Jack-A-Little-Monster
ไต่ Kilimanjaro หลังคาแอฟริกา ตอนที่ 6 Summit Mt. Kilimanjaro

วันที่หก Summit Mt. Kilimanjaro

Elevation (m): 4600m to 5895m (Down to Mweka Hut 3100m), Distance: 7 km ascent/23 km descent, Hiking Time: 6-8 hours ascent/ 7-8 hours descent, Habitat: Stone screed and ice-capped summit.

วันที่ 1 มกราคม 2555





...


"..ถ้าจะตายก็ขอให้ได้ถึงยอดก่อนแล้วกัน..."

ความคิดนี้แว่บเข้ามาในหัว ในขณะที่รู้สึกสับสน อ่อนแอ ร่างกายหนาวสั่นไปหมด

หลังจากถอดชุดทั้งหมดออก และใส่เสื้อวูลเพิ่มเข้าไปอีกตัว

ความหนาวสั่นก็ทำให้ผมไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีกเลย

เคยเห็นตัวการ์ตูนที่มันหนาวสั่น แบบฟันบนล่างขบกันไหม.. ผมเป็นแบบนั้นเลย

รู้สึกวูบๆ มือที่ใส่ถุงมือถึง 2 ชั้นอยู่แล้วซุกแน่นในกระเป๋าเสื้อนวม Columbia

ณ Stella Point ที่ระดับความสูง 5756 เมตร ผมจำไม่ได้ว่านั่งลงกับพื้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่

"Hypothermia" ผมได้ยินหมอโอ ตะโกนบอกไกด์และลูกหาบ

รู้สึกได้ว่า มีสองสามคนเข้ามากอดผม บางคนก็ทุบหลังผมดังปึ้กๆ

น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้มันเสียใจที่อ่อนแอใกล้ตาย หรือดีใจที่ได้รับไออุ่น

...

"Are you okay?" ใครสักคนถามผม ผมพยักหน้าหงึกๆ กลบเกลื่อนรอยน้ำตา

รู้สึกตัวอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย รีบพยุงตัวขึ้น แล้วคว้าเป้ใส่หลัง จากนั้นก็เดินตามหมอสุ่น และหมอโอไปทันที

ยังไม่ทันได้ขอบคุณผู้ช่วยยืดชีวิตเหล่านั้น

"..ถ้าจะตายก็ขอให้ได้ถึงยอดก่อนแล้วกัน..."

...

ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า พวกเราเคาท์ดาวน์ปีใหม่ 2012 กันด้วยการเดินขึ้นยอด Uhuru จุดสูงสุดของทวีปอาฟริกาในความมืด

จาก Barafu Camp ที่ความสูง 4600 เมตร ออกเดินทางกันตั้งแต่ 5 ทุ่ม หวังว่าจะได้ไปยืนชื่นชมดวงอาทิตย์ แสงแรกแห่งปีใหม่กันอย่างสดใส

หนทางไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด!?

ตั้งแต่เริ่มต้นทริป อุปสรรคที่พวกเราได้พบเจอมาล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศทั้งนั้น

เส้นทางที่ชันดิก พื้นดินที่ร่วนๆ โรยไปด้วยหินกรวดภูเขาไฟ แม้สร้างความลำบากในการเดิน

แต่ก็ไม่เท่ากับ "ลม" ที่เป็นกระดูกชิ้นใหญ่ที่คอยขวางคอพวกเราอยู่

แต่ละก้าวเป็นไปด้วยความลำบาก หลายครั้งหลายหน

"ลม" ที่ตอนนี้สามารถทำให้ตัวผมที่แบกเป้รวมน้ำหนักตัวแล้วเกือบ 90 กก. ปลิวตุปัดตุเป๋ไปได้อย่างง่ายๆ

แต่ไม่ใช่ความแรงของลม

ความเย็นยะเยือกของมันตะหากที่กำลังฆ่าผม

..



*รูปหลังจากพิชิตยอดแล้ว กำลังเดินลง



น่าจะสักความสูงราว 5300 เมตรได้ ที่ผมเริ่มออกอาการ

ซุปที่ซดมาก่อนออกเดินทาง ถูกขยอกออกมากองอยู่ตรงพื้น

ด้วยลมที่พัดแรง ทำให้ขากางเกงผมเปรอะไปหมด

หลังจากอ้วกเสร็จ ก็เดินต่อ...

ไม่นานนัก..

ก็อ้วกออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง

..



*รูปหลังจากพิชิตยอดแล้ว กำลังเดินลง


อาการปวดหัว ไม่มีปรากฎให้เห็น

สงสัยว่าสาเหตุน่าจะมาจากความหนาวเย็น

ยิ่งเดินสูง ลมยิ่งพัดแรง บางช่วงยังอดโมโหไม่ได้

มันจะโหมกระหน่ำไปไหนวะ

..

ไกด์บาลีหยุดพักเป็นช่วงๆ ให้พวกเราได้หายใจหายคอ

บางช่วงลมพัดแรงจัด หาที่หลบมุมไม่ได้ต้องยืนแข็งรับลมอย่างสุดทรมาน

ผมหยิบน้ำร้อนมาแบ่งกันจิบ ในขณะที่น้ำขวดใสกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว

หมอสุ่นดูนาฬิกา เช็คความสูง ตะโกนบอกเพื่อนๆ

เหลืออีก 2 ชั่วโมงจะถึง Stella Point

"จะไปต่อ หรือยอมแพ้ลงไปตอนนี้เลยดี"

ผมครุ่นคิดยังลังเลใจ หัวมันสับสนไปหมด

ยิ่งขึ้นสูง ก็ยิ่งหนาว แล้วมันจะไปหลบหนาวได้ที่ไหน

แต่ยอมแพ้แล้วลงไป ไม่กลายเป็นผู้แพ้หรือ

ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ หมอสุ่นซึ่งอยู่หน้าผมก็เดินต่อแล้ว

ทำให้ผมต้องก้าวตามไป ก่อนที่คนข้างหลังผมจะมากดดันผมเอา

"ไปตายเอาดาบหน้าแล้วกัน!"

...
..
.






ผมเดินสวนกับพี่นเรศร์ ที่น่าจะซัมมิทไปแล้ว ผมยิ้มแห้งๆ ทักแก ดูท่าทางแกเหมือนจะไม่คุ้นกับผมนัก เพราะตอนนี้มันบวมฉึ่งไปทั้งหน้า ทั้งปาก

แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องทางด้านหลัง ขณะที่ผมเดินกระย่องกระแย่ง เหมือนผีตายซาก เดินตามหมอสุ่นไปอย่างช้าๆ

เป็นแสงแรกของปี 2012 ที่งดงาม แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นภาพสุดท้ายของชีวิตแล้ว

ด้านซ้ายเป็น Glacier ที่งดงามเกินบรรยาย

หันหัวไปมองด้านหลัง ดวงตะวันสีแดงส้ม สวยงามเหลือเกิน นี่เองสิ่งที่เราบากบั่นมา

ในใจยังคิดชื่นชมสิ่งสวยงาม ขณะที่ร่างกายใกล้จะหมดพลังงานเต็มที

ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย




*รูปหลังจากพิชิตยอดแล้ว กำลังเดินลง



สักพัก ก็เริ่มอ้วกออกมาอีก ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่ในท้องแล้ว

มองไปข้างหน้า เห็นหมอโอ กับหมอสุ่นกำลังกอดกันอยู่

ผมเขยกๆ ตามไป แล้วก็โผเข้าไปด้วย

สามคนยืนกอดกันนิ่ง

น้ำหูน้ำตาผมไหลพราก ไม่เคยเจออะไรสุดๆ ขนาดนี้

อีกนิดเดียวพวกเราจะทำได้แล้ว

หมอโอ หันมาบอกผมเป็นภาษาอังกฤษ

ประมาณว่า

"It's enough, let's go to summit"

ผมงงๆ แต่พอจะเข้าใจว่า หน้าผมคงจะบวมมาก จนหมอโอเข้าใจว่าเป็นฝรั่ง

ลมยังโหมกระหน่ำอย่างไม่ปราณี แสงแดดยามเช้าไม่ได้ช่วยให้ผมอุ่นแม้แต่น้อย

เริ่มมองเห็นจุดสูงสุดที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน

ป้าย Uhuru Peak จุดสูงสุดบนยอด Kibo ของ Mt. Kilimanjaro ที่ระดับความสูง 5895 เมตร ถูกจับจองถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานโดยผู้พิชิตจากทั่วทุกสารทิศ

ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ไม่รู้ร้องไห้เพราะดีใจที่พิชิตยอดได้ หรือท้อ เหนื่อยล้ากับความลำบากของทริปและความอ่อนหัดของตัวเอง..







...

หมายเหตุ: ทริปนี้สภาพอากาศเลวร้ายมาก ทั้งฝนที่โหมกระหน่ำตกเกือบทุกวัน ทั้งลูกเห็บ และฝุ่นที่ลมหอบมาปะทะหน้า ปะทะตา ทำเอาตาฝ้าตาฟางกันไปหลายคน
รวมไปถึงอากาศที่หนาวเหน็บ และลมที่หนาวสุดขั้วหัวใจ พัดหอบหลายๆ คนปลิวกระเด็นจนเกือบตกเหว





Create Date : 23 มกราคม 2556
Last Update : 23 มกราคม 2556 14:34:41 น. 2 comments
Counter : 1310 Pageviews.

 
ยินดีด้วยครับ ตื้นตันจัง


โดย: h@-more วันที่: 24 มกราคม 2556 เวลา:1:04:46 น.  

 
ขอคารวะท่านPrinzknechi
ในที่สุดก็พิชิตจุดสูงสุดคีรีมันจาโร อักษรทุกตัวที่บรรยายทำเอาแอร์คอนดิชั่นเนอร์ในห้องผมตอนนี้รู้สึกเย็นวูบลงเหมือนอุณหภูมิติดลบไปด้วยเลย หนาวสะท้านแทน สุดๆไปเลยครับเอาความทรมานของร่างกายไปแลกมาจริงๆ ไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดๆมาสรรเสริญความบากบั่นในครั้งนี้ครับ บอกได้คำเดียว เยี่ยม


โดย: น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา วันที่: 25 มกราคม 2556 เวลา:11:22:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เม่าดอยตุง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




นับๆ ดูแล้วยังเหลืออีกหลายอุทยานเลยที่ยังไม่ได้ไป ว่าแล้วก็กางแผนที่ ออกเดินทางพิชิตอุทยานกันต่อไป..
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เม่าดอยตุง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.