Group Blog
 
All blogs
 

เมื่อฝ้ามีผลต่อภาพลักษณ์ ความสวย และความงามของใบหน้า

โรค “ฝ้า” เป็น รอยจุดสีน้ำตาล-ดำบนใบหน้า
ฝ้าเป็นโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในเมืองไทย โดยเฉพาะสตรีที่มีผิวสีน้ำตาลอ่อน หรือที่เรียกกันว่าผิวสีแทน (Tan) ซึ่งเป็นสีผิวของชาวเอเชีย โรคนี้เป็นโรคผิวหนังอีกชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย ไม่ส่งผลเสียโดยตรงต่อการทำงานตามปกติของสุขภาพร่างกาย แต่มีผลต่อภาพลักษณ์ ความสวย และความงามของใบหน้า ทำให้เกิดรอยด่างดำ ไม่น่าดู

“ฝ้า” เกิดจากความผิดปกติของผิวหนัง เป็นภาวะที่เซลล์ผิวเป็นสีเข้มคล้ำกว่าบริเวณรอบข้าง เพราะเซลล์สร้างเม็ดสีของผิวหนังสร้างเม็ดสีผิวออกมามากเกินไป เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด จะทำให้เกิดเป็นผิวสีเข้มคล้ำแตกต่างจากผิวบริเวณรอบๆ อย่างเห็นได้ชัด

ชนิดของฝ้า
ฝ้าแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ตามความลึกของการเกิดฝ้าคือ ฝ้าแบบตื้น และฝ้าแบบลึก

ฝ้าแบบตื้น จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่ายและสามารถรักษาให้หายได้เร็ว นอกจากนี้ ฝ้าชนิดนี้ยังรักษาโดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และยากันแดด ก็สามารถลบเลือนให้หายได้

ฝ้าชนิดที่สอง คือ ฝ้าแบบลึก จะมีอาการผิดปกติอยู่ในชั้นที่ลึกกว่าชนิดแรก โดยจะเกิดฝ้าในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า จะเกิดความผิดปกติในระดับชั้นผิวหนังแท้ มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขต ไม่ชัด รักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดตื้น และไม่ค่อยหายขาดการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และยากันแดด เพียงแต่ช่วยให้ดีขึ้นเท่านั้น

บางคนก็เป็นฝ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทั้ง 2 ชนิดพร้อมกันก็ได้ ในการวินิจฉัยแยกชนิดของฝ้าว่าเป็นชนิดใดนั้นต้อได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือที่มีชื่อเรียกว่า Woods lamp

ตำแหน่งที่พบฝ้าได้บ่อย
ตำแหน่งที่พบฝ้าได้บ่อย ได้แก่ บริเวณใบหน้าที่มีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดมากๆ เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว และบริเวณเหนือริมฝีปาก ซึ่งมักเป็นทั้งด้านซ้ายและขวาของร่างกายอย่างสมมาตรกัน ในบางคนอาจพบรอยดำได้ บริเวณหัวนม รักแร้ ขาหนีบ หรืออวัยวะเพศร่วมด้วย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า
ส่วนใหญ่มักพบฝ้าในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เริ่มตั้งแต่ในวัยเจริญพันธุ์ หรืออายุประมาณ 30 ปีขึ้นไปพบมากในชาวเอเชีย ชนเชื้อสายสเปน และชาวอินเดียนแดงที่มีผิวโทนสีแทน หรือน้ำตาล

สาเหตุที่สัมพันธ์กับการเกิดฝ้า ได้แก่ แสงแดดฮอร์โมน กรรมพันธุ์ สารเคมี และความเครียด

แสงแดด หรือ แสงไฟแรงๆ เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญทำให้เกิดสีผิวเข้มขึ้น หรือเป็นฝ้า

ฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง ทั้งโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจน สังเกตได้จากการเกิดฝ้าในหญิงตั้งครรภ์ (Pregnancy mask) ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดและผู้หญิงวัยทองที่ใช้ยาฮอร์โมนทดแทน ซึ่งล้วนมีโอกาสทำให้เกิดฝ้าได้ แต่ฝ้าชนิดนี้อาจหายได้เอง เมื่อคลอดบุตร หรือหยุดยา แต่จะต้องใช้เวลานาน ประมาณ 2 เท่า ของระยะเวลาที่ใช้ฮอร์โมนเพื่อการคุมกำเนิดหรือทดแทนฮอร์โมน

เชื่อว่ากรรมพันธุ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า เพราะพบในคู่แฝด และพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน

สารเคมี น้ำหอม และเครื่องสำอางบางชนิด อาจจะทำให้เกิดฝ้าได้ ดังนั้น เมื่อเริ่มใช้ควรสังเกตการเกิดฝ้าและหลีกเลี่ยงสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำให้เกิดฝ้าได้

ความเครียด ก็เชื่อว่ามีส่วนสำคัญทำให้เกิดฝ้าได้ เช่นกัน

นอกจากนี้ยังพบฝ้าดำได้ ในผู้ป่วยโรคเนื้องอกของรังไข่ โรคแอดดิสัน เป็นต้น

การดูแลตนเอง
เนื่องจากแสงแดดหรือแสงไฟแรงๆ ช่วยกระตุ้นให้เกิดฝ้า จึงควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรือแสงไฟแรงๆ ด้วยการหลีกเลี่ยงการออกแดดกลางแจ้ง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ถ้าจำเป็นต้องออกแดด อาจป้องกันด้วยการใช้ร่มกันแดด หรือสวมหมวกชนิดที่มีปีก พร้อมทั้งใช้ยาทากันแสงแดด ควรเลือกชนิดที่มีค่า SPF (sun protective factor) ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป และทาบริเวณที่ต้องการปกป้องวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยป้องกันแสงแดด

ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม และเครื่องสำอางเพราะมีเครื่องสำอางและน้ำหอมบางชนิดที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าขึ้นได้

นอกจากนี้ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอารมณ์เครียด

อนึ่ง ค่า SPF (sun protective factor) หมายถึง จำนวนเท่าของปกป้องแสงมาทำลายผิวหนังเมื่อทายาเปรียบเทียบกับเมื่อไม่ได้ทายา เช่น SPF 15 แสดงว่า ยานี้สามารถปกป้องผิวหนังได้นานเป็น 15เท่าของภาวะปกติของผิวหนัง

ยารักษาโรคฝ้า
ในการรักษาโรคฝ้าแนะนำให้ใช้ยาลอกฝ้าร่วมกับยากันแดด (ปกติใช้เวลามากกว่า 3 เดือน) ทั้งนี้เพราะยาลอกฝ้า จะมีฤทธิ์รักษาอาการของฝ้า ในขณะเดียวกันยากันแดดจะช่วยปกป้องผิวหนังจากแสงแดด ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า ดังนั้น ในการรักษาฝ้าจึงควรใช้ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ร่วมกัน

ยาลอกฝ้า
ยาลอกฝ้ามีหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้และปลอดภัย คือ ไฮโดรควินิน (Hydroquinone) อยู่ในรูปยาทา ขนาดความเข้มข้นร้อยละ 2-4 ทาวันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง ทำให้ฝ้าจางลงได้

แต่เนื่องจากยาชนิดนี้อาจทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ที่ผิวหนังได้ ก่อนใช้ยาทาฝ้าบริเวณใบหน้า จึงควรทดสอบด้วยการทายานี้บางๆ ที่แขนแล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน (ห้ามล้างออก) ดูว่ามีผื่นแดงหรือไม่ ถ้ามีอาการแพ้ ก็ห้ามใช้ยาชนิดนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายแก่ใบหน้าได้

ยาไฮโดรควิโนนนี้มีอยู่ในรูปครีม หรือโลชั่น ในความเข้มข้นร้อยละ 2-4 ได้ผลดีในการลดฝ้าได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน แต่ควรระวังผลข้างเคียงของยาที่พบบ่อยได้แก่ ระคายเคืองผิว มีความไวต่อแสงมากขึ้น เกิดการอักเสบ หรือสีผิว รอบข้างมีสีจางลง นอกจากนี้ ยังนิยมนำยาไฮโดรควิโนนผสมกับกรดเรติโนอิก ขนาด 0.01-0.05% และสตีรอยด์ชนิดครีม 2 ชนิดหรือ 3 ชนิดร่วมกัน จะช่วยให้การออกฤทธิ์ลดฝ้าได้ดียิ่งขึ้น

ยากันแสง
ยากันแสง มีหลายชนิด เช่น พาบา (PABA ซึ่งย่อมาจาก para-aminobenobenzoic acid) ทาตอนเช้า หรือก่อนออกกลางแดด ควรใช้ชนิดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป

ยานี้อาจทำให้แสบตา แสบจมูก เป็นสิว หรือแพ้ได้โดยทั่วไปมักจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าอาการจะดีขึ้นและจะต้องใช้ยากันแสงไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นฝ้าอีก นอกจากนี้ ยา Azelaic acid, glycolic acid และ kojic acid ก็มีการนำมาใช้ยาเดี่ยวหรือร่วมกับยาอื่นๆ ในการรักษาอาจต้องใช้เวลานานมากกว่า 3 เดือนจึงจะได้ผลดี หรือในบางรายอาจไม่หายขาด จะต้องใช้ยากันแสงและยาลอกฝ้าติดต่อกันไปเรื่อยๆ เพื่อควบคุมฝ้า เพราะถ้าหยุดยา อาจกำเริบได้ใหม่

ฝ้าที่อยู่ตื้นๆ หรือชนิดที่เป็นสีน้ำตาล-น้ำตาลเข้มมักจะรักษาได้ผลดี แต่ฝ้าที่อยู่ลึก หรือชนิดเป็นสีน้ำตาลเทา-ดำ อาจได้ผลช้า หรือไม่ได้ผลเลย ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1-2 เดือน หรือยาที่ทารักษาฝ้าหรือสงสัยเป็นโรคอื่นควรปรึกษาแพทย์ทางโรคผิวหนังซึ่งอาจเปลี่ยนไปใช้รักษาฝ้าชนิดอื่นแทน

อนึ่ง ยารักษาฝ้าบางชนิดมีส่วนผสมของสารปรอทอาจจะไปทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ทำให้หน้าด่างขาว หรือเป็นรอยแดงหรือรอยด่างอย่างน่าเกลียด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังอย่าซื้อยาลอกฝ้าที่มีส่วนประกอบของปรอท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาที่โฆษณาที่ทำให้หายได้ทันที ยาลอกฝ้าที่เข้าสารปรอท อาจทำให้ฝ้าจางลง แต่อาจมีอันตรายจากการสะสมปรอทที่ผิวหนังและในร่างกายได้

ฝ้าจากการตั้งครรภ์
ฝ้าที่เกิดจากการตั้งครรภ์ (pregnancy mask) อาจหายได้เองหลังการคลอดบุตร

ฝ้าที่เกิดจากยาเม็ดหรือยาฉีดคุมกำเนิด หลังหยุดใช้ยาคุมกำเนิด อาจทำให้ฝ้าจางลงได้เอง ซึ่งต้องใช้เวลาเป็น 2 เท่าของระยะเวลาที่ใช้ยาคุมกำเนิด เช่น ถ้าฉีดยาคุมกำเนิดนาน 2 ปี ก็อาจใช้เวลานานถึง 4 ปี ในการที่ฝ้าจะจางหายไปได้เอง

ฝ้าอาจเกิดจากโรคอื่นๆ เช่น เนื้องอกของรังไข่ โรคแอดดิสัน เป็นต้น นอกจากนี้ โรคเอสแอลอี ก็อาจมีผื่นแดงขึ้นที่แก้ม คล้ายรอยฝ้าได้ ดังนั้น ถ้าพบมีอาการผิดสังเกตอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย เป็นลมบ่อย ปวดข้อ ผมร่วง เป็นไข้เรื้อรัง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

ถึงตอนนี้ก็พอเข้าใจเรื่องฝ้าและวิธีดูแลรักษาตนเองในเรื่องนี้ เริ่มต้นด้วยการหาสาเหตุของฝ้าว่าเกิดจากสาเหตุใด ถ้าเกิดจากการตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ก็อาจหายได้เอง ถ้าคลอดบุตร หรือหยุดยาคุมกำเนิด แต่ถ้าไม่ได้เกิดจากสาเหตุทั้งสอง ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นฝ้ามากน้อยเพียงใด

ถ้าเป็นเพียงเล็กน้อยก็อาจใช้แป้งหรือเครื่องสำอางทากลบเกลื่อนรอยฝ้าได้ แต่ถ้าเป็นมากพอสมควร ก็ควรใช้ยาลอกฝ้าอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เป็นเวลานานประมาณ 3 เดือนขึ้นไป กว่าจะเห็นผลดี และควรใช้ยากันแดดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันแสงแดดกระตุ้นให้เกิดฝ้าขึ้นมาใหม่

สิ่งสำคัญที่สุด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือแสงไฟแรงๆ ซึ่งกระตุ้นการเกิดฝ้า พร้อมทั้งรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป

ส่วนรายที่มีประวัติแพ้ยาและสารเคมีได้ง่าย ควรทดสอบยาทาทุกชนิดก่อนใช้ยา ด้วยการทาที่ท้องแขนแล้วทิ้งไว้สัก 1-2 วัน เพื่อทดสอบการแพ้ยา ก่อนนำไปทาที่ใบหน้าเลย

หากใช้แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดปกติ หรือสงสัยในเรื่องยาหรือสุขภาพ ก็สามารถไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรชุมชนที่ประจำอยู่ตามร้านยาทั่วไปได้.

เขียนโดย ภก.วิรัตน์ ทองรอด
[ ที่มา.. นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 326 มิถุนายน 2549]




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2553 13:54:17 น.
Counter : 447 Pageviews.  

ปฎิทินความสวย ในแต่ละช่วงเวลาของวัน



อาบน้ำ
การอาบน้ำถือเป็นปฎิทินความงามอย่างแรกที่ควรทำในตอนเช้า แม้ค่ำคืนที่ผ่านมา คุณจะอาบน้ำทำความสะอาดตัวเองมาเต็มที่แล้วก็ตาม การอาบน้ำตอนเช้าๆก็เหมือนกับการดื่มกาแฟถ้วยแรก ความฉ่ำชื่นของสายน้ำจะปลุกให้เซลล์ผิวตื่นตัว กระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิต ผิวจึงดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา เพื่อให้ผลที่ดียิ่งขึ้นควรใช้สครับขัดผิวหรือฟองน้ำถูตัวร่วมด้วยอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

มอยส์เจอไรเซอร์
ขณะผิวหมาดเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการทามอยส์เจอร์หรือโลชั่นบำรุงผิว เพราะเนื้อครีมและโลชั่นจะผนึกรวมตัวเข้ากับน้ำได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว จะเท่ากับเป็นการกระตุ้นรูขุมขนให้เปิด ทำให้โลชั่นซึมผ่านลงชั้นผิวได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ช่วงหลังอาบน้ำยังเหมาะกับการชะโลมผิวด้วยมอยส์เจอร์ที่มีสารกันแดด เพราะใช้เวลาตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าที่สารกันแดดจะออกฤทธิ์

คิ้ว
คุณควรจัดการกับคิ้วหลังจากอาบน้ำเท่านั้น เพราะช่วงเวลานี้ผิวคุณจะนุ่มละมุนขึ้น ทั้งรูขุมขนก็จะเปิดกว้างขึ้นกว่าเดิม การถอนขนคิ้วก็จะทำได้ง่ายขึ้น และยังเจ็บน้อยลงอีกด้วย

แต่งหน้า
เวลาที่เหมาะสุดสำหรับการแต่งหน้าให้ออกมาใสปิ๊งเปล่งประกาย คือ 10 นาทีหลังอาบน้ำตอนเช้า โดยไม่ลืม 3 ขั้นตอนสำคัญต่อไปนี้
1. แก้ตาบวมก่อนเป็นอย่างแรก ด้วยการเอาถุงชาร้อนหมาดๆ (ที่ทิ้งให้เย็นลงบ้างแล้ว) ปิดทับดวงตาไว้สัก 2 - 3 นาที
2. จากนั้นให้เริ่มลงมือประทินโฉมด้วยการทาครีมรองพื้นและคอนซีลเลอร์ก่อน เพราะหลังอาบน้ำราวๆ 5-10 นาที ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด เนื่องจากน้ำมันตามธรรมชาติบนผิวกายจะก่อตัวขึ้นนิดๆซึ่งจะช่วยให้คุณเกลี่ยเครื่องสำอางได้นวลเนียน และง่ายขึ้น
3. เคล็ดลับที่สำคัญของการแต่งหน้า หลังจากที่เตรียมผิว ลงแป้งไปเรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนของการแต่งแต้มบริเวณดวงตา ให้เริ่มที่มาสคาร่าก่อน เพราะขนตาที่ดูเข้มขึ้นจะล้อมกรอบดวงตาให้ดูสวยซึ้ง น่าสนใจ ทำให้เราใช้อายไลเนอร์หรืออายแชโดว์น้อยลง ส่งผลให้การแต่งหน้าดูเป็นธรรมชาติ สวยแต่พอดีไม่เว่อร์จนเกินไป







น้ำหอม
อย่าลืมฉีดพรมน้ำหอม ก่อนออกจากบ้าน จะเป็นหลังหรือก่อนแต่งตัวก็ได้ มีข้อแม้เพียงว่าให้อุณหภูมิความร้อนในร่างกายของคุณเป็นปกติเท่านั้น ซึ่งย่อมไม่ใช่ช่วงหลังอาบน้ำใหม่ๆแน่ เพราะอุณหภูมิในร่างกายของคุณจะลดลง ขณะที่ในเวลาปกติความร้อนในตัวคุณจะช่วยให้กลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายยิ่งขึ้น การฉีดหรือแตะแต้มน้ำหอมลงบริเวณที่เป็นจุดชีพจรของร่างกาย เช่น ข้อมือ ข้อพับแขน เข่าและซอกคอ หรือหลังใบหู ซึ่งเป็นจุดที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามธรรมชาติ จะช่วยกระจายกลิ่นน้ำหอมได้ดี ช่วงเวลาหลังเที่ยงหรือราวบ่ายโมงเป็นอีกเวลาหนึ่งที่ดีสำหรับการฉีดแต้มน้ำหอมอีกครั้ง

ไนท์ครีม
ในยามค่ำคืนคุณควรเลือกปรนนิบัติผิวก่อน 4 ทุ่ม เพราะช่วงเวลาระหว่าง 3 ถึง 4 ทุ่ม เซลล์ผิวจะทำงานซ่อมแซมตัวมันเอง แถมยังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ผิวจะใช้ทรีตเมนท์แก้ริ้วรอย หรือแก้สิวในตอนกลางคืนเพราะอุณหภูมิในตัวคุณจะสูงขึ้นราว 1-2 องศา ซึ่งจะทำให้รูขุมขนเปิดกว้างขึ้น และทำให้เนื้อครีมที่คุณลูบไล้ลงบนผิวก่อนนอนซึมซาบได้ดีขึ้น เพื่อช่วยให้เนื้อครีมซึมซาบได้ดีขึ้น ให้ใช้น้ำอุ่นปะพรมบนใบหน้าก่อน หรือทำให้ครีมบำรุงอุ่นขึ้นด้วยการถูฝ่ามือหลังป้ายเนื้อครีมแล้ว จากนั้นจึงค่อยลูบไล้ให้ทั่วผิวหน้า

บอดี แรพ
เหมาะที่สุดในช่วงระหว่างที่มีประจำเดือน การทำบอดี แรพ จะช่วยลดอาการตัวบวมให้น้อยลง เนื่องจากร่างกายจะขับเหงื่อและน้ำส่วนเกินออกไป

แวกซ์ขน
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าแวกซ์ขนน่ะ มันเจ๊บเจ็บ เพราะฉะนั้นควรจะเลือกช่วงเวลาที่เหมาะจริงๆ อันได้แก่ ช่วง 1 สัปดาห์หลังมีประจำเดือน โดยให้ทำในช่วงเช้า เพราะผิวจะนุ่มทำให้ขนหลุดได้ง่ายขึ้น ช่วยให้เจ็บน้อยลงหน่อย

เปลี่ยนสีผม
ช่วงหน้าร้อน อย่าลืมเลือกเฉดสีที่มีประกายทองให้เฉิดฉายส่องประกายเต็มที่ยามต้องแสงแดด แต่ควรงดโทนสีแดงหรือส้มจัด เพราะเวลาโดนแดดจ้ากลางอากาศร้อนเปรี้ยงเหมือนเช่นในบ้าน มันจะกลายเป็นสีสนิมไปเสียนี่
ช่วงหน้าฝนหน้าหนาว ควรเลือกลดดีกรีความร้อนแรงลง หันมาใช้โทนสีที่อบอุ่นนุ่มนวลขึ้น เช่น โทนน้ำตาล แดง น้ำตาลเข้มหรือบลอนด์เข้มจะทำให้ใบหน้าดูผ่องผุดโดดเด่นขึ้น

เปลี่ยนกลิ่นน้ำหอม
ควรเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ไปตามฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง จะช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่จำเจ ทั้งยังให้ความรู้สึกเหมือนมีสิ่งใหม่ๆดีๆเกิดขึ้นในชีวิต ในหน้าร้อนควรเลือกน้ำหอมกลิ่นสะอาด สดชื่น ปราศจากแอลกอฮอล์ ผสานกลิ่นหอมอ่อนๆจากดอกไม้หรือกลิ่นสะอาดแห่งบรรยากาศท้องทะเล ส่วนหน้าหนาวและฝน ควรเลือกน้ำหอมกลิ่นตะวันออกแนวเครื่องเทศ สมุนไพร หรือกลิ่นเปลือกไม้เพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่น




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2553 1:55:03 น.
Counter : 421 Pageviews.  

มะนาว สุดยอดตัวช่วยลดน้ำหนัก



เราเก็บเคล็ดลับ ดี ๆ จากคอลัมน์ The Lemon Juice Diet ของหนังสือ New Book ที่นักเขียนสาว เธเรซา เชียง ได้ให้คำแนะนำกับปัญหาโรคอ้วน ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรับประทานมะนาว

เชียงกล่าว ว่า "มีเหตุผลมากมาย ที่ทำให้ผู้หญิงต้องต่อสู้กับน้ำหนักตัวที่มากจนเกินไป หนึ่งในนั้นคือปัญหาของระบบย่อยอาหารที่ทำงานไม่เป็นปกติ ซึ่งนั่นก็คือธรรมเนียมของการลดน้ำหนัก ที่อาจทำให้สาว ๆ ต้องเสี่ยงกับความทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต จะ ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันยังมีตัวช่วยที่วิเศษมาก ๆ นั่นคือ มะนาว ที่มีสรรพคุณช่วยในการลดน้ำหนักอย่างดียิ่ง ทั้งน้ำและเปลือก ที่จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนที่ดูแลสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยแล้ว เมื่อใดที่คุณอ้วนขึ้นมา มะนาวจะช่วยให้น้ำหนักของคุณลดลงได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ"

มีผลงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า หากระบบย่อยอาหารของคนเราทำงานไม่เป็นปกติ ต่อให้หักโหมลดน้ำหนักแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เพราะระบบย่อยอาหารที่ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับสารอาหารที่จำเป็นในการเผาผลาญไขมัน ซึ่งมันทำให้เกิดสารพิษตกค้างในร่างกาย และขจัดออกไปได้ยากและช้าลงอีกด้วย

ใน เมื่อ "มะนาว" ช่วยในระบบการย่อยอาหาร และสกัดสารพิษได้เป็นอย่างดี พลังจากผลไม้ธรรมชาติ อย่าง "มะนาว" จึงถูกกล่าวขานว่ามีสรรพคุณในการลดความอ้วนได้อย่างดีที่สุด

โดย "มะนาว" อุดม ไปด้วยกรดไซตริก (7-8% คือสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกๆ ประเภท) และเชียงยังระบุอีกด้วยว่า หากมะนาวถูกนำมาผสมรวมกับโปรตีนและกรดอื่น ๆ ก็จะยิ่งช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ในคอลัมน์ The Lemon Juice Diet ยังออกมาสนับสนุนให้ประชาชนวางแผนเมนูการทำอาหารในแต่ละมื้อว่า ต้องมีมะนาวรวมอยู่ด้วย หรือดัดแปลงรสชาติอาหารให้มีรสเปรี้ยวถูกปากมากยิ่งขึ้น โดยกล่าวว่า หากคุณทำตามกฎหลักทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะน้ำหนักลดลงได้ดั่งใจปรารถนา

1. ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นทุก ๆ เช้า

เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา แนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น

2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด

เพราะผักและผลไม้ทุกประเภท จะมีปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใย และสารอาหารที่ครบครัน จะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง

3. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด

โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย

นอกจากนี้ผลการศึกษาของวิทยาลัย Journal of the America College of Nutrition รายงานว่า คาร์โบไฮเดรตที่พบในผิวเปลือกของมะนาว จะสามารถกำจัดความอยากกินให้ลดลงได้ถึง 4 ชั่วโมง เปลือกมะนาวเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่ดีที่สุด ช่วยให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่คุณกินมัน คุณจะรู้สึกอิ่มไปอีกนานเลยทีเดียว

ใครจะคิดว่า "มะนาว" จะมีประโยชน์และสรรพคุณในการลดน้ำหนักที่ให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่ง ที่พิเศษไปกว่านั้นคือมันทำให้เรากินเนย โปรตีน ช็อกโกแลตและไอศกรีมได้อย่างสบายใจ คุณสามารถกินได้เท่าที่ใจอยากจะกิน โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องของแคลอรี




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2553 1:54:52 น.
Counter : 484 Pageviews.  

สุดยอดอาหาร...ป้องกันโรค




อาหารใช่แค่เพียงอร่อย แต่ยังช่วยดูแลสุขภาพคุณได้มากกว่าที่คิด และนี่คือสุดยอดอาหารสำหรับคุณ

You are What You Eat..... กินอย่างไรก็ได้ (สุขภาพ) อย่างนั้น ประโยคนี้ยังใช้ได้ผลเสมอโดยเฉพาะกับยุคนี้ที่มีอาหารปรุงแต่งมากมาย แต่ถึงอย่างไรก็คงสู้อาหารธรรมชาติไม่ได้หรอก หากเราสังเกตสุขภาพตัวเองและคนใกล้ตัวให้ดีละก็จะรู้ว่าอาหารมีผลต่อสุขภาพจริงๆ เช่น คนที่รับประทานแต่พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด หรืออาหารฟาสต์ฟู๊ด เป็นประจำมักป่วยบ่อย แต่ถ้าใครที่รับประทานผักผลไม้ เนื้อสัตว์ และปลาอย่างสม่ำเสมอโดยมีความสมดุลกัน ก็จะช่วยให้ร่งกายแข็งแรง สุขภาพดี ดังนั้น ดร.เพเตอร์ ชไลเดอร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการชาวเยอรมันจึงได้จัดลำดับอาหารที่มีประโยชน์ที่สุดต่ออวัยวะต่างๆในร่างกายดังนี้

ดวงตา
- สับปะรด มีเอนไซม์มากมายที่จะช่วยผ่อนคลายสายตาหลังนั่งทำงานมาทั้งวัน
- โรสแมริน ช่วยทำความสะอาดและช่วยให้เลือดไหลเวียนดีที่ดวงตา
- เก๋ากี้ มีกรดอะมิโน 18 ชนิด และแร่ธาตุที่สำคัญๆเช่น สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม เจอร์มาเนียม ซีลีเนียม และฟอสฟอรัส นอกจากนี้ยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ มากมายมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงสายตา กล่อมประสาทให้หลับสบาย ช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย สายตาไม่ดี โดยเฉพาะสายตาบอดในเวลากลางคืน ฯลฯ

สมอง
- ถั่ว Linsen มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเลซิติน ให้พลังงานแก่เซลล์สมองถั่วลินเซ็นมีขายตามร้านขายอาหารอินเดียและเป็นอาหารที่ชาวเยอรมันและชาวสวิตเซอร์แลนด์นิยม นำทำมาเป็นซุปรับประทานกัน
- สัตว์ปีก ให้พลังงานแก่การทำงานของสมอง
- ข้าวโอ๊ต ให้พลังงานสูงที่สุดสำหรับสมอง นอกจากนี้ ยังมีกรดฟีนอลที่จะช่วยในเรื่องของความทรงจำที่ดีอีกด้วย
- อะโวคาโด มีวิตามินบีสูง เหมาะสำหรับคนที่มีความเครียด นอนไม่หลับหรือจิตใจว้าวุ่น
- กล้วย มีฮอร์โมนสำหรับเส้นประสาทในสมอง มีน้ำตาลกลูโคส วิตามิน และเกลือแร่ในการให้ พลังงานแก่สมอง
- แอพริคอต (Apricot) มีแร่ธาตุจำเป็น





 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2553 16:54:15 น.
Counter : 292 Pageviews.  

นมเด้ง กับเรื่องที่ควรรู้และต้องระวัง


ร่างกายผู้หญิงโดยธรรมชาติ ผิวหนังภายนอกและกล้ามเนื้อภายในของเต้านมจะทำหน้าที่เหนี่ยวรั้งน้ำหนักของ เต้านมไว้ให้ตั้งขึ้นและเต่งตึงเสมือนหนึ่งเป็นเสื้อยกทรงธรรมชาติ แต่เมื่อสรีระของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น มีการเพิ่มของน้ำหนักตัวอย่างมากมาย หรือหญิงในวัยใกล้หรือในวัยหมดประจำเดือน เต้านมจะหย่อนยานอย่างชัดเจน

สาเหตุ สำคัญมาจากปัจจัยเหล่านี้ ผู้ลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก อ้วน มักจะมีไขมันสะสมพอกพูนบริเวณเต้านมมาก เมื่อน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ ส่วนที่หายไปก่อนคือไขมันส่วนเกินนั่นเอง ผิวหนังภายนอกที่เคยต้องขยายและอุ้มน้ำหนักเต้านมและไขมันส่วนเกินไว้ก่อน หน้านั้นจึงห้อยและหย่อนยานตามสรีระนั่นเอง เพราะกล้ามเนื้อภายในเต้านมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม

หญิงในวัยใกล้และในวัยหมดประจำเดือน

เต้านมหย่อนยานได้เนื่องจากสาเหตุหลักคือการลดลงของปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน ในกระแสเลือด ฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกผลิตและปลดปล่อยออกจากต่อม เนื้อเยื่อ และอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังเนื้อเยื่อและส่วนต่างๆของร่างกายที่มี สถานีรับ (Receptors) ฮอร์โมนชนิดนี้ หน้าที่สำคัญของเอสโตรเจนคือควบคุมการเจริญเติบโตของเต้านม รังไข่ ช่องคลอดและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง นอกจากนั้นยังมีความสำคัญยิ่งต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อของกระดูก ป้องกันกระดูกพรุนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเปราะและแตกหักของกระดูก



ไม่อยากให้เต้านมหย่อนยานก่อนวัย ควรทำอย่างไร

ไม่ ควรลดน้ำหนักตัวอย่างฮวบฮาบ ควรจำกัดอาหารไขมันควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม จะช่วยลดไขมันส่วนเกินพร้อม ๆ กับการกระชับกล้ามเนื้อภายในให้เต่งตึงได้ดี

สำหรับหญิงในวัยทองซึ่งร่างกายมีการผลิตเอสโตรเจนลดน้อยลงตามธรรมชาติ อาจจะเสริมด้วยอาหารที่มี ส่วนผสมของ‘ไฟโตเอสโตรเจน'(Phytoestrogen) คำว่า ‘ไฟโต' แปลว่าพืช หมายถึงสารที่มีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แม้ว่าจะมีประสิทธิผลต่ำกว่าฮอร์โมนถึง 100 - 1,000 เท่าก็ตาม จะพบมากในถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง เต้าหู้ และสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กวาวเครือ เป็นต้น อย่างไรก็ดีจากการวิจัยทางการแพทย์พบว่า การที่ร่างกายได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนเข้าไปในร่างกายนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย



ข้อดีสำหรับหญิงในวัยทองคือ
สามารถทดแทนฮอร์โมนที่ลดน้อยลงได้บ้างแม้ว่าจะไม่ดีเท่าที่ร่างกายผลิตขึ้น เอง แต่ก็พบว่าสามารถกระตุ้นให้เต้านมเต่งตึงขึ้น ผิวมีน้ำมีนวลขึ้น อาการหงุดหงิดลดน้อยลง


ข้อเสียคือ ไฟโตรเอสโตรเจนแม้ว่าจะมีฤทธิ์ต่ำกว่าเอสโตรเจนมากก็จริง แต่ก็สามารถเข้าแข่งขันกับเอสโตรเจนของร่างกายในการเข้ายึดสถานีรับ (Receptor) เอสโตรเจนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ และหากไฟโตเอสโตรเจนสามารถเข้าสถานีได้ จะมีผลทำให้ฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อร่างกายลดลง ซึ่งกลับเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

ดังนั้นผู้ที่อยู่ในวัยเด็ก และวัยเจริญพันธุ์ ไม่สมควรจะรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจนมากเกินไป หรือไม่ควรหาซื้อผลิตภัณฑ์นมเด้งที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตรเจนมาทาถูนวดที่ เต้านม เพราะจะให้ผลในทางตรงกันข้ามได้ หญิงในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรก็เช่นกัน ไม่ควรรับประทานหรือทาถูเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฟโตเอสโตเจน ผู้ที่มีปัญหาโรคทางเต้านมทั้งหลาย ก็ควรจะระวังเช่นกัน


คิดอยากให้นมเด้ง อ่านตรงนี้ก่อน

เอส โตรเจนเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญมากมายต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อส่วน ต่างๆของร่างกาย เช่นเดียวกับเซลมะเร็งก็เจริญเติบโตได้ดีมากอย่างรวดเร็วด้วยเอสโตรเจน ดังนั้นการที่ร่างกายได้รับเอสโตรเจนหรือสารที่คล้ายคลึงกับเอสโตรเจนจากภาย นอกร่างกายไม่ว่าจะโดยการรับประทานหรือทาถู จึงมีความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งไม่มากก็น้อย เพราะไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นเองโดยธรรมชาติ ผู้ที่อยากสวยจึงพึงสังวรไว้ด้วย




ข้อมูลจาก มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2553 13:54:39 น.
Counter : 389 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  

Kanphicha
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ที่มาของคำว่า Kefir By รัญรักษ์
ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อ ไม่ใช่เครื่องหมายการค้า
แต่เป็นชื่อพ่อและแม่ของกานต์เองค่ะ
เมื่อกานต์ทำบุญครั้งใด ก็จะยกกุศลทั้งหมดให้พ่อและแม่
การแจกจ่ายบัวหิมะให้คนอื่นๆ
ถือเป็นการทำบุญอีกคร้งหนึ่ง
กานต์ขอยกกุศลผลบุญทั้งหมดให้บุพการีที่เป็นที่รักของกานต์ทั้งสองท่าน โดยการตั้งชื่อท่านทั้งสองในการแจกจ่าย Kefir นะคะ
free counters
Friends' blogs
[Add Kanphicha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.