Jack-A-Little-Monster

Nepal - Chapter 2: Lukla - Phakding

เวลาเดิน: 2 ชม.
ระยะทาง: 6-7 กม.
ความสูง: ขึ้น 200 ม. ลง 50 ม.

Lukla: 2800 ม.
Phakding: 2610 ม.





รวมตัวกันที่ล็อบบี้ด้านล่างโรงแรม Harati กินอาหารเช้า มีขนมปังเย็นชืด ชีสก้อนเล็กๆ กาแฟ ชา และน้ำมะม่วง ไม่ค่อยมีอารมณ์กิน ก็เลยเก็บของบางส่วนไว้กินทีหลัง


รถตู้พาพวกเรามาถึงสนามบินในเวลาไม่นาน สนามบินดูวุ่นวาย มีคนมาช่วยถือของเหมือนเคย คราวนี้ไม่หลงกล กรูแบกเองตลอด leave me alone please!


สนามบิน domestic ด้านในดูเล็กกว่าที่คิดมาก เคาเตอร์ก็เป็นแบบบูทธรรมดา อารมณ์แบบหมอชิตหรูกว่าสิบเท่า ไกด์ไปติดต่อจัดการเรื่องตั๋วให้ ได้บอร์ดดิ้งพาสมาคนละใบ ของสายการบินธาราหิมาลัย (Tara Air) สายการบินอื่นก็มีดวงใจอัคนี (Agni Air) พุทธาแอร์ (Buddha Air) ฯลฯ

ด้านในมีระบบรักษาความปลอดภัย ตรวจสัมภาระเล็กน้อยแบบทำเป็นพิธี

จนท: มีมีดมั้ย?
ผดส: ไม่มี

โอเค ผ่าน! แค่นี้เอง ใช้การซักถามมากกว่าการค้นตัว

ใครมันจะบอกว่ามี!?

..

ด้านในมีคนรอเครื่องอยู่เต็มไปหมด ดูตารางเวลาแล้วงงๆ สรุปไฟลท์เรา 7.45 แต่ต้องรอเครื่องมาจากลุกลาก่อน บินจริงๆ ก็ 10 โมงกว่า นั่งแกร่วกันไป..

เครื่องบินลำเล็กๆ นั่งกันประมาณ 18 คน สมาชิกจึงต้องแบ่งกันไปสองลำ ดูจากสภาพแล้วโทรมจนต้องฝากชีวิตและทรัพย์สินไว้ที่กัปตันเท่านั้น





แอร์ไม่ทำไรมาก เดินแจกสำลีกับลูกอม แค่นั้นก็เป็นอันจบภารกิจของเธอ ที่เหลือก็นั่งสวยอย่างเดียว





ใช้เวลานั่งบนเครื่องประมาณ 35 นาที แต่รู้สึกเหมือนอยู่หลายชม. นั่งเกร็งอยู่นานเวลาเจอลมพัดมาก็วูบมั่ง ปลิวมั่ง

ได้วิวข้างนอกคอยปลอบใจอยู่บ้าง





ช่วงเวลาลงเสียวสุด ดูอาการคนขับแล้วช่วยคลายกังวลไปได้บ้าง พอล้อสนิทปุ๊บ ถอนหายใจออกมาเสียงดังเลย เอ้า ขอตบมือให้กัปตันสักชุดใหญ่ รอดไปได้หนึ่งเฮือกแล้ว





..

เมืองลุกลา เล็กๆ แต่ก็คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ร้านรวงต่างๆ มากมาย ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร รวมไปถึงผับ บาร์ ต่างๆ





แวะกินข้าวกลางวัน (ข้าวผัดไก่)ที่ลุกลาก่อน เมืองลุกลาก็เล็กๆ ดูน่ารักดี มี starbucks lukla ด้วย (ของปลอม)





คืนนี้ไปนอนกันที่ Phakding ไม่ไกลเท่าไหร่นักจากลุกลา ก็เดินกันไปชิลๆ ถึงพักดิ้งให้สังเกตโรงแรมไว้ จะมีธงชาติไทยแขวนอยู่

เส้นทางช่วงนี้เดินกันเพลินๆ ชมนกชมไม้กันไป





เวลาประมาณ เที่ยงยี่สิบก็ออกเดินทาง ถึงพักดิ้ง 1.30 pm ทางเดินส่วนใหญ่จะเป็นทางลง เลยไม่เหนื่อยอะไร

เจอธงแขวนอยู่ที่ Green Village Guesthouse เอากระเป๋าไปเก็บจองห้อง riverview เอาไว้วิวอลังการมาก แต่ไหงไม่เจอหมอโอล่ะ ลำบากดีบีต้อง

เดินไปตามกลับมา สงสัยเดินเพลินไม่เห็นธงแขวนอยู่





กับเมืองที่ระดับความสูง 2,610 เมตรทำให้รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น นี่แค่กลางวัน ตกดึกจะเป็นอย่างไรกัน

มีเวลาเหลือเยอะแยะ เลยชวนกันไปชมวัดบนเขากันหน่อย หมอโอนี่ตาดีจริงนะ ไกลๆ ลิบยังเห็นอีก เอาเถอะถือเป็นการ acclimatize ไปในตัว





วัดนี้ชื่อ Pema Chholing อยู่เมือง Rimijung ป้ายบอกใช้เวลา 20 mins. แต่เดินจริงๆ มันเกินครึ่งชม.อีก ทางชันดิก เล่นเอาหอบเป็นหมาเหนื่อยเลย





ถึงวัดแล้วมีเจ้าบ้านมาต้อนรับ หรือขับไล่ไม่รู้ แต่ทำเอาแขกไม่กล้าเข้าไป ต้องเดินอ้อมไปอีกทาง





ภายในเรียบง่าย แต่ก็สวยงามดี





เจอลามะใจดีเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ภายในงดงามดี แถมใจดีให้ถ่ายรูปด้วย





ดูจากนาฬิกาบอกความสูง วัดนี้สูงจากระดับน้ำทะเลเกือบๆ 2,800 เมตรเลย มิน่าเดินจาก Phakding มาแบบลิ้นห้อย น้ำลายหยดติ๋ง..

ช่วงเย็น กินอาหารค่ำกันใต้โรงแรม บทสนทนาออกรส จนถึงเวลานอนก็แยกย้ายกันไป พรุ่งนี้ศึกหนักเริ่มต้น...

จบตอนที่ 2

==================================================================================




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554    
Last Update : 8 มิถุนายน 2554 12:53:08 น.
Counter : 1021 Pageviews.  

Nepal - Chapter1: Kathmandu

รวมพลคนรักเขากันที่สุวรรณภูมิ เครื่องออกเดินทางตอนเช้า งานนี้กระเป๋าเราใหญ่สุดเหมือนเคย สัมภาระทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มกันหนาวขนเอามาเพียบ นี่ยังไม่นับรวมอาหารที่ขนมาเต็มพิกัด โชคดีที่เช็คอินเป็นกลุ่มแถมได้โหลดคนละ 30 กก. เลยผ่านฉลุย

นั่งสบายๆ ไปกับการบินไทย สปอยให้เต็มที่ก่อนจะไปตกระกำลำบากกันกับภารกิจหนักๆ ที่รออยู่

ถึงเนปาล ไกด์อ้วนกับดีบีมารอต้อนรับอยู่ ด้วยดอกดาวเรืองคล้องคอคนละพวง ใส่ได้แปบก็ต้องถอด หลังหมอทวีบอกคราวก่อนสีตกเลอะเสื้อซักไม่ออก




งงเล็กน้อย มีคนเนปาลเชื้อเชิญให้ขึ้นไปนั่งรถเบาะหน้า เออ ไมเทคแคร์ดีวะ ที่ไหนได้มาขอทิปพันนึง ห่าราก..เลยเสียตังไปยี่สิบบาทฟรีๆ

วันนี้เป็นวันชิลๆ ไกด์พาพวกเราไปโพธินาถ เพื่อไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาฤกษ์เอาชัยกันก่อน





สภาพภายในโพธินาถ มรดกโลก





หากตั้งมั่นสิ่งใดขอให้สมปรารถนา





เพิ่มความมั่นใจด้วยการเดินวนระฆังมนตรา 3 รอบ






ตอนเย็นเดินเล่นทาเมล เช่าถุงนอนขนเป็ด รองเท้าหัวโต (หนักชิบ) ทีแรกคิดว่าไม่ต้องใช้หรอกมั้ง รองเท้า TNF น่าจะเอาอยู่แล้ว คู่ตั้งแพง..คิดผิดจริงๆ

คู่นี้ ข้างละ 2.5 กก. เห็นจะได้ ใส่แล้วเดินเหมือนหุ่นยนต์ เอาตีนเหยียบก็ไม่เจ็บ





ใกล้ๆ ลานทดสอบรองเท้า ชายหนุ่มเนปาลจับกลุ่มจั่วไพ่กันอย่างคร่ำเคร่ง ขณะที่สาวเนปาลก็ตั้งหน้าตั้งตาสูบหน้าบาดาลขึ้นมาอย่างหนัก ไม่มีทีท่าว่าใครจะให้ความช่วยเหลือ ดูแล้วคล้ายๆ แถวนี้เหมือนกันแฮะ




หัวค่ำกินอาหารไทยกันที่ร้านครัวไทย รสชาติไม่ได้เรื่องจริงๆ ผัดไทย ผัดซีอิ๋ว หมูเหนียว เค็มไปทุกอย่าง

เดินกลับโรงแรม Harati ในยามมืดที่ไร้ซึ่งแสงไฟถนน เหมือนตาบอดเดินจริงๆ ต้องเกาะๆ กันไป มีหลงทางด้วย ดีที่ถามชาวบ้านจนกลับมาห้องได้

ตอนดึกจัดของที่จะเอาไปใส่ถุงกระสอบ บางส่วนไม่เอาไปก็ใส่ตู้เย็นแล้วฝากโรงแรมไว้

ก่อนนอนปวดหัวพิลึก คงจะยังไม่แพ้ความสูงนะ แม้เมืองนี้จะสูงพอๆ กับม่อนทูเล เทคยาแล้วก็ดับเทียน เข้านอน..

จบตอนที่ 1

===================================================================================




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554    
Last Update : 8 มิถุนายน 2554 12:33:00 น.
Counter : 1548 Pageviews.  

== ตาดสักการะ ตาดน้ำพาก == อลังการน้ำตกลาว

เป็นทริปสุดท้ายของน้องพรหล้า..กล้องตัวเก่ง หลังจากรับใช้ชาติมานานกว่า 5 ปี

..

สามทุ่ม รวมพลพรรคกันได้ครบทีมแล้วก็เริ่มออกเดินทางจากหมอชิต มุ่งหน้าสู่ช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี

ทริปนี้จากที่อ่านคร่าวๆ เผินๆ ก็ไม่น่าจะเหนื่อยอะไร คงจะเดินกันสบายๆ ชิลๆ ต่างจากทริปปีนเขาอื่นๆ ในเมืองไทย

..

วันแรกในลาว แวะซื้อเสบียงกันที่ตลาดดาวเรือง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่บ้านหนองหลวง

ยังไม่ทันเริ่มเดิน ฝนก็เทลงมา แต่มาน้ำตก ฝนไม่ตกจะไปสนุกอะไร คว้าเสื้อฝนกันแล้วก็เดินลุยกันไปในสายฝน

..

เดินไปได้สักไม่ถึงชั่วโมงดี ก็ถึงที่กางเตนท์กันแล้ว !?

ทำไมช่างดายอย่างนี้ แถมทางก็ไม่ชันอะไรด้วย

แต่ละคนแยกย้ายกันไปกางเตนท์ กางเปล หาทำเลที่ถูกใจ แถวนี้มีต้นไม้ผูกเปลเยอะ แต่ทากก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

ทำอาหารกินกันเสร็จ ก็จับกลุ่มคุยกันละลายพฤติกรรมกันไป จากที่ไม่ค่อยรู้จักกันก็รู้จักกันมากขึ้น จากที่ไม่สนิท ก็สนิทกันได้อย่างรวดเร็ว

..




ด้วยความสูงที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร ทำให้อากาศค่อนข้างเย็น ถึงหนาวกันเลยทีเดียว

พวกเราต้องตื่นกันแต่เช้า เพื่อเดินตัวเปล่ากันไปชมน้ำตกตาดสักการะ

เส้นทางชันดิก ต้องไต่ลงไปด้านล่าง บางช่วงชันแบบต้องปีนผากันเลย โดยมีลูกหาบขึงเชือกไว้ให้ขับและคอยช่วยเป็นระยะๆ





เส้นทางไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด! ยังคิดห่วงว่าตอนขึ้นจะไหวรึเปล่า

เดินลงไปเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน

แต่สิ่งที่เห็นเบื้องหน้า..ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด





สวยและยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเห็นในภาพ

กล้องพรหล้าทำหน้าที่ของมัน แม้จะไม่ได้ภาพที่ดีที่สุด แต่ก็ได้บันทึกเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง

พวกเราเดินไปได้ถึงจุดๆ หนึ่งก็ไม่สามารถไปต่อ ด้วยความอันตรายและเวลาที่มีจำกัด





ซึมซับบรรยากาศกันจนคุ้มค่าแล้วก็เดินกลับ ขาขึ้นไม่มีลูกหาบรออยู่ตามจุดอย่างเคย จึงต้องช่วยๆ กันดัน ช่วยกันดึงขึ้นไป ทุลักทุเลแต่ก็ผ่านกันมาได้

..

ทานอาหารเช้าเพิ่มพลังเสร็จ ก็เก็บเตนท์ พับเปล ขึ้นเป้ เดินกันต่อ จุดหมายต่อไปของเราในวันนี้คือ

น้ำตกตาดน้ำพาก

เดินกันไปเป็นระยะเอาเรื่องพอสมควร ก็ถึงจุดวางเป้ และเดินลงไปชมน้ำตกตัวเปล่า

ที่จุดนี้มีสมาชิกในทีมตัดสินใจรออยู่สามสี่คน ด้วยอาการเมาค้าง หรือเดินไม่ไหวก็ไม่แน่ใจ

ผมเดินอยู่ในกลุ่มนำร่วมกับหมอโอ ขาเดินไวประจำทริป โดยมีลูกหาบเป็นคนนำทาง

จำไม่ได้ว่าใช้เวลาเท่าไหร่ แต่นานเอาเรื่อง พวกเราพักรอกลุ่มหลังกันเป็นช่วงๆ จนเดินมาถึงขอนไม้ใหญ่ที่วางพาดไว้เพื่อข้ามลำห้วย

และแล้วอวสารของพรหล้าก็มาถึง

แม้ว่าจะรู้ตัวอยู่แล้วว่ารองเท้า The Northface มันลื่นปรื้ดสุดๆ เวลาเดินบนหิน หรือเดินบนไม้ แต่ก็ไม่ชะล่าใจเก็บกล้องใส่ถุงให้ดี เห็นหมอโอเดินผ่านไปแล้ว เราก็เดินตาม ไปได้แค่สองก้าวก็เกิดอาการเสียหลัก

เพียงพริบตาเดียว ครึ่งตัวล่างก็ลงไปอยู่ในน้ำเสียแล้ว

สมองเพิ่งสั่งการว่ามีกล้องอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่ก็สายไปเสียแล้ว กล้องเปียกไปหมด

ที่ทำได้คือ ถอดแบต

..

เดินต่อ พลางคิดเสียดายกับทริปที่เหลือที่จะไม่ได้บันทึกภาพกลับไป

จนกระทั่ง เดินมาถึงหน้าผาที่ต้องไต่ลงไปชมน้ำตก

วิวที่ปรากฎมันทำให้เผลอร้องว้าวออกมาโดยไม่รู้ตัว




(ขอบคุณพี่ก้อยเอื้อเฟื้อรูป)

อาการที่เสียดายวิวสวยๆ บวกกับการยั้งคิด ทำให้รีบเอาแบตใส่เข้าไปในกล้อง แล้วเปิดกล้องโดยไม่ได้รู้เรื่องเล้ยว่าข้างในมันยังมีน้ำอยู่

หน้าจอขึ้นเป็นขาวๆ แล้วก็ดับสนิท..

คราวนี้ ถึงเวลาจากไปจริงๆ ของเจ้าพรหล้า

..

หลังจากทำใจไม่ค่อยได้ พี่ก้อยก็ใจดีให้ยืมกล้องมาถ่ายชั่วคราว ถ่ายได้หน่อยก็คืนแกไป เพราะกลัวทำเจ๊งไปอีกตัว

ถึงจังหวะนี้ต้องไต่ระห่ำลงไปยังเบื้องล่าง

ตอนเช้าไต่ลงไปชมตาดสักการะว่าโหดแล้ว เจออันนี้ ต้องบอกว่าไต่ยากกว่ามากนัก

ขายาวๆ อย่างผม ยังช่วยไม่ได้ แถมถ้าพลาดไปด้านข้างเป็นเหวเลย

ลูกหาบคอยช่วยกำกับจังหวะให้ทุกๆ คน คอยบอกสเตปก้าวอยู่ แต่กระนั้นก็ยังไม่ง่าย

ป๋าคมรัฐคอยดูแลลูกทริปอยู่ไม่ห่าง น่าที่งแกมาก หนุ่มๆ อย่างเรายังอายเลย จังหวะไต่ จังหวะปีน แกเทพมาก

..





(ขอบคุณพี่ก้อยเอื้อเฟื้อรูป)


ลงไปได้นิดเดียว ก็เห็นละอองน้ำฟุ้งทั่วไปหมด เสียงน้ำกระหึ่มๆ ดังลั่นป่า

มองไปทางซ้าย แล้วหัวใจเต้นแรง อดใจรอชมไม่ไหวกับน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นมา

รองเท้าดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคมากในการเดินบนพื้นลื่นๆ จำไม่ได้แล้วว่าลื่นไปกี่ครั้ง สะดุดไปกี่หน

มองลงไปด้านล่างเห็นหัวคนๆ ลิบๆ ทำให้ต้องรีบตามลงไปให้ไว เพื่อสัมผัสสุดยอดน้ำตกแห่งนี้

ไปถึงกลุ่มข้างล่างด้วยความทุลักทุเล แต่ความเหนื่อยมันหายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อย้อนหันกลับมามอง

ตาดน้ำพาก สุดยอดจริงๆ !!


..

รวมพลกันด้านล่างจนครบก็ชักภาพร่วมกัน ได้กล้องกันน้ำของพี่ๆ ทำให้ได้ภาพหายากอีกภาพหนึ่งของทริปนี้

อยู่กันได้ไม่นานก็ต้องกลับ เพราะอากาศเริ่มเย็น แถมเวลาก็เกือบบ่ายสามแล้ว!

เริ่มทยอยกันกลับ ระยะทางยังอีกไกล เพราะคืนนี้จะไปนอนกันที่บ้านหนองหลวง

..

ออกเดินกันจากน้ำตกตาดน้ำพาก เดินไปจนถึงจุดวางเป้ก็ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง แสงเริ่มน้อย ได้เป้คืนปุ๊บ ผมก็รีบคว้าขนมมาเพิ่มพลังงานก่อน หยิบไฟฉายมาคาดหัวไว้ แล้วก็รอสมาชิกมาสมทบอีกสักชุดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเดินต่อ

แต่ละคนอ่อนล้าเต็มที ลูกหาบบอกจะพาไปเส้นทางลัด ได้ยินแล้วก็ใจชื้น จะได้ถึงไวๆ แต่เดินมาได้หน่อยเดียวก็พอขึ้นเขาแบบชันดิก แต่ทางก็เละสุดๆ

ผมเดินไปรอพี่บุ๋มไป ซึ่งห่วงแกเวลาจะข้ามน้ำ ข้ามห้วย เพราะบางช่วงกระแสน้ำแรง

เดินกันไปอยู่นานมาก ก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะถึง

ไฟฉายเริ่มส่องแสง ในขณะที่แสงอาทิตย์ก็หายลับไปแล้ว เหลือแต่เพียงความมืด

ขณะนี้กลุ่มข้างหลังเดินตามมาอยู่ห่างๆ ผมเดินกับลูกหาบกันสองคน ตอนนี้ในใจไม่คิดอะไรมาก ก้มหน้าก้มตาเดินไปอย่างเดียว พวกเราก้าวเท้ากันอย่างรวดเร็ว แม้ทางจะราบเรียบ แต่ก็อ่อนล้าเต็มที

เดินไนท์เทรล ต้องคอยระวังไม่ให้พลัดหลงกัน จับกลุ่มกันสองสามคน เดินด้วยกันยิ่งดี เพราะมืดๆ มองอะไรไม่เห็น จะหลงเอาได้ง่ายๆ

ผมหยุดรอทีมหลังตรงทางแยก เป็นการพักเล็กๆ ไปในตัว ถามลูกหาบ ก็บอกใกล้แล้วๆ แต่ใกล้มาหลายที แต่ก็ไม่ถึงเสียที

พอเริ่มเข้าสู่หมู่บ้าน เริ่มมีกำลังใจกลับมาอีกครั้ง ลูกหาบพาพวกเราเดินลัดเลาะไปตามถนนเลน จนในที่สุดก็มาถึงที่พักของเราในค่ำคืนนี้

เป็นวันที่เหนื่อยมากวันหนึ่ง!

อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แกะทาก ล้างรอยเลือดที่ทากน้อยทิ้งไว้ กันเสร็จ

พอช่วงดึก ก็นั่งล้อมวงกินอาหารเย็นกัน ป๋าบอกว่าทริปนี้ไม่เคยจัดมาก่อน ปกติจัดสี่วัน แต่ทริปนี้จัดสามวัน

วันนี้พวกเราน่าจะเดินกันเป็นระยะทาง 25 กม.

แต่ละคนฟังแล้วก็ทึ่งตัวเองทั้งนั้น ที่เดินกันไปได้ขนาดนี้

..

เมื่อคืนนอนกันหลับสบาย อากาศบริสุทธิ์แถมเย็นจนไม่กล้าอาบน้ำตอนเช้า

วันนี้เป็นวันกลับแล้ว ก็เลยสบายๆ กันหน่อย




ป๋าพาพวกเราแวะน้ำตกตาดเยือง น้ำตกที่ไม่ต้องเดินอะไรมาก

มีนักท่องเที่ยวมาเยอะทีเดียว

ต่อด้วยตาดฟาน สายน้ำตกลงจากที่สูง ตรงจุดนี้มองไม่เห็นก้นล่างเลย







และปิดท้ายด้วยตาดผาส้วม





ก่อนจะกลับเมืองไทย บางคนบอก ครั้งหน้าป๋าจัดอีก ก็จะมาอีก

ส่วนผมขอไว้ฟิตๆ แล้วจะคิดดูอีกที...






 

Create Date : 20 ตุลาคม 2553    
Last Update : 20 ตุลาคม 2553 22:16:52 น.
Counter : 1372 Pageviews.  

Melbourne & Dandenong Ranges

G'day Mate!

..

หลังจากมาถึงวันเสาร์ ก็ออกไปผจญภัยกับ The Great Ocean Road ทันทีในวันอาทิตย์ เห็นกับตาแล้วมันสวยอย่างบอกไม่ถูก

..

ช่วงวันเวลาเสาร์อาทิตย์ถัดมา เลยได้โอกาสเที่ยวในเมืองบ้าง เป็นโชคดีอีกครั้งที่อากาศแจ่มใสต่างกับวันทำงานทีครึ้มฟ้าครึ้มฝน

เมลเบิร์นเป็นเมืองแห่งศิลป์และสถาปัตยกรรม อาคารก่อสร้างหลายๆ แห่งเหมือนงานศิลป์ เดินชมเมือง เหมือนเดินอยู่ในแกลเลอรี่ขนาดใหญ่ เดินเพลินได้จนลืมดูแผนที่





ผมเดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆ เมือง จากที่ได้สัมผัส เมืองไม่ใหญ่อย่างที่เห็นในแผนที่ เดินมาได้เกือบรอบก็นั่งรถเมล์ฟรีชมเมืองอีกหนึ่งครั้ง




..

ขึ้นไปชมเมืองจากมุมสูงกันบ้าง




..

ช่วงหลังเลิกงานวันหนึ่ง มุ่งหน้าไปยัง Dandenong Ranges ที่มียอดเขาสูงสุดของเมลเบิร์นอยู่ที่นี่ ด้วยความสูง 633 เมตร ทำให้มองเห็นเมืองได้ทั่ว ในยามฟ้าปลอดโปร่ง





ด้านบนมี Skyhigh restaurant แต่ ณ เวลานี้ไม่มีผู้คนอยู่สักเท่าไหร่





โชคไม่ดีนัก ไปถึง เมฆก็ฮึ่มๆ รวมตัวเป็นก้อนยักษ์ ท่าทางน่ากลัวใช่ย่อย





ถ่ายรูปได้สักพัก ฝนก็เทลงมา จนต้องลี้ภัย ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันในยามเย็น




...

พูดถึงเมลเบิร์น ต้องบอกว่าของแพงมาก ไม่ว่าจะอาหาร หรือของใช้ต่างๆ ค่า taxi แพงแบบไม่กล้านั่งกันทีเดียว (นั่ง taxi จากสนามบินมายังโรงแรม จ่ายไปประมาณ 3,000 บาท โอ้แม่เจ้า! โชคดีที่เบิกได้..)

ขณะที่อยู่ที่นี่ผมรู้สึกชอบใจที่ผู้คนมีอัธยาศัยดี ค่อนข้างเอาใจใส่นักท่องเที่ยว ช่วยเหลือเวลาเห็นใครกำลังหลงทางอยู่

อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบในเมลเบิร์นก็คือ มีร้าน outdoor เจ๋งๆ อยู่หลายร้านเลยทีเดียว เสียดายที่เวลาไม่ค่อยมีนัก แต่เดินชมของได้ไม่มีเบื่อ ก่อนกลับเมืองไทย ได้รองเท้าเดินป่าแบบกึ่งสายรัดมาคู่หนึ่ง ท่าทางดูสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกดี ส่วนผลการทดสอบเป็นอย่างไรคงต้องดูกันอีกที

Ok ถึงเวลาจากแล้ว คงได้เจอกันหากมีโอกาสอีก..





 

Create Date : 19 ตุลาคม 2553    
Last Update : 19 ตุลาคม 2553 20:49:03 น.
Counter : 1028 Pageviews.  

12 Apostles & The Great Ocean Road

ตอนนี้ยังอยู่ที่เมลเบิร์น จะบินกลับเมืองไทยวันนี้แล้ว คิดถึงเมืองไทยมาก

ไปเที่ยว The Great Ocean Road หลังจากมาถึงที่นี่วันแรก ต้องบอกว่าคุ้มค่าเหลือหลาย มันเป็นอะไรที่ครั้งในชีวิตน่าจะได้สัมผัส

ทริปนี้ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมวิวจากมุมสูงด้วย ธรรมชาตินี่มันน่าทึ่งจริงๆ สรรสร้างสิ่งสวยๆ งามๆ ได้แบบที่มนุษย์ตัวเล็กๆ ไม่สามารถทำเลียนแบบได้เลย

..

มุมสูง เห็นม้าน้ำ

ลงจาก ฮ. รีบบึ่งมาดู 12 Apostles บนพื้นดิน

อีกฟากหนึ่ง

บรรยากาศแบบนี้ ถ่ายรูปเพลินจนลืมเวลา..




..

มีโอกาสหน้า คงได้พบกันอีกครั้ง... 12 Apostles




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2553    
Last Update : 20 สิงหาคม 2556 22:04:48 น.
Counter : 1155 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

เม่าดอยตุง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




นับๆ ดูแล้วยังเหลืออีกหลายอุทยานเลยที่ยังไม่ได้ไป ว่าแล้วก็กางแผนที่ ออกเดินทางพิชิตอุทยานกันต่อไป..
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เม่าดอยตุง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.