รักละไม ไอทะเล บทที่ 4 การแกล้งยกแรก 2
 

จิรายุสเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่านางแบบอย่างมุกมณีจะมีอิทธิพลสูงถึงขนาดนี้ เขาพยายามนึกว่าเธอใช้วิธีไหนหว่านล้อมคุณพีระ ซึ่งเป็นคนเคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบตามแบบนิสัยชาวตะวันตก แต่คำพูดประโยคต่อมาของนายประพจน์ก็ไขข้อสงสัยเหล่านั้นทั้งหมด

 

“เธอไม่ได้ขอหรอก คุณพีระเป็นคนอนุญาตด้วยตัวเอง เพราะรู้มาว่างานโฆษณาตัวใหม่อีกหลายชิ้น เธอเจาะจงว่าจะต้องมาถ่ายทำที่บริษัทเรา”

 

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยและมองจิรายุสอย่างรู้ทัน

 

“สงสัยคุณมุกมณีจะถูกใจคุณเข้าแล้ว”

 

“เธอถูกใจงานของเรามากกว่าครับ” ชายหนุ่มรีบแก้ นายประพจน์จึงปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นและตบบ่าเขาสองสามครั้ง

 

“ผมล้อเล่นน่ะ เอ้าหมดเรื่องแล้ว คุณไปทำงานต่อเถอะ”

 

จิรายุสรับคำและรับบัตรเชิญจากหัวหน้าก่อนเดินออกจากห้องเพื่อกลับไปจัดการงานที่ทำค้างไว้ให้เสร็จเรียบร้อย หลังจากนั่งจ้องหน้าจอตอมพิวเตอร์มาตลอดวัน ชายหนุ่มก็จำต้องหยุดพักสายตาด้วยการถอดแว่นและนวดบริเวณดั้งจมูกเบาๆ ตอนแรกเขาคิดจะเดินไปชงการแฟมาดื่มแต่กลับเปลี่ยนใจเป็นหยิบบัตรเชิญมาพลิกดูรายละเอียด จึงรู้ว่างานจะมีขึ้นในอีกสามวัน และจัดในลักษณะแบบชาวตะวันตกคือ เป็นการเลี้ยงแบบค็อกเทล

 

พอรู้ว่าเป็นการจัดงานประเภทเน้นการพูดคุยสนทนา สลับกับการเสิร์ฟเครื่องดื่มและมีอาหารจำพวกคานาเป้หรือค็อกเทลซึ่งเป็นของกินเล่นเท่านั้น จิรายุสจึงวางแผนล่วงหน้าโดยตั้งใจว่าจะรีบจัดการงานให้เสร็จก่อนเที่ยงหรืออย่างช้าที่สุดต้องไม่เกินเวลาบ่าย จากนั้นก็ออกไปหาข้าวแกงกินรองท้องสักสองจานเสร็จแล้วค่อยกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัวแล้วจึงเดินทางไปร่วมงาน

 

ถึงจะวางแผนเอาไว้อย่างดิบดีแต่พอถึงเวลาจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะวันต่อมามีงานด่วนเข้าซึ่งก็คือโฆษณาขนมอบกรอบที่นายประพจน์ให้พนักงานคนอื่นทำมีปัญหา จิรายุสจึงต้องนำมาปรับแก้ไขใหม่ทั้งหมดซึ่งกินเวลาเกือบสองวัน จากนั้นจึงกลับมาทำงานโฆษณาครีมบำรุงผิวที่มุกมณีเป็นนางแบบ แต่กว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จก็เกินเวลาที่ชายหนุ่มกะเอาไว้มาก พอเลิกงานเขาก็ตรงดิ่งกลับคอนโดเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่พอจะออกเดินทางเขากลับต้องมาเสียเวลายืนคิดว่าจะไปด้วยวิธีใดดี ระหว่างรถไฟฟ้ากับขับรถไปเอง

 

พิจารณาถึงความเหมาะสมทั้งหมดแล้ว จิรายุสจึงตัดสินใจขับรถไปร่วมงาน เมื่อไปถึงคนแรกที่เดินเข้ามาทักทายคือนายพีระ ต่อมาเป็นตัวแทนของบริษัทจิวเวอรี่  การสนทนาดำเนินไปอยู่ครู่หนึ่งไฟทุกดวงก็ดับพรึ่บลง เสียงพิธีกรประจำงานดังขึ้น

 

“ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ กระผมคิดว่าทุกท่านคงเฝ้ารอคอยที่จะได้ชมความงามของอัญมณีอันล้ำค่า ที่คัดสรรมาอย่างดีเพื่อสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่ทรงเกียรติทุกท่าน ดังคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า สิบปากว่ายังไม่เท่าตาเห็น ณ บัดนี้กระผมมีความยินดีที่จะขอนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาชุด อัญมณีแห่งหิมพานต์”

 

เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อพิธีกรกล่าวจบ ทุกคนหันไปยังจอที่ถูกติดตั้งไว้บนเวที เมื่อภาพของมุกมณีปรากฏขึ้น เสียงครางฮือฮาก็ดังระงมมาจากผู้ชม ยิ่งเมื่อถึงตอนที่เธอสวมสร้อยและมีแสงเรืองรองส่องสว่างออกมาจากร่าง ทุกคนในงานต่างยืนตะลึงงันอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก จนโฆษณาจบลง ตัวแทนบริษัทซึ่งตั้งสติได้เร็วกว่าคนอื่นจึงปรบมือ แขกที่เหลือรีบปรบตาม

 

“สวยอะไรอย่างนี้” เสียงท่านผู้หญิงคนหนึ่งเปรยอย่างหลงใหล ใครบางคนกล่าวเสริม

 

“ใช่ค่ะ สวยทั้งสร้อย ทั้งนางแบบ ดิฉันคงต้องซื้อมาใส่บ้างแล้ว”

 

เสียงชมเปาะดังระงมไปทั่วทั้งงาน ทำให้จิรายุสซึ่งปรกติมักไม่ค่อยสนใจเรื่องทำนองนี้เท่าใดนักพลอยยิ้มกริ่มไปด้วย หน้าบานไปได้สักพักชายหนุ่มก็ขมวดคิ้ว เพราะเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจว่ายินดีกับความสำเร็จของงาน หรือภูมิใจในตัวของมุกมณีกันแน่

 

พอนึกถึงชื่อของนางแบบจอมเอาแต่ใจ จิรายุสรีบยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เขาจะต้องไปภูมิอกภูมิใจแทนเธอทำไมกัน ในเมื่อความงดงามทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจากฝีมือของเขาเอง

 

ยกเว้นรัศมีประหลาดที่เปล่งออกมาจากร่างของมุกมณี

 

มีเสียงแย้งขึ้นมาในหัว ชายหนุ่มสะบัดหน้าสองสามครั้งเพื่อไล่ความคิดสับสนทั้งหลายออกไป ก่อนที่เขากำลังจะสติแตกกับเหตุผลที่ขัดแย้งกันเองอยู่นั้น เสียงพิธีกรของงานก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ตื่นตาตื่นใจกับภาพยนตร์โฆษณากันไปแล้วนะครับ แต่ผมอยากจะบอกกับทุกท่านว่า ความงามของอัญมณีที่เห็นในภาพ ยังด้อยกว่าของจริงมากมาย”

 

เขาเว้นระยะคำพูดไปเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงชวนระทึก

 

“ขอเชิญท่านผู้มีเกียรติทุกท่านพบกับเครื่องเพชรชิ้นเอกของงาน รัตนชาติสีเขียวอันเลอค่า อัญมณีแห่งหิมพานต์”

 

สปอร์ตไลท์ส่องไปยังยกพื้นที่ถูกวางให้เป็นทางเดินกลางห้อง กระทบกับร่างของมุกมณีที่กำลังยืนอย่างสง่างาม เมื่อนักดนตรีบรรเลงเพลง นางแบบสาวจึงเยื้องย่างด้วยท่าทางดุจนางพญา

 

สายตาทุกคู่ไม่เว้นแม้แต่จิรายุส ล้วนจับจ้องอยู่ที่ตัวของมุกมณี เพราะรูปโฉมของเธอในตอนนี้งดงามและเจิดจรัสยิ่งกว่าโฆษณาที่ชมไปเมื่อครู่มากมายหลายเท่า เรือนร่างสะโอดสะองถูกหุ้มห้อด้วยชุดราตรีเกาะอกลายเกล็ดปลาสีเขียวเหลือบทองเป็นมันเลื่อมพราย การเยื้องกรายแต่ละก้าวทำให้เธอดูเฉิดฉาย และสูงส่งดุจนางพญานาคี ราชินีแห่งบาดาล

 

ตลอดทั้งเรือนร่างมีแสงเรืองรองส่องออกมาจางๆ ทำให้มรกตเม็ดงามที่ประดับบนลำคอระหงเปล่งประกายแวววาว จับตาผู้คน ยิ่งกอปรกับตัวเรือนที่ถูกออกแบบมาให้ดูคล้ายหางยูงรำแพนด้วยแล้ว อัญมณีหลากสีหลายขนาดที่ถูกประดับประดารายล้อมรัตนชาติสีเขียวสด ต่างแย่งกันทอแสงระยิบระยับแพรวพราวดุจแสงของดวงดารา ยามรัตติกาล

 

เมื่อไฟทุกดวงกลับมาส่องสว่างอีกครั้ง สติของทุกคนจึงกลับคืนมา ทันทีที่รู้ตัว ผู้สื่อข่าวต่างพากันยกกล้องขึ้นบันทึกภาพของนางแบบสาวกันเป็นระวิง มุกมณีแย้มรอยยิ้มหวานหยดย้อยพร้อมกับหมุนกายไปโดยรอบเหมือนกำลังหว่านเสน่ห์กับทุกคน กระทั่งดวงตาไปสบกับจิรายุส เธอจึงหยุดและหลิ่วตาให้ พอเห็นดังนั้น มือที่ถือแก้วเครื่องดื่มชะงักค้างขณะมืออีกข้างยกขึ้นขยับแว่นตาเพราะไม่แน่ใจว่านางแบบสาวทำกิริยาอย่างนั้นกับใคร แต่เมื่อจ้องเธออีกครั้ง ชายหนุ่มต้องใจเต้น เพราะคราวนี้มุกมณีกำลังขยับปากขมุบขมิบมาที่เขาโดยตรง

 

“ขอบคุณ”

 

จิรายุสยืนตัวแข็งทื่อเพราะนึกไม่ถึงว่านางแบบสาวจอมเอาแต่ใจจะพูดคำนี้ออกมา ถึงจะแค่แวบเดียวแต่เขาก็แน่ใจว่าดูไม่พลาด ความกลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นการกระทำของเธอ ชายหนุ่มจึงรีบกวาดตามองไปโดยรอบและถอนใจออกมาเบาๆกอย่างโล่งอก ดูเหมือนทุกคนจะไม่รู้เพราะมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่มุกมณี

 

หลังจากยืนให้นักข่าวบันทึกภาพจนสมควรแก่เวลา นางแบบสาวจึงเดินกลับไปยังหลังเวทีเพื่อถอดสร้อยเพชรและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดราตรีสีเหลืองขมิ้น เมื่อกลับออกมาอีกครั้ง ตัวแทนบริษัทจิวเวอรี่จึงกล่าวขอบคุณพร้อมกับมอบของที่ระลึกให้หนึ่งชิ้น จากนั้นการสนทนาจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง โดยคราวนี้เน้นไปที่การแนะนำเครื่องเพชรนานาชนิดที่นำออกมาแสดง หลายชิ้นถูกสั่งจองโดยแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน

 

ถึงตอนนี้จิรายุสจึงเริ่มคิดว่าเขาควรกลับเสียที เพราะดึกมากและที่สำคัญท้องเขาก็เริ่มส่งเสียงครวญครางเหมือนจะเตือนว่า ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตอนเย็น เพื่อไม่ให้เสียมารยาท ชายหนุ่มจึงไปกล่าวล่ำลาเจ้าของงาน รวมทั้งนายพีระ จากนั้นจึงออกจากห้องตรงไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังที่จอดรถ

 

ระหว่างที่รอให้ลิฟต์เลื่อนลงมาอยู่นั้น จิรายุสก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็น

 

มุกมณีเดินตรงรี่เข้ามาหา ตอนแรกเขาคิดว่าเธอคงเข้ามาหาเรื่องหรืออะไรทำนองนั้น แต่ผิดคาด เพราะนางแบบสาวไม่พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ กระทั่งทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์นั่นแหละ เธอจึงเอ่ยปากถาม

 

            “วันนี้ขับรถมาเองเหรอ”

 

            “ครับ” จิรายุสตอบ พลางจ้องเขม็งไปที่ตัวเลขเหนือประตูเหมือนหาทางเลี่ยงไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย มุกมณียิ้มอย่างรู้ทัน

 

            “กลัวลงผิดชั้นหรือไง” เธอกระเซ้า ชายหนุ่มรีบใช้นิ้วดันแว่นตัวเองเพื่อลดความประหม่าก่อนตอบ

 

            “เปล่าครับ”

 

            “งั้นก็เลิกจ้องเลข แล้วหันมาคุยกับฉัน” นางแบบสาวพูดเป็นเชิงสั่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิมเธอจึงแกล้งบ่น “สงสัยวันนี้พี่โฟจะแต่งหน้าไม่สวย”

 

            ปรกติถ้าเธอออกปากพูดแบบนี้ ผู้ชายส่วนใหญ่จะรีบหันมามองพร้อมกับพูดเอาใจ แต่สำหรับจิรายุสแล้วไม่ เพราะเขายังคงขยับแว่น โดยตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขเหมือนเดิม ท่าทีเฉยเมยของเขาทำให้มุกมณีเริ่มโกรธขึ้นมาตะหงิดๆ

 

            “นี่ตาแว่น” เธอเรียกชัดถ้อยชัดคำ แต่คนถูกเรียกกลับใช้นิ้วชี้ดันแว่นตาตัวเองพร้อมกับพุดเสียงเรียบ

 

            “ผมชื่อจิรายุส”

 

            “ตาแว่น” นางแบบสาวยังเรียกเขาแบบเดิม ชายหนุ่มจึงหันมามองหน้าพร้อมกับถาม

 

            “ไม่เคยมีใครบอกคุณหรือครับว่า การเรียกคนอื่นด้วยถ้อยคำแบบนี้เป็นการไม่สุภาพ”

 

            “ไม่มี” มุกมณีตอบหน้าตาเฉย คราวนี้จิรายุสจึงเป็นฝ่ายโมโหขึ้นมาบ้าง

 

            “ผู้หญิงน่ะ สวยแค่หน้าตาอย่างเดียวไม่พอ คำพูด กิริยาก็ต้องงดงามตามไปด้วย คุณเป็นนางแบบชื่อดังแต่ทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ คนอื่นรู้เข้ามันจะไม่ดีนะครับ”

 

            มุกมณียักไหล่

 

            “ฉันก็พูดแบบนี้ประจำ ไม่เห็นมีใครว่าอะไร แถมยังมีงานเข้าตั้งเยอะแยะ”

 

            เจอคำตอบกวนอารมณ์แบบนี้เข้า ชายหนุ่มถึงกับถอนใจดังเฮือก โชคดีที่ลิฟต์เลื่อนมาถึงชั้นที่จอดรถพอดี เขาจึงพูดตัดบท

 

            “งั้นก็ตามสบายเลยครับ”

 

            จิรายุสก้าวออกจากลิฟต์ทันทีและตรงไปที่รถเดินไปได้สักพักก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อพบว่ามุกมณีเดินตามหลังมาติดๆ ตอนแรกเขาคิดว่าเธอคงบังเอิญจอดรถชั้นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ เพราะพอถึงรถของเขา นางแบบสาวก็หยุดตาม

 

            “คุณจอดรถไว้ชั้นไหนหรือครับ” จิรายุสหันไปถามเพราะคิดว่ามุกมณีอยากให้เขาเดินไปส่งเหมือนครั้งที่แล้ว แต่เธอกลับส่ายหน้า

 

            “ฉันมารถพี่โฟ”

 

            “อ้าว แล้วทำไมไม่ออกมาพร้อมคุณเย็นตาโฟละครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย มุกมณีทำเป็นมองไปทางโน้น ทางนี้ก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

 

            “พี่โฟกลับไปก่อนแล้ว”

 

            “อ้าว” จิราสุยอุทานอีกครั้ง “แล้วคุณจะกลับยังไงละครับทีนี้”

 

            

 




Create Date : 01 ตุลาคม 2556
Last Update : 1 ตุลาคม 2556 9:17:09 น.
Counter : 457 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog