไปในห้องแต่งตัวซึ่งอยู่ด้านหลังของเวที

 

            เมื่อเข้าไปด้านใน มุกมณีจึงรู้ว่าช่อแก้วมาถึงก่อนและกำลังวุ่นวายอยู่กับการแต่งตัวจนไม่มีเวลาหาเรื่องเธอเหมือนทุกครั้ง หญิงสาวแอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะสถานที่จัดงานในวันนี้ค่อนข้างคับแคบจนเดินแทบจะชนกันแถมผนังกั้นยังบางเฉียบขนาดกระซิบเบาๆ คนที่อยู่ข้างนอกยังได้ยิน ขืนนางแบบทะเลาะกันมีหวังได้ยินไปถึงหูนักข่าวแน่

 

            พิธีกรซึ่งเป็นนักแสดงชื่อดังเดินเข้ามาทักทายทั้งมุกมณีและช่อแก้ว จากนั้นจึงเริ่มซักซ้อมคิวของแต่ละคน ระหว่างที่นัดแนะเพื่อทำความเข้าใจกันอยู่นั้นรัศมีฟ้าก็เดินอย่างสงบเสงี่ยมเข้ามาสมทบ เธอกล่าวขอโทษทุกคนที่มาช้าก่อนหันไปส่งยิ้มให้กับมุกมณี

 

            “ต๊าย วันนี้คุณฟ้ามาขาวทั้งชุดเลยนะคะ” เย็นตาโฟเอ่ยทักเมื่อเห็นรัศมีฟ้าอยู่ในเครื่องแต่งกายสีขาวทั้งชุด ไม่เว้นแม้แต่กิ๊บติดผม กระเป๋าและรองเท้า เธอส่งยิ้มให้กับเขาพร้อมกับตอบ

 

            “วันนี้วันพระ ฟ้าเลยเข้าวัดทำบุญตักบาตร เนี่ยเอาบุญมาฝากทุกคนเลยนะคะ” พูดพลางพนมมือและแตะทุกคนไล่ตั้งแต่ช่างแต่งหน้าไปจนถึงทีมงาน แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสกับมือของ

 

มุกมณี ช่อแก้วก็พูดประชด

 

            “ใจบุญสุนทานกันจังเลยนะ”

 

            รัศมีฟ้าหันไปส่งยิ้มให้กับช่อแก้วก่อนโต้กลับเสียงเย็น

 

            “ค่ะ นางแบบอย่างเราทำงานอยู่กับโลกีย์ มีเวลามันก็ต้องเข้าวัดทำบุญชำระจิตใจให้สะอาดบ้าง”  

 

            “กลัวจะสะอาดแค่ปากน่ะสิ อย่างประโยคที่ว่า อะไรนะ” ช่อแก้วลากเสียงทำท่านึกและเบิกตาโตพร้อมกับลอยหน้าลอยตาพูด “ใช่แล้ว มือถือสาก ปากถือศีลไง”

 

            “คนเขาจะทำบุญ มันไปหนักส่วนไหนของคุณเหรอ” เย็นตาโฟโพล่งขึ้นมาอย่างเหลืออด ช่อแก้วแบะปากและมองเขาด้วยหางตาก่อนตอบ

 

            “ก็ไม่ได้หนักส่วนไหนหรอก แต่มันทุเรศ”

 

            “คุณช่อแก้ว” รัศมีฟ้าเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ดุดันผิดไปจากทุกครั้ง แต่ช่อแก้วกลับหมุนตัวเดินไปแต่งหน้าทำผมต่ออย่างไม่สนใจ เมื่อเห็นคู่กรณียอมสงบปากสงบคำแล้วมุกมณีจึงพูดกับรัศมีฟ้า

 

            “งานจะเริ่มแล้ว คุณฟ้ารีบแต่งตัวเถอะค่ะ”

 

            พูดจบ นางแบบสาวก็แยกตัวไปให้เย็นตาโฟซับหน้า เติมแป้ง เพราะเธอแต่งหน้ามาจากบ้านแล้ว ผลัดเปลี่ยนชุดเสร็จมุกมณีก็ไปยืนเตรียมตัวอยู่ข้างเวที และถือโอกาสมองจิรายุสที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานระหว่างรอ

 

            ปรกติเธอมักจะเห็นช่างคุมระบบทำงานแบบไร้อารมณ์ ไม่ยินดียินร้าย ไม่แสดงสีหน้าอะไรทั้งนั้น หรือถ้ามี ก็จะมาในลักษณะแอบมองและทำตาเล็กตาน้อยกับนางแบบหรือนักแสดงสาวๆ ถึงมีการพูดจา ก็เฉพาะกับคนที่ทำงานด้วยกันเท่านั้น ไม่เคยมีใครทำหน้าสนุกสนาน กระตือรือร้นในการทำงานเหมือนจิรายุส

 

            มุกมณียืนมองชายหนุ่มอย่างเพลิดเพลินกระทั่งพิธีกรเรียกเธอขึ้นเวที นางแบบสาวเห็น

 

จิรายุสหยุดชะงักและหันมามอง ตอนแรกเขามีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแต่ในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้น เธอก็เห็นรอยยิ้มเล็กๆบนมุมปากของเขา

 

            ถึงจะแค่แวบเดียวแต่กลับทำให้มุกมณีใจเต้น หน้าร้อนผ่าว ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในอกและวิ่งปั่นป่วนไปทั่วร่างทำให้เธอแทบจะลืมคิวงานที่ซักซ้อมมาทั้งหมด นางแบบสาวรีบปรับอารมณ์ให้กลับเป็นปรกติและสูดลมหายใจเข้าเพื่อขับไล่ความรู้สึกดังกล่าวออกไป เมื่อสงบจิตใจลงได้เธอจึงก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีและโปรยยิ้มให้กับผู้ชม   

(อ่านต่อที่คอมเม้นท์ได้เลยค่ะ)




Create Date : 05 ตุลาคม 2556
Last Update : 5 ตุลาคม 2556 10:28:50 น.
Counter : 468 Pageviews.

2 comments
  
พิธีกรกล่าวแนะนำนางแบบชื่อดังทั้งสามควบคู่ไปกับสินค้า และมีการเชิญผู้ชมขึ้นไปร่วมเล่นเกมส์บนเวที การแสดงเป็นไปอย่างสนุกสนานกระทั่งถึงช่วงสุดท้ายของงานซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ชมสามารถเข้าไปถ่ายภาพกับนางแบบที่ชื่นชอบ ช่วงที่กำลังถูกรุมล้อม มุกมณีเริ่มรู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคนมองเธออยู่ พอหันไปดู ความรู้สึกที่ว่าก็หายไปแต่พอเธอหันกลับไปสนใจคนที่เข้ามาขอถ่ายรูปด้วยอีกครั้ง ดวงตาปริศนาคู่นั้นก็กลับมาจ้องตามเดิม

เมื่อถูกสายตาลึกลับจ้องหนักเข้ามุกมณีก็เริ่มเริ่มหงุดหงิด แต่เพราะหน้าที่ของนางแบบซึ่งถือเป็นคนของประชาชน ทำให้เธอต้องข่มใจสะกดความรู้สึกนั้นเอาไว้ จนเมื่อถึงคิวให้คำสัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน เริ่มแรกนางแบบสาวก็ตอบคำถามด้วยดีแต่พอถูกรุกด้วยคำพูดทำนองเรื่องราวความรักกับนักแสดงชาย หรือคู่ควงที่ไร้ตัวตน มุกมณีถึงกับระเบิดคำพูดออกมา

“พวกคุณไม่คิดที่จะถามเรื่องอื่นหรือไงคะ” เธอจ้องหน้านักข่าวผู้บังอาจถามเธอด้วยถ้อยคำจาบจ้วงเขม็ง อีกฝ่ายไม่รู้สำนึกเพราะยังดันทุรังพูด

“แหม ไม่ต้องอายหรอกค่ะคุณมุกมณี”

“ฉันไม่ได้อาย แต่รำคาญ” นางแบบสาวโต้เสียงดัง นักข่าวทั้งหมดพากันเงียบกริบเพราะรู้ดีว่าพายุไต้ฝุ่นมุกมณีได้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว

“แทนที่จะสัมภาษณ์เรื่องหน้าที่การงาน หรือเคล็ดลับความสำเร็จ พวกคุณกลับเอาแต่เซ้าซี้เรื่องส่วนตัว ถ้ามีคนไปถามซอกแซกเรื่องของคุณบ้าง คุณจะสาธยายทุกอย่างให้โลกรู้หรือเปล่าว่าเคยคบผู้ชายมาแล้วกี่คน หรือเมื่อคืนนี้ไปนอนกับใครมา”

“แรงไปมั้งคะ” นักข่าวคนนั้นย้อนกลับอย่างไม่พอใจ มุกมณีเชิดหน้าพร้อมกับพูดเสียงห้วน

“ถ้าเทียบกับคำถามของพวกคุณ แค่นี้ยังเบาไปค่ะ” ดวงตาคมกริบไล่มองไปทีละคน “ใครมีคำถามอะไรอีกมั้ยคะ”

“พูดกับนักข่าวแบบนี้ไม่กลัวโดนโจมตีเหรอครับ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งร้องถาม มุกมณีหันไปทางต้นเสียงแต่กลับไม่พบว่าใครเป็นคนพูด ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังตอบ

“ฉันไม่กลัว อยากลงข่าวว่ายังไงก็เชิญ”

เธอหมุนตัวเพื่อลงจากเวที ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกเหมือนถูกคนมองหวนกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้รุนแรงมากกว่าเก่า เพราะมันสร้างแรงกดดันทำให้เธออึดอัด หายใจไม่ออก ร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเฉยๆ มุกมณีพยายามประคองตัวเพื่อเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวด้านหลังแต่ก็ไปได้เพียงสองสามก้าวเท่านั้น ร่างระหงก็ทรุดล้มลง เสียงพิธีกรร้องตะโกนเอะอะด้วยความตกใจในขณะที่รัศมีฟ้ากับช่อแก้วยืนตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ส่วนนักข่าวแทนที่จะเข้าไปช่วยกลับรีบยกกล้องขึ้นบันทึกภาพนางแบบสาวกันอย่างเอาเป็นเอาตาย กระทั่งใครบางคนแหวกลงล้อมเข้ามาพร้อมกับพูดเสียงดัง

“หลีกหน่อยครับ !”

จิรายุสกระโจนพรวดเข้ามากลางวงและช้อนร่างหญิงสาวขึ้นมาในอ้อมแขนจากนั้นจึงพาเธอหลบฝูงชนเข้าไปหลังเวที พอมีนักข่าวบางคนทำตัวเป็นปลิงวิ่งตาม เขาก็พูดเสียงห้วน

“ห้ามเข้าครับ”

ชายหนุ่มวางหญิงสาวให้นอนราบกับพื้นและกันคนไม่ให้เข้ามามุง เย็นตาโฟซึ่งหายจากอาการตกใจแล้วรีบถลันเข้ามาถาม

“มุกเป็นอะไร”

“ผมไม่ทราบ แต่ดูเหมือนจะเป็นลม”

จิรายุสตอบอย่างเคร่งขรึมพลางล้วงกระเป๋าหยิบขวดยาดมไปจ่อไว้ที่จมูกของเธอ ส่วนเย็นตาโฟพยายามนวดเฟ้นไปตามร่างกายโดยเฉพาะแขนขาของนางแบบสาว พลางพร่ำพูดไม่หยุดปาก

“มุกจ๋าอย่าเป็นอะไรนะ พี่โฟเตือนแล้วว่าอย่าทำงานหักโหม อย่านอนดึก ตอนเช้าก็บอกแล้วบอกอีกว่าให้หาอะไรกินรองท้องก่อนออกมา” เขามองหญิงสาวด้วยความเป็นห่วงก่อนจะหันไปทางจิรายุส “ต้องเรียกรถพยาบาลหรือเปล่าเนี่ย”

ชายหนุ่มมองใบหน้านางแบบสาวซึ่งเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้วยิ้มอย่างโล่งใจก่อนตอบ

“ไม่ต้องหรอกครับ” เขาก้มหน้าลงไปหาเธอพร้อมกับเรียก “คุณมุกมณี”

คิ้วสวยขมวดเข้าหากันขณะที่หญิงสาวขยับตัว เปลือกตาเต้นไหวน้อยๆแต่ยังไม่ยอมเปิดขึ้น ชายหนุ่มจึงเรียกอีกครั้ง

“คุณมุกมณีครับ”

เย็นตาโฟยิ้มแป้นเมื่อได้ยินคำตอบรับเสียงแผ่วมาจากนางแบบสาว เมื่อมุกมณีลืมตาขึ้นอย่างงุนงง เขาก็รีบคว้ามือของเธอมาบีบพร้อมกับเรียก

“มุกคนดีของพี่ รู้สึกตัวแล้วเหรอ”

“พี่โฟ” นางแบบสาวพูดเสียงเบาจนแทบเหมือนกระซิบพร้อมกับเหลือบสายตามองไปโดยรอบ พอเห็นสีหน้าของคนที่ยืนล้อมรอบตัวเธอก็ขมวดคิ้ว และยิ่งฉงนมากขึ้นเมื่อพบว่าเวลานี้ เธอกำลังนอนอยู่บนพื้น

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมมุกถึงได้มานอนอยู่ตรงนี้” เธอถามพลางดันตัวลุกขึ้น เย็นตาโฟช่วยประคองพร้อมกับตอบ

“มุกเป็นลมจ้ะ ดีที่คุณจิรายุสมาช่วยเอาไว้”

พูดพลางมองชายหนุ่มด้วยสายตาปลาบปลื้มตรงกันข้ามกับหญิงสาวที่มีสีหน้าตระหนก

“เป็นลม” เธอทวนคำอย่างงุนงงพลางหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ที่จิรายุสเลื่อนมาให้ “เป็นไปได้ยังไง”

รัศมีฟ้าซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆรีบวางมือบนไหล่ของมุกมณีพร้อมกับปลอบ

“เป็นไปได้สิจ๊ะ ถ้ามุกเหนื่อยเกินไป”

“หรือไม่ก็ทนอำนาจบุญที่รับมาไม่ไหว” เสียงช่อแก้วขัดขึ้น รัศมีฟ้าขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจทันที

“เพื่อนป่วยจนเป็นลมยังมีแก่ใจยืนแขวะ ไม่ใจดำไปหน่อยหรือคะคุณช่อแก้ว”

ช่อแก้วยักไหล่และเมินหน้ามองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ เย็นตาโฟซึ่งยืนคันปากมานานขยับจะด่าต่อแต่มุกมณีกลับตัดบท

“ช่างเถอะ” เธอมองพิธีกรซึ่งยืนดูอยู่ห่างๆ “เรื่องงานเป็นยังไงบ้างคะ”

“เรียบร้อยดีครับ ไม่ต้องเป็นห่วง” อีกฝ่ายรีบตอบเพราะรู้นิสัยนางแบบสาวผู้นี้ดีว่าต่อให้อารมณ์เสียแค่ไหนหรือป่วยหนักยังไง งานต้องมาก่อนเสมอ ส่วนมุกมณีเมื่อได้ยินแบบนั้นจึงถอนใจอย่างโล่งอก

“ค่อยยังชั่ว งั้นมุกขอตัวกลับก่อนนะคะ” พูดพลางลุกยืนขึ้นแต่เย็นตาโฟคว้าแขนเธอไว้พร้อมกับห้าม

“อย่าเพิ่งออกไปดีกว่า เพราะตอนนี้พวกนักข่าวยังยืนรออยู่เต็มไปหมด”

“ไปตอนไหนก็เจอพวกเขาอยู่ดีแหละค่ะพี่โฟ” มุกมณีพูดอย่างเบื่อหน่าย เพราะไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร เธอมักจะตกเป็นเป้าสายตาของคนกลุ่มนี้อยู่เสมอ หลายครั้งที่นางแบบสาวต้องนับหนึ่งถึงพันเพื่อข่มอารมณ์ไม่ให้อาละวาดใส่พวกเขา แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะความอ่อนเพลียและอาการปวดร้าวทั่วสารพางค์กาย ทำให้เธออยากกลับบ้านมากจนไม่สนอะไรแล้ว จิรายุสจึงเสนอความคิด

“งั้นเอาอย่างนี้สิครับ” เขากระซิบบอกแผนการกับเย็นตาโฟและมุกมณี พอฟังจบแกย์หนุ่มก็หัวร่อร่าอย่างชอบอกชอบใจ

“สุดยอดไปเลยพ่อรูปหล่อ”

“เบาเสียงหน่อยครับ” ชายหนุ่มเตือนพร้อมกับล้วงกระเป๋ากางเกงดึงกระดาษซึ่งบอกเลขหมายภายในห้องห้างสรรพสินค้าออกมา เมื่อได้หมายเลขที่ต้องการแล้วเขาจึงเดินไปยังเครื่องโทรศัพท์สำหรับติดต่อภายในและกดไปยังแผนกที่ต้องการทันที

เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลสามคนวิ่งกรูกันลงมายังชั้นล่างพร้อมเตียงเข็น มุ่งหน้าตรงไปยังห้องแต่งตัวซึ่งอยู่หลังเวทีจัดงาน บรรดาลูกค้าต่างยืนมองด้วยความงุนงง ส่วนบรรดานักข่าวพากันเตรียมกล้องด้วยความตื่นเต้น เพราะรู้ดีว่าเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้กำลังพาตัวมุกมณีไปโรงพยาบาล จึงถือเป็นโอกาสทองที่พวกเขาจะได้ภาพนางแบบสาวชื่อดัง ในสภาพนอนแบ็บอยู่บนเตียง

แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่คิดเพราะเมื่อรถถูกเข็นออกมา ผู้ป่วยกลับมีผ้าสีขาวคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ถึงจะมีอุปสรรค แต่เหล่านักข่าวหัวเห็ดก็ไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดรีบวิ่งตามเจ้าหน้าที่พยาบาลไปทันทีเพราะหวังว่าจะมีจังหวะได้ภาพเด็ดซึ่งยากที่จะได้เจอ

เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้วจิรายุสจึงหันไปทางมุกมณีซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวซึ่งหากมองเผินๆแล้วดูคล้ายกับทีมงานของจิรายุส

“ทางโล่งแล้ว พวกคุณรีบไปกันเถอะ”

เย็นตาโฟส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างสนุกสนาน

“แหมตื่นเต้นจัง มีการวางแผนสลับตัวกันด้วย อย่างกับหนังสืบสวนสอบสวนของฝรั่งเลยเนอะ”

คำพูดสุดท้ายหันไปทางมุกมณี เธอแกล้งขมวดคิ้วพร้อมกับติงเสียงดุ

“พูดซะดังเชียว เดี๋ยวพวกนักข่าวก็ได้ยินหรอก” นางแบบสาวอมยิ้มอย่างนึกขันเมื่อเห็นช่างแต่งหน้าคนเก่งรีบเอาสองมือตะครุบปาก จากนั้นจึงหันไหน้าไปหาจิรายุส “ขอบคุณมาก”

“ไม่เป็นไร” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางมองออกไปด้านนอกอีกครั้งและถือโอกาสฉวยหมวกแก๊ปของใครไม่รู้บนโต๊ะส่งให้หญิงสาว “สวมนี่ก่อนแล้วค่อยไป เร็วๆหน่อยนะครับก่อนที่พวกนั้นจะรู้ตัว”

เย็นตาโฟคว้ากระเป๋าสัมภาระเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที ส่วนมุกมณีหยุดยืนตรงประตูและหันไปส่งยิ้มให้จิรายุสพร้อมกับพูดเบาๆ

“แล้วพบกันค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม แต่พอทั้งคู่พ้นไปแล้วเขากลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะตอนโดดเข้าไปอุ้มมุกมณี ก็กลัวถูกนักข่าวรุมประชาทัณฑ์เหมือนกัน แถมตอนวางแผนสลับตัวล่อนักข่าว ทีแรกเขาก็ยังตื้ออยู่ว่าจะให้ใครเป็นคนลงไปนอนในเปล โชคดีที่ทีมงานหญิงคนหนึ่งขันอาสา และในเป้ของเขามีเสื้อผ้าสำรองติดเอาไว้หนึ่งชุดเสมอ ถึงจะหลวมไปสักนิด แต่ก็พอจะพรางตัวนางแบบสาวคนนี้ได้ชั่วคราว

ตอนโผล่หน้าออกไปดูสถานการณ์ ตัวจิรายุสเองก็ลุ้นระทึกจนใจเต้นตุ๋มๆต้อมๆว่ายังมีนักข่าวอยู่แถวนั้นอีกหรือเปล่า เพราะถ้าเกิดพลาดมีใครจับได้ขึ้นมา คนที่ซวยก็คงจะเป็นเจ้าของแผนการ ซึ่งก็คือตัวเขาเอง

“ใจกล้าไม่เบาเลยนี่” เสียงสันติดังมาจากด้านนอก จิรายุสจึงถอนใจอีกครั้งพร้อมกับส่ายหน้าก่อนเดินไปตรงโต๊ะที่วางโน้ตบุคและลงมือปิดโปรแกรมต่างๆ

“ก็ไม่ได้กล้าหรอกพี่สันต์ แต่มันอดช่วยไม่ได้”

นายตำรวจหนุ่มหัวเราะพลางส่งยิ้มให้ช่อแก้วซึ่งกำลังเดินเข้ามาหา ก่อนหันหน้ากลับมาที่จิรายุสอีกครั้ง

“เรื่องนัดคงต้องไว้วันหลังแล้วล่ะ เพราะเมื่อกี้พี่เพิ่งโดนเจ้านายโทร.ตาม”

จิรายุสผงกศีรษะ

“เหรอครับ งั้นไม่เป็นไร เอาไว้วันหลังก็ได้ อ้อ! ผมขอเบอร์พี่ไว้ก็แล้วกัน จะได้โทร.ถามว่าสะดวกวันไหน”

“ได้” สันติพูดพร้อมกับบอกเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของเขา พอเห็นจิรายุสบันทึกลงในสมาร์ตโฟนเรียบร้อยแล้วเขาจึงยื่นมือไปตบไหล่เบาๆ

“งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“ครับ โชคดีครับพี่”
โดย: moony (Moony_Lupin ) วันที่: 5 ตุลาคม 2556 เวลา:10:34:18 น.
  
นายตำรวจหนุ่มโบกมือรับก่อนจะเดินไปกับช่อแก้ว ตอนนั้นเองที่จิรายุสสังเกตเห็นสีหน้าของเขาเคร่งขรึมลงจนน่ากลัว พอมองช่อแก้วเธอก็มีท่าทางแบบเดียวกัน ซ้ำการพูดคุยของคนทั้งสองก็เป็นไปอย่างจริงจังเหมือนกำลังปรึกษาเรื่องสำคัญมากกว่าเป็นการพูดคุยกระหนุงกระหนิงแบบคนรัก แต่พอนึกถึงหน้าที่การงานของสันติกับเหตุการณ์อันน่าระทึกที่เพิ่งจบลงไปหมาด ๆ
จิรายุสจึงสรุปเอาเองว่า ช่อแก้วคงกำลังคุยเรื่องมุกมณี ส่วนร้อยตำรวจเอกสันติ คงกำลังกังวลเรื่องงาน

พอคิดได้แบบนั้นชายหนุ่มจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อจนเสร็จ เมื่อขนเครื่องของขึ้นรถหมดแล้ว บริเวณนั้นจึงเหลือแต่เวที โต๊ะและเก้าอี้ซึ่งกำลังถูกเก็บโดยพนักงานของห้าง ผู้มาเที่ยวบางคนหยุดดูด้วยความอยากรู้ แต่ส่วนใหญ่มักจะเดินเลยผ่านไป หลายคนเดินเข้าไปในร้านกาแฟซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเวทีการแสดงเท่าใดนัก และหนึ่งในนั้นก็คือ ทรงยศ

ความผิดพลาดหลายครั้งของผู้ร่วมงานทำให้เขาตัดสินใจมายังห้างแห่งนี้เพื่อดูเหยื่อที่หมายตาเอาไว้ด้วยตนเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตาเพราะเขาเป็นหนึ่งในวายร้ายซึ่งเป็นที่ต้องการของตำรวจ ชายหนุ่มจึงพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนรอบตัวมากที่สุด สิ่งแรกคือเสื้อผ้า ปรกติแล้วทรงยศจะสวมสูท ผูกไทแบบนักธุรกิจชั้นนำ แต่ในวันนี้เขากลับสวมเสื้อยืดมีปกกับกางเกงยีนธรรมดา ผมที่เรียบแปล้ถูกขยี้ให้ยุ่งเหยิงเล็กน้อย แถมด้วยแว่นสีชาอีกนิดเพื่ออำพรางใบหน้า ไม่ให้เด่นสะดุดตาจนเกินไป

ตอนแรกทรงยศนั่งดูการแสดงอย่างสงบเสงี่ยมหน้าเวที แต่พอเกิดเรื่องโกลาหล เขาก็รีบปลีกตัวเดินหนีเข้าร้านกาแฟ ที่ยังไม่กลับก็เพราะอยากรู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นยังไง แต่พอเห็นทุกอย่างจบลงได้ด้วยดี เขาจึงตัดสินใจดื่มกาแฟถ้วยนี้ให้หมดแล้วกลับบ้าน

ตอนกำลังลุกจากที่นั่ง โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น พอเห็นเลขหมายคนโทร. ทรงยศก็ยิ้มมุมปากก่อนกดรับ

“ว่าไง” เขาสวมแว่นตาและเดินออกจากร้านขณะฟังและตอบเมื่ออีกฝ่ายถาม “ตอนนี้ผมอยู่ห้าง”

พอถูกถามว่าที่ไหน เขาก็หมุนตัวหันไปมองสถานที่จัดงานซึ่งตอนนี้เหลือแค่เวทีเพียงอย่างเดียว

“ที่คุณเพิ่งออกไปนั่นแหละ” ทรงยศตอบและนิ่งไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายถามทำนองว่า มาทำไม

“ผมอยากเห็นห่านทองคำตัวจริง และรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงจัดการกับเธอไม่ได้สักที” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยพลางเดินตรงไปยังลิฟต์ แต่พอได้ยินคู่สนทนาออกตัวว่าจะขอลองดูอีกครั้ง เขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดุขึ้นกว่าเดิม

“ตกลง ผมให้โอกาสคุณอีกครั้ง แต่ด้วยวิธีของผม” ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในลิฟต์และส่งยิ้มพร้อมกับบอกชั้นที่ต้องจะขึ้นกับคนที่ยื่นอยู่ใกล้ปุ่มกด จากนั้นจึงพูดโทรศัพท์ต่อ

“พรุ่งนี้ไปพบผมที่บ้านสองทุ่มตรง ผมจะบอกรายละเอียดให้ฟัง รับรองได้เลยว่าคราวนี้งานของเราต้องสำเร็จแน่ๆ”

เขาตัดสายทันทีเมื่อพูดจบ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขของลิฟต์ที่เลื่อนสูงขึ้นไปทีละชั้น พลางนึกถึงใบหน้าแสนสวยของเป้าหมายที่เขาเรียกว่าห่านทองคำ ตอนแรกทรงยศยังนึกสงสัยว่าทำไมคู่หูของเขาถึงลงมือกับนางแบบสาวคนนี้ไม่ได้สักที กระทั่งมาเห็นตัวจริงถึงได้รู้เหตุผลว่าเป็นเพราะเหตุใด

“ผมรู้แล้วว่าตัวจริงของคุณคือใคร มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางทำอะไรคุณได้หรอก มุกมณี”

เขาคิดและยิ้มอย่างผยองเมื่อนึกถึงแผนการอันชั่วร้ายของตัวเอง

*/*/*/*/*
โดย: moony (Moony_Lupin ) วันที่: 5 ตุลาคม 2556 เวลา:10:36:09 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog