Jack-A-Little-Monster

Madagascar: Parc National d' Andringitra ตอนที่ 1

ภารกิจพิชิตยอดสูงสุดอันดับสองของมาดากัสการ์ Pic Boby หรือ Imarivolanitra ที่ระดับความสูง 2658 เมตร กับเส้นทางเทรค 28 กิโลเมตร

...

พฤษภาคม 2013

เดินทางจากเมือง Ambalavao ไปยังที่ทำการอุทยาน Parc National d'Andringitra ด้วย 4wd ใช้เวลา 3 ชม. เส้นทางแสนยาวไกล ทั้งขรุขระ ทั้งกันดาร




ถึงที่ทำการอช. ก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ได้ลูกหาบและไกด์พร้อมแล้วก็เริ่มเดินเท้าขึ้น




ด้านหลังเป็นน้ำตก คืนนี้จะเดินขึ้นไปตั้งแคมป์ที่ระดับ 2050 เมตร




วิวระหว่างทางขึ้น




น้ำตกชายกับน้ำตกหญิง ตำนานเล่าว่ากษัตริย์มาอาบน้ำที่นี่แล้วได้ลูกชายก็เลยตั้งชื่อน้ำตกชาย ข้างๆ เป็นน้ำตกหญิง




วิวยามตะวันเริ่มคล้อย




ทิวเขาสลับซับซ้อนมาก




หยุดถ่ายรูปบ่อยมาก แสงกำลังสวย แต่แคมป์ยังอยู่อีกไกลเลย




ไกด์ต้องหยุดยืนรอเราเป็นระยะๆ เพราะช่วงนี้มองไปทางไหนก็สวยไปหมดเดินๆ หยุดๆ




เมฆเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามา




..

เดินกันต่อ




อันไปอีกทีแสงของวันเริ่มเหลือน้อยลงทุกที




ยังมองไม่เห็นแคมป์เลย





วันนี้มีนักท่องเที่ยวมาสามกลุ่ม เป็นชาวฝรั่งเศสสองกลุ่ม คนไทยอีกสองคน คือพวกเรานั่นเอง




เริ่มมืด แสงน้อย แต่ยังต้องข้ามน้ำอยู่สองสามที




...

ตอนดึก ไกด์และลูกหาบเตรียมอาหารให้พร้อม หลังจากกินข้าวเสร็จก็มาร้องรำทำเพลงกันสนุกท่ามกลางบรรยากาศอันหนาวเหน็บ

พอตีสามก็ตื่นขึ้นมาพร้อมเปิดไฟฉายเดินขึ้นยอด กลุ่มเราเป็นกลุ่มแรกที่ออกเดิน ยิ่งสูงยิ่งหนาว ลมยิ่งพัดแรง หมอกยิ่งลงจัด พวกเราทำเวลาได้ดีทีเดียว มีหยุดพักน้อยมาก

หลังๆ พี่ก้อยให้ไกด์ได้ทำงานบ้าง (ให้ช่วยแบกเป้) เวลาประมาณตีห้าครึ่งก็ถึงยอดเป็นกลุ่มแรกของวันนี้





ธงไตรรงค์โบกสะบัดบนยอดสูงสุดอันดับสอง หรือยอดอันดับหนึ่งที่สามารถเข้าถึงได้ของมาดากัสการ์





สาวไทยคนแรก(?) ที่ขึ้นยอดนี้สำเร็จ





สำเร็จภารกิจไปหนึ่งอย่างของทริป Madagascar นี้




...


เรื่องราวของ Andringitra NP ยังไม่จบ โปรดติดตามตอนต่อไป...




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2556    
Last Update : 19 สิงหาคม 2556 21:50:36 น.
Counter : 2385 Pageviews.  

Madagascar: ตอนที่1 บทนำ

เมษายน 2013



ทริปแห่งปีของผม วางแผนกันมาข้ามปี จองกันมาหลายเดือน ในที่สุดก็ได้สมาชิกสองหน่อรวมทั้งตัวผม ไปบุกป่าฝ่าดงกัน

นับเป็นทริปที่คุ้มค่า ประทับใจและสนุกมิรู้ลืม กับประเทศที่มองไปไหนก็มีแต่สิ่งน่าสนใจที่หาบนเกาะอื่นๆ ไม่ได้

(ว่างจะมาต่อ)




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2556 22:40:34 น.
Counter : 639 Pageviews.  

....ปัดฝุ่นบ้านที่ทิ้งร้าง

  ห่างจากบ้านไปนาน ใครเข้ามาคงจะเห็นว่ารูปภาพอะไรหายไปหมดแล้ว ตั้งแต่ที่ฝากรูปไว้กับ multiply จนเค้าแจ้งมาว่าจะปิดเว็บไซต์ ผมก็แบ็คอัพรูปทั้งหมดไว้ใน external harddisk

วันจักรีที่ผ่านมา ก็เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถผมโดนทุบกระจก คอมพิวเตอร์ 2 ตัวกับ กล้องตัวเก่งก็ถูกขโมยไป ข้อมูลเรื่องงานและรูปภาพทั้งหมดสูญหายในพริบตา เพราะมันอยู่ในกระเป๋าคอมนั่นแหละ

 

ทำใจอยู่นานกับสิ่งของที่สูญหายไป ว่าจะไม่กลับมาเขียนอะไรอีกแล้ว พยายามหารูปที่ยังมีหลงเหลือใน facebook มั่งในโทรศัพท์มั่ง ก็ยังหายไปอีกเยอะ

ได้รับรู้ถึงความลำบากก็ทีนี้เวลาได้เจอกับตัวเอง เป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่เลย

ว่างๆ จะกลับมาเขียนต่อ




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2556 22:25:07 น.
Counter : 736 Pageviews.  

((( มรัคอู ))) เจาะเวลาหาอดีต

ตุลาคม 2012




..





พอได้ข่าวว่าเค้าอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ารัฐยะไข่ได้ เพื่อนที่พม่าก็รีบติดต่อมา ไม่นานนักก็ตัดสินใจเดินทางไปทันที คืนแรกนอนที่ย่างกุ้งก่อน


วันรุ่งขึ้นต้องเดินทางแต่เช้า เส้นทางยาวไกล ต้องบินจากย่างกุ้งไปสิตเว จากนั้นนั่งเรือต่ออีกหกชั่วโมง






มรัคอูเป็นเหมือนเมืองโบราณที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก






มีวัดและเจดีย์ต่างๆ กระจัดกระจายมากมาย มีความสวยงามไม่แพ้ที่พุกามเลย






คนขับรถพาพวกเราไปซื้อของในตลาด คาดหวังว่าจะได้ของติดไม้ติดมือแต่ก็ไม่เจอร้านขายของที่ระลึกเลย จากนั้นก็แวะไปชมวัดต่างๆ แต่ละวัดมีความสวยงามแตกต่างกัน





ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ





เดินชมได้ไม่เบื่อเลย





วัดนี้อยู่บนเขามีต้นลั่นทมอยู่เรียงรายเป็นเอกลักษณ์





วัดเจดีย์เก้าหมื่นองค์





ยิ่งใหญ่มาก





ภายในบริเวณวัด





ภาพพระแกะสลักนูนต่ำที่เค้าว่ามีเก้าหมื่นองค์





ทะเลเจดีย์





..





วันถัดมา เกิดเรื่องขึ้นจนได้ พวกโรฮิงยาไปเผาบ้านชาวบ้านชาวพุทธยะไข่ ทำให้ชาวบ้านตายไปคนนึง ทำให้เกิดสงครามขึ้นในเมือง ชาวบ้านรวมพล รวมอาวุธทั้งหอก ดาบ กระบี่ (ไม่เห็นมีปืน) วันนี้พวกเรามีแผนที่จะเยือน Chin Village เพื่อชมผู้หญิงที่มีรอยสักบนใบหน้า ต้องเปลี่ยนแผนไปขึ้นเรือที่อีกท่าหนึ่ง เพราะคนขับรถกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากพวกโรฮิงยา ระหว่างทาง เห็นควันพวยพุ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ แต่ในที่สุดก็ได้ลงเรือกันไป





Chin Village อยู่รอยต่อระหว่างรัฐ Rakhine กับ Chin มีสิ่งน่าสนใจคือผู้หญิงมีรอยสักอยู่บนหน้า สมัยก่อน ทำเพื่อหนีการจับกุมจากสงคราม ปัจจุบันเหลือไม่กี่คน เฉพาะคนแก่ๆ ส่วนรุ่นหลังๆ ไม่มีใครได้สักอีกแล้ว เพราะคนที่สามารถสักแบบนี้คนสุดท้ายเพิ่งจะตายไป และอีกไม่นานรอยสักแบบนี้ก็จะหายไปหลังจากหมดยุคคนเหล่านี้





คุณป้าท่านนี้ดวงตามีปัญหาต้องการยาหยอดตา





แกใจดีมาก เอากล้วยมาให้พวกเรากิน





เพราะว่าหมู่บ้านอยู่ในเขตทุรกันดาร(มาก) ชาวบ้านที่นี่เลยค่อนข้างขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะยาประจำบ้าน ก่อนไปพวกเราก็หาซื้อของต่างๆ ขนม อาหารที่พอจะหาซื้อได้ในเมืองเอาไปฝาก พอสืบทราบมาได้ว่าบางคนต้องการหยูกยา ก็รื้อหายาที่พอจะติดตัวในกระเป๋ามาให้ แม้จะเล็กน้อย แต่ก็ดูเค้าดีใจมาก

..





ขากลับมีเรื่องให้ตื่นเต้นกันอีกหลังจากนั่งเรือกลับมา คนขับรถบอกให้พวกเรารีบขึ้นรถ มารู้ความทีหลังว่า เค้ากลัวว่าชาวบ้านจะไม่ยอมให้เค้าขับพาพวกเรากลับมรัคอู ชาวบ้านอาจจะบังคับให้ขับมาที่ท่าเรือเพื่อร่วมต่อสู้กับพวกโรฮิงยา ระหว่างทางสวนกับชาวบ้านหลายครั้งหลายหน บางคนเดินเท้าถือมีด ถือหอก ถือดาบ บางคนนั่งมอเตอร์ไซค์ บางคนมาเป็นคันรถ เต็มไปด้วยอาวุธ





ตอนเย็นขึ้นไปชมจุดชมทะเลเจดีย์อีกแห่งหนึ่ง ยามแสงทองสาดท่องกระทบเจดีย์ช่างงามจับใจ





พวกเราออกจากมรัคอูตอนตีสี่ ท้องฟ้ามืดมิด แต่เห็นดวงดาวนับล้านดวง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นดวงดาวมากมายขนาดนี้ มันเยอะจนเห็นทางช้างเผือกได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า

เรือเคลื่อนตัวออกช้าๆ จากท่าเรือ ความรู้สึกที่ได้รับเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจปนด้วยความเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็หวังไว้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงจะคลี่คลายโดยเร็วและหากมีโอกาสหน้าก็จะขอมาเยือนอีกครั้ง





 

Create Date : 15 มีนาคม 2556    
Last Update : 19 สิงหาคม 2556 22:55:15 น.
Counter : 1703 Pageviews.  

ทริปนี้มีแต่ปัญหา: ตะลุยเดี่ยว เที่ยว St. Petersburg

St. Petersburg

เวลาเดินทางไปที่ต่างๆ นอกจากจะได้เจอสิ่งสวยๆ งามๆ แตกต่างกันไปแล้ว ปัญหาที่เราพบเจอก็ไม่เหมือนกันด้วย

ตอนนี้จะมาบันทึกเรื่องราวการไปเยือนประเทศรัสเซียที่ไปแล้วไม่รู้ลืมจริงๆ

..

ช่วงที่ไปเทรนที่ฟินแลนด์สองสัปดาห์ ผมพอจะมีเวลาว่างวันเสาร์ อาทิตย์

เลยคิดวางแผนหาที่เที่ยวที่น่าสนใจ ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาคือ รัสเซีย

กางแผนที่ดู St. Petersburg กับ Helsinki มันอยู่ไม่ไกลกัน

ชวนเพื่อนๆ ที่ทำงานไปก็ไม่มีใครสนใจ ไม่เป็นไร ไปคนเดียวก็ได้!

เข้าไปในเว็บไซต์เห็นมี One day trip by cruise เออ น่าสนใจดี

ไปหาซื้อหนังสือไกด์บุ๊ค วางแผนที่จะเที่ยวให้ครบภายในหนึ่งวัน แล้วก็นั่งเรือกลับฟินแลนด์

เนื่องจากคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศรัสเซีย ก็เลยสบายใจไปได้เรื่องวีซ่า (อันนี้เคยเห็นข้อมูลในเว็บ)

..

วันออกเดินทาง

ผมเผื่อเวลาไว้ชั่วโมงนึง เดินเล่นชิวๆ ไปที่ท่าเรือที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก

เอ.. ทำไมมันเงียบผิดปกติ

ดูนาฬิกาแล้วเหลืออีกชั่วโมงนึง เราคงจะมาเร็วไป

รอสักพัก เริ่มแปลกๆ

เห็นชายคนนึงสะพายกระเป๋ามา เลยรี่เข้าไปถาม

หนุ่มสเปน (รุ้จักกันทีหลัง) เค้าว่าเดี๋ยวก็มา เค้าก็จะไปเหมือนกัน

เรือรัสเซียก็งี้แหละ ไม่เคยตรงเวลา

โอเค ใจชื้นหน่อย แต่นอกจากเราสองคนไม่มีใครอีกเลยเหรอ

ท่าเรือปิดไฟหมด แถมล็อคประตู

ผมว่ามันไม่ใช่แล้วนะ

เลยเดินข้ามสะพานไป รู้สึกจะมีอีกท่านึง เจอคุณลุงเดินสวนมาเลยถามแก

คุณลุงใจดีมาก บอกว่า แปลกๆ นะ ปกติเรือจะมาจอดรอเป็นวันเลย

ship หายจริงๆ รีบโทรหาเพื่อนให้ช่วยเช็คหน่อย

จริงๆ ครับ เรือไปอยู่อีกท่าหนึ่ง ท่านี้เค้าปิดให้บริการ

มองดูนาฬิกาเหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง ตรูจะเรียก taxi หรือ tram ดี

คุณลุงบอกขึ้น tram ไปก็ได้แล้วต่ออีกสาย พอ tram มาผมก็กระโดดขึ้นเลย

หนุ่มสเปนเหมือนจะรู้ตัวเหมือนกันรีบกระโดดมานั่งข้างผมเลย

ผมเปิดแทบเล็ตดู map เดี๋ยวมันต้องลงตรงไหนยังไง

ถามป้าข้างๆ ละกัน คนฟินนิชน่ารักไปทุกคนจริงๆ

เวลาเหลือไม่มาก แต่แม่เจ้าระยะทางไปเรือมันไกลเหลือเกิน

หนุ่มสเปนจ้ำอ้าวๆ โดยไม่รอผม ขาผมยาวแต่ก็ก้าวไม่ทันเค้า

เวลางวดไปทุกที ขาก็ล้าไปหมด นี่อะไรวะเนี่ย ว่าจะไปทริปชิวๆ กับเค้าบ้าง

เจอปัญหาตั้งแต่ยังไม่ถึงรัสเซียเลย!?

...







ผ่านขั้นตอนการเช็คอินก็ได้เคบินส่วนตัวมาห้องหนึ่ง มีเตียงนอนสองเตียง ห้องน้ำในตัว ก็สบายดี

ในเรือมีร้านอาหาร บาร์ คาสิโน รวมถึงสวนสนุกเล็กๆ สำหรับเด็ก ใครใคร่ทำกิจกรรมอะไรก็เชิญ

ผมหาอาหารใส่ท้องแล้วก็กลับมานั่งวางแผนที่เที่ยวต่อในห้อง ขณะที่เรือมุ่งหน้าสู่ Pietari หรือ St. Petersburg

..







ตื่นเช้าตรู่รีบสะพายกล้องไปท้าลมหนาวที่ดาดฟ้าเรือ เห็นแผ่นน้ำแข็งน้อยใหญ่ลอยตุ๊บป่องอยู่กลางทะเล หากตกลงไปคงตายในสามวินาที

ช่วงใกล้ถึง เห็นคนยืนบนแผ่นน้ำแข็ง เค้าทำอะไรกัน ?

พวกเค้าหาปลากัน แต่มาโผล่กลางทะเลได้ยังไงกัน อันนี้ไม่แน่ใจ ไม่รู้เดินมาจากเมืองหรือยังไง ดูท่าทางจะหนาวแถมอันตรายพิลึก






..







ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง

ผมรีบคว้าเป้ไปต่อแถว จะได้รีบเที่ยว เรามีเวลาน้อยกว่าชาวบ้าน

เท่าที่สังเกตดู ไม่มีเอเชียนเลยแฮะ

ไม่นานนักก็ถึงคิวผม

เจ้าหน้าที่สาวสว. หน้าตาดุๆ พูดอะไรก็ไม่รู้ อังกฤษก็ไม่ยอมพูด

เอาล่ะสิ งานเข้าแล้ว กรูว่า

สักพักก็บอกให้ผมมายืนข้างๆ แยกออกมา ปล่อยให้คนอื่นผ่านไปก่อน TT

คนแรกก็แล้ว คนที่สองก็แล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำให้ผม

ผมยืนรอจนเงก คนอื่นๆ ผ่านด่านเข้าไปหมด เหลือแต่ผมคนเดียว

เจ้าหน้าที่่ชายเดินเข้ามาขอดูพาสปอร์ต

ผมก็ยื่นให้ ในใจคิด "มรึงจะเอายังไงก็ว่ามา คนไทยไม่ต้องใช้วีซ่านะโว้ย"

มันก็พลิกไปพลิกมา ดูนู่นนี่นั่น จนไม่รู้จะดูอะไรแล้วมั้ง

ก็เลยเอาไปยื่นให้ป้าหน้าดุอีกรอบ ทีนี้แกก็ปั๊มตราที่หน้าสุดท้ายของพาสปอร์ต

ในที่สุดก็ผ่านมาได้ แต่เล่นเสียเวลามาก

...







นั่งรถตู้ที่เป็นบริการของทัวร์ เค้าพามาส่งในเมืองเลย มีจุดจอดรถ 4 จุด

ใครจะลงไหนก็ลง

ผมเลือกลงที่หน้า St. Isaac Cathedral

กำลังจะเดินเข้าไปในโบสถ์

ตายxx'! ลืมแลกเงิน Ruble มา

ที่มีติดตัวก็มีแต่เงินยูโร

รีบวิ่งกลับไปที่รถตู้ เค้าบอกไม่มี ตะกี๊ก็ไม่บอกเค้าก่อน

เซ็งจิตกับตัวเอง ก็บอกเค้าไม่เป็นไรเดี๋ยวผมหาตู้ ATM

เดินๆ ก็มีธนาคารแต่ไม่เปิด ดันเป็นวันหยุดอีก

เอาไงดีวะ เดินๆ เจอร้านขายของที่ระลึก รีบพุ่งเข้าไปก่อนเลย

โชคดีเจอพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ ก็เลยเลือกซื้อใหญ่เลย แม็กเน็ท พวงกุญแจ ตุ๊กตาแม่ลูกดก...ฯลฯ

เธอน่าจะเป็นคนเดียวในทริปนี้ละมั้งที่ผมรู้สึกประทับใจ เหมือนเป็นนางฟ้ามาโปรด

เธอยอมให้ผมจ่ายเป็นเงินยูโร แถมทอนตังเป็นเงิน Ruble

ก็เลยซื้อของซะเยอะแยะ นี่ยังไม่ได้เริ่มเที่ยวเลยช็อปกระจายแล้ว

...

อ่านในหนังสือเค้าว่าให้ระวังพวกยิปซีเร่ร่อนมาขโมยของ ไอ้เรายิ่งมาตัวคนเดียวก็เลยระแวงไปเสียทุกอย่าง

เดินไปไหนก็เดินแบบเร็วๆ รีบเที่ยว รีบถ่าย จริงๆ มันอาจไม่มีไรก็ได้ ด้วยความกลัวก็เลยพยายามไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว (แหม เห็นปุ๊บก็รู้แล้ว)

ขึ้นไปชมเมืองจากมุมสูงของ St. Isaac Cathedral







จากนั้นต่อด้วยพิพิธภัณฑ์ชื่อก้องโลกอย่าง Hermitage







ซื้อตั๋วเสร็จจะเข้าเลยไม่ได้นะ ต้องไปฝากเสื้อโค้ทกับกระเป๋าก่อน ไอ้พนักงานก็ชี้ๆ ไป (พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย) พอไปด้านล่าง ก็มีหลายๆ คนคอยรับเสื้อเอาไปแขวนแล้วแจกเบอร์ให้

แต่ส่วนใหญ่ก็เต็มไปหมด ก็ชี้กันไป ชี้กันมา กว่าจะหาช่องแขวนได้ เหนื่อยอีกแล้ว..เฮ้อ

พอฝากของเสร็จ ก็เข้าด่านตรวจ จะมีเจ้าหน้าที่คอยสแกนพวกกล้องไรงี้

ผมก็เตรียมจะหยิบกล้องใส่สายพาน ไอ้เจ้าหน้าที่ก็ตะโกนอะไรออกมา

ตรูทำอะไรผิดวะ

มันยังไม่หยุดโวยวาย ผมก็งง ให้ทำอะไร

สักพักคนข้างหลังก็บอกผมเป็นภาษาอังกฤษว่า

ให้ผมเอากล้องใส่พาน

อ้าว..แล้วที่กรูจะทำอยู่นี้มันไม่ใช่รึไง

มาตะโกนๆ หน้าเป็นหูด ตูดเป็นผื่นแบบนี้

เสียความรู้สึกกับประเทศนี้จริงๆ

...







ทำใจลืมๆ มันไปซะกับสิ่งเลวร้ายที่เจอมา ต้องบอกว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อลังการงานสร้างมาก







เดินเพลินได้ทั้งวัน แต่ละห้องก็มีความสวยงามแตกต่างกันไป







ถ้าไม่ติดตรงเวลาน้อยกับท้องร้องคงได้เดินหมดวันเป็นแน่







เดินมาถึงหนึ่งในภาพวาดชื่อดังของ Da Vinci ที่เรียกว่า Litta Madonna เห็นในหนังสือเลยถ่ายไว้

สักพักมีชายสองคนมาดูต่อ ยังไม่ทันจะดูเสร็จ ก็มีคุณป้าไกด์รัสเซียน พาลูกทัวร์กลุ่มใหญ่มาพร้อมกับไล่สองคนนั้นออกไป

อะไรกันนี่ประเทศนี้? มีมารยาทมั่งได้มั้ย


...







จุดหมายต่อไป เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลย คือเห็นแล้วอยากจะไปซะเดี๋ยวนั้น

The Church on Spilled Blood บางคนเรียกโบสถ์หยดเลือดอะไรก็ว่ากันไป

อากาศหนาวเย็นมาก แต่ก็มีคนเดินบนถนนนี้อยู่ไม่ขาดสาย

โบสถ์หน้าตาคล้ายๆ กับที่มอสโค (ไม่เคยไปหรอก)

จ่ายตังเข้าไปด้านในก็สวยงามอลังการไม่แพ้ด้านนอก






..

จากนั้นก็เดินเล่นที่ Nevsky Prospekt แถวนี้แหละที่เค้าว่าให้ระวังอันตราย

ผมเลยรีบเดิน รีบเที่ยว ก็ไม่รู้จะกลัวอะไรกันมากมาย แต่มันดูวุ่นวาย ไม่ค่อยปลอดภัยนัก ก็เลยพยายามไม่ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว

เดินย้อนกลับมาที่ Kazan Cathedral โบสถ์ที่สร้างเหมือนที่นครวาติกัน







ดูยิ่งใหญ่สวยงามดี

จากนั้นเดินเล่นไปเรื่อย หิวก็แวะซื้อฮอทดอกกิน ค่าครองชีพที่นี่พอๆ กับบ้านเราเลย

จริงๆ ก็เป็นเมืองที่สวยดี หากผู้คนเป็นมิตรกว่านี้ก็คงจะน่ามาเที่ยวกว่านี้

..







ตอนบ่ายแก่ๆ หิมะเริ่มตกลงมาอีก จากที่หนาวอยู่แล้วก็กลายเป็นโคตรหนาว

ผมเดินกลับมาที่หน้า St. Isaac Cathedral อีกครั้ง โชคดีมีรถตู้มารอแล้ว

ถึงท่าเรือก็ช็อปอีกรอบก่อนจะกลับฟินแลนด์

เรือออกตอนเย็นถึงฟินแลนด์ตอนเช้าวันอาทิตย์

..

ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองเฮลซิงกิ

จากที่มั่นๆ ว่ายังไงก็ไม่มีปัญหาในขากลับ เพราะเรามีวีซ่าเชงเก้น Multiple entry อยู่

พอถึงคิวเราเจ้าหน้าที่ก็ให้เรามายืนรอนอกแถวอีกแล้ว TT อะไรอีกวะเนี่ย!??

แล้วก็เป็นเหมือนเดิม นักท่องเที่ยวรายอื่นผ่านด่านกันไปหมดแล้วเหลือแต่ผมคนเดียว

เจ้าหน้าที่อีกคนแต่งตัวเหมือนทหารเข้ามาคุยกับผม ว่ามาจากไหน มากี่วัน ทำงานอะไร นู่นนี่นั่น

"เฮ้ย เพิ่งออกจากเฮลซิงกิเมื่อวานนะ วันนี้กลับมาแล้ว ไม่เช็คดูในคอมล่ะ" (คิดในใจ)

"อ๋อ ผมทำอยู่..ครับ ยื่นบัตรพนักงานให้ดู ไปเที่่ยวครับ ซื้อทัวร์ไปครับ"

เจ้าหน้าที่กลับไปเช็คพาสปอร์ทผมอีกรอบ สงสัยกลัวว่าเป็นของปลอม

เอาเลยครับ ตามสบายเลย (อารมณ์ตอนนั้นผมละซึ่งทุกอย่างแล้ว)

จนในที่สุดก็ยอมให้ผ่านไปได้ แถมอีกนิดด้วยกันพาผมไป x-ray ข้าวของทุกสิ่งอย่างที่ผมติดตัวมาด้วย (กลัวพกยาบ้ามามั้ง)

กว่าจะออกมาได้ เหนื่อยใจอย่างแท้จริง

เอาเรื่องไปเล่าให้เพื่อนที่เป็นคนฟินนิชฟัง เค้าว่าไม่ค่อยมีคนเอเชียนไปเที่ยวตามลำพัง

แล้วก็มีเยอะที่ลักลอบเข้าประเทศอียู่ผิดกฎหมายผ่านทางรัสเซีย เค้าเลยต้องเข้มงวดซะหน่อย

..

ช่างเป็นทริปที่ปัญหาเยอะตั้งแต่ก่อนไปยังจบทริปจริงๆ

บอกกับตัวเอง Russia, once and only in a lifetime ของผมละ







 

Create Date : 25 มกราคม 2556    
Last Update : 20 สิงหาคม 2556 21:41:22 น.
Counter : 2306 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

เม่าดอยตุง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




นับๆ ดูแล้วยังเหลืออีกหลายอุทยานเลยที่ยังไม่ได้ไป ว่าแล้วก็กางแผนที่ ออกเดินทางพิชิตอุทยานกันต่อไป..
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เม่าดอยตุง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.