รักละไม ไอทะเล บทที่ 3 การพบกันอีกครั้ง (3)

  นางแบบสาวนั่งฟังนิ่ง เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกทึ่งกับความสามารถของผู้ชาย เพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการนางแบบ คนส่วนใหญ่ที่เธอพบ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็มีความคิดกับผู้หญิงแค่เรื่องบนเตียง บางคนปากก็คุยเรื่องงานแต่สายตากลับจับจ้องแต่ทรวงอกหรือสะโพกของเหล่าบรรดานางแบบ แต่จิรายุสไม่ใช่ เพราะนับตั้งแต่พบกัน เขาไม่เคยมีทีท่าว่าจะสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย การถ่ายภาพก็ไม่เคยใช้สายตามองแบบจาบจ้วง การชี้แนะก็เป็นไปอย่างสุภาพ ไม่มีการแต๊ะอั๋งเธอเลยสักนิด และที่สำคัญ เขาผู้ชายเพียงคนเดียวที่กล้าต่อปากต่อคำพูดจาสั่งสอนเธอ


พอนึกถึงประโยคสุดท้าย มุกมณีก็เกิดอาการฉิวขึ้นมา เธอย่นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับบ่น

“ฝีมือดี แต่ปากเสียไปหน่อย”

นายประพจน์ใจหายวาบเพราะไม่คิดว่าจิรายุสจะกล้ากวนประสาทนางแบบสาวชื่อดังที่มีกิตติศัพท์เลื่องลือด้านความร้ายกาจ ความที่กลัวว่าทั้งคู่จะทำงานด้วยกันไม่ได้ เขาจึงรีบเสไปหัวเราะพร้อมกับพูดกลบเกลื่อน

“เขาเป็นคนขี้เล่นน่ะครับ คุณมุกมณีอย่าถือสาเลย”

นางแบบสาวมองนายประพจน์ด้วยหางตา

“ถ้าถือสาป่านนี้ฉันฟ้องคุณพีระไปแล้ว” พูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ทำไมพี่โฟยังไม่มาอีก แบบนี้มีหวังได้อยู่กันจนดึกแน่”

เหมือนคำบ่นของเธอจะได้ยินไปถึงหูช่างแต่งหน้าคนเก่ง เพราะพอพูดจบเขาก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อน

“โทษทีจ้ะที่มาช้า พอดีทางนั้นเขาเลี้ยงมื้อเที่ยง จะปฏิเสธก็ไม่ได้เลยต้องอยู่พอไม่ให้เสียมารยาท”

พูดพลางวางกระเป๋าเครื่องสำอางประจำตัวลงบนโต๊ะและรับแก้วน้ำที่นายประพจน์ยื่นส่งให้ด้วยท่าทางกระชดกระช้อย

“ขอบคุณ” เขาดื่มเข้าไปสองสามอึกและวางแก้วลง จากนั้นจึงเปิดกระเป๋าพร้อมกับพูด“เรามาเริ่มงานกันเลยดีมั้ยจ๊ะ”

“ไม่นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนหรือครับ” นายประพจน์ติง เย็นตาโฟสั่นศีรษะ

“ไม่ต้องหรอก โฟไม่อยากให้ทุกคนเสียเวลา” เขาหยิบอุปกรณ์แต่งหน้ามาวางเรียงบนโต๊ะ “เสร็จจากมุกก็ต้องแจ้นไปแต่งหน้าให้เจ้าสาวอีก”

มุกมณีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ส่วนนายประพจน์ผงกศีรษะ

“งั้นผมขอไปตรวจห้องสตูฯว่าพร้อมหรือยัง เสร็จแล้วจะได้ทำงานกันได้เลย”

พูดจบก็เดินออกจากห้อง นางแบบสาวจึงถามเย็นตาโฟด้วยความสงสัย

“ไปแต่งหน้าเจ้าสาวที่ไหนหรือคะพี่โฟ”

ช่างแต่งหน้าหนุ่มยักไหล่

“พี่ก็จำชื่อไม่ได้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเป็นลูกคุณหญิงอะไรสักอย่างนี่แหละ เห็นว่าเคยไปดูงานเดินแฟชั่นแล้วเกิดถูกอกถูกใจหน้าสวยๆของมุก เลยมาติดต่อพี่”

เย็นตาโฟหัวเราะคิกคัก

“สงสัยอยากจะสวยเหมือนนางแบบชื่อดัง แต่คงยาก แค่ผิวก็ผิดกันลิบแล้ว”

“จำเป็นต้องไปด้วยเหรอ” มุกมณีถามเพราะปรกติแล้วช่างแต่งหน้าของเธอคนนี้จะไม่ค่อยรับงานใคร ถ้าไม่ใช่คนสำคัญหรือถูกอัธยาศัยกันจริง เย็นตาโฟย่นจมูกเหมือนไม่สบอรารมณ์ผู้ว่าจ้างคนนี้เท่าไหร่นัก

“ก็ไม่อยากไปหรอกแต่มันจำเป็น คุณหญิงคนนี้น่ะเป็นเจ้าของร้านเพชรแล้วก็อะไรอีกหลายอย่าง พี่เลยผูกมิตรไว้เผื่อเขาอยากทำโฆษณา จะได้มาจ้างมุกไงคะ”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ” นางแบบสาวพูดอย่างไม่สนใจ เย็นตาโฟซึ่งกำลังหยิบครีมรองพื้นขมวดคิ้ว

“คิดอย่างนั้นไม่ได้นะมุก อะไรที่มันเป็นประโยชน์เราก็ต้องคว้าเอาไว้ ทุกอย่างเป็นเรื่องจำเป็นทั้งนั้น”  

ปากพูดส่วนมือเริ่มประทินโฉมให้นางแบบสาว ระหว่างที่สาละวนอยู่กับการหยิบเครื่องสำอางสายตาของเย็นตาโฟก็เหลือบไปเห็นกล่องดีวีดีที่วางอยู่บนโต๊ะ

“เขาเปิดเรื่องอะไรให้มุกดูเหรอ”

ช่างแต่งหน้าหนุ่มถามด้วยความสงสัย มุกมณีอมยิ้ม

“อัญมณีแห่งหิมพานต์ เขาไม่ได้เปิดให้ดูหรอก แต่โดนมุกบังคับ”

“ตายแล้วมุก ไปขอเขาดูได้ยังไง เรื่องพวกนี้ถือเป็นความลับของบริษัทนะ” เย็นตาโฟติง นางแบบสาวยักไหล่

“มุกรู้ค่ะ แต่อยากหาเรื่องแกล้งตาแว่นที่ทำตัวน่าหมั่นไส้” เธอตอบ เย็นตาโฟขมวดคิ้ว

“ตาแว่นไหน”

“ก็ตาแว่นหน้าจืดที่เป็นช่างภาพไงคะ ตอนแรกก็ขอกันดีๆแต่ทำเป็นโยกโย้อ้างโน่นอ้างนี่ มุกเลยใช้ไม้เด็ด” มุกมณีเล่าอย่างสนุกสนานแล้วอมยิ้มน้อยๆ “แหมพี่โฟต้องมาเห็นหน้าเขาตอนที่เปิดดีวีดี มุกงี้กลั้นหัวเราะแทบตาย”

“แกล้งเขาระวังเขาจะแกล้งตอบนะคะ” เย็นตาโฟเตือน นางแบบสาวส่ายหน้า

“มุกไม่กลัวหรอก ผู้ชายหน้าใสใจซื่อแบบนี้จะไปมีปัญญาแกล้งใคร”

“ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย ต่อให้หน้าใสแค่ไหนเราก็ไม่มีทางรู้ว่าในใจเขาคิดอะไร” เย็นตาโฟเตือนด้วยความเป็นห่วง มุกมณีจึงยิ้มรับแต่ไม่พูดอะไร

แต่งหน้าแต่งตาเสริมความงามเสร็จสรรพมุกมณีจึงเดินตรงไปยังสตูดิโอ ส่วนเย็นาโฟหลังจากยืนตรวจเสื้อผ้าที่นางแบบสาวจะใช้ในการถ่ายแบบอยู่ครู่ใหญ่จึงขอแยกตัวไปทำงานที่รับไว้ ทิ้งให้มุกมณีทำงานตามลำพัง ตอนแรกเธอคิดว่าจิรายุสคงมีทีท่าหมางเมินหรือหาทางแกล้งแต่กลับผิดถนัด เพราะนอกจากจะไม่ทำเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มยังแสดงความเป็นมืออาชีพด้วยการทำงานอย่างจริงจัง ไม่มีสีหน้าหรือกิริยาขุ่นเคืองใจนางแบบสาวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี เพราะหลังจากโพสต์ท่าอยู่สองชั่วโมงติดต่อกัน ชายหนุ่มก็หยุดการทำงานและขอให้เธอหยุดดื่มน้ำ และนั่งพักผ่อนประมาณสิบนาทีจากนั้นจึงถ่ายทำโฆษณาต่อจนเสร็จ  ซึ่งก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน

ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ใส่เมื่อตอนกลางวันแล้วมุกมณีจึงเดินไปกดลิฟต์เพื่อไปยังลานจอดรถซึ่งพอไปถึงเธอก็ต้องยืนนิ่งไม่กล้าขยับเพราะสถานที่ซึ่งเคยมีรถจอดอยู่อย่างแออัด ตอนนี้กลับมีแต่ความว่างเปล่า  เหลือเพียงรถของเธอคันเดียวเท่านั้นที่จอดอยู่ตรงกลาง พอเพิ่มบรรยากาศที่มีแต่แสงสลัวแล้วทำให้คนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางอย่างเธออดจินตนาการถึงเรื่องสยองขวัญทั้งหลายไม่ได้ แต่สิ่งที่สร้างความหวาดกลัวต่อนางแบบสาวมากที่สุดไม่ใช่เรื่องลึกลับเขย่าขวัญ หากเป็นมิจฉาชีพที่มักเร้นกายอยู่ในความมืด คอยหาจังหวะปล้นทรัพย์สินของมีค่า หรือถ้าเหยื่อเป็นหญิงสาว อาจพบกับสิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้น

ความกังวลทำให้มุกมณีพยายามเดินเลี่ยงเสาคอนกรีตที่อยู่ห่างกันเป็นระยะ และคอยกวาดตามองไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง แต่พอไปได้ครึ่งทางหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงคล้ายกระป๋องโลหะดังมาจากมุมมืดซึ่งเมื่อหันไปดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นเพียงแมวดำตัวหนึ่ง เธอจึงระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“เจ้าเหมียวบ้า ทำเอาเราตกอกตกใจหมด”

มุกมณีบ่นพึมพำพลางขยับตัวเพื่อเดินต่อแต่ต้องสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อใครบางคนสะกิดแขน สัญชาตญาณป้องกันภัยทำให้หญิงสาวรีบหมุนตัวพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋าถือหมายฟาดคนที่อยู่ข้างหลังแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ

“ใจเย็นๆคุณมุกมณี นี่ผมเองครับ”

นางแบบสาวมองชายหนุ่มที่กำลังขยับตัวถอยออกห่างพร้อมกับใช้นิ้วชี้ดันแว่นตาที่เลื่อนลงมาตอนเขาเคลื่อนไหว
“คุณจิรายุส”

เธอเรียกด้วยความแปลกใจ อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มกวน

“ครับ”

“คุณมาที่นี่ทำไม” มุกมณีถามเพราะแน่ใจว่าลานจอดรถชั้นนี้เหลือแค่รถของเธอเพียงคันเดียวเท่านั้น เหตุผลที่ช่างภาพหนุ่มมาที่นี่ก็คือเธออย่างแน่นอน

“ผมมาส่งคุณ” จิรายุสตอบพร้อมกับเริ่มต้นเดิน พอเห็นมุกมณียืนนิ่งไม่ยอมขยับเขาจึงหันมาถามด้วยความสงสัย

“ลืมอะไรไว้หรือครับ”

“เปล่านี่ ถามทำไม” นางแบบสาวย้อนถาม ชายหนุ่มจึงยิ้ม

“เห็นคุณยืนนิ่งเป็นหุ่น ผมเลยนึกว่าลืมของ” พูดพลางผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญ “ดึกแล้วรีบไปที่รถเถอะครับ ผมจะได้กลับบ้าน”

“งั้นก็กลับไปสิ” มุกมณีพูดเสียงห้วน แต่จิรายุสกลับสั่นศีรษะ

“ผมกลับแน่ แต่ต้องหลังจากส่งคุณขึ้นรถให้เรียบร้อยก่อน”

ชายหนุ่มพูด ความที่ทั้งคู่เคยมีเรื่องกันมาก่อนทำให้นางแบบสาวมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ    

“ไม่จำเป็น”

“จำเป็นสิครับ” จิรายุสพูด ใบหน้าทะเล้นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ถึงจะไม่ชอบหน้ากันยังไง ผมก็ไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงสาวเดินอยู่ในลานจอดรถตามลำพังเดียงคนเดียว”
มุกมณีมองหน้าอีกฝ่ายแน่วนิ่งเหมือนจ้องจับผิด เพราะเป็นไม่ได้ที่คนซึ่งเคยถูกเธออาละวาดใส่จะมาเป็นห่วงเป็นใยกันถึงขนาดนี้ แต่พอได้เห็นแววตาภายใต้แว่นทรงเหลี่ยมแล้วหญิงสาวต้องเปลี่ยนความคิดทั้งหมด เพราะมันแสดงออกถึงความจริงใจ ไม่ใช่การกระทำก้อร่อก้อติกอย่างที่เธอเคยเจอ

“จะยืนอีกนานมั้ยครับ” จิรายุสถามพลางตบไปตามร่างกายดังผัวะเผียะ “ยุงแถวนี้เยอะซะด้วย ขืนอยู่ต่อไปอีกสองสามนาทีมีหวังโดนดูดเลือดหมดตัวแหง”

นางแบบสาวไม่ตอบแต่กลับก้าวฉับๆนำไปที่รถ เมื่อขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วเธอจึงแกล้งถาม

“คุณจอดรถไว้ตรงไหน”

“คอนโด” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ มุกมณีขมวดคิ้ว

“แปลก มีรถแต่ไม่ยักขับ แล้วคุณจะกลับยังไง” คราวนี้เธอถามด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มกว้าง

“รถไฟฟ้ามหานครสิครับ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยแถมแอร์เย็นดีด้วย”

คำตอบกวนประสาททำให้นางแบบสาวหน้าง้ำ

“งั้นคุณต้องรีบแล้วค่ะ เพราะรถมีถึงแค่เที่ยงคืน”

เธอกระแทกเสียงพูดพลางสตาร์ทรถ ขณะที่กำลังปิดกระจกเสียงจิรายุสก็ดังลอดเข้ามา

“ตรงกลับบ้านเลยนะครับ อย่าแวะไหน อย่าจอดรับใคร มันอันตราย”

‘ฉันรู้แล้วย่ะ’ มุกมณีทำปากขมุบชมิบตอบพลางมองชายหนุ่มด้วยหางตาจึงพบว่าเขากำลังโบกมือให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อรถเคลื่อนตัวออก นางแบบสาวจึงมองเขาผ่านทางกระจกหลังและพบว่าจิรายุสยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนต้องการให้แน่ใจว่าเธอเดินทางออกจากที่นั่นอย่างปลอดภัย

มุกมณีขับรถพลางหวนนึกถึงเรื่องราวของจิรายุส ถึงเธอจะไม่ชอบความยโสโอหังกับการพูดกวนโทสะแต่หญิงสาวกลับรู้สึกประทับใจการกระทำหลายอย่างของเขา ทั้งเรื่องการเอาใจใส่ในหน้าที่การงาน ความสุภาพ หรือแม้แต่กระทั่งความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ซึ่งข้อนี้พิสูจน์ได้จากเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ตอนขอดูโฆษณาอัญมณีแห่งหิมพานต์ เธอคิดว่าเขาก็คงเหมือนผู้ชายคนอื่นที่มักจะรีบเปิดให้ทันที แต่จิรายุสไม่ใช่แบบนั้น นอกจากจะปฏิเสธหน้าตาเฉยแล้วเขายังกล้าพูดจาสั่งสอนเธออีก

“คนอวดดี”

นางแบบสาวพึมพำและอมยิ้มอย่างสนุกพลางนึกวางแผนอยู่ในใจว่าหากต้องไปถ่ายทำโฆษณาที่บริษัทพีเจ แอดเวอร์ไทซิ่งอีกครั้ง เธอจะป่วนเจ้าแว่นคนนี้ให้หัวปั่นไปเลย

*/*/*/*/*/*

ลองปรับตัวอักษรให้มีขนาดใหญ่ขึ้นค่ะ จะได้สะดวกกับผู้อ่านหลายๆท่าน ^^




Create Date : 15 กันยายน 2556
Last Update : 15 กันยายน 2556 9:23:59 น.
Counter : 350 Pageviews.

0 comment
รักละไม ไอทะเล บทที่ 3 การพบกันอีกครั้ง (2)

  รถยนต์สีเขียวสดใสของมุกมณีวิ่งด้วยความเร็วค่อนข้างสูงผ่านสี่แยกย่านธุรกิจ มุ่งหน้าตรงไปยังอาคารอันเป็นที่ตั้งของบริษัท พีเจ แอดเวอร์ไทซิ่ง ปรกติแล้วนางแบบสาวมักจะนั่งรถของเย็นตาโฟ แต่ในวันนี้เขามีงานด่วนทำให้ไม่สามารถแวะไปรับเธอได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องขับรถออกมาเองโดยนัดเจอกับช่างแต่งหน้าคนเก่งที่บริษัทแห่งนี้
การจราจรที่ติดขัดเกือบตลอดเส้นทางทำให้มุกมณีถึงกับหงุดหงิด หลายครั้งที่เธอนึกอยากจะจอดรถไว้กลางถนนและเดินขึ้นรถไฟฟ้าให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความกลัวว่าจะถูกแฟนคลับรุมทึ้ง หญิงสาวจึงละความคิดนั้นและขับรถปาดซ้ายป่ายขวาอย่างไม่เกรงใจใคร แต่พอไปถึงที่หมาย มุกมณีต้องอารมณ์เสียมากขึ้น เพราะที่จอดรถเต็มทุกชั้นจนเธอต้องวนถึงสองรอบจึงจะหาที่จอดได้

ทันทีที่ถอยรถเข้าซองได้สำเร็จ มุกมณีหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาโทร.ไปหาเย็นตาโฟทันที เสียงอีกฝ่ายรับอย่างระริกระรื่นพร้อมกับบอกว่าอีกสิบนาทีเจอกัน นางแบบสาวจึงปิดโทรศัพท์และคว้ากระเป๋ามาสะพายจากนั้นจึงเดินไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นของห้องรับรอง

เมื่อไปถึง พนักงานประจำบริษัทที่รออยู่จึงนำนางแบบสาวไปนั่งพักที่ห้องรับรองพิเศษ เพราะต้องรอช่างแต่งหน้า ซึ่งพอจัดหาเครื่องดื่มให้เธอเสร็จเรียบร้อย พนักงานสาวผู้นั้นก็อันตรธานหายไป ทิ้งให้มุกมณีนั่งอยู่เพียงลำพัง ตอนแรกเธอก็รู้สึกเฉยๆเพราะชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่พอผ่านไปได้สักพัก หญิงสาวก็เริ่มหงุดหงิดเพราะมันเหมือนกับว่า ทางบริษัทไม่สนใจใยดีในตัวเธอ

“หายไปไหนกันหมดเนี่ย” มุกมณีเปรยด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังและขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นมีใครโผล่หน้ามาสักคน “นี่ ฉันคอแห้ง ใครก็ได้ช่วยหาน้ำมาให้หน่อย”

เธอแกล้งสั่งทั้งที่ข้างตัวก็มีแก้วน้ำวางไว้อยู่แล้ว นั่งรออยู่สองสามนาที พอเห็นว่าไม่มีใครเข้ามาดูแลเธอแน่ นางแบบสาวจึงหันมองรอบห้องและเตรียมจะอาละวาด แต่สายตาไปสะดุดที่ป้ายบอกหมายเลขติดต่อภายในเสียก่อน ไม่รอช้า เธอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขทันที

“ครับ”

เสียงทุ้มของชายหนุ่มขานรับ มุกมณีจึงพ่นคำพูดใส่ชนิดไฟแลบ

“จะให้ฉันนั่งรอไปถึงไหน แล้วทำไมไม่มีใครมาดูแลฉันสักคน รู้หรือเปล่าว่าในนี้มันร้อน คอฉันก็แห้งจนจะเป็นผงอยู่แล้ว”

เสียงปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจก่อนตอบกลับ

“งั้นรอสักครู่นะครับ”

เสียงสัญญาณตัดสายดังขึ้น มุกมณีกระแทกหูโทรศัพท์อย่างแรงด้วยความโมโห

“ไม่มีมารยาท” เธอบ่นพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหงุดหงิด อารมณ์คุกรุ่นเมื่อครู่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการนางแบบ ไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้เลยสักคน ส่วนใหญ่แล้วเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายตัดสายทิ้ง แล้วหมอนั่นเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้ทำอย่างนี้กับเธอ

ความโกรธทำให้มุกมณีคว้าแจกันดอกไม้บนโต๊ะและเงื้อขึ้นเตรียมจะขว้างแต่ต้องชะงักค้างเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“เชิญ” เธอพูดเสียงห้วนพร้อมกับวางแจกันลง คิ้วเรียวสวยขมวดเข้ากันเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่ก้าวเข้ามาเป็นหนุ่มแว่นหน้าตาดี ที่สำคัญคือเธอจำได้แม่นว่าเขาทำหน้าที่เป็นช่างภาพแทนนายอะไรสักอย่างที่ไม่ได้มาทำงาน

“มีธุระอะไร” เธอถามแต่จิรายุสไม่ตอบ เขาเดินไปเปิดตู้เย็นที่อยู่ภายในห้องและหันกลับมาถาม

“คุณจะดื่มน้ำอะไรครับ”

นั่นเองทำให้นางแบบสาวรู้ว่าเขาคือคนรับโทรศัพท์เมื่อครู่ เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนถามเสียงกระด้าง

“คุณใช่ไหมที่กระแทกหูโทรศัพท์ใส่ฉัน”

“ผมเปล่า” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ มุกมณีเม้มปากแน่นและสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับความโกรธ

“อย่ามาโกหก ถ้าไม่ใช่คุณ แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันต้องการอะไร”

“คุณบอกว่าคอแห้ง” จิรายุสตอบอย่างเคร่งขรึม แต่นางแบบสาวกลับมองว่ากิริยานั้นคือเขากำลังวางท่าหยิ่งยโสใส่เธอ

“คุณเป็นคนรับโทรศัพท์เมื่อกี้จริงๆ แล้วยังจะมีทำเป็นตีหน้าเซ่อบอกว่าเปล่า”

“ผมยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่ใช่คนรับ” จิรายุสพูดอย่างอดทนพลางหยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมา “ตกลงคุณจะรับอะไร ชาหรือน้ำเปล่า”

“อย่ามาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง” มุกมณีพูดเสียงเขียวพร้อมกับลุกขึ้น “ฉันจะแจ้งคุณพีระให้เฉดหัวคุณออกจากบริษัท โทษฐานที่ไร้มารยาทกับลูกค้า”

คราวนี้จิรายุสวางขวดน้ำกลับที่เดิมและปิดตู้เย็นก่อนจะหันหน้ามาประจันกับนางแบบสาว

“ตามสบายเลยครับ ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเจ้านายของผมเป็นคนมีเหตุผลมากกว่าที่คุณคิด ถ้าจะหาเรื่องไล่ผมออกจากบริษัท คุณคงต้องหาข้ออ้างที่มันหนักแน่นกว่านี้หน่อย ไม่อย่างนั้นคุณก็คงต้องทนเห็นหน้าผมทุกครั้ง ที่ถ่ายแบบ”

“ช่างภาพมีเยอะแยะ” มุกมณีเถียง แต่จิรายุสยักไหล่

“แต่ตอนนี้มีผมแค่คนเดียว”

“งั้นฉันไปทำที่บริษัทอื่นก็ได้” นางแบบสาวโต้อย่างไม่ลดละ ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นเกาคางด้วยท่าทางเนือยๆ

“สัญญาว่าจ้างเขาทำล่วงหน้ากันเป็นเดือน คงไม่มีที่ไหนยอมเสียค่าปรับราคาแพงเพื่อเอาใจคุณหรอกครับ”   

มุกมณีกำหมัดแน่นยืนตัวสั่น แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเธอเลยสักครั้ง แล้วเจ้าหนุ่มแว่นคนนี้เป็นใคร กล้าดียังไงถึงมาเถียงกับเธอ

ด้านจิรายุสพอเห็นนางแบบสาวยืนหน้าแดงก่ำเป็นมะเขือเทศสุกก็รู้ว่าเธอกำลังโกรธจัด ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงใช้คำพูดกวนอารมณ์อีกสองสามคำให้คนฟังเดือดจนสมองระเบิดกระจาย แต่เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นนางแบบชื่อดังซึ่งถือเป็นลูกค้า เขาจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับอธิบาย

“มันอาจจะเหมือนเป็นการแก้ตัว แต่เมื่อกี้ผมรีบไปหน่อยเลยเผลอทำโทรศัพท์หลุดมือ” เขามองหน้ามุกมณีแน่วนิ่ง

“เห็นคุณบอกว่าคอแห้ง ผมเลยเป็นห่วง ไม่อยากให้รอนาน”

ลำพังคำพูดไม่ทำให้มุกมณีเชื่อถือเท่าใดนัก แต่สีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของจิรายุส ทำให้เธอรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมดเป็นความจริง นางแบบสาวคลายมือออกแต่ยังไม่ยอมทิ้งมาดของราชินีผู้สูงศักดิ์ เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับถามเสียงห้วน

“เป็นห่วงอย่างนั้นหรือ”

“ครับ” ชายหนุ่มตอบตามตรงพลางชี้หัวแม่มือไปที่ตู้เย็น “คุณเป็นลูกค้าคนสำคัญ คงไม่ดีแน่ถ้าให้เดินมาหยิบน้ำด้วยตัวเอง”

เขาเปิดตู้เย็นอีกครั้งพร้อมกับถาม

“ตกลงคุณจะรับน้ำอะไรครับ”

มุกมณีไล่สายตามองเข้าไปในตู้เย็นเพื่อสำรวจว่ามีน้ำอะไรบ้างก่อนหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้และยกขาขึ้นไขว่ห้างก่อนตอบเสียงกระด้าง

“ชาเขียว”

จิรายุสหยิบขวดชาเขียวรินใส่แล้วและแอบอมยิ้มเมื่อเห็นว่าคำพูดของตนเองสามารถสงบสติอารมณ์ของนางแบบสาวเจ้าปัญหาคนนี้ได้ เขารีบปรับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมก่อนหมุนตัวหันกลับไปที่เธอและวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะ

“เชิญครับ”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุภาพทำให้มุกมณีเหลือบตาขึ้นมองเพราะคิดว่าเขากำลังประชด แต่พอเห็นสีหน้าที่ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมกับการวางตัวอย่างระมัดระวังแล้วเธอจึงรู้ว่าเป็นการกระทำอย่างจริงใจ ซึ่งนับว่าแปลกเพราะส่วนใหญ่แล้วเธอจะพบแต่ผู้ชายที่เสแสร้ง ยอมทำทุกอย่างเพื่อหวังบางสิ่งบางอย่างจากร่างกายของเธอ

“คุณเป็นช่างภาพมานานแล้วหรือยัง”

นางแบบสาวเปิดหัวข้อสนทนา จิรายุสยิ้ม

“เพิ่งเป็นได้ห้าวันนี่เองครับ”

มือที่กำลังยกแก้วชาขึ้นดื่มชะงักค้าง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสนเท่ห์ก่อนจะหลุดปากพูด

“อย่าบอกนะว่า อัญมณีแห่งหิมพานต์เป็นงานแรกของคุณ”

“ใช่ครับ” จิรายุสตอบอย่างภาคภูมิใจ แต่มุกมณีกลับนิ่วหน้า

“ตายแล้ว เอาช่างภาพมือใหม่มาทำงานใหญ่แบบนี้มันจะได้เรื่องเหรอ”

เธอพูดเป็นเชิงบ่นเพราะกลัวว่าจะต้องย้อนกลับมาถ่ายทำโฆษณาชิ้นนั้นใหม่อีกครั้ง แต่จิรายุสกลับสั่นศีรษะ


“มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกครับ ตัวเจ้าของจิวเวอรี่เองก็เห็นผลงานชิ้นนี้แล้ว ถ้ามันไม่ดีป่านนี้คงโทร.มาแล้วละครับ”
มุกมณีวางแก้วชาลง

“อะไรกัน แค่ห้าวันเอง งานเสร็จหมดแล้วเหรอ”

“ครับ” จิรายุสตอบสั้นๆ นางแบบสาวนั่งนิ่งไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากถาม

“ขอฉันดูหน่อยได้ไหม”

“ไม่ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบสวนทันควัน คิ้วของมุกมณีขมวดเข้าหากันทันที

“ทำไมถึงไม่ได้ ฉันเป็นนางแบบงานชิ้นนี้นะ”

เธอตวาดแหวอย่างไม่พอใจ จิรายุสส่ายหน้าช้าๆก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นเชิงอธิบาย

“งานทุกชิ้นถือเป็นความลับของบริษัท คุณเป็นนางแบบก็จริงแต่ไม่ใช่ผู้ว่าจ้าง จึงไม่มีสิทธิดูงานโฆษณาก่อนได้รับอนุญาต”

“ถ้าไม่ให้ดู ฉันก็ไม่ยอมถ่ายโฆษณากับบริษัทคุณอีกต่อไป”

เธอยื่นคำขู่ จิรายุสถอนใจออกมาเบาๆด้วยความเบื่อหน่ายในความเอาแต่ใจแบบเด็กๆของนางแบบสาวก่อนขยับแว่นและตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“งานแต่ละชิ้นขึ้นอยู่กับผู้จ้างว่าต้องการนางแบบคนไหน และอย่างที่ผมบอกในตอนแรก งานโฆษณาทุกชิ้น มีการทำสัญญากันล่วงหน้า คุณอาจจะบ่ายเบี่ยงไม่มาบริษัทผมก็ได้ แต่อย่าลืมนะครับว่าทางคุณเองก็มีสัญญาเหมือนกัน ขืนเบี้ยวแล้วละก็มีหวังโดนเรียกค่าเสียหายกันกระเป๋าแฟบ”

“ฉันมีปัญญาจ่าย” มุกมณีตอกกลับเสียงดัง จิรายุสยักไหล่

“ผมทราบครับ แต่ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ อีกหน่อยคงไม่มีใครกล้าจ้างคุณ”

“ฉันไม่สน” นางแบบสาวพูดอย่างไม่แยแส ชายหนุ่มจึงมองเธออย่างสมเพช เพราะเท่าที่ผ่านมาเขานึกว่ามุกมณีจะเป็นผู้หญิงมีสมองอยู่บ้าง แต่เท่าที่เห็นในตอนนี้ นอกจากความเจ้าอารมณ์แล้ว เธอมีแค่ความสวยเพียงอย่างเดียว

“ผมยอมรับตอนนี้คุณเป็นนางแบบที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สมัยนี้คนสวยมีให้เลือกเยอะแยะ ถ้าคุณทำเล่นตัวบอกปัดทุกคนไปเสียหมด อีกหน่อยเขาก็จะมองหาคนอื่น ไม่ต้องนานนักหรอกแค่สองสามเดือนเท่านั้น วงการแฟชั่นก็มีนางแบบสาวเซ็กซี่หน้าใหม่มาแทนคุณแล้วละครับ”

คำเตือนของจิรายุสทำเอามุกมณีถึงกับสะอึก เธอนั่งนิ่งอยู่ราวหนึ่งนาทีเพื่อหาคำตอบโต้ แต่กลับนึกอะไรไม่ออก เพราะทุกอย่างที่ชายหนุ่มพูดเป็นความจริง เมื่อเถียงไม่ได้ นางแบบสาวจึงเลี่ยงไปหยิบแก้วชาและขว้างไปที่ผนังอย่างสุดกำลัง

“ปากดีนักนะ !”

เธอตวาดเสียงดังลั่น ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ จิรายุสมองเศษแก้วที่กระจายเกลื่อนพื้นด้วยความไม่พอใจและขยับเตรียมจะต่อว่า เป็นจังหวะเดียวกับที่ประพจน์เปิดประตูเข้ามาพอดี

“สวัสดีครับคุณมุกมณี” เขาเอ่ยทักและชะงักคำพูดค้างเมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของนางแบบสาว พอเห็นเศษแก้วบนพื้นกับจิรายุสที่กำลังใช้นิ้วชี้ดันแว่นตาเท่านั้น นายประพจน์ก็รู้ในทันทีว่าเจอลมได้ฝุ่นมุกมณีเข้าให้แล้ว

“เอ่อ คุณมุกมณีไม่พอใจอะไรหรือเปล่าครับ”

เขาเลียบเคียงถามอย่างระมัดระวังเพราะกลัวคำพูดจะไปสะกิดต่อมอารมณ์ร้ายของนางแบบสาวจนเกิดเรื่องใหญ่ มุกมณีสะบัดหน้าไปทางจิรายุสพร้อมกับตอบ

“ก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรหรอกค่ะ แค่โมโหอะไรนิดหน่อย”

“พอจะบอกได้ไหมครับ ว่าเรื่องอะไร” นายประพจน์ถามด้วยท่าทางที่คิดว่าสุภาพที่สุด นางแบบสาวจ้องหน้าจิรายุ

สเขม็งก่อนตอบ

“ฉันแค่อยากเห็นอะไรนิดหน่อยเท่านั้น แต่ลูกน้องของคุณอ้างโน่นอ้างนี่ไม่ยอมให้ดู”

“คุณมุกมณีอยากดูอะไรหรือครับ ผมจะหามาเปิดให้” นายประพจน์รีบเอาใจ มุกมณียิ้มในหน้าแต่ก็ยังแกล้งทำเป็นปฏิเสธ

“มันจะดีหรือคะ พวกคุณงานยุ่ง ฉันกลัวว่ามันจะเป็นการรบกวน”

น้ำเสียงกระแทกกระทั้นในขณะที่คนพูดยืนกอดอกและเชิดหน้าขึ้น จิรายุสขยับเพื่อจะแย้งแต่นายประพจน์กลับยกมือห้ามพร้อมกับพูด

“ไม่เป็นการรบกวนหรอกครับ คุณมุกมณีอยากดูอะไร ผมจะให้จิรายุสจัดการเปิดเดี๋ยวนี้เลย”

“ได้แน่เหรอคะ” นางแบบสาวถามย้ำ นายประพจน์รีบพยักหน้าครับ

“ครับ ได้แน่นอน”

“มุกอยากดูอัญมณีแห่งหิมพานต์ค่ะ” เธอพูดเน้นเสียงทีละคำโดยไม่มองนายประพจน์ซึ่งยืนอ้าปากค้างหน้าซีด

“เอ่อ สำหรับเรื่องนี้ผมคง...”

“คุณบอกว่าได้” มุกมณีตัดบท นายประพจน์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถอนใจและผงกศีรษะ

“งั้นก็ได้ครับ” เขาหันไปทางจิรายุสที่กำลังยืนขมวดคิ้ว “ช่วยจัดการตามที่คุณมุกมณีต้องการด้วย”

“แต่ว่า” ชายหนุ่มแย้งแต่ต้องเงียบเมื่อเห็นสายตาเชิงสั่งจากนายประพจน์ “รอสักครู่นะครับ”

เขาพูดกับมุกมณีก่อนเดินออกจากห้อง อึดใจก็กลับเข้ามาพร้อมกล่องดีวีดี ซึ่งพอเปิดให้นางแบบสาวชมแล้วเขาก็ขอตัวไปเตรียมงานที่สตูดิโอ

อันที่จริงมุกมณีไม่ได้สนใจเรื่องภาพยนต์ที่เธอเป็นนางแบบเท่าใดนัก เพราะเห็นมาหลายครั้งจนชินตา แต่พอได้ดูโฆษณาชุด อัญมณีแห่งหิมพานต์แล้วกลับให้ความรู้สึกแตกต่าง เพราะเพียงภาพแรกก็สามารถสะกดสายตาของเธอจนไม่อาจละไปมองสิ่งอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นแสง สี หรือบรรยากาศทั้งหมด ล้วนงดงามอย่างน่าหลงใหล โดยเฉพาะเหล่าสัตว์หิมพานต์ซึ่งมีรูปลักษณ์และเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนของจริง ช่างมีมนต์เสน่ห์อันลึกลับอย่างน่ามหัศจรรย์

สิ่งที่สร้างความทึ่งให้กับมุกมณีมากที่สุดคือรัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวของเธอ มันดูเรืองรอง งดงาม จนแทบจะกลบประกายระยิบระยับของสร้อยเพชรบนลำคอ หญิงสาวเคยถ่ายทำโฆษณาเชิงแฟนตาซีแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีใครทำได้วิเศษอย่างโฆษณาชิ้นนี้เลย

“สวยมาก” คำแรกหลุดจากปากเมื่อโฆษณาจบลง นายประพจน์ซึ่งกำลังยืนลุ้นถึงกับถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

“ขอบคุณครับ ดีใจที่คุณมุกมณีชอบ”

เขารีบพูดแต่ดูเหมือนนางแบบสาวจะไม่สนใจเลยสักนิดเพราะเธอหันมาถาม

“ใครเป็นคนทำ”

“จิรายุสครับ”

“จิรายุส” มุกมณีทวนคำและขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าได้ยินนายประพจน์เรียกหนุ่มแว่นจอมกวนเมื่อครู่ด้วยชื่อนี้ “เขาเป็นช่างกล้องไม่ใช่เหรอ”

“อันที่จริงเขาเป็นคนตัดแต่งภาพกราฟฟิคอนิเมชั่นครับ แต่ตอนนี้คนของเราขาดเลยให้เขามาทำหน้าที่นี้ชั่วคราว”

 




Create Date : 15 กันยายน 2556
Last Update : 15 กันยายน 2556 9:16:34 น.
Counter : 287 Pageviews.

0 comment
รักละไม ไอทะเล บทที่ 3 การพบกันอีกครั้ง

บทที่ 3 พบกันอีกครั้ง

เสียงกอกแกกของนิ้วที่กำลังพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดดังออกมาจากห้องตัดต่อของบริษัท พีเจแอดเวอร์ไทซิ่ง แม้ตอนนี้จะเลยเวลาเที่ยงคืนไปมาก แต่จิรายุสยังคงนั่งทำงานอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด

อันที่จริงเขาเพิ่มภาพอนิเมชั่นของสัตว์หิมพานต์ลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงการเรียงลำดับภาพที่ต้องทำให้ต่อเนื่อง ไร้รอยตำหนิ แต่ยังมีบางจุดที่สะดุด จิรายุสจึงต้องเพิ่มรายละเอียดบางอย่างลงไป


หลังจากทำงานอย่างหนักชนิดแทบไม่ได้กินไม่ได้นอนติดต่อกันตลอดสี่วัน ในที่สุดการตัดแต่งภาพโฆษณาชุดอัญมณีหิมพานต์ก็สำเร็จลุล่วง สิ่งกวนใจของชายหนุ่มในตอนนี้ก็คือ แสงเรืองรองที่เปล่งออกมาจากตัวมุกมณี เขาพยายามปรับทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความเข้ม เพิ่มมิติภาพก็ไม่อาจลบแสงดังกล่าวออกไปได้ ยิ่งเมื่อเพิ่มภาพอนิเมชั่นสัตว์หิมพานต์ลงไปด้วยแล้ว แสงที่ว่ายิ่งเจิสจรัสจนแทบจะกลายเป็นรัศมีของเธอไปเลยทีเดียว


“เหมือนแสงของราฟาเอลเลยแฮะ”


จิรายุสพึมพำพลางย้อนนึกถึงตอนที่เขาเห็นรัศมีของเทวดาเป็นครั้งแรก สำหรับเขา เหตุการณ์ในตอนนั้นนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และไม่มีทางที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มคิดขณะขยับเม้าส์ปากกาเพื่อปรับภาพให้สมดุลย์ เมื่อไม่สามารถลดทอนความเจิดจ้าของแสงนั้นลงไปได้ เขาจึงตัดสินใจใช้มันเป็นตัวช่วยเพิ่มความระยิบระยับของอัญมณี ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้อง หลังจากปรับแก้อยู่พักใหญ่และเปิดดูอีกครั้ง จิรายุสต้องนั่งตกตะลึงอ้าปากค้างเพราะภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นนางแบบหรือเครื่องเพชรที่ประดับอยู่บนลำคอล้วนโดดเด่นและงดงาม ดึงดูดสายตาได้อย่างเหลือเชื่อ

ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ แต่งานของเขายังไม่จบเพราะต้องไปเสนอให้ทีมงานรวมถึงคุณพีระตรวจดูก่อน ถ้าไม่มีอะไรต้องแก้ไขและส่งมอบให้กับผู้ว่าจ้างแล้วจึงจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์จิรายุสจึงจัดเก็บไฟล์งานทั้งหมดเพื่อส่งมอบให้หัวหน้าแผนกต่อไป

การอดนอนมาสามวันทำให้จิรายุสแทบสลบเหมือดอยู่ตรงนั้นแต่ยังไม่กล้าเพราะกลัวจะเผลอทับคอมพิวเตอร์พัง หลังจากปิดเครื่องและเก็บข้าวของเครื่องใช้กลับเข้าที่จนเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงคลานไปยังที่นอนชั่วคราวในลักษณะที่เกือบจะเป็นเลื้อยและหลับแทบจะทันทีเมื่อหัวถึงหมอน
ยังไม่ทันได้หลับให้เต็มอิ่มชายหนุ่มก็ต้องลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงเพลงจากสมาร์ตโฟนที่ตั้งเวลาแทนนาฬิกาปลุก จิรายุสลุกขึ้นนั่งและอ้าปากหาวอย่างงัวเงีย หลังจากนั่งสะลึมสะลืออยู่พักใหญ่เขาจึงลากกระเป๋าสะพายมาควานหาแปรงสีฟันกับผ้าเช็ดตัวผืนเล็กจากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา

เมื่อได้ความสดชื่นกลับคืนมา ชายหนุ่มจึงเดินไปยังมุมพักผ่อนของแผนกเพื่อชงกาแฟดื่ม จากนั้นจึงกลับเข้าห้องตัดต่อและเปิดโฆษณาที่เขาทำเมื่อคืนดูอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงเตรียมบันทึกลงบนแผ่นเก็บข้อมูล เป็นจังหวะเดียวกับที่นายประพจน์เปิดประตูเข้ามาพอดี

“เป็นไงบ้างเต่า”

“โอเคแล้วครับ ผมรอให้พี่ตรวจดูก่อนค่อยเสนอเจ้านาย” จิรายุสตอบพร้อมกับเปิดภาพยนต์โฆษณาที่เขาเพิ่งทำเสร็จให้หัวหน้าดู ความนุ่มนวลจนเกือบเสมือนจริงของสัตว์หิมพานต์กับความงดงามของมุกมณีที่ปรากฏบนหน้าจอ ทำให้นายประพจน์ถึงกับยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออก กระทั่งทุกอย่างจบลงเขาจึงหลุดปากออกมาอย่างลืมตัว

“สวยจริงๆ”

“ผมก็ว่าอย่างนั้น” จิรายุสพูดพลางวางแผ่นดีวีดีเพื่อบันทึกข้อมูล เสร็จแล้วจึงจัดเก็บใส่กล่องใส่กล่องยื่นให้นายประพจน์ แต่พอเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนตาลอยเขาจึงสะกิดเบาๆพร้อมกับเรียก

“กลับมาหรือยังครับ”

หัวหน้าแผนกสะดุ้งและหันมาถาม

“ว่าอะไรนะ”

“ผมนึกว่าพี่พจน์กำลังทำสมาธิถอดจิต เลยถามว่ากลับมาหรือยัง”

ถ้าอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน นายประพจน์คงเตะจิรายุสสักป้าบ ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดเงื้อมะเหงกเขกกะโหลกลูกน้องจอมทะลึ่งไม่ได้ 

“ผมกำลังเครียด ยังจะมาทำเป็นพูดเล่นอยู่ได้”

จิรายุสหัวเราะแหะ ๆเป็นการแก้เก้อก่อนถาม

“ตกลงเป็นยังไงครับ ใช้ได้หรือเปล่า”

“ยอดเยี่ยม” นายประพจน์ตอบพลางพลิกกล่องที่รับมาจากจิรายุส “ผมคิดว่าคุณพีระจะต้องชอบ แต่ก็ต้องดูอีกทีว่าคนจ้างจะว่ายังไง”

เขาหยุดพูดและมองจิรายุสตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

“ไม่ได้กลับบ้านมากี่วันแล้วเนี่ย”

ชายหนุ่มทำท่านึก

“น่าจะสองหรือสามวัน ทำไมหรือครับ” ประโยคสุดท้ายเขาย้อนถามด้วยความสงสัยพร้อมกับยกแขนขึ้นและก้มหน้าลงไปสูดกลิ่นแล้วพูดพึมพำเบาๆ “ก็ไม่เหม็นเท่าไหร่นี่นา”

นายประพจน์ถอนใจออกมาเบาๆด้วยความระอากับความทะเล้นของลูกน้อง ก่อนอธิบาย

“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่วันนี้คุณต้องเข้าร่วมประชุมด้วย ดังนั้นรีบกลับบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ผมให้เวลาสองชั่วโมง”

สั่งเสร็จนายประพจน์ส่งกล่องดีวีดีคืนให้และเดินออกจากห้องไป ส่วนจิรายุสพอรู้ว่าจะต้องเข้าร่วมการประชุมจึงรีบรวบรวมเอกสารทุกชิ้นเกี่ยวกับงานไม่ว่าจะเป็นไฟล์ภาพยนต์โฆษณา หรือภาพที่เตรียมไว้สำหรับการทำโปสเตอร์ เมื่อตรวจทานจนแน่ใจว่าทุกอย่างครบถ้วนแล้วเขาจึงคว้ากระเป๋าเดินออกจากบริษัท ขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปที่คอนโด ใช้เวลาในการอาบน้ำ แต่งตัวไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็กลับมาที่บริษัทอีกครั้งและตรวจงานที่จะนำเสนออีกรอบก่อนเข้าห้องประชุม

ตอนแรกจิรายุสคิดผู้เข้าร่วมประชุมคงมีแต่คุณพีระ ผู้บริหารระดับสูงกับพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่พอเห็นชาวต่างชาติที่ได้รับการแนะนำว่าเป็นตัวแทนบริษัทจิวเวอรี่ก้าวเข้ามาในห้อง เขาก็เกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาอย่างปุบปับ เพราะทุกครั้ง เขาทำเพียงเสนองานให้เจ้านายและผู้บริหารระดับสูงไม่กี่คนเท่านั้น นับเป็นครั้งแรกที่มีผู้ว่าจ้างร่วมประชุมอยู่ด้วย

โฆษณาชุด อัญมณีแห่งหิมพานต์ คือหัวข้อแรกของการประชุม นายพีระได้กล่าวถึงรายละเอียดเบื้องต้นก่อนเชิญให้จิรายุสเปิดภาพยนต์ที่เพิ่งทำเสร็จให้ทุกคนได้ชม ตอนแรกตัวแทนบริษัทจิวเวอรี่มีสีหน้าเฉยเมยเหมือนไม่เชื่อถือฝีมือของคนทำที่เป็นเพียงคนหนุ่มอายุน้อยหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์เท่าใดนัก แต่พอภาพของมุกมณีปรากฏขึ้นบนจอ ทุกคนต่างพากันนั่งเงียบกริบ ดวงตาทุกคู่จับจ้องความงดงามของภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง แม้จะจบไปนานแล้วทั้งหมดก็ยังคงนั่งอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น กระทั่งตัวแทนบริษัทจิวเวอรี่ซึ่งได้สติเป็นคนแรกปรบมือพร้อมกับเอ่ยปากชม

“ยอดเยี่ยม เป็นโฆษณาที่วิเศษที่สุด” เขาหันไปทางนายพีระ “ภาพสวย เพลงประกอบก็ลงตัวผมพอใจกับงานชิ้นนี้มาก”

เขากล่าวคำชมอีกยาวยืดก่อนรับไฟล์งานเพื่อนำไปให้บริษัทแม่ดูอีกครั้ง หลังจากเจรจาเรื่องข้อตกลงพร้อมกับวางแผนงานโฆษณาชิ้นใหม่ให้นายพีระแล้ว ตัวแทนบริษัทผู้นั้นจึงขอตัวกลับ จากนั้นทั้งหมดจึงนำเสนองานชิ้นต่อไปซึ่งมีทั้งการถ่ายภาพยนต์โฆษณาและการจัดอีเวนท์ติดต่อกันถึงห้างาน สำหรับการประชุมในครั้งนี้ค่อนข้างเคร่งเครียดเพราะแต่ละงานจัดอย่างกระชั้นกันมากจนต้องมีการนำเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานออกไปช่วย และแน่นอนว่าจิรายุสก็เป็นหนึ่งในนั้น

เลยเวลาเที่ยงไปเกือบครึ่งชั่วโมงการประชุมจึงจบลง เพื่อฉลองความสำเร็จและเป็นการขอบคุณ นายพีระสั่งอาหารญี่ปุ่นจากร้านดังย่านสุขุมวิทมาเลี้ยงพนักงานทุกคน เมื่ออิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้าแล้วทั้งหมดจึงเริ่มลงมือทำงานต่อ ยกเว้นจิรายุสซึ่งได้รับอนุญาตให้กลับบ้านพักผ่อนอย่างเต็มที่หนึ่งวัน ซึ่งชายหนุ่มยอมปฏิบัติตามด้วยความยินดี ทันทีที่ถึงคอนโด สิ่งแรกที่จิรายุสทำก็คือทิ้งตัวลงบนเตียงและหลับไปทั้งชุดทำงาน

การพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มทำให้เช้าวันต่อมา จิรายุสลืมตาตื่นด้วยความแจ่มใส หลังจากประกอบกิจวัตรประจำวันตามปรกติและรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยเขาจึงเดินทางไปทำงาน เมื่อไปถึงชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่เห็นนายประพจน์กำลังเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น พอเห็นจิรายุสเท่านั้นเขาก็ยิ้มกว้างพร้อมกับปรี่เข้ามาหา

“มาแล้วเหรอเต่า”

“ครับ”จิรายุสรับคำด้วยความงุนงง เพราะสีหน้าท่าทางของหัวหน้าแผนกในวันนี้ดูหลุกหลิกผิดไปจากทุกวัน ความสงสัยทำให้เขาหลุดปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “มีอะไรหรือเปล่าครับพี่พจน์”

“ก็มีนะสิ” นายประพจน์ตอบพร้อมกับถอนใจออกมาอย่างแรงก่อนเดินย้อนกลับไปหยิบแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ “จำงานชิ้นนี้ได้หรือเปล่า”

ถามพลางยื่นแฟ้มส่งให้จิรายุส เขาเปิดดูรายละเอียดภายในแล้วขมวดคิ้ว

“โฆษณาครีมกันแดด แต่ผมไม่ได้เป็นคนดูแลงานชิ้นนี้”

เขามองหัวหน้าและชะงักคำพูดเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังเคาะโต๊ะอย่างกระวนกระวายใจ “ทำไมหรือครับ”

“นางแบบคือคุณมุกมณี” นายประพจน์ตอบพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ จิรายุสปิดแฟ้มก่อนส่งคืนให้หัวหน้า

“เธอมีปัญหาอะไรหรือครับ”

นายประพจน์สั่นศีรษะ

“เปล่า ปัญหาอยู่ที่ช่างภาพของเราต่างหาก” เขาพูดพลางขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น “ผมเพิ่งได้ข่าวว่าสัญชัยเข้าโรงพยาบาล”

“พี่สัญเป็นอะไรหรือครับ”

จิรายุสถามด้วยความตระหนก เพราะนับตั้งแต่ทำงานกับบริษัทนี้ นอกจากอาการเมาค้างแล้ว ช่างภาพที่ชื่อสัญชัยไม่เคยป่วยจนเข้าโรงพยาบาลเลยสักครั้ง นายประพจน์ถอนใจออกมาอีกครั้งก่อนตอบ

“ผมเองก็ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก แต่เท่าที่ได้ยิน ดูเหมือนเขาจะติดเชื้ออะไรบางอย่างทำให้เกิดแผลพุพองทั้งตัว”

“แบบนี้ก็แย่สิครับ” จิรายุสพึมพำ เพราะนอกบริษัทนี้มีแค่สัญชัยเท่านั้น ที่ทำหน้าที่เป็นช่างถ่ายภาพ นายประพจน์พยักหน้ารับ

“ใช่ แย่ แต่ยังดีที่เรามีช่างภาพสำรองอยู่อีกคน” ไม่พูดเปล่า หัวหน้าคนเก่งยังชำเลืองตามาทางจิรายุส การมองอย่างมีเลศนัยทำให้เขานึกสังหรณ์ใจบางอย่างขึ้นมาในทันที

“อย่าบอกนะครับว่า...”

“ถูกต้องแล้วเต่า นับแต่นี้เป็นต้นไปคุณต้องรับหน้าที่เป็นช่างภาพไปจนกว่าสัญชัยจะกลับมาทำงานได้”

ถึงจะชอบการถ่ายรูปมากแค่ไหน แต่จิรายุสก็ไม่เคยคิดที่จะทำหน้าที่เป็นช่างภาพ เพราะเขาคิดว่าตัวเองยังไม่เก่งจนถึงขั้นนั้น ที่สำคัญเขามีความสุขกับงานที่ทำในตอนนี้มากกว่า การได้รับมอบหมายอย่างกะทันหันทำให้ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ

"แต่ผม”

“อย่าปฏิเสธ” นายประพจน์ดักคออย่างรู้ทัน “จากที่พวกเราเห็น ฝีมือคุณดีไม่แพ้สัญชัย บางทีอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ อัญมณีแห่งหิมพานต์เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดี ดังนั้น”

เขาเว้นระยะคำพูดเล็กน้อยก่อนยื่นแฟ้มส่งให้จิรายุส

“เรานัดคุณมุกมณีไว้วันนี้ บ่ายโมงตรง”

“แต่ผมยังมีงานที่ต้องทำ” จิรายุสแย้งไม่เต็มเสียง นายประพจน์จึงตบไหล่เขาสองสามครั้ง

“ผมจะให้คนอื่นทำแทน ตอนนี้คุณเอาแผนงานไปนั่งอ่านและเตรียมตัวให้พร้อม อย่าให้คุณมุกมณีต้องอารมณ์เสียอย่างเด็ดขาด เข้าใจไหม”

เมื่อไม่มีทางปฏิเสธจิรายุสจึงจำต้องผงกศีรษะพร้อมกับกล่าวรับคำ

“ครับ”

นายประพจน์ส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับตบบ่าอีกครั้งเหมือนเป็นการให้กำลังใจก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องทำงาน

จิรายุสยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่ชั่วอึดใจก่อนไปนั่งที่โต๊ะ จากนั้นจึงเริ่มอ่านแผนงานทั้งหมดอย่างละเอียด เมื่อเข้าใจดีแล้วเขาจึงเริ่มร่างแบบคร่าวๆที่จะต้องใช้ลงสมุดกระทั่งถึงเวลาเที่ยงวัน หลังจากรับประทานแล้ว ชายหนุ่มจึงตรงดิ่งไปยังห้องสตูดิโอเพื่อตรวจเช็คอุปกรณ์ทั้งหมด เพื่อให้พร้อมสำหรับนางแบบสาว มุกมณี

*/*/*/*/*/*




Create Date : 15 กันยายน 2556
Last Update : 15 กันยายน 2556 9:09:47 น.
Counter : 484 Pageviews.

0 comment
รักละไม ไอทะเล บทที่ 2 มุกมณี (2)
 

เธอมองช่อแก้วตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและส่งยิ้มให้อย่างดูแคลน อีกฝ่ายโกรธจนตัวสั่นและตรงรี่เข้าไปตบแก้วน้ำส้มในมือมุกมณีจนหกกระจาย เย็นตาโฟยืนตกตะลึงตาค้างในขณะที่รัศมีฟ้าส่งเสียงอุทานพร้อมกับมองคราบสีเหลืองที่เปรอะเปื้อนบนชุดของเพื่อนนางแบบสาวด้วยความตระหนก ส่วนช่อแก้วเชิดหน้าขึ้นอย่างสะใจ

 

“คราบน้ำส้มมันยังล้างออก แต่คราบอย่างอื่นมันจะติดอยู่กับเธอไปจนวันตาย”

 

หญิงสาวกระแทกเสียงในประโยคสุดท้ายก่อนสะบัดหน้าเดินจากไป มุกมณีซึ่งยังคงยืนอยู่ในท่าเดิมจึงพูดขึ้น

 

“คงเปื้อนคราบแบบนี้มาแล้วสินะ ถึงได้รู้ดี”

 

ช่อแก้วหยุดชะงักและหมุนตัวกลับหันมามองทันที

 

“ว่าไงนะ”

 

ไม่ต้องมอง มุกมณีก็รู้ว่าเวลานี้หน้าตาของช่อแก้วคงบูดเบี้ยวไม่ต่างไปจากยักษ์ เธออมยิ้มมุมปากอย่างนึกขันก่อนจะเชิดหน้าขึ้น

 

“ฉันพูดว่า” เธอหันหน้าไปประจันกับช่อแก้ว “มีแต่คนที่เคยโดนมาแล้วเท่านั้น ที่รู้เรื่องคราบแบบนี้ดี”

 

ช่อแก้วกรีดร้องดังลั่นและชี้หน้านางแบบสาวชื่อดังด้วยความโกรธ

 

“นังมุก

 

หล่อนปรี่เข้าไปหามุกมณีหมายจะตบให้หนำใจแต่เย็นตาโฟแกล้งยื่นขาออกมาขัด ช่อแก้วจึงสะดุดล้มหน้ากระแทกพื้น

 

“ตายแล้วคุณช่อแก้ว เจ็บมากมั้ยคะ” เกย์หนุ่มแกล้งถามและปิดปากหัวเราะคิกคักเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น “จมูกย่นลงไปเยอะเลย แบบนี้ต้องรีบไปศัลย์อย่างด่วน ไม่งั้นมีหวังขายไม่ออก”

 

ช่อแก้วเม้มปากแน่นก่อนลุกขึ้นและขยับเตรียมจะด่าเย็นตาโฟแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงใครคนหนึ่งเอ่ยเรียก

 

“แก้ว”

 

ชายหนุ่มหน้าตาดีในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจก้าวเข้ามา เขามองทุกคนด้วยดวงตาฉงนก่อนจะไปหยุดที่รัศมีฟ้ากับมุกมณี ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องที่เธออาละวาดไปเมื่อครู่ ช่อแก้วจึงรีบส่งยิ้มหวานให้

 

“พี่สันต์” หล่อนเรียกด้วยความดีใจพร้อมกับถลาเข้าไปคล้องแขนและเอียงหน้าซบ “วันนี้ทำไมมาเร็วจังคะ”

 

เสียงออดอ้อนฉอเลาะจนเย็นตาโฟแอบทำหน้าเหมือนอยากจะอาเจียน  นายตำรวจหนุ่มยิ้ม

 

“ประชุมเสร็จเร็วน่ะครับ” เขาก้มลงมองช่อแก้วแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหญิงสาวสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับตอนออกจากบ้าน “งานเลิกแล้วเหรอครับ”

 

“ค่ะ” ช่อแก้วตอบ นายตำรวจหนุ่มจึงยิ้ม

 

“งั้นเราไปหาอะไรทานกันก่อนดีไหมครับ”

 

เขาเสนอเพราะรู้ดีว่าตั้งแต่เช้า นอกจากน้ำเต้าหู้เพียงแก้วเดียวแล้ว ช่อแก้วยังไม่ได้กินอะไรเลย แต่หญิงสาวกลับสั่นศีรษะ

 

“แก้วมีเดินแบบอีกงาน ขืนกินอะไรเข้าไปมีหวังท้องป่องขายหน้าเขาตาย”

 

นายตำรวจหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความเป็นห่วง แต่เพราะไม่อยากขัดใจหญิงสาวเขาจึงผงกศีรษะ

 

“งั้นก็ตามใจ” เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนพูดพึมพำ “แต่ผมไม่อยากให้คุณท้องว่าง เอาอย่างนี้ เราไปหาอะไรดื่มกันก่อนดีไหม อย่างพวกโกโก้ร้อนหรืออะไรทำนองนั้น”

 

แน่นอนว่านางแบบหุ่นดีอย่างช่อแก้วย่อมไม่ชอบเครื่องดื่มน้ำตาลสูงอย่างที่คนรักเสนอ แต่ความที่อยากจะออกไปให้พ้นจากที่นั่นเร็วๆ เธอจึงพยักหน้ารับ

 

“ก็ดีค่ะ” หญิงสาวทำเป็นปรายตามองไปทางมุกมณีทำนองเยาะ “ไปกันเถอะ”

 

นายตำรวจหนุ่มหันไปส่งยิ้มพร้อมกับกล่าวคำอำลาต่อมุกมณีและรัศมีฟ้า ก่อนพาช่อแก้วออกจากงาน เมื่อทั้งสองพ้นห้องไปแล้วเย็นตาโฟซึ่งยืนคันปากมานานจึงโพล่งขึ้น

 

“หมั่นไส้ มีแฟนเป็นตำรวจหน่อยทำเป็นยืด”

 

รัศมีฟ้าหัวเราะเบาๆ

 

“ช่างเขาเถอะค่ะพี่โฟ อย่างน้อยคุณสันติก็ทำให้ช่อแก้วสงบสติอารมณ์ลงได้”

 

คุณสันติที่เธอพูดถึงคือ ร้อยตำรวจเอกสันติ พิทักษ์ธรรมอภิบาล แฟนหนุ่มของช่อแก้วที่คบหากันมากว่าสามปี เย็นตาโฟกระแทกลมหายใจฮึดฮัด พร้อมกับบ่น

 

“แต่พี่ว่าหล่อนดัดจริตมากกว่า คนอะไรจะสงบได้เร็วขาดนั้น” เขาย่นจมูก “อยากให้พ่อรูปหล่อนั่นมาเห็นตอนหล่อนอาละวาดจัง จะได้รู้ว่านิสัยจริงๆของยายนี่เป็นยังไง”

 

ประโยคสุดท้ายหันไปพูดกับมุกมณี แต่หญิงสาวกลับไม่แสดงสีหน้าหรืออารมณ์อะไรตอบกลับมานอกจากพูดสั้นๆ

 

“มุกหิว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

 

“เดี๋ยวก็ต้องเดินแบบอีกงาน อย่าเพิ่งทานอะไรดีกว่าค่ะมุก” รัศมีฟ้าปรามแต่นางแบบสาวกลับยิ้ม

 

“มุกเป็นพวกระบบอาหารเผาผลาญเร็วค่ะ”

 

พูดจบก็เดินออกไปทันที เย็นตาโฟหันไปส่งยิ้มให้กับนางแบบทุกคนก่อนวิ่งตาม เสียงใครคนหนึ่งเปรยขึ้นมา

 

“สองคนนี่ดูยังไงก็เหมือนราชินีกับนางทาส”

 

รัศมีฟ้านิ่วหน้าอย่างไม่พอใจก่อนจะหันไปมองหน้าคนพูด

 

“พี่โฟกับมุกเป็นพี่ชายกับน้องสาวที่รักกันมากต่างหาก” เธอเลื่อนสายตากลับไปยังคนทั้งสองอีกครั้งก่อนพูดพึมพำ “เป็นคู่ที่ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่มีวันแยกจากกัน”

 

 

มุกมณีเดินออกจากสถานที่จัดงานข้ามถนนไปยังโรงแรมฝั่งตรงกันข้าม และตรงดิ่งไปยังห้องอาหารซึ่งบริการลูกค้าแบบบุพเฟต์ ซึ่งหลากหลายไปด้วยอาหารนานาชนิด โดยเฉพาะของสดจำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา สิ่งแรกที่มุกมณีเลือกคือกุ้งทะเลกับปลาเก๋าตัวใหญ่ เมื่อได้ขนาดที่พอใจแล้วเธอจึงส่งให้พนักงานนำไปปรุง จากนั้นจึงเดินเลือกอาหารอื่นไปนั่งรับประทาน

 

“กินเยอะแบบนี้ระวังจะใส่ชุดไม่ลงนะ” เย็นตาโฟพูดเมื่อเห็นอาหารที่วางจนเต็มโต๊ะ มุกมณียักไหล่พลางใช้ตะเกียบคีบปลาดิบชิ้นใหญ่ใส่ปากเคี้ยวอย่างไม่สนใจ

 

“พี่โฟไม่ทานอะไรเหรอคะ” เธอถามเมื่อเห็นช่างแต่งหน้าหนุ่มนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ เขามองกองอาหารตรงหน้าก่อนเบะปาก

 

“เห็นที่มุกหยิบมาพี่ก็กินอะไรไม่ลงแล้วละ”  

 

“งั้นก็ตามใจ” ไม่พูดเปล่า นางแบบสาวยังคีบปลาดิบอีกชิ้นส่งเข้าปากเหมือนจะยั่ว เย็นตาโฟกลืนน้ำลายลงคอด้วยความอยากกินแต่ก็ยังทำเป็นนิ่งเฉย แต่พอพนักงานนำจานกุ้งย่างปลาเผามาวาง กลิ่นหอมยั่วยวนชวนน้ำลายไหลทำให้มาดที่อุตส่าห์วางไว้ก็ระเบิดกระจาย เย็นตาโฟลุกขึ้นไปเลือกอาหารทันที ไม่ถึงอึดใจโต๊ะที่ทั้งสองคนนั่งก็เต็มไปด้วยของกินนานาชนิด และหมดเรียบภายในเวลาไม่นาน

 

“อร่อยจัง” เย็นตาโฟพูดพลางลูบพุงของตัวเอง มุกมณีวางกาแฟที่เธอกำลังดื่มลง

 

“ไหนทีแรกบอกว่าไม่กิน”

 

“พี่บอกว่ากินไม่ลงต่างหาก” เย็นตาโฟแก้พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “เหลือเวลาอีกสองชั่วโมง ไปกันได้แล้วละมุก”

 

หญิงสาวผงกศีรษะและเปิดกระเป๋า แต่เย็นตาโฟร้องห้าม

 

“มื้อนี้พี่เลี้ยง”

 

พูดพลางยกมือขึ้นโบกเรียกพนักงาน  เมื่อชำระค่าอาหารแล้วทั้งสองจึงเดินย้อนกลับไปยังโรงแรมที่จัดงานอีกครั้งและตรงไปยังที่จอดรถ ตอนแรกเย็นตาโฟบอกให้มุกมณียืนรอ เขาจะขับมารับแต่นางแบบสาวปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าเป็นการเดินเพื่อย่อยอาหาร เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้วทั้งคู่จึงเดินทางไปยังสถานที่จัดงานการกุศล ซึ่งแม้จะต้องพบกับช่อแก้ว แต่เพราะมีนายตำรวจหนุ่มอยู่ด้วย หล่อนจึงไม่กล้าแสดงกิริยาอะไรออกมา เมื่องานเลิกและแวะรับประทานอาหารมื้อดึกกับเย็นตาโฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจึงกลับคอนโดและทบทวนงานในวันต่อไป จากนั้นจึงเข้านอน ความเหน็ดเหนื่อยทำให้นางแบบสาวหลับสนิทลงอย่างรวดเร็ว

 

*/*/*/*/*/*

 




Create Date : 12 กันยายน 2556
Last Update : 12 กันยายน 2556 18:04:13 น.
Counter : 338 Pageviews.

0 comment
รักละไม ไอทะเล บทที่ 2 มุกมณี
 

บทที่ 2 มุกมณี

 

 

            รถยนต์สีแดงเพลิงเร่งความเร็วเมื่อคนขับเห็นสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากเขียวมาเป็นเหลือง ท้ายรถผ่านพ้นสี่แยกเมื่อไฟเปลี่ยนสีพอดี ถึงจะไม่ใช่เป็นการฝ่าสัญญาณไฟแดงแต่การได้ทำอะไรอย่างเฉียดฉิวท้าทายแบบนี้สร้างความภาคภูมิใจต่อคนขับเป็นอย่างมาก

 

            เย็นตาโฟส่งเสียงร้องดังลั่นอย่างถูกใจที่สามารถหลุดรอดจากสี่แยกมหากาฬมาได้โดยไม่ติดไฟแดง รถคันงามเลี้ยวเข้าซอยขนาดเล็กซึ่งเป็นทางลัดสู่ถนนสายเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา จุดหมายของช่างแต่งหน้าหนุ่มผู้นี้คือโรงแรมห้าดาวอันเป็นสถานที่จัดงานแสดงแฟชั่นโชว์ของร้านเสื้อชื่อดัง แน่นอนว่ามุกมณีได้รับการติดต่อไปให้ร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

 

            กำหนดงานคือเวลา 14.30 น. แต่เพราะคืนที่ผ่านมามุกมณีต้องไปถ่ายแบบโฆษณาให้กับเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง กว่าจะเรียบร้อยเวลาก็ผ่านไปจนถึงสองนาฬิกาของวันใหม่ เย็นตาโฟจึงแน่ใจว่าตอนนี้เธอคงยังไม่ตื่น

 

            สายตาชำเลืองดูนาฬิกาหน้ารถ เขาถอนใจออกมาเมื่อเห็นว่ามันเลยเวลาเที่ยงมาเล็กน้อย หากรอให้นางแบบสาวตื่นและเดินทางออกจากคอนโดเองคงไม่ทันเวลางาน ครั้นจะโทร.ไปปลุกก็กลัวมุกมณีโกรธ เขาจึงตัดสินใจปล่อยให้เธอนอนพักอย่างสบาย เมื่อได้เวลาจึงขับรถไปรับหญิงสาวด้วยตัวเอง

 

            เนื่องจากสถานที่จัดงานกับที่พักของหญิงสาวอยู่บนถนนสายเดียวกัน เย็นตาโฟจึงเลี้ยวรถเข้าซอยย่อยที่ตัดเข้าสู่คอนโดของมุกมณี ชายหนุ่มกดปุ่มลดระดับเสียงเพลงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนมากดหมายเลขมือถือของนางแบบสาว รออยู่ชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงอู้อี้เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนรับสาย

 

            “ยังไม่ตื่นอีกเหรอจ๊ะหนูมุก” เขาถามและหัวเราะชอบอกชอบใจเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบเชิงประชด “พี่รู้ว่าเมื่อคืนมุกทำงานดึก แต่วันนี้เรามีงานแฟชั่นโชว์บ่ายสองจำได้หรือเปล่า”

 

            ชายหนุ่มนิ่งฟังปลายสายบ่นพึมพำราวกับหมีกินผึ้งและรีบพูดทันทีเมื่อหญิงสาวหยุด

 

            “ไม่ได้ แฟชั่นวันนี้เป็นงานของห้องเสื้อระดับโลก จะเหลือแต่ซากยังไงมุกก็ต้องลากสังขารไปให้ได้ ไม่ต้องห่วง พี่รู้ว่ามุกขี้เกียจขับรถ ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวอีกสิบนาทีพี่เข้าไปรับ”

 

            เสียงมุกมณีรับคำก่อนวางสาย เย็นตาโฟจึงวางโทรศัพท์และหันไปให้ความสนใจกับการขับรถตามเดิม ช่วงเที่ยงของวันธรรมดาแบบนี้การจราจรไม่คล่องตัวนัก แม้จะอยู่ห่างจากคอนโดของมุกมณีไม่ถึงสองกิโล แต่กว่าจะฝ่าฟันรถยนต์ที่คับคั่งและหลุดจากไฟแดงไปได้ ก็กินเวลาไปไม่ใช่น้อย

 

            ระหว่างติดสัญญาณไฟ เย็นตาโฟนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ลงท้ายก็วกกลับมาที่เรื่องของเขากับมุกมณี จะเป็นเพราะโชคดีหรือเหตุบังเอิญก็สุดจะเดาที่เขาได้เป็นช่างแต่งหน้าประจำตัวของนางแบบสาวชื่อดังคนนี้

 

            ช่างแต่งหน้า

 

            เย็นตาโฟระบายลมหายใจยาวๆพลางย้อนนึกถึงอดีตครั้งเมื่อยังเป็นเด็ก ครอบครัวของเขาอยู่ต่างจังหวัด มีพี่สาวอยู่สี่คน ตัวเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวแต่คำพูดคำจากลับออกแนวกระตุ้งกระติ้งผิดวิสัยเด็กในวยเดียวกัน จะบอกว่ามันอาจจะเป็นเพราะที่บ้านมีแต่ผู้หญิงก็ไม่ถูกนัก เพราะทุกอย่างมาจากความรู้สึกของเขา ไม่ว่าจะเป็นความรักสวยรักงาม ชอบการแต่งตัว เรียกได้ว่ามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้

 

อาการเริ่มแรกก็แค่แอบหยิบลิปสติกของแม่ทาปากเล่น ตอนนั้นทุกคนเห็นเป็นเรื่องขำขันแต่พอเย็นตาโฟหยิบเสื้อผ้าพี่สาวและแต่งหน้าเขียนคิ้ว ก็ถูกพ่อจับเฆี่ยนจนหลังลาย นับแต่นั้นเขาจึงไม่กล้าแสดงอะไรออกมาอีกเลยจนกระทั่งเข้าสู่ชั้นมัธยม ถึงจะมีรูปร่างค่อนไปทางท้วมแต่ความที่มีหน้าตาหล่อเหลา ทำให้สาวๆมาชอบมากพอดู แต่เย็นตาโฟไม่สนใจใครเลยสักนิด ไม่ชอบแม้กระทั่งนิตรสารปลุกใจเสือป่าที่เพื่อนผู้ชายชอบจับกลุ่มดูกันในห้องน้ำ ตรงกันข้ามเขาจะใจเต้น หน้าร้อนผ่าวเวลาเจอหัวหน้าทีมฟุตบอลสุดหล่อประจำโรงเรียน และพูดอะไรไม่ออกทันทีที่ได้อยู่ใกล้ ถึงอย่างนั้นเย็นตาโฟก็ยังไม่กล้าแสดงอะไรออกมาเพราะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องผิดปรกติ และเป็นสิ่งน่าอาย

 

เย็นตาโฟสับสนกับตัวเองอยู่นานจนเห็นการ์ตูนและนิยายแนวยาโออิหรือชายรักชายที่เพื่อนนักเรียนหญิงขอบอ่าน ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มเริ่มรู้จักกับคำว่าเพศที่สามและเส้นทางสายสีม่วง และแน่ใจว่าเขาไม่ใช่กระเทย เพราะถึงจะชอบเพศเดียวกัน รักความสะอาดและการแต่งตัว แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยนึกอยากจะเป็นผู้หญิง

 

ถึงจะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เย็นตาโฟก็ยังไม่กล้าแสดงออกกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยและเริ่มหางานทำ แต่ก็อยู่ที่ไหนได้ไม่นานเพราะพอคนในบริษัทรู้ว่าเขาเป็นเกย์ก็จะตั้งข้อรังเกียจและหาเรื่องแกล้งจนเขาทนไม่ไหว ต้องลาออกในที่สุด เมื่อทำงานที่ไหนไม่ได้ เย็นตาโฟจึงหันไปเรียนด้านการแต่งหน้า และรับงานไปทั่วตั้งแต่นางรำวงงานวัดไปจนถึงประกวดเทพีประจำจังหวัด ระหว่างนั้นก็ไปสมัครเข้าทำงานกับบริษัทโมเดลลิ่งรวมไปถึงกองถ่ายทำภาพยนต์ แต่ก็พลาดทั้งหมดเพราะเขาไม่มีเส้นมีสายเหมือนคนอื่น     

 

การพลาดงานหลายครั้งไม่ได้ทำให้เย็นตาโฟท้อ ตรงกันข้ามเขากลับมีความมุมานะมากยิ่งขึ้น เริ่มแรกชายหนุ่มปรับปรุงบุคลิกของตัวเองให้เด่นและแรง เปลี่ยนชื่อใหม่จากพิภพ เป็นเย็นตาโฟ ด้วยเหตุผลว่ามันเป็นก๋วยเตี๋ยวที่มีสีจัดจ้านซ้ำเครื่องปรุงยังหลากหลายเหมือนสีสันของอายชาโดว์กับลิปสติก เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวทุกชิ้นถ้าไม่ขาวสะอาดทั้งชุด ก็จะเป็นสีสันสดใส โดดเด่นสะดุดตา จนบางครั้งมุกมณียังเหน็บเขาว่า เหมือนนกแก้วมาคอร์

 

ความพยายามของเขาทำให้มีงานเข้ามาบ้าง แต่ยังไม่มากพอจะเป็นอาชีพ กระทั่งเย็นตาโฟเข้าร่วมการประกวดนางแบบหน้าใหม่และได้จับคู่กับมุกมณี ฝีมือการแต่งหน้าที่เหนือชั้นกับคำแนะนำเรื่องเสื้อผ้าของเขา ทำให้หญิงสาวซึ่งหน้าตาสวยอยู่แล้วมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นประกอบกับท่วงท่าการเดินที่แสนสง่างามกับการไหวพริบที่ดีเลิศ ทำให้เธอชนะใจกรรมการทุกคน และก้าวเข้าสู่วงการนางแบบนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

 

 แน่นอนว่ามุกมณีมอบหน้าที่ให้เย็นตาโฟเป็นช่างแต่งหน้า และเป็นเสมือนผู้จัดการส่วนตัวของเธอด้วยกลายๆ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันแทบจะเกือบทุกที่ มุกมณีให้ความไว้วางใจและเคารพรักเขาเหมือนพี่ชายในขณะเดียวกันเย็นตาโฟก็รักและยินดีทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ

 

ถึงบางครั้งจะโดนนางแบบสาวจิกใช้ราวนางทาสก็ตาม

 

เย็นตาโฟยิ้มให้กับความคิดสุดท้าย ถึงมุกมณีจะเป็นคนเอาแต่ใจ แต่ถ้ารู้นิสัยและเข้าใจเธอดีแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากในการพูดคุยหรือติดต่อเธอไปร่วมงาน

 

นางแบบสาวผู้นี้มีกฏเหล็กอยู่สามข้อคือ หนึ่ง ไม่สวมเสื้อผ้าหวือหวาล่อตาล่อใจโดยเฉพาะชุดว่ายน้ำ สองไม่รับงานโฆษณาสินค้าจำพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และข้อสามซึ่งสำคัญที่สุด เธอยินดีเดินทางไปถ่ายแบบทุกสถานที่ ยกเว้นชายทะเลหรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่อย่างทะเลสาปหรือแม่น้ำลำคลอง เพราะตอนเป็นเด็กเธอเคยถูกคลื่นพัดออกจากชายหาด โชคดีที่มีคนช่วยได้ทัน

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเธอถึงอาละวาดพังราวแขวนเสื้อในงานแฟนชั่นโชว์ เพราะก่อนทำสัญญา ทั้งเขาและเธอย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องไม่มีชุดว่ายน้ำ แต่พอเอาเข้าจริงเจ้าของงานกลับแอบปนชุดที่ว่านี้เข้าไปด้วย เหมือนเป็นการบังคับกลายๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะไม่เพียงโยนชุดทั้งหมดลงพื้นแล้ว มุกมณียังเดินเชิดออกจากงานกลางคัน ทิ้งให้นางแบบที่เหลือหัวปั่นกับการจัดลำดับคิวแฟชั่นใหม่ทั้งหมด และไม่สนด้วยว่าวันรุ่งขึ้นนักข่าวจะพาดหัวหน้าหนึ่งว่าอะไร

 

เกย์หนุ่มหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานเมื่อนึกถึงหน้าของผู้จัดการงานที่ซีดจนเหลือไม่ถึงสองนิ้ว เพราะหัวใจของงานครั้งนั้นไม่ใช่ดารานักแสดงที่มากันอย่างคับคั่ง แต่เป็นมุกมณี นางแบบเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถดึงทุกสายตาผู้ร่วมงานทุกคน

 

รถยนต์สีร้อนแรงชะลอความเร็วลงเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถของคอนโดหรู เย็นตาโฟหยิบกระเป๋าอุปกรณ์แต่งหน้าและยัดสมาร์ตโฟนใส่กางเกงก่อนเดินตรงไปยังลิฟต์ ห้องพักของมุกมณีอยู่บนชั้นที่ 25 ซึ่งเป็นห้องสวิทราคาแพงที่สุด เมื่อไปถึงเขาเคาะประตูด้วยจังหวะที่เป็นรหัสซึ่งรู้กันเพียงสองคน พอเห็นหน้าหญิงสาว เย็นตาโฟถึงกับเอามือทาบอกและร้องอุทานด้วยความตกใจ

 

“ตายแล้วมุก ทำไมหน้าเธอถึงได้มันแผลบเหมือนไปจุ่มในหม้อน้ำมันหมูมาแบบนี้”

 

“มาถึงก็โวยวายเลยนะ” มุกมณีตอบพลางเดินไปหยิบกระดาษมาซับอย่างบรรจง “มุกพอกครีมน่ะ”

 

“ครีมอะไร ทำไมถึงเยิ้มขนาดนี้”

 

มุกมณีชี้ไปที่กระปุกซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เย็นตาโฟหยิบขึ้นมาดูและเบ้ปากเมื่อพบว่ามันเป็นครีมยี่ห้อดังราคาแพงจากต่างประเทศ

 

“ครีมดีมันต้องซึมเข้าผิวสิ” เขาบ่น หญิงสาวเลยเดินไปชี้ให้เขาอ่านรายละเอียด

 

“มันเป็นครีมอบไอน้ำค่ะพี่โฟ”

 

พูดจบเธอก็เดินหายเข้าห้องน้ำ ระหว่างนั้นเย็นตาโฟจึงเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรมารองท้องเพราะตั้งแต่เช้านอกจากกาแฟแล้วเขายังไม่ได้กินอะไรเลย แต่พอเห็นสิ่งที่อยู่ในตู้ ชายหนุ่มก็อุทานออกมาด้วยความแปลกใจ

 

“โอ้โห นี่มันตู้เย็นนางแบบหรือซุปเปอร์มาเก็ตห้าง ทำไมของกินมันถึงได้เยอะแยะแบบนี้”

 

เขามองชั้นเก็บของสดซึ่งมีทุกอย่างตั้งแต่หมู ไก่ ปลา กุ้ง โดยเฉพาะสองอย่างหลังมีมากที่สุด ส่วนช่องเก็บผักก็ถูกอัดแน่นไปด้วยผักเกือบทุกประเภท ตรงกลางก็เต็มไปด้วยเครื่องดื่มจำพวกน้ำผลไม้และนมสด ไม่นับรวมของหวานอย่างเช่นช็อคโกแลตรสต่างๆที่กินพื้นที่ไปหนึ่งชั้นเต็มๆ มุกมณีซึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเช็ดหน้าพลางตอบ

 

“เวลากลับมาตอนกลางคืนมุกหิวนี่นา บางวันไม่มีงาน ขี้เกียจออกไปไหนก็นั่งทำอะไรกินเล่น”

 

“เธอเป็นนางแบบ กินไม่บันยะบันยังแบบนี้มีหวังอ้วนตาย” เย็นตาโฟติง หญิงสาวยักไหล่

 

“ไม่มีทางหรอก มุกออกกำลังกายเป็นประจำ กินแค่ไหนก็ไม่อ้วน” เธอเดินไปหยิบขนมปังแถว แฮมกับชีสแผ่นมาวางเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหาอะไร “ทำเผื่อมุกด้วย”   

 

            สั่งเสร็จก็เดินเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เย็นตาโฟจึงลงมือทำแซนวิชอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ลืมต้มกาแฟด้วย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย มุกมณีก็แต่งตัวเสร็จพอดี เธอมองแซนวิชที่ถูกหั่นไว้พอดีคำแล้วยิ้มอย่างถูกใจ

 

            “แบบนี้ต้องให้พี่โฟมารับบ่อยๆ”

 

            “ไม่ไหวหรอก บ้านมุกกับบ้านพี่อยู่ห่างกันจะตาย” เย็นตาโฟพูดพลางรินกาแฟส่งให้หญิงสาว “อย่ามัวแต่พูด รีบกินจะได้รีบไป งานนี้ห้ามสายเด็ดขาด ยายช่อแก้วยิ่งอยากแย่งตำแหน่งเทพีประจำงานอยู่ด้วย”

 

            ช่อแก้วที่เขาพูดถึงเป็นนางแบบในสังกัดเดียวกัน แต่มักหาเรื่องกลั่นแกล้งหรือแขวะเธอด้วยความอิจฉาอยู่ตลอดเวลา

 

            “เทพีหน้าหงิกละไม่ว่า” มุกมณีเหน็บอย่างไม่ใส่ใจนักพลางหยิบแซนวิชใส่ปากเคี้ยว เย็นตาโฟมองเธอแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

 

            “อย่าประมาท ความสวยเป็นสิ่งไม่คงทน เผลอหน่อยเดียวผิวก็เหี่ยวเหนียงยานเป็นคอนกกระทุงกันหมด”

 

            มุกมณีหัวเราะลั่นด้วยความขบขัน

 

            “วันนี้พี่โฟมาแปลก อยู่ๆก็แสดงธรรมให้ฟัง จะไปบวชชีหรือไงกันคะ”

 

            เย็นตาโฟค้อนปะหลับปะเหลือก

 

            “เราอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดียังจะมาทำเป็นเล่นอีก ทีหลังไม่พูดอะไรให้ฟังแล้ว”

 

            นางแบบสาวนั่งอมยิ้มไม่ตอบอะไรเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธจริงจังนัก เธอเอื้อมไปหยิบสมุดบันทึกตารางงานมาเปิดดูและย่นจมูกอย่างเบื่อหน่ายเมื่อพบว่าวันนี้เธอต้องไปเดินแบบถึงสองงาน และอีกงานก็เป็นการเดินการกุศลที่บรรดาคุณหญิงคุณนายจัดขึ้นเพื่อมูลนิธิอะไรบางอย่างที่เธอไม่สนใจจำ

 

            “ต้องเดินแบบชุดไทยด้วย” มุกมณีบ่นอุบ เย็นตาโฟซึ่งกำลังละเลียดแซนวิชอย่างเอร็ดอร่อยจึงอธิบาย

 

            “งานนี้เป็นชุดไทยประยุกต์ ได้ยินมาว่าคนออกแบบเป็นลูกคุณหญิงที่จบดีไซเนอร์มาจากเมืองนอก เครื่องทรงคงอลังการงานสร้างน่าดู”

 

            นางแบบสาวผงกศีรษะแต่ไม่พุดอะไร เธอดูงานล่วงหน้าอีกสองวันเพื่อจะได้เตรียมตัวถูกจากนั้นจึงวางสมุดและยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

 

            “ไปกันหรือยังพี่โฟ”

 

            “แหม พออิ่มก็จะไปทันทีเลยนะ” เย็นตาโฟบ่นพร้อมกับคว้าแซนวิชชิ้นสุดท้ายเข้าปาก แต่พอจะหยิบถ้วยไปล้าง มุกมณีก็ห้าม

 

            “ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวมุกจัดการเอง”

 

            พูดจบก็เดินนำออกจากห้อง เย็นตาโฟจึงรีบคว้าประเป๋าเครื่องสำอางก้าวตาม จากนั้นทั้งคู่จึงออกเดินทางไปยังสถานที่จัดงานภายในโรงแรมระดับห้าดาวซึ่งอยู่ใจกลางเมือง

 

            จอดรถเรียบร้อยทั้งเย็นตาโฟและมุกมณีจึงเข้าไปในงานพร้อมกัน ทันทีที่ก้าวไปในส่วนของนางแบบ เสียงใครคนหนึ่งก็ร้องเรียก

 

            “มุก”

 

            หญิงสาวหันไปส่งยิ้มหวานให้กับคนทักพร้อมกับเอ่ยชื่อ

 

            “คุณฟ้า” เธอเดินเข้าไปหาเพื่อนนางแบบด้วยกัน ซึ่งตอนนี้แต่งหน้าทำผมจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว “มาถึงนานแล้วเหรอคะ”

 

            “ก็พักใหญ่แล้วละจ้ะ ว่าแต่มุกเถอะทำไมมาเอาป่านนี้ งานใกล้จะเริ่มแล้วเดี๋ยวแต่งตัวไม่ทันหรอก”

 

            ระหว่างสนทนา นางแบบอีกหลายคนรวมทั้งเจ้าของงานต่างเดินเข้ามาทักและแนะนำให้เธอรีบแต่งตัว หญิงสาวรับคำพลางมองหาราวแขวนเสื้อส่วนของเธอ แต่ในระหว่างที่กำลังอ่านป้ายชื่ออยู่นั้นเองเสียงใครบางคนก็ดังขึ้น

 

“เป็นคนดังนี่ดีจังเลยนะ มาสายยังไงก็ไม่โดนว่า” ช่อแก้ว นางแบบสาวในชุดลำลองสีฟ้าสดเปรยโดยตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน เย็นตาโฟหันขวับเพื่อจะโต้แต่คำพูดชะงักค้างอยู่ในปากเมื่อมุกมณียื่นมือมาสะกิด

 

“ช่วยไม่ได้” นางแบบสาวพูดขึ้นมาลอยๆ “จะทำบ้างก็ได้นะ แต่คงยากหน่อยเพราะยังไม่มีใครจำชื่อได้”

 

คำยอกย้อนอย่างเจ็บแสบทำให้ช่อแก้วเต้นเร่าๆ หล่อนชี้หน้าอีกฝ่ายพร้อมกับแผดเสียงลั่น

 

“มันจะมากไปแล้วนะนังมุกมณี”

 

เธอก้าวพรวดเข้าไปหาหมายปะทะคารมให้หนำใจ สงครามระหว่างมุกมณีกับช่อแก้วคงบานปลายมากกว่านั้นถ้าผู้จัดงานไม่เข้ามาห้ามเสียก่อน

 

“พอเถอะครับคุณช่อแก้ว เกิดนักข่าวเข้ามาเห็นจะไม่ดีต่อภาพพจน์ของคุณนะครับ”

 

เขาเตือนอย่างสุภาพเมื่อเห็นหญิงสาวยอมสงบลงและสะบัดหน้าเดินจากไปแล้วจึงหันไปกล่าวกับมุกมณีด้วยท่าทางสุภาพมากขึ้น

 

“ชุดของคุณมุกมณีอยู่ด้านนี้ครับ”

 

เขาเดินนำไปยังห้องพักของโรงแรมที่เปิดให้นางแบบสาวโดยเฉพาะ จากนั้นเย็นตาโฟตรวจเสื้อผ้าทุกชุดจนเข้าใจว่าควรใช้สีสันแบบไหนจึงจะเหมาะสมจากนั้นจึงเริ่มลงมือทำผมแต่งหน้า เสร็จเรียบร้อยแล้วมุกมณีจึงสวมชุดตามลำดังหมายเลขที่กำกับไว้

 

การเดินในสามชุดแรกเป็นเครื่องแต่งกายลำลอง เหมาะสำหรับสวมใส่หน้าร้อน คนแรกที่ก้าวขึ้นเวทีคือช่อแก้ว แม้จะได้รับเสียงปรบมือบ้างแต่ก็เป็นไปตามมารยาท ผู้ร่วมงานรวมถึงนักข่าวให้ความสนใจกับเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่เท่านั้น เช่นเดียวกับนางแบบอีกสองคนที่ตามมารวมถึงรัศมีฟ้า

 

การเดินแบบดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อยกระทั่งมุกมณีปรากฏตัวขึ้น ทันทีที่ก้าวขึ้นเวทีบรรดาผู้ชมต่างฮือฮากันอย่างตื่นเต้นปละพร้อมใจกันปรบมือกันสนั่นจนดังออกไปนอกห้อง แสงแฟลชจากกล้องของนักข่าวกะพริบวูบวาบไม่เว้นแม้ผู้ชมที่ยกสมาร์ตโฟนขึ้นบันทึกภาพของเธอกันเป็นระวิง การเยื้องย่างอย่างกระฉับกระเฉงของนางแบบสาวเพิ่มเสน่ห์ให้กับชุดที่สวมใส่จนแขกร่วมงานหลายคนเปรยเบาๆว่าคงต้องซื้อมาใส่บ้าง

 

เมื่อชุดลำลองโชว์ครบแล้ว เสื้อผ้าลำดับต่อไปคือชุดราตรี ซึ่งช่อแก้วปรากฏตัวเป็นคนแรกเช่นเดิม แต่ครั้งนี้เธอได้รับคำชมบ้างเล็กน้อยเพราะชุดเปิดไหล่สีเขียวปักเลื่อมที่เธอสวมใส่งดงามไม่มีที่ติ ในขณะที่ชุดของรัศมีฟ้าดูนุ่มนวล เน้นความเป็นสุภาพสตรี ส่วนชุดอื่นก็มีความสวยงามไม่น้อยหน้ากัน

 

พอถึงคิวของมุกมณี ผู้ร่วมงานทุกคนต่างอ้าปากค้างตกตะลึง เพราะชุดแรกที่เธอสวมใส่เป็นชุดราตรีเกาะอกรัดรูปผ้ากำมะหยี่สีดำสนิท เผยให้เห็นผิวขาวกระจ่างเนียนนุ่ม ไหล่ข้างหนึ่งคล้องด้วยเชือกเส้นเล็กที่ถูกออกแบบคล้ายเถาวัลย์กำลังรัดเกี่ยวดอกไม้ที่ทำจากผ้าชนิดเดียวกัน ส่วนไหล่อีกข้างเปิดเปลือยอวดความกลมกลึง

 

แต่ความน่าตะลึงไม่ได้จบเพียงแค่นั้นเมื่อเธอปรากฏตัวในชุดที่สอง หากครั้งแรกมุกมณีคือนางพญาผู้งดงามอย่างลึกลับ ชุดที่สองนี้กลับให้ความรู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะสีแดงสดราวกลีบกุหลาบทำให้ดูเย้ายวนร้อนแรงดุจมายาไฟ แต่ละก้าวที่เยื้องย่างแทบทำให้เวทีลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง

 

ชุดสุดท้ายของเธอตัดอารมณ์สองครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง เพราะชุดราตรีสีเขียวเหลือบทองที่ค่อนข้างรัดรูปเน้นเรือนร่างสะโอดสะองให้งามสง่าประหนึ่งราชินีผู้มาจากอดีตกาล แค่เดินก้าวแรก ผู้ชมต่างนั่งตัวแข็งไม่กล้าไหวติง จนเมื่อมุกมณีหมุนตัวตรงหน้าเวที บรรดานักข่าวจึงรู้สึกตัว แสงไฟวูบวาบจนตาพร่าขณะที่เสียงปรบมือดังกึกก้อง เมื่อเจ้าของงานออกมายืนท่ามกลางนางแบบ เขาก้มศีรษะพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณต่อผู้ร่วมงานทุกคนก่อนจะผายมือไปที่มุกมณีเป็นคนแรกและนิ่งในท่านั้นอยู่นานจากนั้นจึงกางแขนทั้งสองข้างออกแทนการขอบคุณนางแบบทุกคน

 

เมื่อการเดินแบบเสร็จสิ้นลง มุกมณีจึงกลับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ระหว่างนั้นบริการได้เข้ามาแจ้งว่าเจ้าของงานเชิญนางแบบทุกคนไปร่วมงานเลี้ยงขอบคุณในห้องจัดเลี้ยงที่เตรียมไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แน่นอนว่าเธอไม่เต็มใจจะไปเท่าใดนักแต่เพราะคำเตือนของเย็นตาโฟเรื่องการเข้าสังคม หญิงสาวจึงจำเป็นต้องร่วมงาน

 

ก้าวแรกที่เข้าไปในห้อง มุกมณีต้องพบกับความประหลาดใจเพราะทุกคนต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว ถึงจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแต่หญิงสาวก็พอจะจับความหมายของการมองเหล่านั้น เพราะมันมีทั้งความชื่นชม ยินดีและริษยา ปะปนกัน

 

“มองอะไรกันนะแม่พวกนี้” เย็นตาโฟพึมพำอย่างหงุดหงิดพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าว่านางแบบสาวไปทำอะไรเอาไว้บ้าง บรรดาเพื่อนๆถึงพร้อมใจกันมองด้วยสายตาแบบนี้ แต่เท่าที่นึกออก นอกจากช่อแก้วแล้วหญิงสาวก็ไม่ได้มีเรื่องกับใครทั้งนั้น ว่ากันตามจริงแล้วมุกมณีแทบไม่ได้พูดกับใครสักคน แล้วพวกหล่อนไม่พอใจเรื่องอะไร        

 

ข้อสงสัยถูกไขกระจ่างเมื่อเจ้าของงานซึ่งเป็นชาวต่างชาติก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เขาตรงมาจับมือมุกมณีพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณที่มีส่วนช่วยให้งานประสบความสำเร็จ ชุดที่เธอแสดงได้รับการสั่งจองอย่างล้นหลาม และคลิปแฟชั่นของเธอที่ถูกนำไปเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต มีผู้เข้าชมมากกว่าแสนคนภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที แต่สิ่งที่สร้างความแปลกใจต่อมุกมณีมากที่สุดคือ เธอได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแฟชั่นระดับโลก ที่กรุงปารีส

 

คำชวนอย่างไม่คาดฝันอาจสร้างความตื่นเต้นต่อคนได้ยินเป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่มุกมณี เธอรักษากิริยาอย่างสำรวมพลางกล่าวคำขอบคุณอย่างสุภาพพร้อมกับกล่าวยินดีที่จะได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้งแต่มีข้อแม้ว่าขอให้ช่างแต่งหน้าประจำตัวเธอตามไปด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยินยอม เมื่อตกลงกันได้เจ้าของห้องเสื้อจึงขอตัวไปรับรองแขกคนสำคัญคนอื่นต่อไป

 

เมื่อเจ้าของงานคล้อยหลัง เย็นตาโฟซึ่งพยายามเก็บอาการดีใจเอาไว้ก็หลุดปากโพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น

 

“เราได้ไปฝรั่งเศส” เขาประสานมือพร้อมกับหลับตาลงด้วยความปลาบปลื้ม และถ้าเป็นไปได้ตัวเขาคงลอยขึ้นเหมือนลูกโป่งไปแล้ว แต่แล้วฝันหวานทั้งหมดก็มลายหายไปเมื่อมีเสียงกรี๊ดกร๊าดดังรอบตัว พอลืมตาขึ้นดูจึงพบว่าเพื่อนนางแบบที่รู้เรื่องต่างล้อมวงเข้ามาแสดงความยินดี รัศมีฟ้าส่งแก้วน้ำส้มคั้นให้มุกมณีพร้อมกับพูด

 

“ยินดีด้วยจ้ะมุก”

 

“ขอบคุณจ้ะฟ้า แต่มุกยังไม่รู้เลยว่าจะได้ไปหรือเปล่า ต้องตรวจดูตารางงานก่อนว่าช่วงนั้นมีงานอะไรบ้าง”

 

“เหลวไหล ไม่มีอะไรสำคัญกว่างานนี้อีกแล้วนะ” รัศมีฟ้าแย้ง “นี่เป็นโอกาสดีสำหรับนางแบบอย่างเรา ถ้าโชคดีได้งานเมืองนอกเธอก็จะสบายไปทั้งชาติ”

 

“กลัวว่าจะโดนพาไปหลอกขายมากกว่า” เสียงช่อแก้วดังขัด “เดินแฟชั่นสองสามครั้งเพื่ออัพราคาแล้วพาไปขายให้พวกเศรษฐีผรั่งลามก อย่างว่าแหละนะ นางแบบสวยๆเป็นสินค้าอันดับหนึ่งอยู่แล้ว”

 

“พูดออกมาได้ยังไงน่ะช่อแก้ว” รัศมีฟ้าเตือน แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่

 

“ก็พูดไปแล้วนี่” เธอหันมามองมองมุกมณีอย่างชิงชัง “ไม่ได้อิจฉาหรืออะไรหรอกนะ แต่ฉันขอเตือนในฐานะเพื่อน จะทำอะไรมันก็เรื่องของเธอแต่คิดให้มันรอบคอบก่อน ไม่งั้นน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”

 

เย็นตาโฟโกรธจนหน้าแดง เขาปราดเข้าไปหมายจะด่าข่อแก้วให้สะใจแต่มุกณีดึงเขาไว้และส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างใจเย็น

 

“สินค้าอันดับหนึ่งดีกว่าของที่ขายไม่ออกนะคะ”

 




Create Date : 12 กันยายน 2556
Last Update : 12 กันยายน 2556 18:03:17 น.
Counter : 505 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog