|
7 วิธีลดภาระโลกร้อน
Internet : ล้างบาง Cookies ของ Google
ภาวะโลกร้อน
กระแสภาวะโลกร้อนกำลังมาแรง แต่หลาย ๆ คนยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ทราบหรือไม่ว่าการเกิดสิ่งผิดปกติ ของธรรมชาติ เช่น ฝนหลงฤดู น้ำท่วม ประการังเปลี่ยนสี สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้มีความเป็นไปได้ว่า อีกไม่เกิน 100 ปี ข้างหน้า บางส่วนของโลกเราอาจจะจมอยู่ใต้ทะเล โลกร้อน เกิดจากภาวะเรือนกระจก ที่ชั้นบรรยากาศโลกถูกปกคลุมด้วยก๊าซต่าง ๆ จนคลื่นอินฟราเรดไม่สามรถ ระบายออกไปได้ ทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากการเผาไหม้น้ำมันและถ่านหิน ก๊าซไนตรัสออกไซด์ จาก อุตสาหกรรมผลิตสารเคมี พลาสติก ก๊าซมีเทน จากการเกษตร และโอโซนที่ผิวโลก ที่ดูดกลืนและกักเก็บรังสี อินฟราเรด ทำให้โลกระบายความร้อนได้น้อยลง ผลร้ายจากโลกร้อน -- ฤดูการแปรปรวน เราจะรู้สึกได้ว่าอากาศร้อนขึ้นและฤดูร้อนยาวนาน ฝนตกทิ้งช่วง หลงฤดู ฤดูหนาวสั้นลงซึ่ง อาจส่งผลให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และสัตว์บางชนิดเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ -- พายุรุ่นแรงขึ้น เมื่อโลกร้อนจะส่งผลต่อการไหลของกระแสน้ำเย็นและกระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทร สิ่งที่ ตามมาคือการก่อตัวของพายุที่รุ่นแรงขึ้นทั่วโลก รวมถึงปรากฎการณ์ เอลนีโญ -- ธารน้ำแข็งทั่วโลกระลาย มีการทำนายไว้ว่าในศตวรรษที่ 21 หากอุณหภูมิสูงขึ้นอีก 1.1-6.4 องศาเซลเซียส น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจะละลายจนหมด ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น 60 เซนติเมตร คนในทวีปเอเชียจะไร้ที่อยู่ โดนเฉพาะ อินเดีย ศรีลังกา ปากีสถาน บังคลาเทศ พม่า ไทย เวียดนาม จีนและญี่ปุ่น -- ประการังฟอกขาว เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนหนึ่งตกลงสู่มหาสมุทร ทำให้ความเป็นกรดด่าง ของน้ำทะเลเสียสมดุลย์ส่งผลให้ประการังตายจำนวนมาก ซึ่งส่งผลถึงระบบห่วงโซ่อาหาร ทำให้สัตว์น้ำบางชนิด สูญพันธ์และในอนาคตมนุษย์จะเกิดภาวะขาดแคลนอาหารตามมาด้วย -- เกิดโลกระบาดมากขึ้น ภาวะโลกร้อนทำให้สัตว์ที่เป็นพาหะของโรคขยายพันธ์เร็วขึ้น เช่น ยุง ทำให้โรค มาเลเรียและไข้เลือดออกระบาดหนักและอาจเกิดในพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน และมีแนวโน้มว่าจะมีโรคใหม่ เกิดขึ้นอีกมากถึง 30 โรค --- ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมาแล้ว แต่รอแต่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องตระหนักและร่วมมือร่วมใจ ป้องกันโลกของเราให้อยู่รอด ชั่วลูกชั่วหลาน ----- คุณช่วยโลกได้อย่างไร ------ -- ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เช่นเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบประหยัดพลังงาน (เบอร์ 5) หันมาใช้บริการขนส่ง มวลชนมากขึ้น เท่าที่จะทำได้ เพราะจะทำให้ประหยัดพลังงานชาติและลดปัญหารถติด ที่เป็นต้นเหตุของการ เผาผลาญที่ส่งผลต่อภาระสิ่งแว้ดล้อมเป็นพิษ -- ช็อปปิ้งให้น้อยลง ไม่ใช้สิ้นค้าฟุ้มเฟื่อย และหันมาใช้ของที่ผลิตในประเทศ เพื่อลดการขนส่งที่เผาผลาญ น้ำมันเชื้อเพลิง -- ใช้ของรีไซเคิล ทั้งขวดน้ำ กระดาษ -- ลดการใช้ถุงพลาสติก หาถุงผ้าใส่ของแทนการใช้ถุงพลาสติก
(บทความจาก PRO AV NEWSLETTER)

7 วิธีลดภาระโลกร้อน
ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง สิ่งนี้ช่วยลดโลกร้อนอย่างไร ติดตาม กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : 1. Rethink ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง กระแสการรณรงค์ เรื่องโลกร้อนจะไม่เกิดผลสำเร็จใดๆ หากทุกคนที่ได้รับฟังข้อมูลไม่ตระหนักว่าตนเองต้องเปลี่ยนแปลง การรอคอยให้ผู้อื่นทำไปก่อน แล้วเราจึงค่อยคิดจะทำนั้น จะทำให้ท่านได้รับการดูแลจากธรรมชาติเป็นคนท้ายๆ โลกได้ส่งสัญญาณดังขึ้นเรื่อยๆ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว น้ำท่วม ลมพายุ และอุณหภูมิที่แปรปรวนอย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน เราอาจเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายจากสึนามิเพราะแผ่นดินไหว เครื่องบินตกเพราะฝนกระหน่ำ ป้ายล้มทับเพราะลมพายุ หรือถูกไฟดูดเพราะน้ำท่วม 2. Reduce โลกร้อน เพราะเราเผาผลาญทรัพยากรเกินขีดจำกัดที่ธรรมชาติจะหมุนเวียนได้ทัน โลกบูด เพราะเราบริโภคเกินจนเกิดขยะและของเสียที่ไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ทัน ไม่มีใครปฏิเสธว่า เราทุกคนต้องการอยู่ในโลกที่เย็นและโลกที่หอม ฉะนั้น จงช่วยกันลดการใช้ทรัพยากรให้เหลือแต่เท่าที่จำเป็น ช่วยกันลดการบริโภคเพื่อไม่ให้เกิดขยะและของเสียจำนวนมากอย่างที่เป็นอยู่ ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ ที่ต้องใช้เวลาชั่วอายุคนในการย่อยสลาย เช่น ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก กล่องโฟม ฯลฯ ลดการบริโภคเนื้อสัตว์โดยหันมาบริโภคพืชผักผลไม้ทดแทน เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อาหาร ลดการใช้กระดาษในสำนักงาน ลดการพิมพ์หนังสือพิมพ์ นิตยสาร จดหมายข่าว หรือสิ่งพิมพ์ที่เป็นรายงวดประจำให้พอเหมาะพอดีกับจำนวนผู้อ่าน โดยไม่ต้องอิงกับยอดของการทำให้แพร่หลาย (circulation) รวมทั้งลดการซื้อผลิตภัณฑ์ซึ่งใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม 3. Reuse สำรวจของที่ซื้อมาแล้วเพิ่งใช้เพียงหนเดียวว่า สามารถใช้ประโยชน์ซ้ำได้หรือไม่ ก่อนที่จะซื้อใหม่ เช่น เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า กระดาษ ภาชนะใส่ของ ฯลฯ การใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำ เช่น ถุงหิ้วพลาสติก กล่องใส่ของ ฯลฯ หรือหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง (disposables) เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การใช้ผ้าเช็ดโต๊ะแทนกระดาษชำระ การใช้ขวดน้ำยาล้างสุขภัณฑ์ชนิดเติมซ้ำได้ (refillable) 4. Recycle เป็นการนำวัสดุที่หมดสภาพหรือที่ใช้แล้วมาปรับสภาพเพื่อนำมาใช้ใหม่ เริ่มจากการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ ฯลฯ การลงมือปรับแต่งของใช้แล้วในบ้านให้เกิดประโยชน์ใหม่ เช่น การเก็บกรองน้ำชะล้างมารดน้ำต้นไม้ การนำของขวัญที่ได้รับในเทศกาลต่างๆ มาตกแต่งเพื่อใช้เป็นของขวัญแก่ผู้อื่นต่อ (recycled gift) โดยมีกิตติกรรมประกาศแก่ผู้ให้เดิมเป็นทอดๆ ฯลฯ การคัดแยกขยะหรือวัสดุเหลือใช้ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้เองมอบให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกิจวัตร เช่น ขวดพลาสติก กระป๋องน้ำอัดลม กระดาษหนังสือพิมพ์ นิตยสารเก่า แผ่นซีดีชำรุด แบตเตอรี่มือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ และหากพบว่ามีสิ่งของหลายอย่างที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้งานอีกเลย ก็ควรนำไปบริจาคให้แก่ผู้ที่ใช้ประโยชน์ได้ผ่านหน่วยรับบริจาคต่างๆ เช่น วัดสวนแก้ว หรือประกาศผ่าน freecycle.org (bangkok) ดีกว่าทิ้งให้เสื่อมโทรมหรือเก็บไว้เฉยๆ โดยเปล่าประโยชน์ 5. Repair ของหลายอย่างสามารถซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ดังเดิม แต่ผู้บริโภคกลับได้รับการปลูกฝังค่านิยม ให้ต้องเปลี่ยนหรือซื้อของใหม่ใช้อยู่ตลอด ด้วยเหตุที่ผู้ผลิตต้องการรักษาตัวเลขยอดขายสินค้าและชิ้นส่วนให้ได้มากที่สุด จนทำให้ค่าบริการหรือค่าซ่อมแพงกว่าการซื้อของใหม่ใช้ ฉะนั้น วิธีการแรก คือ พยายามใช้ของให้ถูกวิธีเพื่อยืดอายุการใช้งาน และหลีกเลี่ยงการชำรุดเสียหายก่อนเวลาอันควร หากสิ่งของใดมีกำหนดเวลาที่ต้องบำรุงรักษา หมั่นตรวจสอบ และปฏิบัติตามตารางการบำรุงรักษานั้นๆ เช่น รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ 6. Refuse การปฏิเสธเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่ให้ถูกนำมาใช้หรือถูกทำลายเร็วขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เวลาธรรมชาติในการฟื้นสภาพตัวเองตามระบบนิเวศ โดยเริ่มจากสิ่งเล็กน้อยนอกตัว เช่น ปฏิเสธการใช้สินค้าที่เป็นต้นเหตุในการฆ่าชีวิตสัตว์หรือทำลายสิ่งแวดล้อม บอกเลิกรับจดหมายนำเสนอขายสินค้าที่ในชีวิตนี้จะไม่ซื้อแน่ๆ เรื่อยมาถึงสิ่งที่เราต้องเติมใส่ร่างกาย เช่น ปฏิเสธการบริโภคอาหารที่ต้องเดินทางมาจากแดนไกล เพราะระหว่างกระบวนการเก็บรักษา และการขนส่งอาหารในแต่ละเที่ยวจะไปเพิ่มก๊าซเรือนกระจกที่เป็นต้นเหตุหลักของภาวะโลกร้อน 7. Return หน้าที่หนึ่งของมนุษย์ในฐานะผู้อาศัยโลกเป็นที่พักพิง คือ การตอบแทนคืนแก่โลก ใครใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติประเภทใดเยอะ ก็ต้องคืนทรัพยากรประเภทนั้นกลับให้มากๆ โดยเฉพาะนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ที่มีเครื่องขยายพิสัยโดยใช้บริษัทเป็นเครื่องมือในการทำ "กำไร" จากการแปลงทรัพยากรและวัตถุดิบต่างๆ ให้เป็นสินค้าและบริการคราวละมากๆ โปรดอย่าลืมว่าท่านกำลังใช้บริษัทเป็นเครื่องมือในการทำ "กรรม" และได้ขยายพิสัยของกรรมในขณะเดียวกัน ยิ่งเป็นมหาเศรษฐีมีกำไรสะสมมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องตอบแทนคืนแก่โลกแก่สังคมมากเท่านั้น ในทางกลับกัน ถ้าท่านเป็นผู้ให้แก่โลกแก่สังคมมากเท่าใด โลกก็จะตอบแทนคืนแก่ท่านมากเช่นกัน ฉะนั้น จงอย่าติดหนี้โลก วันดีคืนดีอาจกลายเป็นวันร้ายคืนร้าย เพราะโลกจะมาทวงหนี้จากท่าน หากเป็นหนี้ระยะสั้น ก็ต้องชดใช้กันในชีวิตนี้ แต่หากเป็นหนี้ระยะยาว โลกก็จะตั้งบัญชีค้างชำระรอทวงในชาติต่อๆ ไป พร้อมด้วยดอกเบี้ยที่ทับถมทวีคูณ ตราบที่ท่านยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกใบนี้ คอลัมน์พอเพียงภิวัตน์ : เวทีสำหรับการนำเสนอประเด็นและมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง : ติดตามความคิด บทสัมภาษณ์ และบทความอื่นๆ ได้ที่ pipat.com พอเพียงภิวัตน์ : ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ
อ้างอิง : //www.jiraphan.co.th/tip.asp
|
---|
Create Date : 06 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 6 มิถุนายน 2551 16:38:09 น. |
Counter : 1637 Pageviews. |
| |
|
|
|
Internet : ล้างบาง Cookies ของ Google
Internet : ล้างบาง Cookies ของ Google
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายคนเริ่มรู้จัก Cookies ไฟล์ขนาดเล็กที่เซิร์ฟเวอร์ทิ้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของยูสเซอร์ เพื่อไว้ใช้ติดตามการใช้งาน ซึ่งอภิมหาเสิร์ชเอ็นจินอย่าง Google ก็จะมีการฝากไฟล์คุ้กกี้ไว้ในคอมพ์ของเรา เพื่อคอยสอดส่องดูว่า เราชอบเสิร์ชอะไร แหม...บางครั้งเรื่องส่วนตัว เราก็ไม่อยากให้ใครรู้นี่นา...จริงมะ? ทิปนี้ นายเกาเหลาเลยจะมาแนะนำวิธีล้างบางคุ้กกี้ของ Google ให้กับเพื่อนๆ ครับ
นายเกาเหลา คิดว่าผู้ใช้หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า Google สามารถติดตามการสืบค้นข้อมูลของเราได้ ทุกครั้งที่เราเข้าไปใช้บริการ ไม่ว่าข้อมูลที่เราสืบค้นนั้นจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ใครทราบก็ตาม แต่มันก็ถูกเก็บประวัติการสืบค้นไปเรียบร้อยแล้ว โดยเจ้าไฟล์คุ้กกี้ที่อยู่ในเครื่องของเรานั่นเองที่จะคอยบอกกับ Google ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรากำลังติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของ Google เพื่อทำการค้นหาข้อมูลอยู่ในขณะนั้น ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ว่าคีย์เวิร์ดที่ค้นจะเป็นอะไร และคลิ้กไปเข้าที่ไหนบ้างจากลิงก์ผลลัพธ์ Google ก็จะรู้หมด ความเป็นส่วนตัวคืออะไร? เรื่องอย่างนี้เคยเกิดเป็นประเด็นมาแล้วกับบริการออนไลน์ยักษ์ใหญ่ในอเมริกานั่นคือ AOL ที่เกิดปัญหาว่า ข้อมูลการค้นของผู้ใช้หลุดออกมา ซึ่งสามารถนำไปตรวจสอบได้ว่า สมาชิกคนใด ค้นหาอะไรกันบ้าง... เป็นเรื่องน่าเศร้ามากๆ แบบว่า ไม่เป็นดาราก็โดนแฉได้เหมือนกันนะเนี่ย เกิดข้อมูลที่ค้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครรู้จริงๆ
สำหรับอายุของไฟล์คุ้กกี้ของ Google จะอยู่ที่ 2 ปี นั่นหมายความว่า มันจะไม่มีความหมายหลังครบ 2 ปีไปแล้ว แต่ไฟล์คุ้กกี้จะถูกเริ่มต้นนับอายุของมันใหม่ทุกครั้งที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูล ถ้าเพื่อนคนไหน ซีเรียสกับเรื่องนี้ ก็อาจจะลองหาเครื่องมือมาป้องกันได้ อย่างเช่น G-Zapper (//www.dummysoftware.com/gzapper.html) สำหรับผู้ใช้ IE แต่ถ้าเพื่อนๆ ใช้ Firefox ก็ต้องนี่เลย CustomizeGoogle (//www.customizegoogle.com/) ซึ่ง G-Zapper จะคอยลบคุ้กกี้ของ Google ทันทีที่ตรวจพบว่า Google กำลังพยายามจะฝากคุ้กกี้ให้กับเรา ในขณะที่ customizegoogle จะใช้วิธีซ่อนหมายเลขผู้ใช้คุ้กกี้กูเกิ้ล แต่ถ้าไม่มีประเด็นที่ต้องกังวลก็ไม่จำเป็นต้องหามาใช้หรอกครับ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายคนเริ่มรู้จัก Cookies ไฟล์ขนาดเล็กที่เซิร์ฟเวอร์ทิ้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของยูสเซอร์ เพื่อไว้ใช้ติดตามการใช้งาน ซึ่งอภิมหาเสิร์ชเอ็นจินอย่าง Google ก็จะมีการฝากไฟล์คุ้กกี้ไว้ในคอมพ์ของเรา เพื่อคอยสอดส่องดูว่า เราชอบเสิร์ชอะไร แหม...บางครั้งเรื่องส่วนตัว เราก็ไม่อยากให้ใครรู้นี่นา...จริงมะ? ทิปนี้ นายเกาเหลาเลยจะมาแนะนำวิธีล้างบางคุ้กกี้ของ Google ให้กับเพื่อนๆ ครับ
นายเกาเหลา คิดว่าผู้ใช้หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า Google สามารถติดตามการสืบค้นข้อมูลของเราได้ ทุกครั้งที่เราเข้าไปใช้บริการ ไม่ว่าข้อมูลที่เราสืบค้นนั้นจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ใครทราบก็ตาม แต่มันก็ถูกเก็บประวัติการสืบค้นไปเรียบร้อยแล้ว โดยเจ้าไฟล์คุ้กกี้ที่อยู่ในเครื่องของเรานั่นเองที่จะคอยบอกกับ Google ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรากำลังติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของ Google เพื่อทำการค้นหาข้อมูลอยู่ในขณะนั้น ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ว่าคีย์เวิร์ดที่ค้นจะเป็นอะไร และคลิ้กไปเข้าที่ไหนบ้างจากลิงก์ผลลัพธ์ Google ก็จะรู้หมด ความเป็นส่วนตัวคืออะไร? เรื่องอย่างนี้เคยเกิดเป็นประเด็นมาแล้วกับบริการออนไลน์ยักษ์ใหญ่ในอเมริกานั่นคือ AOL ที่เกิดปัญหาว่า ข้อมูลการค้นของผู้ใช้หลุดออกมา ซึ่งสามารถนำไปตรวจสอบได้ว่า สมาชิกคนใด ค้นหาอะไรกันบ้าง... เป็นเรื่องน่าเศร้ามากๆ แบบว่า ไม่เป็นดาราก็โดนแฉได้เหมือนกันนะเนี่ย เกิดข้อมูลที่ค้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครรู้จริงๆ
สำหรับอายุของไฟล์คุ้กกี้ของ Google จะอยู่ที่ 2 ปี นั่นหมายความว่า มันจะไม่มีความหมายหลังครบ 2 ปีไปแล้ว แต่ไฟล์คุ้กกี้จะถูกเริ่มต้นนับอายุของมันใหม่ทุกครั้งที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูล ถ้าเพื่อนคนไหน ซีเรียสกับเรื่องนี้ ก็อาจจะลองหาเครื่องมือมาป้องกันได้ อย่างเช่น G-Zapper (//www.dummysoftware.com/gzapper.html) สำหรับผู้ใช้ IE แต่ถ้าเพื่อนๆ ใช้ Firefox ก็ต้องนี่เลย CustomizeGoogle(//www.customizegoogle.com/) ซึ่ง G-Zapper จะคอยลบคุ้กกี้ของ Google ทันทีที่ตรวจพบว่า Google กำลังพยายามจะฝากคุ้กกี้ให้กับเรา ในขณะที่ customizegoogle จะใช้วิธีซ่อนหมายเลขผู้ใช้คุ้กกี้กูเกิ้ล แต่ถ้าไม่มีประเด็นที่ต้องกังวลก็ไม่จำเป็นต้องหามาใช้หรอกครับ


อ้างอิง : www.arip.co.th
|
---|
Create Date : 02 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 2 มิถุนายน 2551 14:04:34 น. |
Counter : 562 Pageviews. |
| |
|
|
|
โรคที่เกิดจากคอมพิวเตอร์
โรคที่เกิดจากคอมพิวเตอร์

ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนยุคสมัยนี้ ถึงแม้จะให้คุณอนันต์ แต่ว่าคอมพิวเตอร์ก็มีโทษเหมือนกัน ล่าสุด ที่ทำให้ตกใจกันทั่วคือ เมื่อนักวิจัยชาวอังกฤษได้ทำการศึกษาและพบว่า คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์นั้น เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียอันตราย มากกว่าโถสุขภัณฑ์ถึง 5 เท่า!!! และทำให้ผู้ใช้ท้องเสียโดยไม่รู้ตัว ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอีกหลายโรคที่เกิดเพราะคอมพิวเตอร์
* ท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด โรคที่ตั้งชื่อตามตัวอักษรชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ดว่า Qwerty Tummy อาจระบาดในที่ทำงานได้ หากว่าแป้นคีย์บอร์ดมีแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ และผู้ใช้รับประทานอาหารไปพร้อมกับใช้งานคีย์บอร์ดเครื่องคอมพ์ด้วย
การศึกษาครั้งนี้ แสดงว่าคีย์บอร์ดเป็นแหล่งเพาะแบคทีเรียที่น่ากลัวด้วยคนทำงาน 1 ใน 10 ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ด และ 20% ไม่เคยทำความสะอาดเมาส์ ขณะที่ 50% ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ดภายในเวลาหนึ่งเดือน
นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบการทำงานสมัยใหม่ ที่พนักงานต้องย้ายโต๊ะทำงานไปเรื่อยๆ ทำให้พวกเขาไม่มีทางรู้ว่า ใครใช้คีย์บอร์ดที่กำลังใช้อยู่และใช้งานอย่างไรบ้าง ทางแก้ไขคือ ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จึงควรทำทั้งที่บ้านและที่ทำงานควรทำความสะอาด คีย์บอร์ดเป็นประจำไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
วิธีการคือ ทำความสะอาดด้วยผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำหมาดๆ ที่สำคัญคือ อย่าลืมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ก่อน
* โรคอื่นๆ อีกมากมาย คอมพิวเตอร์จะไม่เป็นอันตราย หากว่าคุณไม่ใช้มันจนติดเป็นนิสัย ซึ่งหมายความว่า นั่งจมจ่อมอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เกือบจะตลอดวันและทุกวัน คนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ้างเป็นบางครั้งคราวย่อมไม่ได้เจ็บป่วยเพราะคอมพิวเตอร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แต่ละคนก็จะได้รับผลกระทบจากเครื่องใช้ไฮเทคนี้มาก-น้อยช้า-เร็วไม่เหมือนกัน หลายๆ อาการเจ็บป่วยจากคอมพิวเตอร์นั้น อาจจะเป็นสิ่งที่เรารู้กันดี แต่บางครั้งก็หลงลืม ลองมาทบทวนกันดูหน่อยดีไหม
ปวดตา : เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ทำให้ตาต้องจ้องจอสว่างๆ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหา เรื่องสุขภาพสายตา จึงควรระวังแสงที่จะส่องตรงมา โดยเฉพาะแสงจากด้านหลังของจอคอมพิวเตอร์ ควรให้แสงเข้ามาด้านข้าง (ด้านขวาก็จะดี) ถ้าเป็นไปได้ให้ติดแผ่นป้องกันรังสี รวมทั้งปรับความสว่างของจอให้เหมาะสมกับดวงตา การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ไม่เพียงทำให้เกิดอาการปวดตาเท่านั้น แต่อาจเป็นสาเหตุของโรคต้อหินในอนาคตด้วย โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่สายตาสั้น นอกจากนี้ จอคอมพิวเตอร์ที่สั่นไหว หรือเป็นคลื่นนั้นควรจะยกไปซ่อมซะ ควรละสายตาจากจอบ้างเป็นครั้งเป็นคราว กะพริบตาเป็นระยะ เพราะดวงตาของคุณต้องการความชุ่มชื้น โรคเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ : ปรับระดับความสูงของเก้าอี้หรือโต๊ะที่วางคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ข้อศอกอยู่ในมุม 90-100 องศา วางคีย์บอร์ดให้เหมาะ เวลาใช้คีย์บอร์ดจะได้ไม่ต้องงอมือให้อยู่ในท่าที่ไม่สะดวกสบาย ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น ควรพิมพ์คีย์บอร์ดและใช้เมาส์อย่างเบามือ ถ้ามีเวลาก็ออกกำลังกายข้อมือและนิ้วบ้างหากสามารถทำงานด้วยวิธีการอื่น โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและทำซะ ปวดคอและหลัง : สำรวจท่านั่งเวลาทำงานของตัวเอง ควรนั่งตัวตรง ห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 18-24 นิ้ว เก้าอี้ที่ดีควรจะมีล้อ สามารถปรับพนักพิงได้ และต้องมีที่วางแขน โต๊ะควรจะมีพื้นที่ว่างสำหรับวางเครื่องมืออื่นๆ ในการทำงาน
และสุดท้ายที่อยากตระหนักกันให้มากคือ อันตรายคลื่นลูกใหม่ที่มาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและหลอดภาพของจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเราเปิดเครื่องใช้ก็จะมีรังสีแผ่ออกมา จึงไม่ควรนั่งใกล้จอเกินไป โดยเฉพาะเวลาใช้แล็ปท็อปซึ่งทำให้เราต้องนั่งใกล้เครื่องมากกว่าพีซี ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แผ่นป้องกันรังสี หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ไม่แผ่พลังรังสี ไฟฟ้าออกมา แม้ราคาจะแพงกว่า แต่ปลอดภัยกว่า หากไม่ใช้เครื่องก็ควรปิด โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องนอน
รู้แล้วก็ลงมือทำซะวันนี้ ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะไม่ฆ่าเราทันทีทันใด แต่คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า ถ้าเราไม่เสี่ยงกับการเกิดโรคภัยเหล่านี้ เพื่อนๆที่ใช้คอมพิวเตอร์ทุกวัน ต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาด พักสายตา ยืดเส้นยืดสาย ขยับร่างกายกันบ้างนะครับ ไม่งั้นโรคถามหาแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Posttoday

อ้างอิง : www.budpage.com
|
---|
Create Date : 27 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 9:44:22 น. |
Counter : 2323 Pageviews. |
| |
|
|
|
Download : Windows Media Encoder ลดขนาดไฟล์วิดีโอ
Download : Windows Media Encoder ลดขนาดไฟล์วิดีโอ
Download : Windows Media Encoder ลดขนาดไฟล์วิดีโอ
ผู้ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีกล้องดิจิตอลวิดีโอกันมากขึ้น เพราะนอกจากจะถ่ายโฮมวิดีโอไว้ดูกันแล้ว ส่วนใหญ่ยังสามารถถ่ายรูปได้คมชัดไม่แพ้กล้องถ่ายรูปดิจิตอลอีกด้วย และด้วยวัฒนธรรมวิดีโอที่เฟื่องฟูนี่เอง ทำให้ผู้ใช้หลายคนพบว่า ฮาร์ดดิสก์ของเครื่องเต็มไปด้วยไฟล์วิดีโอที่มีขนาดใหญ่ จนแทบไม่เหลือที่ไว้ใช้ทำงานอย่างอื่นแล้ว ร้อยละ 90 เป็นโฮมวิดีโอ จะลบทิ้งก็เสียดาย ครั้นจะเก็บไว้ก็ไม่มีที่ทำงานแล้ว
ทางแก้ของปัญหาที่ดีที่สุดก็คือ แปลงฟอร์แมตไฟล์วิดีโอเหล่านี้ซะ หรือไม่ก็แบ็กอัพลงแผ่นดีวีดี แต่หลายคนแม้จะแบ็กอัพแล้วก็ยังรู้สึกอยากจะเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ด้วย นายเกาเหลามีคำตอบมาแนะนำกันครับ
หากเพื่อนๆ ต้องการเก็บไฟล์วิดีโอที่มีอยู่มากมายไว้บนฮาร์ดดิสก์ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการประหยัดพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ไปด้วย นายเกาเหลาแนะนำให้ดาวน์โหลดโปรแกรมแจกฟรีที่ชื่อว่า Windows Media Encoder เพื่อแปลงฟอร์แมตให้วิดีโอมีขนาดไฟล์ที่เล็กลง ซึ่งหลังจากติดตั้งเข้าไปแล้ว ให้คลิ้ก New Session บนทูลบาร์ จากนั้นคลิ้ก Convert a file โปรแกรมจะมีตัววิเศษ (Wizard) ให้คลิ้กตามขั้นตอน โดยที่ดีฟอลต์โปรแกรมเราจะเห็นเฉพาะฟอร์แมตที่แน่นอนเท่านั้น แต่ถ้าหากต้องเห็นวิดีโอทุกฟอร์แมต ให้คลิ้กเลือก All files ในช่อง Files of type
การแปลงฟอร์แมตไฟล์วิดีโอถือว่าเป็นงานที่หนักมากสำหรับโพรเซสเซอร์ ดังนั้น คงต้องให้เวลาในการทำงานกับโปรแกรมมากสักหน่อย ซึ่งในขั้นตอนการกำหนดค่าการทำงานให้กับโปรแกรม พึงระลึกว่า ยิ่งต้องการให้คุณภาพของวิดีโอที่ได้สูงมากเท่าไร ขนาดของไฟล์หลังจาก encode ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น เพื่อนๆ อาจจะต้องเลือกคุณภาพที่ต่ำลงมาในระดับที่รับได้ เพื่อแลกกับพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ที่จะได้คืนกลับมานั่นเอง แต่ถ้าทำใจกับการแลกพื้นที่กลับมาด้วยคุณภาพไฟล์วิดีโอที่ลดลงไม่ได้ แนะนำให้ซื้อฮาร์ดดิสก์แบบภายนอกไว้ใช้เก็บไฟล์วิดีโอโดยเฉพาะเลยจะดีกว่า เนื่องจากปัจจุบันมันมีราคาถูกลงมา ในขณะที่มีความจุสูงสูงขึ้น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของคุณแล้วละครับ
สนใจดาวน์โหลด Windows Media Encoder ได้ที่นี่
อ้างอิง : ทิปจาก : //www.arip.co.th
|
---|
Create Date : 11 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 14 พฤษภาคม 2551 12:41:09 น. |
Counter : 853 Pageviews. |
| |
|
|
|
เรื่องเดิม ๆ แต่ไม่เคยตกยุคเกี่ยวกับไวรัส
เรื่องเดิม ๆ แต่ไม่เคยตกยุคเกี่ยวกับไวรัส
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer virus) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้าย และสร้างความเสียหายให้กับระบบ ของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ ไวรัสคือ ไวรัสเป็นโปรแกรมประเภทที่สามารถแพร่ขยายตัวเองได้ วิธีการในการจำแนกว่าส่วนของโปรแกรมนั้นเป็นไวรัสหรือไม่ นั้นดูจากการที่โปรแกรมสามารถแพร่กระจายตัวได้โดยผ่านทางพาหะ(โฮสต์)
บ่อยครั้งที่ผู้คนจะสับสนระหว่างไวรัสกับเวิร์ม เวิร์มนั้นจะมีลักษณะของการแพร่กระจากโดยไม่ต้องพึ่งพาหะ ส่วนไวรัสนั้นจะสามารถแพร่กระจายได้ก็ต่อเมื่อมีพาหะนำพาไปเท่านั้น เช่น ทางเครือข่าย หรือทางแผ่นดิสก์ โดยไวรัสนั้นอาจฝังตัวอยู่กับแฟ้มข้อมูล และเครื่องคอมพิวเตอร์จะติดไวรัสเมื่อมีการเรียกใช้แฟ้มข้อมูลนั้น
เนื่องจากไวรัสในปัจจุบันนี้ได้อาศัยบริการเครือข่ายบนคอมพิวเตอร์ เช่น เวิลด์ไวด์เว็บ อีเมลล์ และระบบแฟ้มข้อมูลร่วมในการแพร่กระจากด้วย จึงทำให้ความแตกต่างของไวรัสและเวิร์มในปัจจุบันนั้นไม่ชัดเจน
ไวรัสสามารถติดพาหะได้หลายชนิด ที่พบบ่อยคือ แฟ้มข้อมูล ที่สามารถปฏิบัติการได้ของซอฟต์แวร์ หรือส่วนระบบปฏิบัติการ ไวรัสสามารถติดไปกับบูตเซ็กเตอร์ของแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ แฟ้มข้อมูลประเภทสคริปต์ ข้อมูลเอกสารที่มีสคริปต์มาโคร นอกเหนือจากการสอดแทรกรหัสไวรัสเข้าไปยังข้อมูลดั้งเดิมของพาหะ แล้วไวรัสยังสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลเดิมในพาหะ และอาจแก้ไขให้รหัสไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานเมื่อพาหะถูกเรียงใช้งาน
ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์
บูตไวรัส บูตไวรัส (Boot Virus) คือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่เข้าสู่เป้าหมาย ในระหว่างเริ่มบูตเครื่อง ส่วนมากมันจะติดต่อเข้าสู่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ระหว่าง กำลังสั่งปิดเครื่อง เมื่อนำแผ่นที่ติดไวรัสนี้ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไวรัสก็จะเข้าสู้เครื่องคอมพิวเตอร์ตอนเริ่มทำงานทันที บูตไวรัสจะติดต่อเข้าไปอยู่ส่วนหัวสุดของฮาร์ดดิสก์ ที่มาสเตอร์บูตเรคอร์ด (Master Boot Record ) และก็จะโหลดตัวเองเข้าไปสู่หน่วยความจำก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะเริ่มทำงาน ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไฟล์ไวรัส ไฟล์ไวรัส (File Virus) ใช้เรียกไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม
ไวรัสมาโคร ไวรัสมาโคร (Macro Virus) คือไวรัสที่ติดไฟล์เอกสารชนิดต่างๆ ซึ่งมีความสามารถในการใส่คำสั่งมาโครสำหรับทำงานอัตโนมัติในไฟล์เอกสารด้วย ตัวอย่างเอกสารที่สามารติดไวรัสได้ เช่น ไฟล์ไมโครซอฟท์เวิร์ด ไมโครซอฟท์เอ็กเซล เป็นต้น
โทรจัน มาโทรจัน (Trojan) คือโปรแกรมจำพวกหนึ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมา เพื่อแอบแฝง การะทำการบางอย่างในเครื่องของเรา จากผู้ที่ไม่หวังดี ชื่อเรียกของโปรแกรมจำพวกนี้ มาจากตำนานของมาไม้แห่งเมืองทรอยนั่นเอง ซึ่งการติดตั้ง ไม่เหมือนกับไวรัส และหนอน ที่จะกระจายตัวได้ด้วยตัวมันเอง แต่โทรจันจุถูกแนบมากับอีการ์ด อีเมล์ หรือโปรแกรมที่มีให้ดาวน์โหลดตามอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ใต้ดิน และสุดท้ายที่มันต่างกับไวรัสและเวิร์ม คือ มันจะสามารถเข้ามาใน เครื่องของเรา โดยที่เราเป็นผู้รับมันมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
หนอน หนอน (Worm) เป็นรูปแบบหนึ่งของไวรัส มีความสามารถในการทำลายระบบในเครื่องคอมพิวเตอร์สูงที่สุดในบรรดาไวรัสทั้งหมด สามารถกระจายตัวได้รวดเร็ว ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าหนอนนั้น คงจะเป็นลักษณะของการกระจายและทำลาย ที่คล้ายกับหนอนกินผลไม้ ที่สามารถกระจายตัวได้มากมาย รวดเร็ว และเมื่อยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ระดับการทำลายล้างยิ่งสูงขึ้น
การป้องกัน โปรแกรมป้องกันไวรัส (Antivirus Software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ (ต่อจากนี้จะเรียกว่าไวรัส) จากผู้ไม่หวังดีทางอินเทอร์เน็ต โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบใหญ่ๆ 1. แอนติไวรัส เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆ ไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา 2. แอนติสปายแวร์ เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adware ซึ่งเป็นป๊อบอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆ วัน จะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นเสมอทำให้เราต้องอัพเดทโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลา เพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีรูปแบบตามบริษัทกันไป และแต่ละบริษัทจะมีการอัพเดท และการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์ เครื่องเดียวไม่ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัส 2 ตัว เพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเอง จนไม่สามารถใช้งานได้
โปรแกรมป้องกันไวรัสฟรี ดีจริงใหม ? โปรแกรมป้องกันไวรัส ไม่ฟรี มีดีต่างกัน
อ้างอิง : ทิปจาก : หนังสือ COMPUTER.TODAY
|
---|
Create Date : 11 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 16 พฤษภาคม 2551 16:40:50 น. |
Counter : 570 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
| | | |
| |