|
ตากฝนอยู่ใต้ร่ม
ออกจากออฟฟิศ ฝนก็ตกจั่กๆ เราหยิบร่มขึ้นมากางด้วยความเคยชิน แล้วก็เดินดุ่มๆให้ร่มตากฝนแทนตัวไป (แต่เท้ายังแฉะเหมือนเดิม ทำให้รู้ว่าฟุตบาทเมืองไทยนี่ มีคลื่นเล็กน้อยถึงปานกลาง)
เดินๆอยู่ ก็มีหนุ่มสาวออฟฟิศตึกเดียวกันเดินตามหลังมา คุยอะไรกันก็ไม่รู้ สาวเจ้าก็พูดขึ้นมาให้ได้ยินว่า ไม่เอาหรอก ไม่พกร่ม เกะกะ
ทำให้เรานึกถึงเลยว่า โอ้ เราเคยเป็นคนแบบสาวเจ้ามาก่อนนี่นา ลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าเคยเป็น
เมื่อก่อนเราเป็นพวกร่มไม่พก ฝนตกยังไงก็จะไม่พกร่ม เพราะว่า หนึ่ง เกะกะ แล้วร่มที่เปียกๆก็จะเก็บเข้ากระเป๋าไม่ได้ สอง รู้สึกตัวเองเหมือนหญิงสูงวัย ต้องมาพกร่มอะไรด้วยเนี่ย สาม ไม่เท่ กางร่มแล้วไม่เท่ เออ เอาเข้าไป แต่คิดจริงๆ สี่ ถึงมีร่ม ออกไปกลางฝนยังไงมันก็ต้องชื้นแฉะอยู่ดี
โซลูชั่นเราจึงเป็นว่า ถ้าฝนตก ก็ไม่ออกไปไหนซะ ง่ายดี เหมาะกับคนขี้เกียจและเกลียดความชื้นแฉะอย่างเราเป็นอย่างยิ่ง
หลังๆไม่รู้เริ่มต้นเมื่อไหร่ ก็พกร่มกันแดดไปด้วย เพราะแม่ให้พก เดี๋ยวลูกจะเป็นกระเป็นฝ้า (แต่ตอนนี้ก็กระเต็มเลย) จนมาถึงวันนี้ การถือร่มก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาของเราไป
ไม่ใช่ว่าไม่เกลียดความชื้นแฉะแล้ว ยังเกลียดเหมือนเดิม แต่พบว่า เราไม่เห็นว่าร่มเป็นโซลูชั่นที่อยากหลีกเลี่ยงเป็นที่สุดอีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่า ทัศนคติคนเรามันเปลี่ยนได้ตลอดเวลาจริงๆ เปลี่ยนแบบไม่รู้ตัวว่าเปลี่ยนด้วย ความรู้สึกก็เปลี่ยนกลับไปกลับมาด้วย
เห็นอย่างนี้แล้ว จะยึดติดอะไรกับทัศนคติตัวเองกันนักนะ คนเรา...
เห็นคนที่ยึดคติตัวเองไว้ ประกาศว่าฉันเป็นตัวฉันอย่างนี้ ไม่คิดว่าที่ยึดอยู่นั้นผิด หรือเปลี่ยนแปลงได้
สักวันเขาก็จะรู้ ถ้าเขาอยากจะรู้นะ
Create Date : 04 มีนาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2551 0:11:33 น. |
| |
Counter : 638 Pageviews. |
| |
|
|
|
ทางเลือกของศรัทธา
เราเติบโตมากับครอบครัวที่เรียกได้ว่าสเกลศรัทธาเต็มสิบ และเป็นศรัทธาที่กว้างขวาง นั่นคือ ศรัทธาต่อสิ่งที่ว่าศักดิ์สิทธิ์เกือบทั่วราชอาณาจักร แต่ก็ยังดีที่ไม่ศรัทธาครอบคลุมไปถึงพวกหมูสามขา เจลลดไข้ อะไรงี้
แต่เราไม่ค่อยจะเจริญรอยศรัทธานี้ตามที่บ้านเท่าไหร่ เนื่องจากขอบเขตมันกว้าง และไม่มีเหตุผลรองรับให้เด็กขี้สงสัยอย่างเราพอใจ
จนมาเจอความศรัทธาที่เต็มใจจะมีด้วยตัวเอง
เมื่อไม่กี่ปีก่อน เจอกับหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่คิดที่จะกราบไหว้พระพุทธรูป เหตุเพราะมันเป็นสิ่งสมมติเกินไป ไม่ควรจะไปยึดติดกับมัน สิ่งที่เป็นแค่อิฐหินปูน สู้กราบไหว้พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีงามไม่ได้เลย
เราก็ยังให้ความเคารพทั้งพระพุทธรูป และพระสงฆ์สุปัฏฏิปณโณ ไปพร้อมๆกัน
เมื่อเดือนที่แล้ว เรากับหนุ่มคนนั้น ได้ไปเช่าพระพุทธรูปองค์เล็กๆนิมนต์มาที่บ้านกัน เราช่วยกันจัดวางพระพุทธรูปทองเหลืองบนหิ้ง และพร้อมกันกราบไหว้ด้วยความรู้สึกที่ดีๆ
เมื่อไม่กี่วันก่อน เราชวนคนใกล้ตัวอีกคนไปพบกับพระอริยะรูปหนึ่ง เขาปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่า ไหว้พระพุทธรูปดีกว่า พระสงฆ์เดี๋ยวนี้ปฏิบัติทรามมากมาย ฉะนั้นเขาไม่ขอไปไหว้พระที่เป็นคน
นึกย้อนแล้วก็ขำๆดี...
บางคนคิดว่าโลกนี้ไม่มีถูกผิดหรอก ทางเลือกไหนก็ไม่ผิด ทางไหนก็ดีทั้งนั้น
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมโลกเราต้องมีสงคราม ที่เกิดจากความขัดแย้งด้านทางเลือกด้วยน้อ...
Create Date : 04 มีนาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2551 0:08:48 น. |
| |
Counter : 364 Pageviews. |
| |
|
|
|
ขอโทษ ยกโทษ
เมื่อต้นสัปดาห์ อยู่ๆเพื่อนคนหนึ่งที่ตัดหางปล่อยวัดเราก็เข้ามาคุยด้วย พร้อมขอโทษกับการที่ทำให้เราต้องหางกุดเมื่อหลายปีที่ผ่านมา อย่างหาสาเหตุไม่ได้
วันนั้นเขาบอกว่าเขาพร้อมแล้วที่จะบอกว่าขอโทษ
วันนั้นเราก็บอกเขาเหมือนกันว่าเขาให้อภัยเขาตั้งนานแล้ว ไม่ติดใจอะไรเลย
คนเราคงไม่มีใครที่ไม่เคยทำอะไรนอนเซนส์มาก่อนในชีวิตนี้ เราเองก็ปล่อยความนอนเซนส์เพ่นพ่านมาก็หลายต่อหลายครั้ง (จนวันนี้ก็ยังเผลอปล่อยอยู่) ตราบใดที่เราทำพลาดแล้วเราหวังให้คนอื่นยังดีกับเรา เราก็อยากจะหวังว่าตัวเองยังดีกับคนที่ทำพลาดกับเราโดยไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน
คิดได้ดังนั้น เราก็ยกโทษให้คนทั้งหลายที่เราจำได้ว่าใครทำอะไรกับเรามา ก่อนที่เราจะหวังว่าชีวิตนี้จะมีสักวันที่เขาจะเข้ามาขอโทษเราซะอีก ฉะนั้น พอมาเจอเซอร์ไพรซ์ขอโทษอย่างนี้ ก็แทบจะไม่ต้องกลับไปทบทวนความทรงจำ หรือกลับไปทำใจตั้งจิตยกโทษให้กันเลย เพราะเรายกที่แบกเอาไว้ออกไปตั้งนานแล้ว
(จริงๆอย่าเรียกว่ายกโทษเลย มาถึงตรงนี้มองกลับไปไม่เห็นว่าตรงนั้นจะร้ายแรงถึงกับต้องยกโทษให้ด้วยซ้ำ)
คนเราทำอะไรนอนเซนส์กันได้ แต่เราเลือกได้ว่าเราจะแบกไว้หรือเปล่า ไม่ว่าจะทั้งของตัวเอง หรือของคนอื่น ถ้าจะเลือกไม่แบกไว้ ก็เบา...ขึ้น...
Create Date : 04 มีนาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2551 0:05:52 น. |
| |
Counter : 596 Pageviews. |
| |
|
|
|
อาจไม่เคยอยู่ในสายตา
คุณคะ
เคยเห็นตัวเองกันไหมคะ
เคยมองเห็นตัวเองออกมาจากข้างในตัวไหมคะ
เห็นแล้วเป็นไงบ้างคะ : )
ไม่บ่อยนะคะที่เราจะตระหนักได้ว่า เอ๊ะนี่เราอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ 24 ชั่วโมง มาเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้แล้ว อย่างเราเองก็อาศัยอยู่ในร่างกายนี้มาเกือบสามสิบปีเข้าไปแล้ว แต่รู้สึกว่าเราไม่ได้ทำความรู้จักกับมันเท่าไหร่เลย ถ้าใครเคยเห็น คงแปลกใจไม่แพ้เรา ที่อยู่ในนี้มาตลอดเวลาตั้งแต่เกิด แต่แทบจะไม่เคยคิดถึงมันเลย
ความคิดถึงนี้ไม่ใช่แค่เพียงการเห็นมือเห็นเท้าตัวเองนะคะ แต่มันเป็นความคิดถึงว่า เราได้โตมากับร่างกายนี้ ทุกวินาที ความคิดความอ่านเรา ได้พัฒนาโดยมีอาหารหล่อเลี้ยงเป็นข้อมูล ที่ส่งผ่านทางสัมผัสที่เรามีทางตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเทียบเราเป็นลูกบอลกลมๆแบบเกมคาตามาริ ก็เป็นลูกบอลที่กลิ้งไปไหนไปทับอะไรชนอะไร สิ่งนั้นก็จะติดขึ้นมา ทำให้ลูกบอลมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ แต่บางคน ลูกบอลอาจจะโตไม่ได้มาก เพราะเอาแต่กลิ้งไปทั่ว โดยที่ไม่ได้ดูดซึมซับอะไรเข้ามาเลย
ถ้าเอาตามความสัตย์จริงของคนเรา ก็มักจะเอาเวลาทั้งหมดไปคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ เรื่องการเมือง ใครเลว ใครดี ใครเบนโล ใครหล่อ ใครไม่หล่อ ใครจะยิงกัน ใครจะตกตึกตาย ใครจะเป็นชู้กับใคร ระบบสุริยจักรวาลมีดาวเคราห์กี่ดวงกันแน่ หลุมดำเกิดจากอะไร บิลเกตต์ทำยังไงถึงรวยนัก เสื้อนาโนใส่แล้วไม่ต้องซัก บลาบลา รวมทั้งเรื่องที่เราเองคิดว่ามันเป็นเรื่องของเรา อย่างเรื่องใครไม่หวังดีกับเรา ใครดีกับเรา เพื่อนคนนั้นจะเป็นยังไง พ่อแม่เราจะว่าอะไรไหม วันนี้แฟนเราจะมาหากี่โมง ทำไมเราทำงานดีกว่าคนนั้นแต่ไม่ได้ดีเท่าเขา บลาบลา ทั้งชีวิตที่ผ่านมา อาจจะไม่เคยตระหนักเลยก็ได้ถึงความจริงข้อนั้น
เวลาที่เรามองกระจก หรือดูรูปถ่ายตัวเอง เราก็เห็นแต่รูปร่างหน้าตา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ประดับอยู่เท่านั้น เรามักจะไม่เคยเห็นเลยเข้ามาในจิตใจ ไม่ค่อยได้เห็นสิ่งที่มีไปมากกว่ารูปร่างหน้าตา เสื้อผ้าอาภรณ์นั้น
เวลาเรามองออกไปที่ข้างนอก รอบๆตัวเรา เรื่องราวในโทรทัศน์ เราก็มองเห็นแต่สิ่งที่เรากำลังมองอยู่เท่านั้น เรามักจะมองอะไรๆออกไปด้วยตา ที่เราคิดว่าเรามีตาแล้วเราจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตราบที่เราพาร่างกายไปถึง
ถ้าเปรียบเป็นหอคอยที่มองวิวได้สามร้อยหกสิบองศา เราก็เหมือนเป็นคนที่มองออกไปที่วิวสวยๆงามๆนั้น ทุกค่ำคืน ทุกวันวาร จะเอาวิวไหนก็ได้ หอคอยนี้สรรหามาให้ได้หมด เพียงแต่ว่า เราไม่เคยจะมองกลับเข้ามาในหอคอยเลย ว่ามันเป็นอย่างไร อะไรประกอบกันถึงได้เป็นหอคอย
เราสังเกตกันไหมคะ ว่ามันมีที่ว่างปริมาณหนึ่ง ที่เราอาจจะไม่เคยได้เห็น ไม่ว่าร่างกายเราจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร เราก็อาจจะไม่เคยได้เห็นมัน
ที่ว่างนั้น มีปริมาณขนาดใดไม่ทราบได้ วัดด้วยมาตรใดๆไม่ได้ เห็นไม่ได้ด้วยตา และเป็นที่ว่างที่แทบไม่มีรอยเท้าใดๆจารึกเพื่อเป็นหลักฐานการถูกสำรวจ เป็นสถานที่สำหรับการก่อกำเนิดความนึกคิด อารมณ์ต่างๆ เป็นสถานที่ที่ความนึกคิด อารมณ์ ถูกหล่อเลี้ยงอยู่ และตายจากไป เป็นสถานที่ที่อัศจรรย์และเมื่อมองเห็นมันได้ จะพบว่ามันมีอาณาเขตไพศาล มันสามารถบรรจุอารมณ์ร้อยแปดพันเก้าที่เกิดขึ้นจากเราเข้าไปได้หมด
ที่ว่างนี้ อยู่ในหอคอยนั้นเอง แต่ที่ว่างนี้ ที่มันไม่ค่อยมีใครเห็น ก็เพราะว่ามันมักจะถูกปิดคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่โตมโหฬาร ที่มีชื่อว่า ผ้าอัตตา จนมิดชิด และเรามักจะไม่ใส่ใจหรือสนใจที่จะเปิดผ้าคลุมออกมาดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เผลอๆเราก็หันหลังให้มันด้วยซ้ำ โดยให้ความเห็นว่า ในหอคอยไม่เห็นมีอะไรให้ดู ไม่มีอะไรแปลกใหม่ในหอคอย อนุมานเอาว่าสิ่งที่อยู่ในหอคอยคือสิ่งเดิมๆ สิ่งที่เรียกว่ามี สมควรเห็น ก็คือสิ่งต่างๆรอบตัวจากวิวทิวทัศน์ 360 องศา ที่ยอดหอคอยนั้นไง สิ่งมหัศจรรย์ที่คนเราติดใจนั่นคือ การที่เรามีวิว 360 องศาแล้ว ชีวิตเราจะต้องการอะไรอีก ทำไมชีวิตเราต้องค้นเข้ามาในหอคอยด้วย
คำตอบในวันนี้ ก็คงสั้นๆเพียงแค่ว่า งั้นก็ลองมองสำรวจเข้ามาในหอคอย เปิดผ้าอัตตาออกดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้น มองไปสักพัก ก็คงจะเริ่มเห็นคำตอบได้รางๆ
: )
Create Date : 04 มีนาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 4 มีนาคม 2551 0:04:33 น. |
| |
Counter : 455 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
 |
JeyZ |
|
 |
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
รหัสสมาชิก 3 พันนิดๆ เป็นมนุษย์ต่างดาว มีแมวเป็นนาย มีกายเป็นบ่าว ทำงานหลายอย่าง ชอบทำอาหาร ชอบชิมอาหาร ชีวิตนี้ก็ไปมาหลายที่อยู่เหมือนกัน เป็นมิตร ไม่กัด ตรงไปตรงมา ไม่ถนัดสนทนากับเกรียน และชาวภาษาวิบัติ
|
|
|