The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
กำไรกับขาดทุน

...มนุษย์มีธรรมชาติที่เห็นแก่ตัวก็จริง แต่ไม่ใช่ธรรมชาติเดียว มนุษย์ยังมีอีกธรรมชาติหนึ่ง เป็นธรรมชาติที่สามารถไปพ้นตัว (transcending self) ธรรมชาตินี้มีแต่มนุษย์เท่านั้น สัตว์ไม่มี เรียกว่าเป็นสมบัติของมนุษย์ หรือความเป็นมนุษย์ อีกธรรมชาติหนึ่งนี้เรียกว่าจิตวิญญาณ หรือ spirituality อันเป็นธรรมชาติที่แรงและจำเป็นแก่การอยู่รอด อะไรที่จำเป็นแก่การอยู่รอด ธรรมชาติจะเอาไปกำหนดไว้ในหน่วยพันธุกรรมหรือยืน

ทุกคนเคยมีประสบการณ์มาแล้วทั้งสิ้น ยามใดเราไม่เห็นแก่ตัว แต่เราทำสิ่งที่มีคุณค่าเพื่อผู้อื่น เราจะเกิดความปีติและความสุขทั้งเนื้อทั้งตัว เพราะร่างกายหลั่งสารสุขหรือ endophin ออกมามาก ความสุขจากความดีนี้เรียกว่า ความสุขทางจิตวิญญาณ (spiritual happiness) ความสุขทางจิตวิญญาณทำให้สุขภาพดี...(วิถีมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 : อ.ประเวศ วะสี)

###


เมื่อวานนี้เปิดหนังสือของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ("ก่อนยุคพระศรีอาริย์" ละมั้ง) เจอประเด็นเดียวกับที่เคยอ่านจากหนังสือของคุณประภาส ชลศรานนท์ คือ ประเด็นว่า "ทุกอย่างเป็นกำไรและขาดทุนไปหมดจริงหรือเปล่า"

ความหมายของประเด็นนี้ก็คือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะการ "ได้" และการ "เสีย" จริงหรือเปล่า เป็นต้นว่ายายขาดมันทอดชอบเด็กคนนึงเลยแถมให้สักสามชิ้น อ.นิธิแกเถียงกับเพื่อนว่าสิ่งนั้นเรียกว่า "ความเอ็นดู" หรือว่าเป็นการกระทำโดยสัญชาตญาณ คือ ลงทุนด้วย "รัก" ไป แล้วก็จะได้ "รัก" ตอบแทนมา ส่วนคุณประภาสก็เถียงกับเพื่อน จำได้ว่าเถียงไปถึงเรื่องความรักของแม่โน่น

คือถ้าใช้รูปแบบการมองเรื่องได้กับเสีย เราว่ายังไงได้กับเสียมันก็ชนะ เพราะถึงขนาดว่าไม่ได้อยากได้อะไร แค่อยากได้รักเท่านั้นเอง ก็นั่นไง ลงทุนรักเพื่อให้ได้รัก หรือถ้าบอกว่า ทำดีโดยไม่ได้อยากได้อะไรเลย ไม่ได้อยากได้อะไรจริง ๆ ก็ยังจะมีความจริงอยู่อย่างหนึ่งคือ เราทำดีเพราะเรารู้สึกดีที่ได้ทำ ไอ้ความรู้สึกดีที่ได้ทำนั่นยังไงล่ะ ผลที่ได้ตอบแทน

ปัญหาคือ ความรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นได้กับเสีย มันขัดกับความรู้สึกลึก ๆ ของคนที่มีแก่นเป็นมนุษยนิยม เช่น อ.นิธิ คุณประภาส (และเราเอง) เพราะมันชวนให้นึกถึงกำไรและขาดทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่แห้งแล้ง...เป็นความแห้งแล้งที่อธิบายยากเหมือนกัน คือมันไม่ฉ่ำไปด้วยความรู้สึกของมนุษย์ อืม...ฉันทำฉันก็ได้ไง กระบวนการทุกอย่างในโลกก็มีแค่นี้แหละ จบ

จริง ๆ ทั้งอ.นิธิและคุณประภาสก็ไม่สามารถตอบตรง ๆ ได้ว่ามันเป็นกำไรและขาดทุนไปหมดหรือเปล่า คุณประภาสจบบทความลงด้วยการบอกว่าเขาไปห่มผ้าให้เพื่อน และเขาก็ไม่คิดว่าการห่มผ้านั่นมันต้องการอะไรตอบแทน (จริงหรือเปล่าหนอ) ส่วนอ.นิธิพูดถึงความหลากหลายด้านกระบวนทัศน์ อ.นิธิบอกว่าการตัดมนุษย์เหลือแค่กำไรกับขาดทุน ก็คือการลดกระบวนทัศน์ทั้งหมดลงเหลือเพียงกระบวนทัศน์เดียว (กระบวนทัศน์แปลคร่าว ๆ ว่า "วิธีการมองโลก" )

การลดกระบวนทัศน์ลงเหลืออันเดียว ในไม่ช้าจะนำมาซึ่งปัญหา เพราะว่ามันไม่มีอะไรเป็นอย่างเดียวได้ การคิดว่า "เป็นอย่างนั้นอย่างเดียว" จะนำไปสู่การเผด็จการ การจำกัดขอบเขต หรืออย่างเบาที่สุดก็คือความหงุดหงิด

ที่จริงการลดกระบวนทัศน์ลงจนเหลือแค่ "มนุษยนิยม" อย่างเดียว ก็อาจจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน มันถึงได้หงุดหงิดเวลามีมิติของกำไรและขาดทุนเข้ามา

แต่พวกเราก็อยู่ด้วยความหลากหลายเกินไปไม่ไหวอยู่ดี เพราะเราเป็นภาชนะที่มีปริมาณบรรจุค่อนข้างจำกัด (และมีแนวโน้มจะเชื่อว่ามีแนวคิดหนึ่งเดียวบางอย่างที่สามารถครอบคลุมความจริงแท้ทั้งหมดในโลกได้อีกต่างหาก)

สุดท้ายแล้วก็คิดว่า...ถ้ามีความสุขแบบไหนก็บำเพ็ญไปตามวิธีของตัวเองก็แล้วกัน ถ้ากำไรขาดทุนก็อย่ากำไรขาดทุนมากไปนัก จนมองไม่เห็นอะไรบางอย่างที่สำคัญ ถ้าจะมนุษยนิยมก็อย่ามนุษยนิยมเกินไปนักจนเที่ยวหงุดหงิดชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเอง

ถึงทุกอย่างจะเป็นของสมมุติ แต่มันก็เป็นโลกสมมุติที่พวกเราอันหลากหลายต้องอาศัยอยู่ด้วยกันน่ะนะ...


Create Date : 26 เมษายน 2550
Last Update : 26 เมษายน 2550 12:16:59 น. 5 comments
Counter : 548 Pageviews.

 
เห็นด้วยว่า ถ้ามัวแต่คิดกำไรขาดทุน
การอยู่ร่วมกันของมนุษย์คงแห้งแล้งและหดหู่ค่ะ


โดย: ~:พุดน้ำบุศย์:~ วันที่: 26 เมษายน 2550 เวลา:19:52:35 น.  

 
ถ้าจะพูดกันจริงๆ แค่ "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ก็กำไรขาดทุนแล้ว
ยิ่งเรื่องกรรมเวรยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นการลงทุนในโลกหน้าชัดๆ

พูดแล้วก็ให้นึกถึงคุณ Terry Pratchett นักเขียนคนโปรด
ซึ่งแกก็เป็นนักมนุษยนิยมสุดๆในสายตาเรา
ตัวละครของแกเคยคุยกันประมาณว่า
"มนุษย์ต้องการแฟนตาซีเพื่อให้เป็นมนุษย์
ถ้าลองแยกจักรวาลนี้ดูแล้วจะเจออณูของความซื่อสัตย์บ้างไหม
เจออณูของความรักบ้างรึเปล่า ก็ไม่ แต่ที่มนุษย์เป็นมนุษย์ได้ ไม่ใช่แค่ลิงที่ยืนตัวตรง ก็เพราะเชื่อในเรื่องสมมติพวกนั้น"
อะไรประมาณเนี้ย ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหม แต่มันปิ๊งวาบขึ้นมา


โดย: ทินา IP: 58.64.111.200 วันที่: 26 เมษายน 2550 เวลา:21:12:26 น.  

 
ส่วนมากคนที่คิดเรื่องกำไรขาดทุน มักจะเป็นคนที่เชื่อว่า 1+ 1 เท่ากับ 2 เสมอไป

ทั้ง ๆ ที่มีหลายอย่างนำมาบวกกันก็ได้เป็นเท่าทวีคูณ อย่างเช่น ภราดร + นาตาลี เท่ากับชื่อเสียงมากมายไม่รู้จบ (เกี่ยวกันหรือเปล่าเนี่ย)

หรือ พ่อแมว + แม่แมว = ลูกแมว เจ็ดตัว เอิ๊กๆๆๆ

อันที่จริงเรายื่นน้ำใจให้กับคนอื่น ไม่เพียงได้น้ำใจกลับ เหมือนแค่เรายื่นแกงหนึ่งถ้วยให้ข้างบ้าน และข้างบ้านก็ยื่นผัดผักให้เรา มันก็ไม่ได้จบแค่การแลกเปลี่ยนกับข้าว สิ่งที่ได้เพิ่มจากนั้นคือ เพือนบ้านที่ดี ได้ยามคอยสอดส่องดูแลบ้านเวลาที่เราไม่อยู่ ความรู้สึกดี ๆ สังคมที่น่าอยู่ขึ้น ฯลฯ

มันจึงนอกเหนือคำว่ากำไรหรือขาดทุน เพราะต่างให้ ต่างก็ได้รับกันทั้งสองฝ่าย ไม่เห็นว่าใครจะเป็นคนขาดทุนเลยล่ะ


โดย: ตอกะจอ วันที่: 27 เมษายน 2550 เวลา:11:35:51 น.  

 
อ่า พี่ว่า เรื่องแบบนี้ นานๆคิดที แป๊บๆก็โอเคนะ แต่ถ้าต้องเถียงกันเยอะๆ เอาเวลาที่เถียงกันไปทำกำไรหรือขาดทุนดีกว่าอ้ะ ^^;


โดย: Froggie วันที่: 27 เมษายน 2550 เวลา:16:26:26 น.  

 
คุณ~:พุดน้ำบุศย์:~@ นั่นสินะคะ

ทินาจัง @ เรื่องลงทุนในโลกหน้านี่เห็นด้วยเลยนะ แต่บางทีก็คิดว่า...เออ ถ้ามันหาทางชักจูงให้ทำดีแบบอื่นไม่ได้แล้วจริง ๆ แบบนี้ก็เอาวะ
แต่เราก็คิดเหมือนกันนะว่าคนเราต้องการจินตนาการเพราะว่าคนเราเป็นคนน่ะ...

คุณตอกะจอ @ ที่จริง ถ้าคิดไปให้สุด ๆ มันก็ยังเป็นเรื่องได้กับเสียน่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นได้-เสีย ได้-ได้ หรือ เสีย-เสีย ก็ตาม
มีมิติบางอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ
จนบางทีสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น อาจจะเป็นอย่างนั้นเพียงเพราะเราอยากจะเชื่อเท่านั้นเอง
แต่ชอบตัวอย่างลูกแมวจังค่ะ^^

พี่กบ @ มันเป็นคำถามแบบที่พระเขาเรียกว่า อจินไตย สินะคับ^^''


โดย: ลวิตร์ วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:22:07:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.