All Blog
ต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 16 (ต่อ)


ต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 16

ทูนอินทร์นั่งทอดถอนใจอยู่ในห้องทำงาน เปิดลิ้นชักหยิบกล่องแหวนออกมาเปิดออก แหวนเพชรเม็ดเล็กแต่สวยงาม ส่งประกายวาว เมธเข้ามาในห้อง

“ทูนเป็นยังไงวะ”
เมธมองแหวนในมือทูนอินทร์
“ผมกะจะขอเขาแต่งงานในคืนนี้ คืนที่ผมคิดว่าผมน่าจะมีความสุขที่สุด เพราะได้สิ่งที่ผมรักถึงสองอย่าง ทั้งเปิดค่ายเพลงและความรักจากรุ้ง แต่แล้วมัน มันพังทลายไปหมด เขาไม่มางาน ติดต่อไม่ได้ เขาคงไม่อยากอยู่ในสังกัดของเราแล้วละครับพี่”
“เอาน่า ทำใจร่มๆไว้ จะบอกให้ว่ารุ้งเขามาแล้ว”
ทูนอินทร์ลุกผึงทันที
“เหรอครับพี่ เมื่อไหร่”
“เมื่อกี้นี้เอง เขาฝากบอกกับป้าแสงว่าเขาไม่ค่อยสบาย ขอกลับก่อน”
ทูนอินทร์จะออกจากห้อง
“เฮ้ย จะไปไหน”
“ไปตามรุ้งกลับมาน่ะซีครับ”
ทูนอินทร์กลับมาหยิบกล่องแหวนใส่กระเป๋าที่อกเสื้อ ก่อนจะออกไปทางประตูสวน
“เฮ้ย แล้วนายรู้เหรอว่าเขาอยู่ไหน”

ทูนอินทร์วิ่งมาที่ลานจอดรถของร้าน กดมือถืออีกครั้งแต่รุ้งระวีไม่รับสาย ช่วงเวลาเดียวกันนั้น รุ้งระวีขับรถอยู่ มองมือถือที่ส่งเสียงเธอน้ำตาไหล ทูนอินทร์ยืนอยู่ที่รถกดส่งข้อความ
‘รุ้งอยู่ที่ไหน ผมกำลังตามหา ตอบผมด้วย’
ทูนอินทร์ขึ้นรถ คำรณใส่หมวกกันน็อคชุดดำนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ซุ่มอยู่ในความมืด มอง รถทูนอินทร์ที่แล่นออกไป แล้วบึ่งมอไซค์ตามทันที
ในร้าน อินทร จ๊ะจ๋าและมะปรางนั่งอยู่ด้วยกัน อินทรปลอบใจ จ๊ะจ๋าที่ยังกลัวอยู่
“ใจเย็นๆ ครับ คุณไม่ได้ทำผิดอะไรมากมายสักหน่อย”
“บางครั้งฉันไม่ได้ทำผิด แต่พี่ฟ้าก็ลงโทษฉันแรงๆอยู่เรื่อย”
มะปรางมองหน้า
“อย่างตบหน้าแกใช่ไหม ยังสงสัยอยู่เนี่ยว่าแกยอมได้ยังไง”
จ๊ะจ๋าอึ้งไป ฟ้าใสเข้ามาในห้อง ถนอมตามเข้ามาด้วย
“ตามหาอยู่ตั้งนาน มาหลบอยู่นี่เอง ฉันจะกลับแล้ว แกต้องกลับกับฉันเดี๋ยวนี้”
จ๊ะจ๋าหน้าสลด
“ค่ะ”
อินทรรีบขัด
“เดี๋ยวครับ จ๊ะจ๋ามากับผม คืนนี้จะค้างที่บ้านผมกับมะปราง พรุ่งนี้ผมไปส่ง จ๊ะจ๋าที่กรุงเทพเอง”
มะปรางมองหน้าเขาอย่างงงๆ ฟ้า ใสมองหน้าจ๊ะจ๋า
“งั้นเหรอ ยายจ๋า แกตกลงจะค้างที่นี่กับนายทรเหรอ”
“คือ ค่ะ ตกลงกันไว้อย่างนั้น”
“จริงนะ” ฟ้าใสถามย้ำ
“ค่ะ”
ขาดคำฟ้าใสตบหน้า จ๊ะจ๋าอย่างแรง จ๊ะจ๋ากรีดร้อง มะปรางกับอินทรตกใจ ฟ้าใสเขย่าร่างจ๊ะจ๋า
“แกยังอยากอยู่ที่นี่อีกไหม”
จ๊ะจ๋าสะอื้น
“ไม่แล้วค่ะ ไม่อยู่แล้ว”
อินทรเข้าห้าม
“หยุดเลย ทำเกินกว่าเหตุแล้วนะ ยายคุณนาย”
ฟ้าใสหันมาตวาดอินทร
“อย่ายุ่ง นายทร นี่เรื่องของฉันกับนังจ๋า เด็กในปกครองฉัน”
“ต้องเกี่ยวแล้ว ทำร้ายร่างกายกันอย่างนี้มันเกินไป จ๋าอย่ายอมนะ แจ้งตำรวจเลย”
ฟ้าใสมองเย้ยไม่กลัว
“กล้านี่ ได้ แจ้งเลย เอาอย่างนี้ก่อนแจ้งตำรวจ แจ้งกับนักข่าวในร้านนั่นดีกว่า บอกไปเลยว่าฉันตบนังนี่” ฟ้าใสชี้หน้าจ๊ะจ๋า “แล้วแก นังจ๋า แกก็บอกนักข่าวด้วยนะ ว่าแกกำลังทรยศเสี่ยดำรง หันมาซบค่ายเพลงนี้ แกถูกปรับเป็นเงินล้านแน่ แล้วก็อย่าหวังนะว่านักร้องหางแถวอย่างแกจะมาดังกับค่ายเพลงแบบนี้ได้”
อินทรกับมะปราง อึ้งไป ฟ้าใสหันไปหาคนขับรถ
“ถนอม พามันไปหานักข่าวเลย”
จ๊ะจ๋าตกใจ
“ไม่นะคะ ไม่ จ๋ายอมทุกอย่างแล้ว อย่าให้เป็นเรื่องเลยนะคะ”
ถนอมดึงตัว จ๊ะจ๋าออกไป ฟ้าใสตาม อินทรจะตาม มะปรางดึงไว้
“พี่ทร พอเถอะ อย่าเอาตัวไปเสี่ยงเลย”
“ไม่ได้ ยังไงก็ต้องช่วย จ๊ะจ๋า”
อินทรและมะปรางตามมาในร้าน จ๊ะจ๋ายังระล่ำระลักขอร้องฟ้าใส ขณะที่ถูกดึงจะออกไปส่วนร้าน
“พี่ฟ้า ไหว้แล้ว อย่าทำกับจ๋าแบบนี้ อนาคตจ๋าดับแน่”
“สมควรแล้วนี่”
อินทรเข้าไปขวาง
“เดี๋ยว เสี่ยจะว่าอะไรไหม ถ้าทางค่ายเพลงผมจะขอซื้อตัวจ๊ะจ๋ามาเข้าสังกัด”
จ๊ะจ๋างง มะปรางก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ฟ้าใสแปลกใจ
“ซื้อตัวเลยเหรอ”
“ใช่”
“ต๊าย นังจ๋ามันมีราคาถึงขั้นจะซื้อตัวเลยเหรอ”
“อย่าดูถูกให้มาก ความสามารถของจ๋าอาจจะมากกว่าเธอด้วยซ้ำ”
ฟ้าใสหัวเราะเหยียดหยัน
“ฮ่ะฮ่ะ งั้นเหรอ อ้อ เข้าใจละ ที่ทั้งร้องทั้งเต้นกับนังจ๋าเมื่อกี้ แสดงว่าซักซ้อมกันมาอย่างดี คงใกล้ชิดกันมากซีนะ ถึงได้หลงเสน่ห์นังจ๋ามันขนาดนี้”
มะปรางสะเทือนใจกับคำนี้มากที่สุด
“อย่าเข้าใจผิดไปเป็นเรื่องอื่น ผมกำลังพูดถึงความสามารถของจ๋า จ๋าเป็นนักร้องคุณภาพ แต่คุณทำกับเธอเหมือนคนใช้ บางครั้งก็เหมือนทาส”
“ฮ่ะฮ่ะ ยายจ๋า แกต้องภูมิใจตัวแกมากๆเลยนะเนี่ย ที่นายอินทรเขารักแกขนาดนี้”
มะปรางยิ่งเจ็บ ขณะที่จ๊ะจ๋าพยายามขอร้อง
“คุณทรคะ อย่าเพิ่งพูดอะไรมากกว่านี้เลย พี่ฟ้าอย่าพาจ๋าไปเจอนักข่าวเลยนะคะ จ๋าไหว้ละ”
“ก็ได้ เห็นแก่ความรักของคนทั้งคู่นะเนี่ย พามันไปที่รถ”
“ครับ”
ถนอมพาจ๊ะจ๋าออกไป
“ไปนะคะ แหมเชื้อไม่ทิ้งแถวเลยจริงๆ พี่ชายก็ไปหลงนังนักร้องค่ายอิทธิ น้องชายก็มาหลงนังนักร้องค่ายดำรง เฮ้อ ใฝ่ต่ำกันทั้งคู่”
อินทรทำท่าจะถลันใส่ฟ้าใส มะปรางยึดไว้
“อย่าพี่”
ฟ้าใสหัวเราะ แล้วออกไป อินทรโกรธมาก
“อีนังบ้าเอ๊ย”
“พี่ทร หยุดเถอะ เราไม่มีอำนาจอะไรไปสู้กับพวกมัน”
“แต่จ๋ากำลังลำบาก เราต้องช่วยจ๋านะ”
มะปรางจ้องหน้าแล้วถามออกมาตรงๆ
“พี่รักจ๋าใช่ไหม”
อินทรชะงักอึ้ง
“ปราง”
“ยายฟ้าใสพูดถูกใช่ไหม พี่รักยายจ๋า ถึงโอบอุ้มกันถึงขนาดนี้”
“ไม่ใช่นะปราง ไม่ใช่เรื่องรัก”
“แล้วจะเป็นเรื่องอะไร”
มะปรางมองหน้าเขาอย่างเสียใจแล้วแยกไป
“ปราง”
อินทรได้แต่อึ้งๆ ไม่ได้นึกเอะใจว่ามะปรางหึงตนเอง

รุ้งระวีขับรถมาจอดรถหน้าบ้านอินสรวง แต่ไม่เข้าบ้านเดินอ้อมตัวบ้าน ไปที่ทุ่งด้านหลังตรงไปยังเพิงแสงจันทร์ ต้นแสงจันทร์กระจ่างนวลอยู่ใต้พระจันทร์เต็มดวง เธอเดินมานั่งที่เพิง มองไปรอบๆ แล้วใจหาย ที่ตรงนี้คือที่ที่ความรักของเธอและเขาเกิดขึ้น รุ้งระวีร้องไห้พิงเสาอย่างสุดกลั้น
ทูนอินทร์ขับรถไปตามถนนเปลี่ยว กำลังจะเข้าเมืองเพื่อไปที่โรงแรมที่รุ้งระวีพัก เขากดมือถืออีกครั้ง รุ้งระวีมองมือถือที่กำลังส่งเสียง แล้วตัดสินใจรับสาย
“ค่ะ คุณทูน”
ทูนอินทร์ที่กำลังขับรถอยู่ดีใจมาก
“รุ้ง อยู่ที่ไหน ผมกำลังจะเข้าเมือง”
รุ้งระวีกลั้นสะอื้น
“ฉันอยู่ที่บ้านคุณค่ะ”
“บ้านผม ที่ไร่เหรอ”
“ค่ะ ฉันอยู่ที่เพิงแสงจันทร์ของเรา”
“อยู่ที่นั่นนะ ผมจะไปถึงไม่เกินยี่สิบนาที เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ใช่ เรามีเรื่องต้องคุย”
“ดีใจจริงๆ ที่รุ้งรับสาย รุ้งไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
รุ้งระวีกดวางสาย ทูนอินทร์ยิ้มออกมาได้รีบบึ่งรถกลับบ้าน
“จะโกหกฉันไปอีกนานแค่ไหน”
รุ้งระวีร้องไห้สะอื้นอย่างหนัก
ทูนอินทร์ขับรถมาถึงทางแยก แล้วเลี้ยวไปทางไปไร่ คำรณขับมอเตอร์ไซค์ตามมาหยุดมองอย่างสงสัยว่ากลับไปที่ไร่ทำไมแต่ตัดสินใจขับตามไป
ทูนอินทร์ขับรถมาจอดที่หน้าไร่ แล้วรีบวิ่งลัดทุ่งตรงไปยังเพิงแสงจันทร์ คำรณขับมอเตอร์ไซค์ตามมา เห็นเขาวิ่งไปในในทุ่ง ก็บึ่งมอเตอร์ไซค์ไปอีกทาง
รุ้งระวียังนั่งหดหู่อยู่ ได้ยินเสียงเรียกของเขาดังมาแต่ไกล
“รุ้ง รุ้งครับ”
เธอลุกขึ้นไปมองข้ามทุ่งเห็นเขากำลังวิ่งมา ทูนอินทร์วิ่งมาแล้วหยุดหอบหายใจ มองเห็นรุ้งระวียืนอยู่ที่เพิง แสงจันทร์ส่องนวลกระจ่างไปทั้งเพิง เขายิ้มดีใจ คำรณวิ่งอยู่ในชายทุ่งที่เป็นสวน เห็นทูนอินทร์ในระยะไกลพอควร คำรณทรุดร่างลงกับพื้น แล้วชักปืนเล็งไปที่ทูนอินทร์
“มึงเสร็จแน่ไอ้ทูน กูขอล้างแค้นที่มึงทำให้กูชวดเงินล้าน”
ทูนอินทร์หยิบกล่องแหวนออกมาจากอกเสื้อ แล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ก่อนจะตะโกนลั่น
“รุ้ง”
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
ทูนอินทร์วิ่งเข้าหา รุ้งระวีมองมาที่เขาที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามา คำรณเล็งปืนแล้วเหนี่ยวไกเสียงปืนระเบิดขึ้น ร่างทูนอินทร์ผงะหงายไป เลือดที่หน้าอกกระจาย เขาล้มลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษหญ้าแห้ง รุ้งระวีตะลึงงันกับภาพที่เห็น คำรณแสยะยิ้ม แล้ววิ่งหลบออกไป รุ้งระวีกรีดร้องลั่น
“ทูน”
เธอวิ่งตรงไปหาเขาที่นอนอยู่ เลือดไหลที่หน้าอกเป็นรอยใหญ่ รุ้งระวีวิ่งเข้ามาประคองร่างของเขาที่ยังมีสติอยู่
“รุ้ง”
“ทูน เกิดอะไรขึ้น”
“รุ้ง ผม ผมรักคุณ”
ทูนอินทร์พูดได้เท่านั้นก็หมดสติไป หญิงสาวกอดร่างชายหนุ่มไว้แน่น ร้องไห้โฮออกมาอยู่กลางทุ่งกว้างและแสงจันทร์ส่องนวล

วันต่อมา อิทธิอ่านข่าวอยู่ที่โต๊ะทำงาน เห็นหัวข่าวหลายฉบับลงข่าว
“นักแต่งเพลงถูกลอบยิงวันเปิดค่ายเพลง”
คม เดช คำรณ นั่งหน้าเจื่อนอยู่ตรงหน้า อิทธิปาหนังสือลงบนโต๊ะ
“ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่าให้ยิงขู่ ไม่ใช่ยิงปางตายขนาดนี้”
คำรณหน้าเสีย
“ผมพลาดเองครับ กะว่าจะยิงเฉียด แต่ตอนนั้นมันกำลังวิ่งพอดี”
“แล้วทำไมไม่ยิงตอนมันหยุดวิ่งละวะ”
“ก็อยากอยู่ละครับ แต่ถ้าหยุดวิ่งก็หมายความว่ามีคุณรุ้งอยู่ด้วย เพราะคุณรุ้งกำลังวิ่งมาหามันพอดี ผมกลัวว่าจะโดนคุณรุ้งเข้าไปด้วย”
“นายครับ แต่มันก็ไม่ถึงตายนี่ครับ แค่บาดเจ็บเฉย ๆ” คมบอก
อิทธิหน้าเครียด
“อีกนิดเดียวมันก็ตายได้นะ แล้วตอนนั้นทั้งแกทั้งฉันซวยกันหมด”
“แต่นายครับ งานนี้ถือว่าเราทำสำเร็จนะครับ นายทูนมันคงกลัวหัวหด ไม่กล้ามายุ่งกับคุณรุ้งอีกแล้ว” เดชออกความเห็น
“มันต้องเลิกกันเด็ดขาด ฉันถึงจะถือว่างานเราสำเร็จ” อิทธิ หันไปหาคมกับเดช “เออ เรื่องที่วัดคำสิงห์กับหลักฐานยายแสงหล้าว่าไง เตรียมไว้รึยัง”
คำรณสะดุดทันทีกับคำว่าแสงหล้า เดชนิ่งไปนิดก่อนบอก
“ยังไม่ได้เตรียมเลยครับนาย ยังไม่รู้จะเตรียมอะไร”
อิทธิหยิบรูปแสงหล้าและรุ้งระวีออกมาจากลิ้นชัก
“นี่ จากรูปนี่ แล้วคิดซีวะ คิด แม่รุ้งเป็นนักร้องบาร์สมัยยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ไปหาข้าวของมาให้เหมือน ของที่จะหลอกรุ้งว่าเป็นของแม่แท้ๆของรุ้งน่ะ อย่างที่นังผกามันเอาถ้วยรางวัลมาหลอกนั่นไง เข้าใจไหม”
คมพยักหน้ารับคำ
“ครับ ครับ เข้าใจครับ”
คมกับเดชรับรูปมา อิทธิเหนื่อยใจ
“ออกไปได้แล้ว เหนื่อยกับพวกแกจริงๆ”
คม เดช คำรณ ออกจากห้องไป คมมองรูปเดี่ยวของแสงหล้าแล้วถอนใจ
“เฮ้อ ต้องหาชุดเก่าๆ แบบนี้เหรอวะ”
“เครื่องประดับแนวๆ นี้ด้วยพี่ ต้องของเก่าทั้งหมดเลย” เดชแนะ
คำรณมองสองคนอย่างสงสัย
“พี่ บอกหน่อยได้ไหม กำลังจะหลอกคุณรุ้งเรื่องอะไร”
“แกอย่ายุ่งเลย” คมบอกปัด
“ผมอาจจะช่วยได้นะ เรื่องหาของเก่าน่ะ”

คมและเดชมองหน้ากันอย่างนึกสนใจสิ่งที่คำรณบอกขึ้นมาเมธให้ปากคำกับตำรวจสองนาย อยู่หน้าห้องผู้ป่วยที่ประตูเปิดอยู่ รุ้งระวีนั่งอยู่ข้างเตียง ของทูนอินทร์ที่หลับสนิทหน้าตาซีดเซียว

“ในวงการมันก็มีทั้งมิตร ทั้งศัตรูละครับ ให้ผมระบุผู้ต้องสงสัยตอนนี้ ก็พูดไม่ได้เหมือนกัน”
“แต่คิดว่ายังไงมูลเหตุน่าจะมาจากเรื่องการเปิดค่ายเพลงของคุณ ใช่ไหม ขัดแย้งกันทางธุรกิจ”
“คิดว่าอย่างนั้นละครับ”
อินทรมาหารุ้งระวีที่หน้าซีดเซียวไม่ได้นอนแทบทั้งคืน
“พี่รุ้งไปพักผ่อนก่อนดีกว่าไหมครับ”
“พี่ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่ต้องห่วงพี่ทูนหรอกครับ กระสุนไม่ได้เจาะเข้าไปลึก”
“แต่กระสุนเข้าที่หน้าอกนะ”
“เหมือนปาฏิหาริย์นะครับ”
“อะไรเหรอ”
อินทรหยิบกล่องแหวนออกมาในสภาพบุบบู้บี้ที่อยู่ในถุงพลาสติกของฝ่ายชันสูตร ยังมีคราบเลือดติดอยู่ ส่งให้ดู รุ้งระวีแปลกใจ
“กล่องแหวน”
“ครับ โชคดีที่กระสุนปะทะกับกล่องนี่ก่อน ฐานกล่องเป็นเหล็กชั้นดี ก็เลยไม่ เจาะเข้าหัวใจ โชคดีของพี่ทูนจริงๆ”
“ทรว่าใครเป็นตัวการ”
“พี่ทูนมีศัตรูเยอะเหมือนกัน แต่ตอนนี้น่าสงสัยที่สุด ก็คือนาย อิทธิกับเสี่ยดำรง”
รุ้งระวีดูกล่องแหวนอีกครั้ง
“ทร แล้วตัวแหวนล่ะ”
อินทรหยิบแหวนที่ใส่ถุงพลาสติกออกมาให้ดู ตัวเรือนบิดเบี้ยว เพชรยังอยู่ปกติ รุ้งระวีรับมา
“คุณทูนเอาแหวนติดตัวมาด้วยทำไม”
“ไม่ทราบครับ”
อินทรแยกไป รุ้งระวีมองแหวนแล้วมองทูนอินทร์น้ำตาไหล พูดกระซิบกับเขา
“หรือว่าคุณเอามาให้ฉัน ใช่ไหมคะทูน ฉันสับสนไปหมดแล้ว ฉันเข้าใจผิดเรื่องฟ้าใสใช่ไหมคะ ฉันเข้าใจผิดไปเองใช่ไหม”
ทูนอินทร์พึมพำออกมา
“ฟ้าใส ฟ้าใส”
รุ้งระวีเจื่อนไปทันที ทูนอินทร์ยังพึมพำเรียกชื่อฟ้าใส รุ้งระวีสะเทือนใจน้ำตาไหลพรากออกมาแทบไม่รู้ตัวเธอวางแหวนไว้ในมือของเขา แล้วลุกจากห้องไปทันที ทูนอินทร์ยังพึมพำอยู่
“ฟ้าใส หยุดเสียที อย่าทำให้รุ้งเข้าใจผิด ผมรักรุ้ง รักรุ้งคนเดียว”
ทูนอินทร์กระสับกระส่าย มือกำแหวนไว้แน่น
รุ้งระวีเดินมาสงบสติอารมณ์ที่ทางเดินโรงพยาบาลเช็ดน้ำตา ไม่ทันสังเกตว่าฟ้าใสเดินตรงมา ยิ้มหยัน แล้วเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นห่วงใย นายถนอมถือกระเช้าของเยี่ยมตามมาด้วย
“น้องรุ้ง เป็นอะไรคะ ทำไมมายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้”
รุ้งระวีรีบเช็ดน้ำตา หันมามองฟ้าใส
“คุณทูนไม่เป็นไรแล้วนี่คะ เอ๊ะ หรือว่าอาการทรุด”
“หยุดพูดเล่นได้แล้ว นี่มันเป็นเรื่องความเป็นความตายของคุณทูน เธอรู้ใช่ไหม ใครเป็นตัวการยิงคุณทูน นายเธอ เสี่ยดำรงใช่ไหม”
“ไม่รู้ อาจจะเป็นนายเธอ นายอิทธิก็ได้นี่” ฟ้าใสแค่นหัวเราะ “หรืออาจจะเป็นตัวเธอเองที่จ้างคนมาลอบยิงคุณทูน หวังจะสร้างกระแสให้ตัวเอง”
“เธอพูดบ้าๆ อะไรของเธอ”
“ถ้าไม่สร้างกระแส ก็ต้องเป็นเรื่องแค้นใจส่วนตัว เพราะความหึงหวง”
“หึงหวงอะไร”
“อ้าว หึงฉันกับคุณทูนไง เธอแน่ใจแล้วว่า คุณทูนยังรักฉันอยู่ เห็นว่าเธออยู่ในงานด้วยนี่ ตอนที่ฉันขึ้นไปร้องเพลง สะพานรุ้ง กับคุณทูนน่ะ คงแค้นไม่ใช่เล่น ถึงกับจ้างมือปืนมายิง”
“เป็นความคิดที่บ้าที่สุด ไว้คุณทูนฟื้น เราคงได้รู้ความจริงกัน”
รุ้งระวีสะบัดไป ฟ้าใสยิ้มหยัน

คำรณมายืนหน้าห้องทำงานอิทธิตัดสินใจเคาะประตู
“เข้ามา”
คำรณเข้าไป
“นายคำ มีอะไร”
“ผมมีเรื่องปรึกษาครับ แต่เป็นเรื่องส่วนตัว”
“เรื่องค่าจ้างของนายรึเปล่า ฉันไม่เบี้ยวนายหรอกน่า”
“มีเรื่องสำคัญกว่านั้นครับ เรื่องยายแสงหล้า แม่ของรุ้ง”
“ทำไม”
คำรณหยิบซองรูปออกมา เป็นรูปของตนกับแสงหล้าสมัยสาว สองสามรูป อิทธิรับมาดูแล้วมองหน้า
“รูปนายสมัยหนุ่มๆนี่ ถ่ายกับใคร”
“ลองดูดีๆซีครับ”
อิทธิเขม้นดู แล้วตะลึง
“หา นี่รูปยายแสงหล้า ใช่ไหม”
“ถูกต้องครับ”
อิทธิมองคำรณอย่างประหลาดใจ
“ล็อกประตูเลย”
คำรณล็อกประตู

รูปของแสงหล้าและรุ้งระวีวัยเด็ก วางอยู่บนที่นอนหลายรูป แสงหล้าดูรูปและของเล่นของรุ้งระวีวัยเด็กอย่างชื่นชม เธอหยิบรูปลูกสาวขึ้นดู
“โอม เพี้ยง ขอให้คุณทูนหายวันหายคืน อย่ามีใครปองร้ายเขาอีกเลย แล้วให้รุ้งกลับมาปรับความเข้าใจกับคุณทูนเสียที”
ทันใดนั้นเสียงส้มป่อยเรียกดังอยู่หน้าประตู
“ป้า”
“เดี๋ยวนะเดี๋ยว”
แสงหล้ารีบเก็บรูปของข้าวของลงกล่อง ส้มเข้ามาพอดี ถือกล้องมือถือแล้วถ่ายรูปของแสงหล้าไว้ แสงหล้าหลบหน้าทันที
“อย่าถ่ายรูป อย่าถ่าย”
“ทำไมล่ะป้าแสง ถ่ายรูปกันหน่อย ส้มเพิ่งได้มือถือใหม่มา ลุงหนานให้”
“ป้าไม่ชอบถ่ายรูป”
“เหรอ ไม่ถ่ายก็ไม่ถ่าย แล้วป้าพร้อมรึยัง เราจะได้เอากับข้าวไปให้นายทูนที่ โรงพยาบาล”
“จ๊ะ จ๊ะ ป้าพร้อมแล้ว เก็บของก่อนนะ”
แสงหล้าล็อกกล่องไม้ แล้วเก็บไว้ในตู้ ล็อกอย่างดีอีกครั้ง ส้มป่อยมองอย่างสงสัยใคร่รู้

อิทธิอึ้งไปกับเรื่องที่คำรณเล่าทั้งหมด
“นายคือพ่อเลี้ยงของรุ้ง แล้วนายคือคนจัดการพายายผกามาหลอกเป็นแม่รุ้งด้วย”
“ใช่ ฝีมือผมทั้งหมด ที่ผมเข้ามาทำงานกับเจ๊จวงที่นี่ ก็เพราะเหตุนี้ละครับ”
“นายรีดเงินจากรุ้งเป็นล้าน หากินง่ายนี่ มาสารภาพกับฉันแบบนี้ ไม่กลัวฉันจับนายเข้าคุกเหรอ”
“ไม่กลัวหรอกครับ เพราะผมรู้ว่าผมช่วยคุณได้เยอะ และคุณก็อยากให้ผมช่วยด้วย”
“ยังไง”
“ผมยังมีข้าวของเก่าๆ ของยายแสงหล้าอีกหลายชิ้นที่จะช่วยคุณได้ รับรองคุณรุ้งต้องเชื่อ อย่างที่เคยเชื่อถ้วยรางวัลนั่นมาแล้ว ผมช่วยคุณ คุณช่วยผมเรื่องเงิน ยุติธรรมทั้งสองฝ่าย”
อิทธิคิดอยู่พักนึง
“เอาของยายแสงหล้ามาให้ฉันดู ถ้าเป็นของที่ใช้ได้จริง ฉันจ่ายนายเต็มที่แน่ แต่นายก็ต้องทำงานให้คุ้ม”
“รับรองครับ”
“ว่าแต่ตอนนี้ยายแสงหล้าอยู่ที่ไหน”
“มันหนีไปแล้วครับ ผมขู่มันแล้วให้มันออกไปจากชีวิตรุ้งซะ ไม่งั้นมันตาย”
“มีอะไรรับประกันว่ายายแสงหล้าจะไม่โผล่มาทำให้แผนเราเสีย”
คำรณนิ่งคิดนิดนึงก่อนจะโกหก
“ยายแสงตอนนี้หมดสภาพ เป็นแค่ขี้เมาข้างถนน สติก็เลอะๆ เลือนๆ นายแทบไม่ต้องกังวลเรื่องมันเลย อีกอย่าง มันโผล่มาเมื่อไหร่ผมส่งมันไปอยู่กับนังผกาแน่ๆ”
อิทธิ อึ้งไป
“แกทำอะไรกับนังผกา”
“ปิดปากมันเงียบ แล้วส่งมันลงหลุมไงครับ”
คำรณยิ้มเหี้ยม อิทธิอึ้งไปกับความโหดแต่แล้วก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา เห็นทางสว่างขึ้นมาอีกหน

รุ้งระวีกลับมากรุงเทพนั่งปรับทุกข์กับเจ๊หอย
“อย่าไปเชื่อนังฟ้าใสนะ มันนั่นแหละที่บังคับให้คุณทูนขึ้นไปร้องเพลงกับมัน ทีแรกคุณทูนเขาจะไม่ร้อง แต่พี่ๆเขาขอ คุณทูนเลยต้องเลยตามเลย”
“มันเป็นบทบาทนึงของเขารึเปล่าคะ”
จี่หอยแปลกใจ
“รุ้ง ทำไมพูดอย่างนั้น”
“เขาอาจจะเล่นละครหลอกพวกเราก็ได้ ว่าเขาเป็นคนแสนดี เพราะอยู่สองต่อสองกับยายฟ้าใส เขาก็กอดจูบกันเหมือน สามีภรรยา”
“อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นเลยรุ้ง นังฟ้าใสมันต้องเซ็ทฉากขึ้นมาหลอกรุ้งแน่ๆ”
“แต่คนที่ร่วมเล่นด้วยคือคุณทูนนี่คะ เขาโกหกรุ้งรึเปล่า รุ้งสับสนไปหมดแล้วปวดหัวมาก”
“เชื่อใจคุณทูนเถอะรุ้ง พี่ไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนรักและจริงใจกับรุ้งเท่าเขาเลยนะ รุ้งเหนื่อยมาก นอนพักเถอะ เดี๋ยวพี่ไปอุ่นนมให้ทาน จะได้หลับสบาย”
จี่หอยแยกไป ขณะเดียวกันนั้นมือถือรุ้งระวีดังขึ้น
“ว่าไงคะคุณอิท อะไรนะ เตรียมตัวไปแพร่พรุ่งนี้ ได้ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”
รุ้งระวีหน้าเย็นชา ครุ่นคิดว่าถ้าผู้หญิงที่อิทธิจะพาไปพบ เป็นแม่จริงๆของเธอ แสดงว่าทูนอินทร์โกหกเรื่องที่แม่โทรมาหา

อิทธิ พารุ้งระวีไปไหว้พระประธานในโบสถ์วัดคำสิงห์ โดยมีคมกับเดชตามไปด้วย เนียมคนของวัดที่นัดแนะกับคมและเดชมานั่งรออยู่แล้ว เมื่อรุ้งระวีไหว้พระเสร็จหันมามองหน้า อิทธิเริ่มพูดตามแผนที่วางไว้ทันที
“เข้าเรื่องเลยนะคุณพี่ ตกลงผู้หญิงในภาพเนี่ย ชื่ออะไร แล้วประวัติความเป็นมาเป็นยังไง”
“อย่างที่คุยทางโทรศัพท์น่ะค่ะ เขาคือแม่น้อย ประวัติก็ไม่รู้อะไรมาก รู้แค่ว่าเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว เธอมาขออาศัยที่วัด ช่วยทำงานในวัดแลกข้าวกินไปมื้อๆน่ะ” เนียมพูดตามแผนเช่นกัน
“แล้วก่อนจะมาที่นี่ พี่ไม่รู้ประวัติเลยเหรอคะ” รุ้งระวีถาม
“ไม่มีใครทราบเลยจ๊ะ พระท่านถามเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง”
“พาไปพบหน่อยได้ไหม” รุ้งระวีถามอย่างร้อนใจ
เนียมมองไปทางคม เดช และ อิทธิ
“เออ คือ ”
“มีอะไรคะ คุณอิทธิมีอะไร”
อิทธิแกล้งทำท่าลำบากใจ
“รุ้งดูเองดีกว่านะ พี่พาพวกเราไปเถอะ”
“เชิญค่ะ”
เนียมลุกนำไปที่สถูปเก็บอัฐิ รุ้งระวีใจคอไม่ดี อิทธิกุมมือเธอไว้ คม เดชตามมา ทั้งหมดเดินมาถึงสถูปเล็กๆเก่าแก่
“แม่น้อยเสียแล้วค่ะคุณ เก็บอัฐิไว้ที่นี่แหละ”
รุ้งระวีใจหาย เดินมาดูที่รูป เห็นใบหน้าของนางแสงที่ทรุดโทรมเพราะโรค
“ทุกคนรู้แล้วใช่ไหม ว่าเขาตายแล้ว”
“เราทราบแล้ว แต่ไม่อยากบอกรุ้ง ให้รุ้งมาเห็นเองดีกว่า” อิทธิพูดเสียงเศร้า
“เขาตายยังไง เมื่อไหร่”
“เป็นหลายโรคนะค่ะ แล้วเขาก็ดูไม่มีกำลังใจจะอยู่แล้วด้วย เสียไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง”
“ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่า เป็นแม่แสงหล้าของรุ้งจริง”
“แต่หน้าตาละม้ายมากนะ” อิทธิออกความเห็น
“ไม่มีหลักฐานรุ้งไม่เชื่อค่ะ”
“ป้า เห็นบอกว่ามีของส่วนตัวของแม่น้อย ยังเก็บไว้ไม่ใช่เหรอ” คมถามเนียม
“ค่ะ”
รุ้งระวีมองเนียมอย่างสนใจทันที

เนียมพาทุกคนไปที่ห้อง แล้วนำกล่องเก่าๆมาตรงหน้ารุ้งระวี
“นี่ละคะ ของที่แม่น้อยเขาเก็บไว้ ป้าเกือบเอาไปทิ้งแล้วนะคะ”
รุ้งระวีเปิดกล่อง หยิบของออกมาจากกล่องทีละชิ้น หยิบรูปภาพเก่าๆที่ปลวกกินจนขาดวิ่นมาดู อิทธิ คม เดช มองหน้ากันอย่างลุ้นว่าเธอจะว่ายังไง
ภาพที่รุ้งระวีดู เป็นภาพน้อยตัวจริง ถ่ายกับเนียมตอนที่มาอยู่วัดใหม่ๆสามสี่รูป ใบหน้าเศร้าสร้อย ทรุดโทรม ไม่มีรูปใดที่ยิ้มเลย รุ้งระวีหยิบรูปอื่นมาดู แล้วมองนิ่ง ใจเต้นรัวเพราะเป็นรูปแสงหล้าเก่าๆ เป็นรูปที่ถ่ายคู่กับคำรณ แต่ถูกนำไปทำเป็นภาพเหมือนถูกปลวกกินส่วนหน้าของคำรณจนขาดไปหลายรูป
รุ้งระวีมือสั่นเทา เพราะใช่รูปแม่จริงๆ เธอหยิบเครื่องประดับราคาถูกของแม่ขึ้นมาดู แล้วเห็นกระดาษเก่ายับอยู่ที่ก้นกล่อง จึงรีบหยิบขึ้นมาคลี่อ่านดู ตัวจดหมาย เป็นลายมือของแสงหล้า ที่เขียนบอกรุ้งระวีวันที่เธอจะไปอยู่เมืองนอก ตัวหมึกเลือนรางไปมาก พอจะอ่านได้ความว่า
“แม่ขอโทษที่ไม่ได้โทรหา ไม่ได้เขียนจดหมายถึง แม่เขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อลาลูก ใช่จ๊ะ...คงเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะติดต่อลูก เพื่อให้ลูกรู้ว่าแม่ยังรักลูกอยู่เสมอ แต่ที่แม่ต้องจากไป เพราะอาชีพของแม่ตอนนี้มันน่ารังเกียจเหลือเกิน เกินกว่าที่ลูกจะยอมรับได้ว่าแม่คือแม่ของลูก เมื่อลูกโตขึ้น ลูกคงเข้าใจ”
รุ้งระวีมือสั่น น้ำตาไหล อิทธิรีบถาม
“รุ้ง เป็นยังไง ตกลงคิดว่าใช่แม่แสงหล้าไหม”
“ลายมือแม่ รูปก็ของแม่ นี่ละค่ะ แม่แสงหล้าของรุ้ง”
อิทธิยิ้ม เช่นเดียวกับคมและเดชต่างก็พอใจที่แผนสำเร็จ รุ้งระวีหันไปถามอีก
“ป้าทำไมแม่ถึงใช้ชื่อว่าน้อย”
“ไม่ทราบค่ะ คงไม่อยากให้ใครรู้ประวัติละมังคะ”
“รุ้ง ผมเสียใจด้วยที่เรามาพบแม่ของรุ้งช้าไป แต่ยังไงก็ถือว่าเรามาพบแม่รุ้งจริงๆแล้ว” อิทธิบอกอย่างโล่งใจ ที่ปัญหาเรื่องแม่ของรุ้งระวีสามารถจบลงได้

ที่หน้าสถูปปูผ้าอย่างดี รุ้งระวีวางดอกไม้และกระถางธูปหน้ารูปแม่ อิทธิ คมเ ดชร่วมเคารพด้วย
“บุญเราน้อยเหลือเกินค่ะแม่ กว่ารุ้งจะมาพบแม่ แม่ก็จากรุ้งไปเสียแล้วขอให้วิญญาณแม่สู่สุขคติและภพภูมิที่ดีเถอะนะคะ” รุ้งระวีอธิษฐาน
รุ้งระวีกราบแม่ อิทธิ คม เดชหันไปยิ้มให้กัน ขณะเดียวกัน คำรณแอบซุ่มอยู่ที่ประตูวัด ยิ้มอย่างพอใจเช่นกันที่แผนสำเร็จ
หลังจากไหว้สถูปแล้ว อิทธิและรุ้งระวีเดินคุยด้วยกัน คมและเดชเดินตามมาห่างๆอย่างรู้งาน
“รุ้งเชื่อแล้วใช่ไหมนายทูนหลอกลวงคุณทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องแม่ที่เขาอ้างว่าแม่โทรมาหา”
“เขาบอกทุกครั้งว่าแม่ไม่กล้าแสดงตัว เพราะกลัวคนใกล้ตัวรุ้งจ้องทำร้ายอยู่ แต่แม่ทางโทรศัพท์ ก็ไม่บอกเสียทีว่า คนใกล้ตัวที่ว่าคือใคร”
อิทธิรู้ทันทีว่าคือคำรณ
“เพราะไม่มีจริงน่ะซีครับ ตัวแม่ทางโทรศัพท์ก็ไม่ใช่ตัวจริงเช่นกัน ถึงไม่กล้าแสดงตัวออกมาไง”
รุ้งระวีเซ จะเป็นลม
“รุ้ง”
อิทธิประคองแล้วพารุ้งระวีลงนั่งที่เก้าอี้ใต้ร่มไม้ คมและเดชเข้ามาช่วยดู
“พาคุณรุ้งไปที่รถเลย”
คมและเดชช่วยประคองรุ้งระวีไปที่รถ อิทธิอยู่ลำพัง คำรณเข้ามา
“จ่ายยายเจ๊เนียมไปแล้วยัง”
“เรียบร้อยครับ คุณรุ้งเป็นยังไง”
“รุ้งอยู่ข้างฉันเรียบร้อยแล้ว หน้าที่ของนายตอนนี้ คือตามหาตัวยายแสงหล้าให้เจอ เพราะตอนนี้มันยังโทรมาเสี้ยมไอ้ทูนอยู่”
“มันยังโทรมาเหรอครับ”
“ใช่ จัดการทำให้มันเงียบเสียงซะ วิธีไหนก็ได้”
“ได้ครับนาย”
อิทธิแยกไป คำรณกำหมัดแน่น
“นังแสง มึงกับกูอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว”

หลายวันต่อมา อิทธินัดพบฟ้าใสที่ร้านอาหารหรู เขานำภาพในโทรศัพท์มือถือมาให้ดู เป็นภาพที่อิทธิกำลังกอดรุ้งระวีแนบแน่น มีการพูดคุยแต่ไม่ได้ยินเสียง
ฟ้าใสดูภาพมือถือแล้วยิ้มพอใจ
“แหม งานนี้เราทำงานกันเป็นทีมได้ดีจริงๆ”
“เธอควรจะไปเยี่ยมนายทูนอีกสักครั้ง แล้วเอาภาพนี้ไปให้มันดู”
“ไม่ต้องบอกหรอกค่ะ ฉันทำอยู่แล้ว ขอดาวน์โหลดก่อนละกัน”
“เรามาคุยเรื่องแผนสอง แผนสามของเราต่อดีกว่า”
“คุณเสนอมาซี มีแผนอะไรอีก”
“ผมอยากใช้แผนเดียวกับที่เธอเคยใช้”
“แผนอะไร”
“ที่เธอขโมยเพลงของนายทูนมาเป็นของเธอไง”
ฟ้าใสชักสีหน้าไปนิด แต่อิทธิพูดต่ออย่างไม่สนใจ
“ผมรู้ว่านายทูนแต่งเพลงไว้ให้รุ้งหลายเพลงเพราะๆทั้งนั้น แต่ยังไม่เปิดเผย เพราะรุ้งยังไม่เข้าสังกัด”
“ใช่ ฉันเคยได้ยินอยู่ครั้งนึง ตอนที่ไปที่บ้านเขา จังหวะสนุกมาก เพลงอย่างนี้ยังไงก็ต้องฮิต แล้วคุณต้องการอะไร”
“ก็ขโมยเพลงมาเป็นของผม เพราะที่สืบรู้ นายทูนยังไม่ได้จดลิขสิทธิ์อะไรทั้งนั้น”
“แล้วมาถามฉันเรื่องนี้ทำไม”
“เธอมีประสบการณ์มาก่อน พอจะบอกได้ไหมว่า นายทูนเก็บเพลงทั้งหมดไว้ที่ไหน”
“ไม่ยากหรอกเรื่องนั้น แต่ทำไมฉันต้องช่วยคุณ”
“ผมจะสร้างประวัติศาสตร์ให้ซ้ำรอยขึ้นอีกครั้ง คุณเคยขโมยเพลงนายทูนไปร้อง คราวนี้ถึงตาของรุ้งบ้าง”
ฟ้าใสยิ้มเมื่อคิดออก
“ก็หมายความว่า คุณจะทำให้นายทูนเข้าใจผิดว่ายายรุ้งขโมยเพลงเขาไป”
“เหมือนที่เธอเคยทำไง”
“ไม่ต้องเน้นหรอกเรื่องนั่นน่ะ ถ้าอย่างนั้น ความรักของทั้งคู่ ก็จะกลายเป็นหายนะเลยใช่ไหม”
“ยิ่งกว่าหายนะอีก”
ทั้งสองหัวเราะ
“งั้นยินดีให้ข้อมูลค่ะ ชนแก้วกันหน่อย”
ทั้งสองชนแก้วนมปั่น แล้วดื่มไปหัวเราะไป

รุ้งระวียังนั่งซึมอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้าน จี่หอยเข้ามาด้วยท่าทีเหนื่อยใจ
“รุ้ง แล้วเมื่อไหร่จะรับสายคุณทูนเขาเสียทีล่ะ เขาโทรหาพี่จนพี่นึกว่าเขาจะมาจีบพี่แล้วนะ”
“ยังไม่มีอารมณ์จะคุยค่ะ”
“แล้วเมื่อไหร่จะมีอารมณ์ มีเรื่องอะไรกัน ตั้งแต่ที่ไปเมืองแพร่วันนั้น รุ้งก็ไม่ติดต่อคุณทูนอีกเลย นายอิทธิพารุ้งไปรู้ไปเห็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ รุ้งแค่ไม่อยากคุยตอนนี้เท่านั้นเอง”
รุ้งระวีลุกไป จี่หอยมองตาม
“เฮ้อ ไม่มีอารมณ์ ทำยังไงจะให้เกิดอารมณ์ละคะ”
สัญญาณมือถือดังติ๊งขึ้น
“อุ๊ย! คุณทูนโทรมาอีกและ อ้าว ไม่ใช่คุณทูนนี่ จ่ายห้าสิบบาท โหลดภาพชายเปลือยไม่อั้น บ้า ส่งมาทำไม ลามกจริงๆคนเดี๋ยวนี้ เอ แล้วสมัครยังไงล่ะ”
จี่หอยตาวาว

อินทรประคองทูนอินทร์ที่อาการดีขึ้นออกมาจากห้องน้ำ กลับมานั่งที่เตียง
“ทร รุ้งไม่มาเยี่ยมพี่เลยหรือ”
“มาวันแรกน่ะครับ วันนั้นพี่ทูนยังไม่รู้สึกตัว จากนั้นพี่รุ้งกลับกรุงเทพเลย ไม่ได้แวะมาอีก”
“ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น พี่โทรไปเขาก็ไม่รับสาย”
“เห็นมะปรางบอกว่าพี่รุ้งอยากอยู่ลำพังสักพักครับ”
ทูนอินทร์ถอนใจ เสียงคนเดินมาหน้าประตูห้อง
“รุ้ง”
ทูนอินทร์ลุกจากเตียงทันที เดินไปเปิดประตู แต่แล้วต้องชะงัก เพราะคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือฟ้าใส ถือกระเช้าของเยี่ยมมาด้วย
“อุ๊ย! เดินมาเปิดประตูได้แล้ว ใกล้หายแล้วใช่ไหมคะ”

ทูนอินทร์หมดอารมณ์ทันที









Create Date : 31 มกราคม 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 9:00:20 น.
Counter : 274 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]