คิมหันต์แห่งการเริ่มต้น
คีตคิมหันต์ (ลำนำเหมันต์2) Prologue กาลครั้งหนึ่ง...ในยุคสมัยที่เหล่าทวยเทพยังคงประทานพรให้แก่มนุษย์และสรรพสัตว์ อาศัยร่วมกันกับผู้คนบนผืนพิภพแห่งนี้ มีชนเผ่าหนึ่งอันเป็นที่รักยิ่งของเหล่าทวยเทพ จนได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำสารแห่งหมู่เทพเจ้าสู่มนุษย์คนอื่นๆ ชนเผ่านี้ได้รับประทานพรเพื่อการณ์นั้น ด้วยร่างกายที่แสนพิเศษและงดงามกับโลหิตที่มีอำนาจแห่งความเป็นอมตะ หากด้วยสายเลือดศักดิ์สิทธิ์อันน่ากลัวของพวกเขาทำให้ชนเผ่านักเดินสารเหล่านี้ถูกล่าโดยมนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นอมตะนั้น มนุษย์ออกล่าชนเผ่านี้เพื่อนำเลือดมาดื่ม นำหัวใจมากิน ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าทวยเทพจึงพิโรธเหล่ามนุษย์ผู้ละโมบและโง่เขลา และทำการสาปโลหิตซึ่งมอบความเป็นอมตะนั้นไว้! นับแต่นั้น... ...ผู้ใดดื่มกิน โลหิตแห่งชนเผ่า เวลาของมันผู้นั้นจะหยุดนิ่ง โลหิตในกายจะเหือดหายไปตามกาล หากร่างกายจะคงเป็นที่สถิตแห่งวิญญาณและการเคลื่อนไหว ไร้ซึ่งชีวิต จมจ่อมอยู่กับความเป็นนิรันดรแม้ร่างกายจะสูญสลายจนสิ้น วิญญาณก็ไม่อาจหลุดพ้นจากโลกนี้ได้ ต้องวนเวียนอยู่เช่นนั้นและจะเป็นเช่นนั้นไปจนชั่วกัลป์ จวบจนกว่าคนผู้นั้นจะได้รับซึ่งปฏิญญาจากผู้เป็นเจ้าของโลหิต จึงจะหลุดพ้นจากคำสาป... ก่อนที่ชนเผ่านั้นจะหายไปสู่ดินแดนอันสูงลิ่ว สถานที่อันเป็นอาณาเขตต้องห้ามและเร้นลับ ไม่มีใครเคยไปถึง และเชื่อสืบต่อกันเรื่อยมาว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยมีผู้ปกปักษ์ป้องกันอาณาเขตนั้นเอาไว้ โดยถูกเรียกสืบต่อกันมาว่า... ...จ้าวภูผาแห่งโอราเคิล... และตำนานนั้นก็ยังถูกกล่าวขานสืบต่อๆ กันมา... ผ่านกาลเวลา... ปากต่อปาก... บทต่อบท... จนเมื่อเวลาล่วงเลยผันผ่าน...ผู้คนได้ลืมเลือนเรื่องราวในครั้งเก่า ว่าเรื่องราวที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร ทิ้งไว้ให้เป็นเพียงตำนานบอกเล่า ณ เมืองซานซาเรียแห่งนี้เอง ที่ซึ่งตำนานความรักยังคงตราตรึงหัวใจของผู้คนอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย ...ลูกสาวนายพรานผู้งดงาม และจ้าวภูผาผู้แกร่งกล้า...ได้พบรักกันและช่วยเหลือหมู่บ้านเอาไว้จากปีศาจที่ชั่วร้ายพล่าผลาญชีวิตผู้คนในหมู่บ้านไปคนแล้วคนเล่า... แต่ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าเรื่องราวนั้นมีมูลจากความจริงมากน้อยเพียงไร กระนั้นตำนานที่น่าตื่นเต้นนี้ยังถูกเล่าเป็นนิทานก่อนนิทรา กวีขับขาน และหัวข้อสนทนาที่ผู้คนยังคงกล่าวถึงถกเถียงและจดจำสืบต่อกันมา บ้างแต่งแต้มสีสันให้เร้าใจ และเสริมแต่งต่อยอดให้กับเรื่องราว ในนามของ...บุตร แห่ง จ้าวภูผา... ซานซาเรีย...ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของตนเอง จากหมู่บ้านน้อยสู่เมืองใหญ่ ที่ซึ่งผู้คนมาเยือนเพื่อให้ได้สัมผัสตำนานอันแสนหวานนี้... ดินแดนแห่งตำนาน... สงคราม... พรากชีวิต... พรากบ้านและที่อาศัย... พรากวิถีทาง... พรากความรัก... พรากความสุข... ณ หมู่บ้านเล็กๆ ทางทิศตะวันตกไกลหากใกล้ชิดติดพรมแดนของซานซาลอว์ กลายเป็นสนามรบ เมื่อเป็นส่วนเดียวของซานซาลอว์ที่ติดกับชายแดนซึ่งมีการรบกันอยู่มากที่สุด หัวใจดวงน้อยๆ ต้องปวดร้าว ทั้งบิดาและมารดาที่รักต่างจากไปด้วยภัยแห่งสงคราม บ้านที่อาศัยมอดไหม้ไปต่อหน้า ความสุขที่มีมามลายหายไปจนสิ้น หยาดน้ำตาหยดใสค่อยๆ รินไหลจากทีละน้อยกลับกลายเป็นพรั่งพรู ท้องฟ้าสีแดงฉาน เปลวเพลิงที่แลบลามบ้าน สวนและร่างของบิดาและมารดาผู้วายชนม์ เสียงของเด็กน้อยร้องเรียกผู้เป็นที่รักพลางสะอื้น แม่คะ!!! พ่อคะ!!! สาวน้อยวัยสิบกว่าขวบถูกฉุดรั้งเอาไว้โดยสตรีร่างใหญ่ผู้เป็นเพื่อนบ้านที่ได้รับเคราะห์ร่วมกัน กับเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันร่างเล็กอีกคนหนึ่ง ฟีต้า...พวกเขาไปแล้ว...ฟีต้า หญิงร่างใหญ่พยายามรั้งร่างบางกอดเอาไว้กับอกอวบของตน เมื่อสาวน้อยพยายามจะถลาเข้าไปในกองไฟ ฟีต้า! ฟีต้า! เพื่อนสาวน้อยของนางกำมือนางเอาไว้แน่นขณะร้องเรียกนางไป หากหญิงสาวหาได้ฟังเสียงเรียกของทั้งสองไม่ ดวงตาสีทองยังคงจับแน่นอยู่กับภาพตรงหน้า น้ำตารินไหลอย่างไม่ขาดสาย และในที่สุด เสียงกรีดร้องแหลมสูงราวกับแหลกสลายครั้งสุดท้ายก็ดังขึ้นและเงียบหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!! หลังเหตุสงครามที่พรากเอาความสุขทั้งมวลจาก ในที่สุดการรบพุ่งก็สงบ สิ่งต่างๆ เริ่มกลับคืนสู่สภาพสงบสุขอีกครั้ง รวมทั้งหมู่บ้านทางตะวันตกสุดของซานซาลอว์ก็กลับคืนสู่ความสุขอีกครา ท้องทุ่งเขียวชอุ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทอง นกตัวน้อยโบยบินอยู่ในท้องฟ้า ท้องน้ำใสสะอาด สายลมพัดผ่านท้องทุ่ง เสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่ออกวิ่งเล่นไปตามทางเดิน ว่าวตัวน้อยถูกถือเอาไว้ด้วยมือเล็กๆ อันเป็นอนาคต ขณะที่เด็กอื่นๆ วิ่งตามผู้นำ เสียงใสๆ ของเด็กสาวตัวน้อยนางหนึ่งร้องเรียกหมู่เพื่อนชักชวนออกไปวิ่งเล่นด้วยกัน ความสุขกระจายออกไปทั่วอย่างช้าๆ ทว่า... หากในอีกแง่มุมของหมู่บ้านอันสงบสุขแห่งนี้ ยังมีอีกด้านของความสุขปกคลุมอยู่... หลังหมู่บ้านอันอบอุ่นสดใส คือเศษซากปรักหักพังของหมู่บ้านจากภัยสงคราม แผ่นดินเป็นสีเทา ท่อนไม้ดำเป็นถ่านเผา อาคารหินที่พังทลาย ตัวโบสถ์ที่ไร้หลังคาคลุมแม้แต่บานประตูไม้ที่เคยปิดไว้ก็หักแยกออกจากกัน ภายในโบสถ์อันเป็นอาคารใหญ่เพียงหลังเดียวที่เหลืออยู่ในสภาพที่ยังคงความแข็งแรกดีกว่าซากบ้านเรือนทั้งหมด เตียงนอนของผู้ป่วยเรียงรายหลายสิบ เตียงที่ถูกต่อขึ้นจากเศษไม้ที่พอๆ จะหามาได้ในยามขัดสน บ้างเป็นเพียงฟูกบางที่ปูเอาไว้ลวกๆ ไม่มีแม้แต่ผ้าคลุมและหมอนเสียด้วยซ้ำ ฟีต้า!!! ขนเอาถังน้ำมาทางนี้เร็วเข้า!!! อย่ามาทำอืดอาดชักช้านะแม่คนสันหลังยาว... เสียงของหญิงพยาบาลร่างใหญ่ตะโกนดังข้ามห้องมาที่เด็กสาวผู้ซึ่งกำลังก้มโค้งเช็ดตัวให้กับผู้บาดเจ็บพิการจากสงครามนายหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดของทหารฝ่ายศัตรู ค่ะ มาร์...ข้าขอเช็ดตัวให้ท่านลุงอีกประเดี๋ยวนะคะ! ท่านลุงคนนี้กำลังมีไข้... ทหารของฝ่ายศัตรู มันจะป่วยจะตายยังไงก็ช่าง เรารับมันเอาไว้นี่ก้ถือว่าทำตามสนธิสัญญาแล้วไม่ต้องไปห่วงไอ้พวกที่มันฆ่าพ่อฆ่าแม่เจ้านักหรอก! ย้ายก้นของเจ้ามานี่เดี๋ยวนี้!!! เสียงกรรโชกดังแหวมา ร่างน้อยมองชายชราผู้บาดเจ็บด้วยดวงตาสับสน ไปเถอะแม่หนู อย่าให้คนใกล้ตายอย่างข้าต้องทำให้เจ้าลำบากเลย...ถ้าไม่รีบไปเจ้าก็จะโดนหญิงคนนั้นตีเอาอีกนะ ชายผู้ได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยนซาบซึ้งใจในตัวแม่สาวน้อยตัวเล็ก ข้าเป็นทหารฝ่ายศัตรู...ก็มีแต่แม่หนูที่ดูแลพวกเราอย่างไม่รังเกียจ ท่านลุงคะ... ร่างน้อยเรียกด้วยความซาบซึ้งใจไม่แพ้กัน สำหรับนาง เพียงคำพูดดีด้วยก็เป็นที่ปราบปลื้มยิ่งแล้ว เพราะตลอดเวลาหลังจากบิดาและมารดานางเสียไปนั้น ก็ไม่มีใครที่ทำดีด้วยกับเด็กกำพร้าอย่างนางอีก สงครามแม้สิ้นสุดแต่การสู้รบกันก็ยังมีอยู่ตามชายแดนที่ห่างออกไป ตราบเท่าที่สองประเทศใหญ่ซานซาลอร์และนาร์เดนยังคงรบพุ่งกันอยู่เช่นนี้ ฟีต้า... ร่างบางเติบโตขึ้นจากครั้งที่บิดามารดาเสียไปในสงคราม จากสาวน้อยเติบโตท่ามกลางความยากแค้น สืบทอดวิชาแพทย์จากบิดาที่ตนได้ร่ำเรียนมาแต่เล็กแต่น้อย คอยรักษาผู้คนที่บาดเจ็บในยามสงครามจนถึงเวลานี้ ไม่ว่าชาวบ้านหรือแม้แต่ทหาร ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูของประเทศ ด้วยมือเล็กๆ บอบบาง และจิตใจอันเข้มแข็ง แต่ด้วยความอารีนี้ ทำให้นางถูกพวกชาวบ้านที่รังเกียจทหารฝ่ายศัตรูชังน้ำหน้าและกล่าวหาว่านางเป็นพวกนอกคอกที่ช่วยเหลือศัตรู ฟีต้า!!! เสียงแหวลั่นเรียกดังขึ้นเป็นตะคอกแว่วมาอีกครั้ง บ่งบอกความอดทนของผู้เรียกหาใกล้จะสิ้นสุด ไปเถอะ...สาวน้อย ค่ะท่านลุง... สาวน้อยพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ จำต้องหอบหิ้วถังน้ำที่ทั้งหนักและทั้งใหญ่ไปตามเสียงเรียก ข้ามาแล้วค่ะ ท่านมาร์... หญิงสาวหอบถังน้ำวิ่งมาเพื่อให้เร็วทันใจหญิงหัวหน้าพยาบาล ทว่าความกระตือรือร้นของนางกลับยังความหมันไส้ให้กับคนร่วมงานอื่น และพวกชาวบ้านที่มาช่วยงาน ขณะที่ใกล้มาถึงอีกด้านของตัวโบสถ์ ร่างน้อยสะดุดเข้ากับขาที่ถูกยื่นออกมาจนล้มคว่ำไถลรูดไปเบื้องหน้าตามแรงที่วิ่งมา ถังหน้าตกหกไถลไปบนพื้นจนเจิ่งนองเช่นกัน ยัยซุ่มซ่าม! ทำอะไรของเจ้าเนี่ย เลอะเทอะไปหมดแล้วเห็นไหม!!! ปากตวาดแหวดังมาพร้อมร่างใหญ่ของหัวหน้าพยาบาลมาร์ มือใหญ่อวบพาดลงบนใบหน้าเนียนใสของนางฉาดใหญ่ ไปตักน้ำมาใหม่แล้วรีบทำความสะอาดพื้นนี้ซะ! ยัยคนขี้เกียจ ดีแต่อู้งานไปขลุกกับไอ้พวกศัตรู!!! ไป...รีบไปทำงานของเจ้าซะ! ค่ะ...ค่ะ หญิงสาวละล่ำละลักวิ่งกระวีกระวาดออกไป บ่ายจัด พวกพยาบาลทุกคนผลัดเวรกัน เป็นช่วงเวลาว่างเดียวที่นางมีและสามารถปลีกออกมาภายนอกโบสถ์ได้ ห่างไกลออกมาทางด้านหลังติดกับชายป่า หลุมศพมากมายเรียงราย บ้างไร้ป้ายหลุม บ้างมีป้ายหินตกแต่งเป็นอย่างดี และบ้างที่ถูกสัตว์ป่าคุ้ยเขี่ยลากเอาไปกิน แต่มีเพียงสองในหมู่นั้นที่เป็นเพียงป้ายหลุมเล็กๆหากไร้ร่างคนฝัง มือน้อยวางช่อดอกไม้เล็กๆ ที่ตนนำมาด้วยลงบนสุสานซึ่งสลักป้ายด้วยชื่อสองชื่อเคียงข้างกัน เจฟ... ซัลช่า... พ่อและแม่... ร่างบางหันไปเห็น...ดอกไม้ดอกเล็กๆ สีขาวซึ่งเบ่งบานอย่างงดงามอยู่บนซุ้มไม้เขียวชอุ่ม มือบางก็เอื้อมไปเด็ดขึ้นมาดอกหนึ่งด้วยความชื่นชม... ดอกไม้เล็กๆ สีขาวดูไร้ความหมายใดๆ กลับส่งกลิ่นหอมแรงเสมือนกับความกล้าหาญที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อความอ่อนด้อยของตน..อันเป็นกำลังใจให้กับนางเสมอมา ...บอบบาง หากแข็งแกร่ง... ...อ่อนโยน หากกล้าหาญ... ...ความแค้น และความรัก... ...คือลำนำแห่งเหมันต์อันอบอุ่น... พลันที่หญิงสาวขึ้นลำนำแรกของบทเพลงอันเก่าแก่ที่แม่ของนางมักขับกล่อมให้นางฟังอยู่เสมอ เสียงใสๆ กังวาน ทุกสรรพสิ่งรอบกายก็ราวกับพร้อมใจกันเงียบเสียงลง ...สูงลิ่วเหนือยอดเขา... ...สู่ราบเขาต่ำ... ...รูปงามราวสลัก... ...แกร่งกร้าวราวผา... ...ลักษณ์อันสมสมัญญา... ...จ้าวภูผาในตำนาน... ดวงตาสีทองวาวราวสัตว์ร้าย ใบหน้างดงามราวเทพบุรุษ ร่างสูงสะโอดสง่างามสมชาติ และเปี่ยมไปด้วยอำนาจลึกลับซ่อนเร้น ตาคู่นั้นที่ทอดมองท้องฟ้าสีครามเบื้องหน้าอย่างท้าทาย ริมฝีปากเรียบหยักได้รูปงดงามแย้มออกนิดๆ อย่างเย้ยหยัน แขนทั้งสองข้างเปิดกว้างออกไปข้างตัว ขณะหน้างามเชิดสูง ขายาวข้างหนึ่งก้าวออกไปเบื้องหน้าอันปราศจากพื้นดิน มองดูราวกับภาพของนักเดินทางคนโง่* เมื่อเสียงเอะอะดังใกล้เข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาเพียงเอียงกลับมาปรายตามอง หยุดนะ! เสียงของหัวหน้าหมู่ทหารซึ่งไล่ตามมาอย่างกระหืดกระหอบร้องลั่น ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนหลิ่วตาให้กับกลุ่มคนเหล่านั้น พลางกล่าวอย่างท้าทาย แน่จริงก็เชิญเข้ามาจับข้าเลยสิ...ท่านนายกอง! เมื่อผู้ไล่ล่าตามติดถึงกับชะงักกับภาพที่เห็นแล้วเสียวไส้แทน แกหมดทางหนีแล้ว ไอ้หัวขโมย! อย่าท้าข้าให้ยาก ข้าไม่กลัวแกกระโดดลงไปหรอกเจ้าหนุ่มตัวแสบ!!!! ชายหนุ่มรูปงานแสยะยิ้มกวนโมโหอย่างพอใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด โอ้! ถ้าเช่นนั้นก็เข้ามาจับข้าเลยซี้! เวลานั้นเองที่ลมพัดวูบขึ้นรุนแรง ร่างสูงเอียงเอนอย่างน่าหวาดเสียวเล็กน้อยก่อนกลับมาทรงตัวเอาไว้ได้ใหม่ โอ๊ะๆๆ ท่าทางนั้นทำให้แม่ทัพผู้ไล่ล่าพึงพอใจ ฮ่าฮ่า! เจ้าตายแน่ ไอ้ตัวแสบ! จุ๊ๆ ชายหนุ่มทำสุ่มทำเสียงหยอกพลางทำหน้าทำตากะล่อนมากเล่ห์แฝงความนัยบางอย่าง อย่ามั่นใจนัก ท่านนายกอง... นายพลโว๊ย! ไอ้ลูกหมา! ชายหนุ่มหัวเราะลั่น ฮ่าๆๆ...นั่นสินะแก่ปูนนี้ยังเป็นได้แค่นี้คงเครียดมากเลยล่ะซี่...คิดมากจนหัวล้านโจ๊งโหม่งเจ๊งเหม่งเป็นไข่ต้มเสียขนาดนั้น! ไอ้เด้กบ้า ข้าจะฆ่าแก ไอ้ปากหมา! นายพลแก่กระโจนพรวดเข้าไปอย่างลืมตัว ทว่า... ร่างสูงกลับทิ้งตัวไปด้านหน้าแล้วดิ่งลงผาไปต่อหน้าต่อตา ทำให้ชายผู้ถลาเข้ามาเสียหลักล้มกลิ้งจากขอบผา ทำให้ผู้ติดตามพากันผวาเข้าไปช่วยกันดึงขาแขนเอาไว้แทบไม่ทัน ลาก่อนน้า! เสียงเจ้าหนุ่มกวนโมโหดังขึ้นอีกครั้ง ทว่า...คราวนี้ไปปรากฏกายอยู่ด้านบนโดยมีสายตานับสิบๆ คู่จ้องมองราวกับมองเห็นสิ่งมหัศจรรย์ เพราะทุกคนก็เห็นว่า... มันหล่นลงไปชัดๆ! แต่ทำไมมันถึงได้ไปโผล่หัวโด่อยู่ด้านบนได้วะ! เสียงห้าวหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ ก่อนแวบหายไปท่ามกลางแสงแดดอันเจิดจ้าของดวงตะวัน... * นักเดินทางคนโง่: เป็นไพ่หมายเลข 0 ในสำหรับไพ่ยิปซี The Fool ไพ่คนโง่ หรือบ้างตำราเรียกไพ่ใบนี้ว่าหนุ่มเจ้าสำราญ เป็นไพ่เริ่มต้น และการแสวงหา ความมองโลกในแง่ดี เจ้าสำราญ ความโลเล ความเสี่ยงการผจญภัยและอิสรภาพ เป็นไพ่ที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้อย่างแท้จริง
Create Date : 30 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:51:22 น. |
Counter : 200 Pageviews. |
| |
|
|
|