เมื่อฝ้ามีผลต่อภาพลักษณ์ ความสวย และความงามของใบหน้า
โรค ฝ้า เป็น รอยจุดสีน้ำตาล-ดำบนใบหน้า ฝ้าเป็นโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในเมืองไทย โดยเฉพาะสตรีที่มีผิวสีน้ำตาลอ่อน หรือที่เรียกกันว่าผิวสีแทน (Tan) ซึ่งเป็นสีผิวของชาวเอเชีย โรคนี้เป็นโรคผิวหนังอีกชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย ไม่ส่งผลเสียโดยตรงต่อการทำงานตามปกติของสุขภาพร่างกาย แต่มีผลต่อภาพลักษณ์ ความสวย และความงามของใบหน้า ทำให้เกิดรอยด่างดำ ไม่น่าดู
ฝ้า เกิดจากความผิดปกติของผิวหนัง เป็นภาวะที่เซลล์ผิวเป็นสีเข้มคล้ำกว่าบริเวณรอบข้าง เพราะเซลล์สร้างเม็ดสีของผิวหนังสร้างเม็ดสีผิวออกมามากเกินไป เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด จะทำให้เกิดเป็นผิวสีเข้มคล้ำแตกต่างจากผิวบริเวณรอบๆ อย่างเห็นได้ชัด
ชนิดของฝ้า ฝ้าแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ตามความลึกของการเกิดฝ้าคือ ฝ้าแบบตื้น และฝ้าแบบลึก
ฝ้าแบบตื้น จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่ายและสามารถรักษาให้หายได้เร็ว นอกจากนี้ ฝ้าชนิดนี้ยังรักษาโดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และยากันแดด ก็สามารถลบเลือนให้หายได้
ฝ้าชนิดที่สอง คือ ฝ้าแบบลึก จะมีอาการผิดปกติอยู่ในชั้นที่ลึกกว่าชนิดแรก โดยจะเกิดฝ้าในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า จะเกิดความผิดปกติในระดับชั้นผิวหนังแท้ มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขต ไม่ชัด รักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดตื้น และไม่ค่อยหายขาดการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และยากันแดด เพียงแต่ช่วยให้ดีขึ้นเท่านั้น
บางคนก็เป็นฝ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทั้ง 2 ชนิดพร้อมกันก็ได้ ในการวินิจฉัยแยกชนิดของฝ้าว่าเป็นชนิดใดนั้นต้อได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือที่มีชื่อเรียกว่า Woods lamp
ตำแหน่งที่พบฝ้าได้บ่อย ตำแหน่งที่พบฝ้าได้บ่อย ได้แก่ บริเวณใบหน้าที่มีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดมากๆ เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว และบริเวณเหนือริมฝีปาก ซึ่งมักเป็นทั้งด้านซ้ายและขวาของร่างกายอย่างสมมาตรกัน ในบางคนอาจพบรอยดำได้ บริเวณหัวนม รักแร้ ขาหนีบ หรืออวัยวะเพศร่วมด้วย
ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า ส่วนใหญ่มักพบฝ้าในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เริ่มตั้งแต่ในวัยเจริญพันธุ์ หรืออายุประมาณ 30 ปีขึ้นไปพบมากในชาวเอเชีย ชนเชื้อสายสเปน และชาวอินเดียนแดงที่มีผิวโทนสีแทน หรือน้ำตาล
สาเหตุที่สัมพันธ์กับการเกิดฝ้า ได้แก่ แสงแดดฮอร์โมน กรรมพันธุ์ สารเคมี และความเครียด
แสงแดด หรือ แสงไฟแรงๆ เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญทำให้เกิดสีผิวเข้มขึ้น หรือเป็นฝ้า
ฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง ทั้งโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจน สังเกตได้จากการเกิดฝ้าในหญิงตั้งครรภ์ (Pregnancy mask) ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดและผู้หญิงวัยทองที่ใช้ยาฮอร์โมนทดแทน ซึ่งล้วนมีโอกาสทำให้เกิดฝ้าได้ แต่ฝ้าชนิดนี้อาจหายได้เอง เมื่อคลอดบุตร หรือหยุดยา แต่จะต้องใช้เวลานาน ประมาณ 2 เท่า ของระยะเวลาที่ใช้ฮอร์โมนเพื่อการคุมกำเนิดหรือทดแทนฮอร์โมน
เชื่อว่ากรรมพันธุ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า เพราะพบในคู่แฝด และพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน
สารเคมี น้ำหอม และเครื่องสำอางบางชนิด อาจจะทำให้เกิดฝ้าได้ ดังนั้น เมื่อเริ่มใช้ควรสังเกตการเกิดฝ้าและหลีกเลี่ยงสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำให้เกิดฝ้าได้
ความเครียด ก็เชื่อว่ามีส่วนสำคัญทำให้เกิดฝ้าได้ เช่นกัน
นอกจากนี้ยังพบฝ้าดำได้ ในผู้ป่วยโรคเนื้องอกของรังไข่ โรคแอดดิสัน เป็นต้น
การดูแลตนเอง เนื่องจากแสงแดดหรือแสงไฟแรงๆ ช่วยกระตุ้นให้เกิดฝ้า จึงควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรือแสงไฟแรงๆ ด้วยการหลีกเลี่ยงการออกแดดกลางแจ้ง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ถ้าจำเป็นต้องออกแดด อาจป้องกันด้วยการใช้ร่มกันแดด หรือสวมหมวกชนิดที่มีปีก พร้อมทั้งใช้ยาทากันแสงแดด ควรเลือกชนิดที่มีค่า SPF (sun protective factor) ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป และทาบริเวณที่ต้องการปกป้องวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยป้องกันแสงแดด
ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม และเครื่องสำอางเพราะมีเครื่องสำอางและน้ำหอมบางชนิดที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าขึ้นได้
นอกจากนี้ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอารมณ์เครียด
อนึ่ง ค่า SPF (sun protective factor) หมายถึง จำนวนเท่าของปกป้องแสงมาทำลายผิวหนังเมื่อทายาเปรียบเทียบกับเมื่อไม่ได้ทายา เช่น SPF 15 แสดงว่า ยานี้สามารถปกป้องผิวหนังได้นานเป็น 15เท่าของภาวะปกติของผิวหนัง
ยารักษาโรคฝ้า ในการรักษาโรคฝ้าแนะนำให้ใช้ยาลอกฝ้าร่วมกับยากันแดด (ปกติใช้เวลามากกว่า 3 เดือน) ทั้งนี้เพราะยาลอกฝ้า จะมีฤทธิ์รักษาอาการของฝ้า ในขณะเดียวกันยากันแดดจะช่วยปกป้องผิวหนังจากแสงแดด ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า ดังนั้น ในการรักษาฝ้าจึงควรใช้ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ร่วมกัน
ยาลอกฝ้า ยาลอกฝ้ามีหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้และปลอดภัย คือ ไฮโดรควินิน (Hydroquinone) อยู่ในรูปยาทา ขนาดความเข้มข้นร้อยละ 2-4 ทาวันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง ทำให้ฝ้าจางลงได้
แต่เนื่องจากยาชนิดนี้อาจทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ที่ผิวหนังได้ ก่อนใช้ยาทาฝ้าบริเวณใบหน้า จึงควรทดสอบด้วยการทายานี้บางๆ ที่แขนแล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน (ห้ามล้างออก) ดูว่ามีผื่นแดงหรือไม่ ถ้ามีอาการแพ้ ก็ห้ามใช้ยาชนิดนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายแก่ใบหน้าได้
ยาไฮโดรควิโนนนี้มีอยู่ในรูปครีม หรือโลชั่น ในความเข้มข้นร้อยละ 2-4 ได้ผลดีในการลดฝ้าได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน แต่ควรระวังผลข้างเคียงของยาที่พบบ่อยได้แก่ ระคายเคืองผิว มีความไวต่อแสงมากขึ้น เกิดการอักเสบ หรือสีผิว รอบข้างมีสีจางลง นอกจากนี้ ยังนิยมนำยาไฮโดรควิโนนผสมกับกรดเรติโนอิก ขนาด 0.01-0.05% และสตีรอยด์ชนิดครีม 2 ชนิดหรือ 3 ชนิดร่วมกัน จะช่วยให้การออกฤทธิ์ลดฝ้าได้ดียิ่งขึ้น
ยากันแสง ยากันแสง มีหลายชนิด เช่น พาบา (PABA ซึ่งย่อมาจาก para-aminobenobenzoic acid) ทาตอนเช้า หรือก่อนออกกลางแดด ควรใช้ชนิดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป
ยานี้อาจทำให้แสบตา แสบจมูก เป็นสิว หรือแพ้ได้โดยทั่วไปมักจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าอาการจะดีขึ้นและจะต้องใช้ยากันแสงไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นฝ้าอีก นอกจากนี้ ยา Azelaic acid, glycolic acid และ kojic acid ก็มีการนำมาใช้ยาเดี่ยวหรือร่วมกับยาอื่นๆ ในการรักษาอาจต้องใช้เวลานานมากกว่า 3 เดือนจึงจะได้ผลดี หรือในบางรายอาจไม่หายขาด จะต้องใช้ยากันแสงและยาลอกฝ้าติดต่อกันไปเรื่อยๆ เพื่อควบคุมฝ้า เพราะถ้าหยุดยา อาจกำเริบได้ใหม่
ฝ้าที่อยู่ตื้นๆ หรือชนิดที่เป็นสีน้ำตาล-น้ำตาลเข้มมักจะรักษาได้ผลดี แต่ฝ้าที่อยู่ลึก หรือชนิดเป็นสีน้ำตาลเทา-ดำ อาจได้ผลช้า หรือไม่ได้ผลเลย ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1-2 เดือน หรือยาที่ทารักษาฝ้าหรือสงสัยเป็นโรคอื่นควรปรึกษาแพทย์ทางโรคผิวหนังซึ่งอาจเปลี่ยนไปใช้รักษาฝ้าชนิดอื่นแทน
อนึ่ง ยารักษาฝ้าบางชนิดมีส่วนผสมของสารปรอทอาจจะไปทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ทำให้หน้าด่างขาว หรือเป็นรอยแดงหรือรอยด่างอย่างน่าเกลียด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังอย่าซื้อยาลอกฝ้าที่มีส่วนประกอบของปรอท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาที่โฆษณาที่ทำให้หายได้ทันที ยาลอกฝ้าที่เข้าสารปรอท อาจทำให้ฝ้าจางลง แต่อาจมีอันตรายจากการสะสมปรอทที่ผิวหนังและในร่างกายได้
ฝ้าจากการตั้งครรภ์ ฝ้าที่เกิดจากการตั้งครรภ์ (pregnancy mask) อาจหายได้เองหลังการคลอดบุตร
ฝ้าที่เกิดจากยาเม็ดหรือยาฉีดคุมกำเนิด หลังหยุดใช้ยาคุมกำเนิด อาจทำให้ฝ้าจางลงได้เอง ซึ่งต้องใช้เวลาเป็น 2 เท่าของระยะเวลาที่ใช้ยาคุมกำเนิด เช่น ถ้าฉีดยาคุมกำเนิดนาน 2 ปี ก็อาจใช้เวลานานถึง 4 ปี ในการที่ฝ้าจะจางหายไปได้เอง
ฝ้าอาจเกิดจากโรคอื่นๆ เช่น เนื้องอกของรังไข่ โรคแอดดิสัน เป็นต้น นอกจากนี้ โรคเอสแอลอี ก็อาจมีผื่นแดงขึ้นที่แก้ม คล้ายรอยฝ้าได้ ดังนั้น ถ้าพบมีอาการผิดสังเกตอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย เป็นลมบ่อย ปวดข้อ ผมร่วง เป็นไข้เรื้อรัง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
ถึงตอนนี้ก็พอเข้าใจเรื่องฝ้าและวิธีดูแลรักษาตนเองในเรื่องนี้ เริ่มต้นด้วยการหาสาเหตุของฝ้าว่าเกิดจากสาเหตุใด ถ้าเกิดจากการตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ก็อาจหายได้เอง ถ้าคลอดบุตร หรือหยุดยาคุมกำเนิด แต่ถ้าไม่ได้เกิดจากสาเหตุทั้งสอง ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นฝ้ามากน้อยเพียงใด
ถ้าเป็นเพียงเล็กน้อยก็อาจใช้แป้งหรือเครื่องสำอางทากลบเกลื่อนรอยฝ้าได้ แต่ถ้าเป็นมากพอสมควร ก็ควรใช้ยาลอกฝ้าอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เป็นเวลานานประมาณ 3 เดือนขึ้นไป กว่าจะเห็นผลดี และควรใช้ยากันแดดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันแสงแดดกระตุ้นให้เกิดฝ้าขึ้นมาใหม่
สิ่งสำคัญที่สุด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือแสงไฟแรงๆ ซึ่งกระตุ้นการเกิดฝ้า พร้อมทั้งรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป
ส่วนรายที่มีประวัติแพ้ยาและสารเคมีได้ง่าย ควรทดสอบยาทาทุกชนิดก่อนใช้ยา ด้วยการทาที่ท้องแขนแล้วทิ้งไว้สัก 1-2 วัน เพื่อทดสอบการแพ้ยา ก่อนนำไปทาที่ใบหน้าเลย
หากใช้แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดปกติ หรือสงสัยในเรื่องยาหรือสุขภาพ ก็สามารถไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรชุมชนที่ประจำอยู่ตามร้านยาทั่วไปได้.
เขียนโดย ภก.วิรัตน์ ทองรอด [ ที่มา.. นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 326 มิถุนายน 2549]
Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2553 13:54:17 น. |
Counter : 447 Pageviews. |
| |
|
|
|