The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
อะไรสักอย่าง

ช่วงก่อนอ่านโรงเรียนนักสืบคิว หลังจากที่เคยอ่านไปประมาณห้าเล่มแล้วไม่ได้อ่านอีกเลย เผอิญเห็นในร้านเช่าเลยนึกได้ เอามาดูเสียหน่อยว่าจบยังไง

มีอยู่เคสหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่ศิลปินชอบไปเช่าเป็นสตูดิโอทำงานกัน ประมาณหนึ่งปีก่อนที่คิวจะไปถึง มีการฆ่ากันตาย มีคนแกะสลักคนหนึ่งเห็นภาพการฆ่ากันนั่น แล้วก็เลยขังตัวเองอยู่ในกระท่อม ไม่ยอมบอกตำรวจด้วย บอกว่าจะทำผลงาน วันไหนที่ผลงานเปิดตัว ก็วันนั้นแหละจะรู้ตัวคนร้าย สรุปคือแกเอาฉากที่แกเห็นคนฆ่ากันเป็นแรงบันดาลใจ ผลิตผลงานออกมา

ในตอนนั้นก็มีคนอื่น ๆ อีก มีนักแต่งเพลง นักวาดภาพญี่ปุ่น มีการคุยกัน สองคนนี้ก็บอกว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นการฆ่ากัน ไม่งั้นคง "ผลิตผลงานสุดยอด" ออกมาได้ คิวที่เป็นนักสืบก็คิดว่าพวกศิลปินนี่น่ากลัวชะมัด ว่ากันจริง ๆ คือมันเป็นวิธีทำให้เรื่องแลหลอนน่ากลัว ไม่มีใครน่าไว้ใจแบบเรื่องนักสืบ แต่จขบ.ก็คิดขึ้นมาว่า ศิลปินไทยมีใครคิดถึงการได้ประสบการณ์แรง ๆ เพื่อจะผลิตงานดี ๆ ออกมาให้ได้บ้างไหมนะ อะไรแบบยอมตายเพื่อให้ได้งาน ทำนองนั้น

อาจจะมีก็ได้ ที่จริงแล้วคิดว่าน่าจะมี เพียงแต่ยังอ่านไม่เจอ หรือยังไม่มีใครเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง (ใครรู้เล่าให้ฟังบ้างนะ)

ที่จริงแล้ว จขบ.คิดว่าประสบการณ์ที่แรงที่สุดที่จะ "จับ" ไว้ได้ ต้องเป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดกับตัว และเราจะต้องมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งนั้นพอสมควร ถ้าอย่างนักแกะสลักในเรื่อง บอกไม่ถูกว่าแกจะ "รับ" ได้ในระดับไหน อธิบายยากสักหน่อย เหมือนกับว่าจขบ.เชื่อว่า คนที่จะสลักรูป "คนฆ่ากันตาย" ให้ดีได้ ตัวเองต้องตระหนักถึงความดิบเถื่อนในตัวเองด้วย ผลงานสะท้อนตัวคนทำ ไม่ได้สะท้อนแต่เฉพาะสิ่งที่เห็น

ประมาณกลางเดือนที่แล้ว จขบ.ไปเขมรเพื่อร่วมเวิร์คชอปที่สนพ.จัด หลังจากเวิร์คชอปจบแล้ว ก็เที่ยวต่อกัน ได้ไปตรวนเสลง (เขียนแบบนี้หรือเปล่า) ซึ่งเป็นคุกเก่าที่เขมรแดงใช้ขังนักโทษการเมือง เป็นคุกที่โหดมาก พูดว่าโหดด้วยปาก หรือบรรยายด้วยการอธิบายไม่ได้ ต้องไปดูเอง ตอนนั้นสิ่งที่รู้สึกไม่ใช่ความดิบในตัวเอง แต่เป็นความรู้สึกว่าแทบจะทนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ ตอนแรกที่เข้าไปยังไม่เท่าไหร่ แต่ยิ่งอยู่นานไป ยิ่งปวดหัวและรู้สึกอยากอาเจียน รู้สึกว่าสิ่งที่เห็นมันไม่เหมือนปรกติที่เราเห็น เหมือนมีบรรยากาศแปลก ๆ อยู่ที่นี่ ว่ามันไม่ใช่แค่ตึกโรงเรียนเก่าที่ถูกดัดแปลงเป็นคุก แต่เหมือนมันบันทึกบางอย่างที่เกิดขึ้นไว้ ที่ไหนสักแห่ง ไม่รู้เหมือนกัน

ตอนนั้นคิดจริง ๆ ว่าออกมาแล้วควรต้องเขียนเรื่องถึงสถานที่นี้ เพราะไม่ว่าไปที่ไหน ๆ เช่น สะพานข้ามแม่น้ำแคว หรือคุกที่อังกฤษ ก็ไม่เคยรู้สึกถึงอะไรอย่างนี้เลย (สักวันถ้าได้ไปเอาชวิตซ์อาจจะได้รู้สึกอีก) แต่ว่าพอออกมาแล้ว ผ่านไปสักพักหนึ่ง ความรู้สึกถูกกดดันก็จางหายไป เอากลับมาไม่ได้อีก จำได้แต่สิ่งที่เล่าให้ฟังนี่ แต่ว่าไม่ "รู้สึก" อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว

บางทีคงต้องเกิดกับตัวจริง ๆ ถึงจะคั้นมันออกมาให้เห็นได้ถึงเลือดถึงเนื้อจริง ๆ แต่ถ้าให้เกิดกับจขบ. เพื่อจะได้คั้นงานอันเลิศออกมา จขบ.ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าอยากให้เกิดถึงขนาดนั้นหรือเปล่า ว่าตรง ๆ คือกลัว ไม่รู้ว่าเพราะรักตัวมากกว่าหรือเพราะอะไร แต่บางทีจขบ.ก็คิดว่า การรับรู้ว่ามีเรื่องร้ายนั้นก็เพื่อให้ตระหนัก ไม่ใช่เพื่อให้เสพเรื่องร้ายเป็นอารมณ์อีกอย่างหนึ่ง (มันคืออารมณ์อะไร ซาดิสม์หรือ หรือความรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดี ดีกว่า หรือมันกระตุ้นให้รู้สึกว่ามีคนที่ผ่านเรื่องแบบนั้นมาได้ ให้รู้สึกว่าโลกนี้มีค่ามากขึ้น)

บางทีการเสพเพื่อให้รู้สึกว่าโลกมีค่าอาจจะเป็นสาระสำคัญที่สุดของมันก็ได้ สำคัญยิ่งกว่าความรู้สึกว่ามนุษย์มันก็ด๋อยอย่างนี้เอง ไม่รู้เหมือนกัน

เหมือนมีอีกเรื่อง เดี๋ยวมาเขียนแล้วกัน


Create Date : 25 มิถุนายน 2552
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 13:52:52 น. 3 comments
Counter : 425 Pageviews.

 
ตุลเสลงเป็นสถานที่ที่เราคิดว่า ความเคียดแค้นยังฝังตัวอยู่ไม่จางไม่หายน่ะ ยิ่งเป็นความเคียดแค้นที่เกิดจากการไม่ได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่เกิดจากความรู้สึกปกติทั่วไป ...ดีกรีการ "ฝัง" มันคงจมลึกมากกว่าปกติง่ะ

แล้วที่นี่ กี่คนต่อกี่คนล่ะที่ "ร่วมด้วยช่วยฝัง" ความขมขื่น อา... หลอน



โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 25 มิถุนายน 2552 เวลา:16:22:01 น.  

 
คงเหมือนตอนหน่าไปดูร่องรอยสงครามเวียดนามกระมัง


โดย: parasite IP: 125.25.135.189 วันที่: 26 มิถุนายน 2552 เวลา:12:22:19 น.  

 
ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าการที่เราประทับใจอะไรบางอย่างก็เป็นการสะท้อนตัวคนคนนั้นด้วยครับ และการแสดงออกของคนบางทีก็คงเป็นการสะท้อนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวคนคนนั้นด้วย

จากประสบการณ์ส่วนตัว มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เจรามีรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียอะไรบางอย่างที่เป็นความภูมิใจของตัวเองไป ซึ่งเมื่อมานึกย้อนดูแล้วก็รู้สึกเลยว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตัวเองขี้อวดมาก อวดนั่นอวดนี่แบบที่ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนอย่างนั้นได้

ส่วนตัวยังไม่เคยไปสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นมาก่อนครับ แต่ตอนอ่าน "เก็น เจ้าหนูสู้ชีวิต" กับดู "Empire of the sun" ก็รู้สึกกดดันจนอ่านจนดูไม่จบครับ


โดย: เจรามี วันที่: 26 มิถุนายน 2552 เวลา:21:33:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.