มนุษย์ต่างดาวเขียนหนังสือ

แม้แต่เชงเม้ง ก็ยังเปลี่ยนแปลง

เชงเม้งเป็นรอบที่สอง และเป็นรอบสุดท้ายของปีนี้

มาเชงเม้งตั้งแต่เด็ก
ก็เห็นพัฒนาการของเชงเม้งที่ค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทีละนิด ทีละนิด
อย่างตอนเด็กๆที่สมัยฮวงซุ้ยอาหว่อกงหว่อม่ายังเป็นฝุ่นดินแดง
ก็มีการปลูกหญ้าทับให้ดูเขียวขจี
อีกที่นึงของอาม่า อยู่บนเนินเขา อย่านึกว่าหรู เป็นเนินแบบว่ารถขึ้นไปไม่ได้ คนต้องปีนๆหอบของขึ้นไปแทน
แล้วก็ร้อนมากๆ
สมัยถัดๆมาก็มีการกางเตนท์ (ทำไมเพิ่งนึกได้ก็ไม่รู้)
พออากงเสีย ก็ย้ายสุสานอาม่ามาไว้ที่ใหม่กับอากง
ที่นี่ก็ได้เห็นฮวงซุ้ยกึ่งรีสอร์ท คาดว่าจะเป็นฮวงซุ้ยรุ่น 2.0 beta
เพราะเธอปรับปรุงและปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นทุกปี
แต่ราคาก็อัพขึ้นทุกปีเหมือนกัน

ใครจะไปนึกว่าทำที่ฝังศพคนจะทำเงินได้ขนาดนี้เนี่ย
แล้วยิ่งเป็นที่ที่มีนวัตกรรมทางด้านสุขอนามัยและความร่มรื่นผิดฮวงซุ้ยที่อื่นๆด้วย

นอกจากฮวงซุ้ยเองที่มีพัฒนาการ
กงเต็กก็มีพัฒนาการเหมือนกัน
พัฒนาการเรื่องพวกนี้เหมือนจะพัฒนาไปอย่างอายๆ
แต่พอพัฒนาได้แล้วก็ใส่ไปไม่ยั้ง
ปีนี้อาหว่อกงได้รองเท้า เบอเบอรี่ ทำจากประเทศ อีตารี่ (ประเทศไรวะ)
ส่วนอาหว่อม่าได้รองเท้ากุชชี่
แล้วก็ยังกระดาษเงินกระดาษทองที่เผากันเข้าไปให้สาแก่ใจ
แล้วยังมีสร้อยคอ มือถือโนวเกี้ย (ไม่รู้มีซิมหรือเปล่า) นาฬิกาโรแหล็ก
สารพัดวัตถุที่ในโลกปัจจุบันจะมี
(ส่วนรถเบนซ์กะคฤหาสน์ เผาส่งไปตั้งแต่งานศพแล้ว)
พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน และที่ขาดไม่ได้ก็คือธนบัตรหมื่นล้านเป็นฟ่อนๆ

ฮ่า...

มีช่วงนึงในชีวิตที่เห็นภาพไหว้ๆ เผากระดาษๆ แล้วมันอึดอัดจังเลย
ช่วงนั้นเป็นพวกเก่งตั้งคำถาม แต่ตอบเองไม่ได้
แล้วก็อึดอัดๆว่าทำไมโลกนี้มันต้องเป็นอย่างนี้ด้วย
งมงายจะตายไป เผานู่นนี่ส่งให้ไป ไหว้อาหาร แล้วคิดว่ามันจะถึง
ที่นั่นมันไม่มีห่อยอะไรเลยเหรอ โลกมนุษย์ถึงต้องส่งไปเรื่อยๆ
แล้วยังต้องจุดประทัดปลุกคนที่นอนอยู่ให้มากินข้าวอีก
(แต่ตอนจุดประทัดคือเก็บกับข้าวหมดแล้วนะ)
แล้วคนที่ไม่มีอะไรเลย ทำอะไรก็ไม่ได้ ต้องรอลูกหลานส่งข้าวส่งน้ำเนี่ย
จะเอาอิทธิฤทธิ์ที่ไหนมาคุ้มครองลูกหลานอะ
แล้วถ้าเขาตายไปเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้แล้วเนี่ย
เรามานั่งไหว้ดินแล้วก็จินตนาการว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายจะอิ่มหมีพีมันจากกับข้าวที่เราทำ
ข้างของเครื่องใช้ที่เนรมิตขึ้นจากกระดาษที่เราเผาส่งไป
มันไม่เมคเซนส์เลย

เดี๋ยวนี้คำถามพวกนี้ก็ยังไม่หายไปไหน
แต่มันเราใช้ชีวิตอยู่กับมันได้ง่ายขึ้น
หาแง่มุมดีๆในเรื่องราวของมัน
ให้เราจินตนาการเอาเอง
เราก็ว่าเชงเม้งนี่ เป็นกลวิธีในการรวมญาติล่ะมั้ง
รวมแล้วอยู่เฉยๆก็เซ็ง ก็ต้องคิดค้นกิจกรรมขึ้นมา
กินข้าวอย่างเดียวก็ธรรมดา มันต้องไม่ธรรมดาสิ
ว่าแล้วก็เพิ่มเสริมกิจกรรมไปเรื่อยแล้วก็ขมวดปมด้วยความเชื่อที่ว่า
ทำอย่างนี้แล้วถึงจะเจริญ เพื่อให้กลวิธีนี้อยู่ไปได้นานๆ

ปีหลังๆที่ผ่านมา ก็เลยเป็นอะไรที่ โอเค ไปก็ดี ได้เจอคนที่ไม่ค่อยได้เจอ
ถึงจะไม่ได้สนิทสนมอะไร
ก็ยังเห็นความสุขของคนอื่นที่ได้เจอญาติตัวเอง
ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ ลูกเธอเป็นไง เธอเล่าแล้วตาฉันเล่าบ้าง ไรงี้

บางทีการไม่ตั้งคำถามก็ฉลาดกว่านะ
บางคนกลัวโง่ เลยต้องตั้งคำถามมากมาย
ทั้งที่จริงๆแล้ว คนที่สงสัยไม่เลิกเนี่ย ถึงไม่ได้โง่ แต่ก็ดูน่าสงสารที่สุด
ความฉลาด บางทีจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณตั้งคำถามได้ดีขนาดไหน
แต่คุณพร้อมจะเข้าใจแค่ไหนต่างหาก

บางครั้งในชีวิต
เราอาจจะต้องทำอะไรที่ดูโง่ในสายตาตัวเองมั่ง ในสายตาคนอื่นมั่ง
และอันที่จริงแล้ว เป็นเรื่องปรกติเลยที่คนอื่นจะเห็นเราโง่ในบางครั้ง
และอันที่จริงแล้ว
เราก็เรียนรู้อะไรจากการที่เรายอมโง่อย่างมีปัญญาได้เยอะเหมือนกัน
หันกลับไปดูชีวิตที่ผ่านมา
เราหลีกเลี่ยงอะไรหลายๆอย่างเพราะกลัวรู้สึกว่าตัวเองโง่มาหลายทีละ
หลายๆครั้งที่มองกลับไป กลับเห็นว่าตัวเองดันโง่กว่าเดิมที่ไปหลีกเลี่ยงซะงั้น



Create Date : 03 มีนาคม 2551
Last Update : 3 มีนาคม 2551 23:30:36 น. 0 comments
Counter : 408 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

JeyZ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




รหัสสมาชิก 3 พันนิดๆ
เป็นมนุษย์ต่างดาว
มีแมวเป็นนาย มีกายเป็นบ่าว
ทำงานหลายอย่าง
ชอบทำอาหาร ชอบชิมอาหาร
ชีวิตนี้ก็ไปมาหลายที่อยู่เหมือนกัน
เป็นมิตร ไม่กัด ตรงไปตรงมา
ไม่ถนัดสนทนากับเกรียน และชาวภาษาวิบัติ
[Add JeyZ's blog to your web]