Group Blog
 
All blogs
 

กินอย่างไร ไม่อ้วน ไม่แก่ แบบชาวญี่ปุ่น

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า คนญี่ปุ่นนั้นสามารถครองแชมป์อายุยืนยาวที่สุดในโลกนานถึง 20 ปี คนอ้วนก็มีน้อยมาก ทั้งที่เป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์ในเรื่องของการทานอาหาร จนเกิดความสงสัยว่าทำไมคน ในประเทศนี้ถึงสุขภาพดี จนมีผลงานวิจัยออกมาว่าเป็นเพราะการทานอาหารนั่นเอง





-> อาหารญี่ปุ่นไม่ผ่านการปรุงมาก คนญี่ปุ่นนั้นชอบทานอาหารรสชาติที่เป็นธรรมชาติ ชอบมานอาหารสด เฃ่น ปลาดิบ สาหร่ายคอมบุ และสาหร่ายโนริ ซึ่งมีโอดีนสูงมา และทำในแต่ละมื้อเพียงเล็กน้อยแค่พอทานเท่านั้น โดยจะใช้วิธีการนึ่ง ย่างบนกระทะ ต้มหรือ ผัดแบบเร็วๆ ด้วยความร้อนสูง ซึ่งวิธีการเหล่านี้ สามารถช่วยรักษาคุณค่าสารอาหารไว้ได้มากที่สุด

-> มีพื้นฐานอาหารอยู่ 5 อย่าง อาหารที่ทานในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ข้าว ปลา ถั่วเหลือง ผักและผลไม้ คนญี่ปุ่นนั้นจะชอบทานปลา หัวไวเท้า และสาหร่าย นอกจากนี้ยังชอบทานเต้าหู้ที่แปรรูปมาจากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นอาหารที่มีคลอเลสตอรอลต่ำ และปราศจากไขมันอิ่มตัว ไม่เหมือนในเนื้อแดง ผลิตภัณฑ์จากนมและเนย

-> ทานอาหารหลากหลายพร้อมกับข้าว ตัวอย่างชัดๆ คือ ข้าวกล่องแบบญี่ปุ่นที่มีอาหารหลายช่องอย่างละเล็กน้อย จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานแบบเผาผลาญได้มากขึ้นเนื่องจากความหลากหลายของอาหาร ซึ่งเป็นการกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานตลอดเวลา ทำให้ไม่มีไขมันสะสมในร่างกายซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ

-> ใช้ตะเกียบในการทานอาหาร วิธีนี้ได้ผ่านการทดสอบแล้วว่าทำให้ทานอาหารได้น้อยลงกว่าปกติ เนื่องจากสมองสามารถรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาร 10 นาที เมื่อเราทานอาหารช้าลงก็จะอิ่มเร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องทานอาหารจนเกินความต้องการของร่างกาย -ใช้ภาชนะใส่อาหารขนาดเล็ก คนญี่ปุ่นนั้นมีจิตวิทยาที่ว่า ถ้าเห็นอาหารเต็มชาม แม้ว่าจานชามจะมีขนาดเล็กว่าปกติ ก็สามารถทำให้อิ่มเร็วขึ้น เพราะฉะนั้น อาหารญี่ปุ่น มักจะเสิร์ฟเป็นจานเล็กๆ และคุ้นเคยกับอาหารปริมาณ น้อยที่อยู่ในจาน มักทานอาหารอย่างช้าๆ ค่อยๆ ลิ้มรสชาติอาหารนั้น


-> คนญี่ปุ่นเป็นราชาแห่งอาหารเช้า อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ ซึ่งคนญี่ปุ่นจะไม่ทานขนมปังแทนข้าวเช้า ไม่นิยมทานเบคอน หรือซีเรียลที่มีน้ำตาลสูง อาหารเช้าของชาวญี่ปุ่นนั้นจะประกอบด้วย ข้าว ไข่ ปลาย่าง เต้าหู้ มิโซะซุป สาหร่ายและชาเขียว


-> ทานขนมหวานอย่างถูกวิธี แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มีร้านเบเกอรี่อยู่มากมาย และวัยรุ่นญี่ปุ่นก็ชื่นชอบการทานช็อกดกแลต ไอศกรีม คุกกี้และเค้กต่างๆ แต่จะทานในช่วงเทศกาลเท่านั้น โดยทานเป็นชิ้นเล็กๆ สังเกตว่าเค้กญี่ปุ่นจะชิ้นเล็กกว่าเค้กยุโรปมาก ทำให้ในแต่ละวันร่างกายได้รับของหวานเพียงเล็กน้อย


-> ดื่มชาเขียวไร้น้ำตาลแบบอุ่นๆ ปัจจุบันคนญี่ปุ่นเปลี่ยนจากการดื่มชาดั้งเดิมมาดื่มชาเขียวกันมากขึ้น เพราะมีการศึกษาพบว่า ชาเขียวมีสารเคทชินโพลิฟีนอล ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญแคลอรี่ นอกจากนี้ชาเขียวยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยชะลอความแก่ และทำให้สุขภาพดีขึ้นอีกด้วย




ข้อมูลจาก หนังสือสุขภาพดี




 

Create Date : 19 มกราคม 2553    
Last Update : 19 มกราคม 2553 16:57:08 น.
Counter : 385 Pageviews.  

คงความสาวด้วย eye exercises (momypedia)

คงความสาวด้วย eye exercises (momypedia)
โดย: ลาวัณย์

เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน โดยเฉพาะช่วงอายุจาก 30 ไปถึง 40 ปี หลายคนที่หน้าที่การงานกำลังรุ่ง วันๆ ทำแต่งาน เหลือบมองกระจกอีกที ริ้วรอยเต็มไปหมดเสียแล้ว เริ่มควานหาครีมใด ๆ ในโลกที่เขาชมว่าดีมาทดลองใช้ ทาเท่าไรก็ไม่ดีขึ้น

ก่อนอื่นมารู้จัก 9 สัณญาณแก่ บนใบหน้ากันก่อน

ริมฝีปากบางลง (แต่ปากมาก ว่าคนเก่ง ยังไม่ทุเลาลง)

มุมปากตก

เนื้อแก้มห้อย คางเป็นสองชั้น

คิ้วตก

ตาตก

จมูกเหี่ยว หย่อนยาน (ใกล้แม่มดเข้าไปทุกที)

คอย่นเป็นชั้น ๆ

แก้มตอบ

ริ้วรอยเหี่ยวย่น ขนาดหายโกรธแล้วหน้าก็ยังย่นอยู่

สำคัญที่ดวงตา

ดวงตาเป็นจุดแรก ๆ ที่เราจะมองเห็นสัญญาณแก่ได้ง่าย โดยกล้ามเนื้อบริเวณตา เป็นสาเหตุของ เปลือกตาบนอูมห้อยลงมา เนื่องจากอายุและสังขารไม่เที่ยง การออกกำลังกายในบริเวณนี้ คือการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ทั่วบริเวณเบ้าตา เพื่อลดอาการบวมใต้ตา หรือดวงตากลวงโบ๋ หมองช้ำไงล่ะคะ

ออกกำลังกายดวงตา

ท่าที่ 1

นอนราบไปกับพื้น (สบายดี อย่าเผลอหลับไป) หรืออยู่ในท่านั่ง วางนิ้วกลางของมือทั้งสองข้างไประหว่างคิ้ว นิ้วชี้วางไปบนขอบนอกของลูกนัยน์ตา ขยิบนัยน์ตาด้วยกล้ามเนื้อใต้ตา จะรู้สึกถึงการกระตุกเล็กๆ ที่ขอบนอกของตาด้านข้าง ขยิบและปล่อยประมาณ 10 ครั้ง ให้เพ่งไปข้างหน้าทุกครั้งที่ขยิบตา ขยิบตาต่อไป จากนั้นให้พยายามหลับตาปี๋ และนับถึง 40 ให้เพ่งใจไปด้วยที่กล้ามเนื้อตาด้านนอก(ด้านขมับ) แน่ใจว่าหลับตาปี๋ในขณะที่นับถึง 40

ออกกำลังตาเช่นนี้วันละ 2 ครั้ง หากมีปัญหาเรื่องการบวม หมองคล้ำใต้ตา ให้พยายามทำให้ได้วันละ 3 ครั้ง

ในตอนเช้า เป็นช่วงตื่นนอนใหม่ ๆ ตายังไม่หายบวม ให้ทำเช่นนี้สัก 2 ครั้งก่อนแต่งหน้า ดวงตาจะสดใสขึ้น ดูไม่เหนื่อยล้า

ท่าที่ 2

การนอนราบกับพื้นในขณะที่ขยิบตาแล้วปล่อย ยกหัวขึ้นจากพื้นประมาณครึ่งนิ้ว เพื่อให้กล้ามเนื้อ ทำงานมากขึ้น เมื่อขยิบตาไปได้ถึงครั้งที่ 10 ให้ปิดตาแน่น และขยิบตาต่อไป นับจนถึง 20 แล้ว ยกศีรษะเหนือพื้นอีกครึ่งนิ้ว ปิดตาแน่นในขณะที่พยายามขยิบตาต่อไป นับจนถึงอีก 20..

ใต้ตาแข็งแรง ลดอาการบวมใต้ตา

ท่าที่ 1

นอนราบหรือนั่งทำก็ได้ วางนิ้วกลางไว้ที่หัวตาและนิ้วชี้ไว้ที่หางตา พยายามขยิบตาล่างให้แรงที่สุด เท่าที่จะแรงได้ ประมาณ 10 ครั้ง โดยเปิดตากว้างไว้ คงการขยิบตาล่างไว้แล้วนับให้ได้ถึง 40 แล้วเริ่มทำใหม่ ควรออกกำลังตาเช่นนี้วันละ 2 ครั้ง เพื่อลดอาการบวมใต้ตา ควรพยายามทำให้ได้วันละ 3 ครั้ง

ท่าที่ 2

ให้นอนราบ ขณะขยิบตานั้น ให้พยายามยกศีรษะขึ้นจากเตียงประมาณครึ่งนิ้ว แล้วขยิบตาต่อไป นับให้ถึง 20 แล้วยกศีรษะขึ้นอีกครึ่งนิ้ว แล้วนับต่อไปอีก 20




 

Create Date : 19 มกราคม 2553    
Last Update : 19 มกราคม 2553 4:54:29 น.
Counter : 379 Pageviews.  

เมนูต้องห้ามขณะท้องว่าง

คุณทราบไม๊ว่า เมื่อคุณรับประทาน อาหารเข้าไป ในยามท้องของคุณว่าง อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยต่อตัวคุณเอง เรามาดู เมนูต้องห้ามที่เราควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่าง ยิ่งเหล่านั้นน่ะ มีอะไรบ้าง

นมและนมถั่วเหลือง แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

เหล้า หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็น แผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับ ประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และ ลสมรรถภาพการทำงานของระบบ หมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบ ย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการ ใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ ไม่ควรรับประทานลูกพลับ ในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัว กับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมใน เลือดสูงขึ้นทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ เป็นอันตราย ต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากห้ามดื่มอาหารทั้ง 8 อย่างแล้ว ยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออก กำลังกายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้ง่าย ...ทราบแล้วเปลี่ยน

ที่มา DMC




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 10:55:36 น.
Counter : 401 Pageviews.  

Biological Clock นาฬิกาชีวิต

การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง

อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ชานเจียว)

การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า “นาฬิกาชีวิต”

1.00-3.00น

เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งมีราทินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับ คือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ

1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนักตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากจึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ

3.00-5.00น

เป็นช่วงเวลาของปอด ควรตื่นขึ้นมาสูดอากาศรับแดดตอนเช้า ผู้ที่ตื่นช่วงนี้ประจำ ปอดจะดี ผิวดี และเป็นคนมีอำนาจในตัว???

5.00-7.00น

ลำไส้ใหญ่ ควรถ่ายให้เป็นนิสัย ถ้าไม่ถ่ายให้กดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก ถ้ายังก็ให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว หรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง คนที่ถ่ายยากต้องกินข้าวเช้า บางคนไม่กินข้าวแต่กินกาแฟ ร่างการจะดูดกากอาหารตกค้างซึ่งกำลังจะเป็นอุจจาระเข้าไปใหม่ เท่ากับกินกาแฟแกล้มอุจจาระ

คนเรามักไม่ตื่นกันตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาที่ลำไส้ต้องบีบอุจจาระลง เมื่อไม่ตื่นจึงบีบขึ้น เมื่อไม่ถ่ายตอนเช้าลำไส้ใหญ่จึงรวน แล้วจะมีอาการปวดหัวไหล่ กล้ามเนื้อเพดานจะหย่อน แล้วจะนอนกรนในที่สุด

7.00-9.00น

กระเพาะอาหาร กินเข้าเช้าตอนนี้จะดี กระเพาะแข็งแรง ถ้ากระเพาะอ่อนแอ จะทำให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย

ถ้าไม่กินข้าวเช้าอุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ กลิ่นตัวจะเหม็น ถ้าถ่ายออกหมดจะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไหร่

9.00-11.00น

ม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย หน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดหัวบ่อยมักมาจากม้าม อาการเจ็บชายโครงมาจากม้ามกับตับ

- ม้ามโต จะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
-ม้ามชื้น อาหารแและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วนง่าย

คนที่หลับช่วง 9.00-11.00 ม้ามจะอ่อนแอ ม้ามยังโยงไปถึงริมฝีปาก คนที่พูดมากช่วงนี้ม้ามจะชื้น ควรพูดน้อยกินน้อย ไม่นอนหลับ ม้ามจะแข็งแรง

11.00-13.00น

หัวใจ หัวใจจะทำงานหนักช่วงนี้ ให้หลีกเลี่ยงความเครียด หรือใช้ความคิดหนัก หาทางระงับอารมณ์ไว้

13.00-15.00น

ลำไส้เล็ก **ควรงดกินอาหารทุกประเภท** เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดสารอาหารที่เป็นน้ำเพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง

15.00-17.00น

กระเพาะปัสสาวะ จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ช่วสงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก จะออกกำลังการหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง การอั้นปัสสาวะบ่อย จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้เหงื่อเหม็น

17.00-19.00น

ไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนตอนนี้ ถ้าง่วงแสดงว่าไตเสื่อม ยิ่งหลับแล้วเพ้อ อาการยิ่งหนัก

-ไตซ้าย คุมสมองด้านขวาคือความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้ามีปัญหา อารมณ์นี้จะหมดไปเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว แต่ไม่ปล่อยวาง และขี้ร้อน
-ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้ามีปัญหาความจำจะเสื่อมและเป็นคนขี้หนาว ผู้ใดที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนอายุยืน เป็นคนกล้า

ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต จะทำงานหนักเป็นโรคไต สมองเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลด

การดูแลคือ เช้าอาบน้ำเย็น เย็นอาบน้ำอุ่น

19.00-21.00น

เยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงนี้ควรสวดมนต์ ทำสมาธิ ให้ระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ หัวเราะ

21.00-23.00น

เวลาของระบบความร้อนของร่างกาย ต้องทำร่างายให้อุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นเวลานี้จะเจ็บป่วยได้ง่าย ช่วงนี้อย่าตากลมเพราะลมมีพิษ

23.00-1.00น

ถุงน้ำดี เป็นถุงสำรองน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ อวัยวะใดขาดน้ำ จะดึงมาจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น อารมจะฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก ตอนเช้าจะจาม ถุงน้ำดีจะโยงถึงปอด จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00น

เพิ่มเติม
ช่วงลำไส้เล็กซึ่งสำคัญมาก ทุกวันนี้ใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันปาล์ม แม้จะบอกว่าเป็นถั่วเหลือง หรือเมล็ดทานตะวันก็ตาม ถ้าเป็นน้ำมันธรรมชาติล้วนๆ เช่น น้ำมันมะกอกก็จะไม่เป็นปัญหาต่อลำไส้เล็ก เมื่อน้ำมันปาล์มโดนความร้อนจะทำให้เหนียวหนืด เวลาโฆษณาบอกว่าไม่เป็นไข แต่พอเข้าร่างกายแล้วจะไปเกาะที่ลำไส้ เวลาดื่มน้ำ น้ำก็ไม่สามารถทะลุผ่านลำไส้ ทำให้ต้องฉี่บ่อยๆ บางคนดื่มไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องลุกไปฉี่ ไตก็จะทำงานทำงานหนัก ไตควบคุมกระดูกและสมอง กระดูกก็เสื่อม เลือดไปเลี้ยงสมองก็น้อย สมองเสื่อมอีก เมื่อน้ำก็ไม่เข้าร่างกาย แต่สิ่งที่ผ่านไปได้คือวิตามิน A D E แต่ C กับโปรตีน กรดอะมิโน ผ่านไม่ได้จึงส่งผ่านไปให้ไต ไตก็ทำงานหนักขับโปรตีนออกมา

เมื่อเป็นปัญหาที่ไต น้ำผ่านไม่ได้ ถุงน้ำดีก็ข้น ทำให้ตื่นนอนหรือนอนไม่หลับช่วงห้าทุ่มถึงตีสาม ไปหลับอีกทีช่วงเช้ามืดซึ่งควรตื่นนอนแล้ว จึงเกิดไมเกรน หมอปัจจุบันต้องรอให้ปวดหัวก่อนถึงรู้ว่าเป็นไมเกรน แต่แผนโบราณบอกได้ตั้งแต่เริ่มมีอาการคอแห้ง ร้อนใน ปวดตามซี่โครง ปวดขาด้านข้าง เสียวฟัน ปลายประสาทฟันเหงือกอักเสบตลอดเวลา ถ้าหาหมอฟัน ก็จะถอนให้ พอปวดกระบอกตา ปวดหูก็บอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ต้นเหตุจริงๆ มาจากถุงน้ำดีข้น เลือดก็เลี้ยงสมองส่วนหน้าไม่พอ ตาก็เป็นต้อง่าย จมูกเป็นไซนัสง่าย ภูมิแพ้ง่าย เป็นผลพวงมาจากลำไส้เล็กไม่สะอาดทั้งสิ้น

วิธีแก้
้ตามธรรมชาติ ก็ใช้โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว กินเข้าไปจะล้างลำไส้ได้ ช่วงย่อยขยะในลำไส้

ถ้ามีผลต่อเนื่องจากลำไส้เล็ก เช่นโรคไต การที่ผมเปลี่ยนสีเพราะไตเริ่มเสื่อม อาการซ้ายขวาไม่เหมือนกัน อ่านได้ข้างบน เห็ดหูหนูดำเป็นตัวดูแลไตที่ดี เห็ดหูหนูขาวบำรุงปอด ถ้าเอาเห็ดสาม (รวมเห็ดหอมมั้ง) อย่างมาปรุงอาหารรวมกัน จะสามารถล้างพิษในตับได้ รักษามะเร็ง รักษาตับ ซิสต์ เนื้องอก จะเอามาทำอะไรก็ได้ แกงเลียง ต้มยำของหวาน ได้ทั้งนั้น


ใครขี้เกียจอ่านยาวๆ มาอ่านตรงนี้ ก็พอ

สรุป
1.00-3.00 นอนซะ (ตับ)
3.00-5.00 ตื่นมาสูดอากาศ (ปอด)
5.00-7.00 ขับถ่าย (ลำไส้ใหญ่)
7.00-9.00 กินข้าวเช้า (กระเพาะ)
9.00-11.00 อย่าพูดมาก กินน้อยๆ อย่านอน (ม้าม)
11.00-13.00 หลีกเลี่ยงความเครียด (หัวใจ)
13.00-15.00 ห้ามกิน (ลำไส้เล็ก)
15.00-17.00 ออกกำลังหรืออบตัวให้เหงื่อออก (กระเพาะปัสสาวะ)
17.00-19.00 ทำให้สดชื่น อย่าง่วง (ไต)
19.00-21.00 ทำสมาธิ (เยื่อหุ้มหัวใจ)
21.00-23.00 ทำตัวให้อุ่นๆ ไว้ (ระบบความร้อนของร่างกาย)
23.00-1.00 กินน้ำก่อนนอน (ถุงน้ำดี)

ที่มา dmc




 

Create Date : 17 มกราคม 2553    
Last Update : 17 มกราคม 2553 7:54:29 น.
Counter : 491 Pageviews.  

3 สูตรสวยด้วยธรรมชาติ

3 สูตรสวยด้วยธรรมชาติ




โบท็อกซ์ คอลลาเจน ไอออนโต เอเอชเอ อัลตร้าโซนิค หรือเลเซอร์” ถึงแม้จะมีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่ใช่ว่าการดูแลตัวเองให้ดูดีนั้นจะต้องพึ่งเครื่องสำอางหรืออุปกรณ์ทันสมัยเท่านั้น เพราะนอกจากสิ่งเหล่านี้จะมีราคาแพงแล้ว การฉีดสารต่างๆ เข้าไปที่ใบหน้าก็อาจลงท้ายด้วยภาวะแทรกซ้อนที่ไม่อาจเรียกกลับคืนมาเหมือนเดิมได้

ดังนั้นเราจึงมีเคล็ดลับดีๆ เพื่อดูแลความงามด้วยผักผลไม้จากธรรมชาติ ที่เรียกว่าสวยได้และประหยัดด้วยมาฝากคะ

1. มันฝรั่งลดรอยคล้ำใต้ตา ถ้าช่วงไหนนอนน้อยจนรู้สึกว่าใต้ขอบตามีรอยดำคล้ำอยู่ล่ะก็ ลองใช้มันฝรั่งสดฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาแปะที่ใต้ตา ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที วิธีนี้จะช่วยทำให้ดวงตาสดชื่นและผิวกระจ่างใสขึ้นได้

2. กล้วยลบริ้วรอย บดกล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้า พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วจึงตามด้วยน้ำเย็นอีกที เพื่อปิดรูขุมขน เช็ดหน้าให้แห้งด้วยผ้าสะอาดเบาๆ

3. สมุนไพรเติมความสดชื่น ช่วงที่หน้าตาร่วงโรย ต้องลองสูตรนี้ค่ะ โดยนำขิงสับละเอียด 1/4 ถ้วย ผักชีฝรั่งแห้งอีก 1/4 ถ้วย ผิวมะนาวที่ขูดแล้ว 1/2 ถ้วย จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดเทรวมกัน แล้วห่อด้วยผ้าขาวบางมัดให้แน่นก่อนใส่ในอ่างอาบน้ำ ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา เพราะขิงช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนดี แล้วกลิ่นหอมของมะนาวและผักชีฝรั่งแห้งนี่แหละที่ทำให้เราสดชื่นได้



ที่มา ชีวจิต




 

Create Date : 16 มกราคม 2553    
Last Update : 16 มกราคม 2553 4:53:54 น.
Counter : 326 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  

Kanphicha
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ที่มาของคำว่า Kefir By รัญรักษ์
ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อ ไม่ใช่เครื่องหมายการค้า
แต่เป็นชื่อพ่อและแม่ของกานต์เองค่ะ
เมื่อกานต์ทำบุญครั้งใด ก็จะยกกุศลทั้งหมดให้พ่อและแม่
การแจกจ่ายบัวหิมะให้คนอื่นๆ
ถือเป็นการทำบุญอีกคร้งหนึ่ง
กานต์ขอยกกุศลผลบุญทั้งหมดให้บุพการีที่เป็นที่รักของกานต์ทั้งสองท่าน โดยการตั้งชื่อท่านทั้งสองในการแจกจ่าย Kefir นะคะ
free counters
Friends' blogs
[Add Kanphicha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.