มนุษย์ต่างดาวเขียนหนังสือ

จะซับซ้อนไปไย?

ยิ่งอายุมากขึ้น เรากลับรู้สึกว่า
เรามีชีวิตที่ซับซ้อนน้อยลง
คิดอะไรตรงไปตรงมามากขึ้น
แล้วพอมองคนอื่นๆจากชีวิตเรา
หลายๆคน เรามองแล้ว รู้สึกว่า
ทำไมเขาต้องทำให้ชีวิตที่ไม่ใช่เรื่องง่าย
กลายเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปใหญ่ด้วยหนอ
ยิ่งโต ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ ก็ยิ่งซับซ้อน

สิ่งที่เราได้จากการคิดซับซ้อนน้อยลง
คิดตรงๆเหมือนคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร
พูดอะไรออกมาก็ต้องใช้คำที่ตรงกับที่คิดหรือรู้สึกจริงๆ
ไม่ใช้คำเวอร์ไปหรือด้อยไป
ไม่โกหกใครเพราะขี้เกียจจำว่าพูดอะไรไป
การเป็นคนอย่างนี้
ก็กลับทำให้เห็นใจตัวเองชัดขึ้น
และทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น

ความกลัวอันดับต้นๆของคนเราอย่างหนึ่งก็คือ ความกลัวโง่
คอยคิดว่าจะขจัดความโง่ออกไปได้ยังไง
เวลามีอะไรเข้ามาในชีวิต
ก็นำมันมาคำนวณทั้งหมด
ทั้งที่หลายๆอย่างมันไม่ใช่ factor ที่จะนำมาคำนวณในสถานการณ์นั้นๆเลย
แต่เป็นเพราะความรู้มากไป หรือประสบการณ์มากไป
แล้วไม่รู้จักตัด Variables ที่ไม่จำเป็นออก
จึงทำให้การคำนวณ การตัดสินใจ มุมมองต่อโลก บิดเบี้ยว
เพราะ Variables เทียม Factor เทียมที่ใส่เข้าไปในการคำนวณนี่เอง

แล้วก็โดนความกลัวโง่หลอกให้โง่กันถ้วนหน้า ชะเอิงเงย

จริงอยู่ ทุกอย่างที่เราเจอ หลอมให้เราเป็นอย่างนี้ ณ เวลานี้
แต่มันก็ไม่ได้แปลว่า ต้องเอาทุกอย่าง มาเป็นปัจจัยกำหนดชีวิตเราต่อไปในอนาคต
ช่ายอ้ะปะ (ทำเสียงโฟร์มดด้วยนะ)

เราพบว่า คนส่วนใหญ่ที่เราเจอ
ไม่ค่อยจะเป็นคนซับซ้อนกันหรอก
ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นคนซับซ้อน
จริงๆแล้ว ร้อยละเก้าสิบเก้า เป็นคนคิดมาก
ทำเรื่องง่าย ให้เป็นเรื่องยากไปเอง

แล้วการเป็นคนซับซ้อน หรือเป็นคนคิดมาก
เราก็พบว่า มันไม่ได้ผันแปรกับความฉลาดเลย




 

Create Date : 05 มีนาคม 2551   
Last Update : 5 มีนาคม 2551 1:49:00 น.   
Counter : 397 Pageviews.  

มองแคบ มองกว้าง

ช่วงนี้เหมือนใช้กรรมอยู่ตัวหนึ่ง
พอมันมาถึงตรงนี้แล้ว
เมื่อคิดขึ้นมาได้ทีไร
ก็รู้สึกว่า อะไรที่เป็นผลพวงของการทำมาในอดีต
ก็ขอได้โปรดส่งผลให้มันเสร็จๆ
แล้วก็คอยระวังการกระทำปัจจุบันเข้าไว้
ในอนาคตจะได้ค่อยสบายหน่อย

อาจจะเป็นเพราะตอนนี้ยังรู้สึกว่ากำลังใจยังไหวอยู่
ก็นับว่ายังมีบุญที่ทำให้กรรมปราณี
ไม่มาทับถมซับซ้อนเป็นคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า
แต่มาตอนนี้ที่ยังไหว ยังยืนได้ ยิ้มได้กับเรื่องอื่นๆ

จริงๆมันก็เป็นแค่เรื่องกวนใจไม่กี่เรื่อง
ที่ก็มาตามธรรมชาติของมัน
โอเค เราอาจจะมีปัญหาอย่างหนึ่งตอนนี้
ถ้าเราโฟกัสอยู่ที่ปัญหา เราก็จะเห็นแต่ปัญหา
ถ้าเราเอาตัวออกมาข้างนอก เราจะเห็นมุมที่กว้างขึ้น

เหมือนถ้าเราจ้องแต่มือเรา เราก็เห็นแต่มือ
ถ้าเราจ้องไปทั้งแขน ขา ตัว เราก็เห็นตัวเราครบถ้วน
ถ้าเรามัวแต่จ้องตัวเราครบถ้วน เราก็เห็นแต่ตัวเรา
ถ้าเราไม่จ้องอะไรเลย ดูไปกว้างๆ
เราก็จะเห็นทั้งตัวเรา มือเรา และใจเรา

และ"เรา"...อะแฮ่ม...


เรายังเห็นว่า เรายังอยู่ห้องงามๆ ที่ค่าไฟค่าน้ำค่าเช่า ไม่ต้องจ่ายสักแดง
ไม่ต้องตื่นเช้ามืดทำงานหาเงิน
มีเวลาทำงานในแบบที่พอใจ
มีเงินอยู่ในธนาคาร
มีสติเป็นระยะ
มีอวัยวะครบสามสิบสอง
มีไขมันส่วนเกิน แสดงถึงความที่ยังอยู่ดีกินดี

ลิสต์ไปลิสต์มา
ที่เป็นปัญหาอยู่มันก็เป็นเพียงเรื่องๆหนึ่งท่ามกลางเรื่องดีๆร้อยแปดเท่านั้น

เคยอ่านหนังสือที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆของโลกเมื่อนานชาติมาแล้ว
จนขนาดลืมชื่อคนเขียนไปแล้ว เพียงแต่จำได้ว่าเป็นคนดีมาก
เขาเขียนถึงเรื่องปัญหา เรื่องความลำบาก นี่แหละ



ปัญหาบางอย่าง ไม่ใช่ความลำบากนะ
มันอาจจะเป็นแค่เพียงความไม่สะดวก ก็เท่านั้น

ดังนั้น เราต้องแยกปัญหาให้ดี
อันนี้เป็นปัญหาจริงที่ควรแก้ไข
หรือเป็นปัญหาที่หลอกให้เราแก้ไข
หรือเราไปหลอกตัวเองว่ามันเป็นปัญหา

อาจจะพบได้ว่า
บางอย่างในชีวิตที่เราถอนหายใจให้มันบ่อยๆเนี่ย
นึกว่าเป็นปัญหาอยู่ตั้งนาน
ที่แท้ตูหลอกตัวเองนี่หว่า



คืนนี้เหมือนฟ้าร้องดังลั่นจนน่ากลัว
ตกใจได้ยินความตึกตัก ไม่ใช่เพราะเสียงดัง
แต่เป็นความเคลื่อนไหวของอวัยวะภายในตรงตำแหน่งที่บางคนใช้โชว์จตุคามรามเทพ
ที่ทำให้ได้รับรู้เสียงตึกตักด้วยความคิดจากสัมผัสทางผิวหนัง
ไม่ใช่ด้วยกระดูกทั่ง กระดูกโกลน

ธรรมชาติแสดงให้เราเห็นเสมอเลยว่า
เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่กายภาพบอบบาง
สภาพทางธรรมชาติมักจะมีอะไรมากกว่าเราสองสามดีกรีเป็นอย่างต่ำ
ทำให้เราต้องหาที่พักอาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค อาหาร
เพื่อมาทำให้ตัวเรา literally ขึ้นมาสมดุลกับสภาพธรรมชาติปัจจุบันให้ได้

อากาศร้อน แดดแรงเกินทน จนคนต้องหลบเข้าไปอยู่ในห้องที่มีลมแอร์ ใส่หมวกกรองแดดจ้า
อากาศหนาว หนาวเกินทน จนคนต้องหลบเข้าไปอยู่ในห้องที่มีฮีตเตอร์ ใส่เสื้อผ้าให้ความอบอุ่น
ฝนตก กระหน่ำจนมองไม่เห็นอะไร จนคนต้องหาสิ่งก่อสร้างหรือสิ่งประดิษฐ์มาคุ้มกาย
ลมพัด ฝุ่นกระจาย ต้องใส่เครื่องนุ่งห่มกันร่างกายคลุกฝุ่น ต้องอยู่ในห้องที่สะอาด
คิดไปคิดมา จะมีสักเท่าไหร่กันที่เราอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งที่ช่วยให้เรารู้สึกสบายตัวขึ้น

กลับมาที่ฟ้าร้องฟ้าผ่า
ก็ยังรู้สึกว่าธรรมชาติปราณีที่ทำให้ฟ้าร้องฟ้าผ่าไม่น่ากลัวเกินไป
เพราะอย่างน้อยเราก็เตรียมใจที่จะได้ยินเสียงของมันตั้งแต่ฝนเริ่มตั้งเค้าแล้ว

ลองคิดดูว่าถ้าฟ้าผ่าเปรี้ยง ฟ้าร้องก้องดังราวกับฟ้าแยก
เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ฟ้าใสๆก็เกิดเปรี้ยงปร้างขึ้นมาได้
โลกนี้ก็คงไม่น่าอยู่ขึ้นจมหู

พูดถึงความกลัวฟ้าร้อง
จริงๆเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเริ่มโตขึ้นมานี้เอง
แม้จะไม่ได้มีมากมายนัก แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจ
สมัยเด็กๆจนวัยรุ่นๆไม่เคยกลัวหรือตกใจกับเสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องเลย
อาจจะชอบด้วยซ้ำ มันฟังดูทรงพลังดี
เวลาฟ้าผ่าฟ้าร้อง ชอบไปเกาะหน้าต่างดูเส้นสายฟ้า
ดูเพลินๆ ในขณะที่คนอื่นเขาตกอกตกใจกัน

เลยไม่รู้ว่า จริงๆแล้ว
ที่เกิดกลัวขึ้นมา เป็นเพราะอะไร
เพราะเห็นคนอื่นกลัว
แล้วมันฝังจิตสำนึกไปเรื่อยๆจนเริ่มกลัวตามหรือเปล่า

ในขณะที่ตอนเราไม่ค่อยประสา
เราก็จับหนวดแมลงสาบห้อยต่องแต่งเล่นเป็นงานอดิเรก
พอโตมาอีกหน่อยกลับกลายเป็นกลัวจับจิตไปเป็นสิบปี
ตอนนี้ความกลัวเริ่มคลายลง
ไม่ขนาดเมื่อก่อนที่แค่เห็นศพแมลงสาบก็วิ่งป่าราบแล้ว

ขนาดความกลัวที่ฝังแน่น กับความกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในจิตใจ
อย่างแรกก็ยังคลายได้ อย่างหลังก็ยังเพาะเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาได้
แสดงให้เห็นได้ชัดว่า ไม่มีอะไรแน่นอน
แม้ว่าหลายๆสิ่งกว่าจะแสดงอนิจจังของมันออกมา
ก็ร่วมสิบปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี ล้านปี

ที่เราเห็นบางอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
อาจจะเป็นเพราะเราอายุสั้นเกินไปที่จะเห็น
หรือเราใส่ใจมันน้อยไปที่จะเห็น ก็เป็นได้




 

Create Date : 05 มีนาคม 2551   
Last Update : 5 มีนาคม 2551 0:57:06 น.   
Counter : 506 Pageviews.  

คิดว่าเจอ ไม่เหมือนเจอจริงๆ

เวลาอะไรที่มันไม่ได้เกิดกับตัวเอง
เห็นคนอื่นติดหล่มแล้วขึ้นจากหล่มไม่ได้สักทีเนี่ย
ก็คิดไปว่า "ถ้า"เป็นฉัน ฉันจะอย่างนั้นอย่างนี้
โอ๊ยเรื่องขี้ๆ เรื่องง่ายๆ

พอเจอเอาเข้าจริงๆ ติดหล่มเองจริงๆ
ขี้คร้านขึ้นได้ช้ากว่าใครเขาซะอีก



หรือเวลาที่อะไรมันยังไม่เกิดกับตัวเองในเวลานั้น
ก็คิดว่า "ถ้า"มันเกิดขึ้นอีก
ฉันก็ทนมันได้จิ๊บๆ ตีจากมันได้ชิวๆ

อย่างตอนที่กินอิ่มๆ ไม่รู้สึกหิว
ก็อาจจะคิดว่า งดไปหนึ่งมื้อก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร
พอเอาเข้าจริงๆ ความหิวมา
ความคิดแบบอีโก้ๆว่าฉันงดได้อยู่แล้วเนี่ย หดหัวไปไหนไม่รู้

ตอนนี้แฟนยังไม่ทิ้ง รักกะแฟนดี
ก็คิดว่า ถ้าแฟนจะจากไปก็ไม่ง้อมันหรอก
พอแฟนทิ้งเข้า ก็ลืมไปแล้วว่าเคยคิดว่ายังไง
รู้แต่ว่าแทบจะขาดใจ กลับมาเถิดวันวาน



เวลา"คิด" มันจึงมักจะแตกต่างกับเวลาที่"เจอจริงๆ"

เวลา "คิด" เราจะจินตนาการให้ตัวเองดีเลิศเพอร์เฟค
ฉลาดโคด ใจคอหนักแน่น อยู่เหนือสามโลก ยังไงก็ได้
แก้ปัญหาได้ง่ายดายราวกับแมคไกเวอร์
ฉะนั้น ปัญหาอะไรมา ก็ว่าบ่ยั่นๆ

หรือจะจินตนาการให้ตัวเองต้องเหลวแหลก
แพ้พ่ายราบคาบ จมติดดิน ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด ยังไงก็ได้
ปัญหาอะไรมา แม้แต่น้อย ก็พร้อมจะยกธงขาวแพ้


แต่อย่างไรก็ตาม การจำลองสถานการณ์จากความคิด
ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และน่าเอาไว้ลองฝึกหัดเนืองๆ
เพราะการคิด ก็เหมือนการเตรียมใจไว้ก่อนล่วงหน้าในระดับหนึ่ง
การหาทางออก ก็เหมือนการเตรียมทางออกไว้ก่อนล่วงหน้าเช่นกัน

ถ้าชีวิตเรามีความสุขมาก แฟนรักสุดๆ
อยู่มาวันหนึ่งอยู่ๆแฟนก็มาขอเลิก
พร้อมกับบอกว่าแอบมีคนอื่นมาห้าหกปีแล้ว
หรือเดินถนนดีๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์เอาขาเราไปข้างหนึ่ง
ถ้าใจไม่เคยคิดถึงตรงนี้เลย
ไม่เคยมีจำลองสถานการณ์เลย
ก็คงเกิดอาการเหมือนโดนเสยคาง
ทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าโจทย์แบบนี้จะมีในโลกของเรา
ก็คงต้องใช้เวลาตั้งหลักนานเอาเรื่อง

แถมสถานการณ์บางอย่าง ไม่มีโอกาสให้ตั้งหลักอีกต่างหาก


เราเลยมาคิดว่า ก็ดีเหมือนกันนะ
ที่ได้คิดถึงสถานการณ์ลำบากๆ
ที่สักวันเราอาจจะเจอก็ได้
อย่างน้อย ถ้าทำไม่ได้อย่างที่คิด
ใจมันก็คงมีเตรียมๆกับสถานการณ์ร้ายๆไว้บ้าง
เป็นภูมิคุ้มกันบางๆก็ยังดี
เพราะโลกนี้ มันแสนจะไม่มีอะไรแน่นอนเอาเสียเลย

ต่อให้ได้อะไรดีๆมาทั้งชีวิต
พอถึงจุดจบชีวิต สิ่งดีๆเหล่านั้นก็ต้องพรากจากเราไปอยู่ดี





 

Create Date : 05 มีนาคม 2551   
Last Update : 5 มีนาคม 2551 0:10:24 น.   
Counter : 356 Pageviews.  

ชีวิตไม่เคยหมดทุกข์หรอก

เวลาที่มีความไม่สบายใจจากปัจจัยรอบข้าง
เราพบว่า อยู่กับตัวเองแล้ว
เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาจิตใจจากความทุกข์ที่ได้ผลที่สุด

ชีวิตเราไม่ค่อยจะได้อยู่คนเดียวเท่าไหร่
เวลาที่จิตตกหมกมุ่น เลยสร้างโอกาสที่จะอยู่คนเดียวซะเลย

เที่ยวเล่นไปในโลกจินตนาการจากหนังสือที่ซื้อมาบ้าง
เพื่อให้ความแฮปปี้ อารมณ์ที่อยากจะช่วยให้พระเอกแก้ปัญหาตรงหน้าได้
เป็นตัวช่วย cheer up ให้จิตที่ตกลงไปอยู่ชั้นใต้ดินที่สิบสอง
ได้เงยหน้าขึ้นมาดูแสงสว่างบ้าง
พาตัวเองไปเดินเล่นบ้าง
เพื่อให้ตระหนักว่า อย่างน้อยเราก็ยังโชคดี
ที่ยังมีโอกาสได้หายใจหายคอคล่อง
ไม่เหมือนกับบางคนที่ทุกข์แล้วก็ไม่มีโอกาสจากทุกข์สักนาที
พิจารณาการเกิดดับและอาการของจิตใจไปบ้าง
เพื่อให้จิตใจเบา ปล่อยวางได้แบบที่วันอื่นๆในชีวิตทำได้
ให้ช่องว่างช่วยตัดสินใจ ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตข้างหน้า
พร้อมหรือยังที่จะเสียสิ่งที่ได้อยู่บางส่วน
เพื่อแลกเปลี่ยนกับโอกาสที่จะทำความหวังบางอย่างให้สำเร็จ


แล้วความคิดที่สอนใจก็กลับมาอีก
"ตอนที่มีทุกข์เป็นนาทีทองที่จะเรียนรู้ชีวิตจริงๆ"

แต่ไม่ได้แปลว่าพอคิดได้อย่างนี้แล้วจะหายทุกข์นะ
มันก็ทุกข์เหมือนเดิมนั่นแหละ
แต่ก็ดูมันไป เรียนรู้มันไป
กอดมันมั่ง ปล่อยมันมั่ง ไปตามประสาปุถุชน

สังเกตว่า เวลาเราจมจ่อมกับทุกข์บางอย่างนั้น
เรามักจะคิดอยากให้มันหายไป
แล้วก็คิดเอาเองว่า ถ้าไม่มีทุกข์นี้ชีวิตก็สุขแล้ว

แต่ธรรมชาติจะไม่เป็นอย่างนั้นหรอก
คนเราจะไม่เคยปราศจากทุกข์
พอทุกข์นี้หายไป ทุกข์ใหม่ก็มาอีก
แล้วเราก็คิดกันไปเองอีกว่าถ้ามันหายไปชีวิตจะสุข


ทุกข์จะไม่เคยหายไปจากชีวิตเรา
ที่เราทำได้ก็คือ จะกอดมันไว้ หรือจะปล่อยมันไป




 

Create Date : 05 มีนาคม 2551   
Last Update : 5 มีนาคม 2551 0:08:47 น.   
Counter : 336 Pageviews.  

ทำเอง ได้เอง

เพิ่งสังเกตว่า
หน้าร้อนเมืองไทย ดอกไม้จากต้นไม้ใหญ่ๆเยอะเชียว
เมื่อก่อนไม่เห็นรู้สึกว่ามันเยอะขนาดนี้
เวลาไปเมืองนอกยังแอบอิจฉาต้นไม้บ้านเขาเลย
ว่าทำไมเวลาเปลี่ยนฤดู ก็มีเปลี่ยนสีใบ ออกดอกสวยงาม
ของเมืองไทยมีแต่เขียวยันเต

แล้วต้นไม้เมืองไทยก็พิสูจน์ว่า
เรามันตาถั่วเอง ต้นไม้ออกดอกเยอะแยะ
ดันไม่เคยสังเกตเห็น

เราเริ่มสังเกตถึงความมีอยู่ของชมพูพันธ์ทิพย์
เมื่อปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย
ในฐานะว่าที่บัณฑิตปริญญาตรี
ขณะที่กำลังขมักเขม้นกับการปั่นวิทยานิพนธ์
เงยหน้าไปมองต้นไม้ใหญ่ในสนาม
ก็เห็นสีชมพูงามๆปะปนอยู่กับสีเขียวๆ
ตั้งแต่นั้น ทุกปี เมื่อย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์ก็จะรอคอยเทศกาลสีชมพูนั้น
และก็นึกถึงโต๊ะดราฟท์ตัวเขื่อง เทปเพลงMr.Z ที่เปิดจนจะยาน
บนสตูดิโอของนักศึกษาปีห้า เสมอๆ

เราเริ่มสังเกตถึงความมีอยู่ของต้นคูณ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เมื่อความแปรปรวนของอากาศยามเปลี่ยนฤดูมาเยือน
แดดที่แผดเผา แสงแดดที่แรงจนต้องเดินตาหยี
หมายความว่า โลกสีชมพูพันธ์ทิพย์
จะเริ่มแซมด้วยสีเหลืองอำไพของดอกคูณ
และเมื่อดอกเหลืองออกพวงงาม
อร่ามเต็มไปหมดทั่วท้องถนนแล้วล่ะก็
นั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่า
ถึงเวลาเชงเม้งแล้วสิเรา



สี่ห้าปีหลังๆมา เวลาไปเชงเม้งอากง
พระบิดาจะกว้านซื้อสลากกินแบ่งเป็นจำนวน 20-30 ใบ
แล้วแจกให้ลูกหลาน คนงาน ที่มาเชงเม้งกันนี้
พร้อมกับบอกว่า อากงให้โชค

ปรกติก็ไม่ได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล
แต่จะได้มาตามงานประเภทนี้

ห้านาทีที่แล้วเราเพิ่งปิดเว็บไซต์กองสลากไป
พร้อมกับผลที่ไม่น่าผิดหวัง เพราะไม่น่าหวังอะไร

แต่ก็เปิดตรวจดูทุกปี เอ่อ just in case น่ะ...


เราเกิดมาไม่พร้อมกันกับความโชคดีทางด้านจับฉลาก
หรืออะไรที่ได้มาโดยต้องเสี่ยงโชค
เป็นปรกติที่รางวัลจับฉลากจะไม่เคยถึงมือเรา
สลากนี่ ไม่เคยเฉียดแม้แต่เลขท้ายสองตัว

รางวัลใหญ่ไม่ต้องไปฝันถึงเลย

พี่ติ๊กชีโร่บอกว่า สลากยังมีกินแบ่ง
แต่เหตุไฉนใครๆได้กินก็ไม่แบ่งตูเลย ฮ่าๆ





ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่า
ที่ชะตาชีวิตไม่อาจจะหาความสนุกได้จากการเสี่ยงโชค
แต่จะว่าไป มันก็ดีเหมือนกัน
ตรงที่ว่า ไม่ต้องหวังว่า สิ่งดีๆมันจะบินมาตกตรงหน้าแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ต้องการอะไรดีๆ ก็ต้องทำ
ไม่ใช่ว่าหวังว่าจะรวย แต่ดันเอาแต่เช้าชามเย็นชาม
ไม่ใช่ว่าหวังว่าคนอื่นจะดีกับเรา แต่ดันทำตัวเป็นคุณนายใส่คนอื่น
ไม่ใช่ว่าหวังว่าชีวิตจะมีความสุข แต่ทำตัวอ่อนไหวไปกับทุกสรรพสิ่ง
ไม่ใช่หวังว่าบุญจะหล่นทับ แต่แม้แต่หมาสักตัวก็ยังไม่ช่วยมัน



แปลว่า อยากได้ผลอะไร
ก็ต้องทำซึ่งเหตุที่จะกำเนิดผลนั้นๆก่อน(สิเฟ้ย)


คือเราอาจจะไม่เห็นผลการกระทำบางอย่างของเราหรอก
แต่มันก็ดูเมคเซนส์กว่าการที่อยู่เฉยๆ แล้วหวังให้สิ่งดีๆจะวิ่งมาชนเองตั้งเยอะ
แล้วถ้ามองอีกมุมนึง เราก็จะแอบเห็นผลการกระทำของเราอยู่เสมอ

ในใจเรานี้เอง


ตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำดีโดยไม่หวังผล
ใจเราก็จะแช่มชื่น สบายใจ มีความสุข
นั่นก็คือผลจากการทำดีไม่หวังอะไร

แต่ถ้าเราทำดีแบบหวังผล
แรกๆที่ทำดีเราอาจจะยังมีความสุขอยู่
เพราะหวังว่า อ้ะ ทำแล้ว เดี๋ยวเราก็ได้ดี
แต่เมื่อผลดีมันไม่มา หรือมันไม่ได้อย่างที่หวัง
ก็เสียใจ ผิดหวัง
นั่นก็คือผลจากการทำดีแต่หวังนู่นหวังนี่
แล้วเผลอๆก็พาลหมดศรัทธาการทำดีไปซะอย่างนั้น


ฉะนั้น เวลาเรารู้สึกว่าเราทำดีแล้วไม่มีใครเห็น
ในวันที่เราเหนื่อยเพราะเราผิดหวังจากการทำดีแล้วไม่เห็นดี
ให้ลองดูไปเถอะ
แล้วจะเห็นว่ามันแสนจะเป็นผลแห่งกรรมของตัวเอง
เทียบคนสองคนทำดีเรื่องเดียวกัน คนนึงหวังคนนึงไม่หวัง
คนที่หวังผิดหวัง คนที่ไม่หวังอะไรก็ทำดีมีความสุขปรกติ
แสดงว่า มันไม่ใช่เรื่องของการทำดีไม่ได้ดี
อย่างที่พาลแอสซูมเอาเองแล้ว
แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องมาพิจารณาตัวเองแล้ว
ว่าตั้งตัวเองไว้ที่จุดไหน
หวังอะไรมากไปจนมองข้ามผลดีที่เกิดขึ้นหรือเปล่า

ลองย้อนกลับไปคิดกันดู
ในเรื่องที่เราคิดว่า เราทำดีแล้ว แล้วผิดหวัง เสียใจ
เพราะไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้อย่างที่คิดว่าควรจะได้
เราลองมองดีๆว่าเหตุมันเกิดจากอะไรกันแน่

และในหลายๆครั้ง
เราอาจจะมองเห็นว่า เพราะเราตั้งความคิดไว้ไม่ถูกที่เองก็ได้
ก็แค่ตั้งความคิดซะใหม่ ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
แล้วจะพบได้ว่า ความสุขมันเกิดของมันได้
โดยที่ไม่ต้องออกแรงหวังเลย




 

Create Date : 05 มีนาคม 2551   
Last Update : 5 มีนาคม 2551 0:07:37 น.   
Counter : 484 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

JeyZ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




รหัสสมาชิก 3 พันนิดๆ
เป็นมนุษย์ต่างดาว
มีแมวเป็นนาย มีกายเป็นบ่าว
ทำงานหลายอย่าง
ชอบทำอาหาร ชอบชิมอาหาร
ชีวิตนี้ก็ไปมาหลายที่อยู่เหมือนกัน
เป็นมิตร ไม่กัด ตรงไปตรงมา
ไม่ถนัดสนทนากับเกรียน และชาวภาษาวิบัติ
[Add JeyZ's blog to your web]