~* SumiTra is a Pali name...it means 'GooD Friend'. *~

คิมหันต์ที่ 7/2

“ก็ได้...รอเดี๋ยวนะชายคนนั้นพูดจบก็กระแทกฝากรงผิดแล้วเดินไปเอาน้ำมาให้นาง ก่อนทำกริยาแบบเดียวกันกับครั้งแรก หลังจากที่ลับร่างชายผู้นั้นไป เฟทก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง


“ท่าน ฟีต้าร้องออกมาอย่างดีใจที่เป็นชายหนุ่มตื่นขึ้นมา จริงๆแล้วตลอดเวลานั่นเฟทตื่นอยู่โดยตลอด เขาไม่ได้หลับอย่างที่แสร้งทำเลยสักนิดเดียว เพียงแต่ว่าเขาไม่ต้องการให้พวกโจรรู้ว่าเขาได้สติกลับคืนมาแล้ว เฟททำเสียงชู่เพื่อไม่ให้เธอส่งเสียงดังไปกว่านั้นออกมา ฟีต้าเงียบลงในทันที แล้วเปลี่ยนเป็นกระซิบ


“ท่านฟื้นแล้ว...”


“จุ๊ๆ อย่างส่งเสียงดังไป ข้าไม่ต้องการให้พวกมันรู้ว่าข้าฟื้นขึ้นมาแล้ว...” เฟทก้มลงกระซิบข้างหูของนาง หลังจากนั้นก็ขยับหันหลังให้ “มือของเจ้าอยู่ด้านหน้าพอดีเจ้าต้องแก้มัดให้ข้าก่อนแล้ว เจ้าพอจะมองเห็นไหม?”


“เห็นค่ะ...” ฟีต้ากระซิบตอบ นางขยับเข้ามาพร้อมกับใช้นิ้วงัดแกะเชือกหยาบๆ ที่มัดชายหนุ่มเอาไว้อย่างแน่นหนา “มันแน่นมาก...”


“พยายามจนกว่าจะแกะมันออกไป นี่เป็นหนทางเดียวที่เราจะหนีได้” เฟทช่วยขยับโดยหวังว่าจะให้เชือกยืดและคลายตัวลงบ้าง


“อย่าขยับค่ะ ข้อมือของท่านถลอกจนเลือดออกหมดแล้ว..” หญิงสาวเอ่ยอย่างเป็นห่วงและพยายามแกะเชือกนั่นออกให้อย่างเบามือเพื่อให้ชายหนุ่มเจ็บน้อยที่สุด


“ไม่ต้องห่วง แค่บาดแผลแค่นี้มันจิ๊บจ้อยมากสำหรับข้า ไม่ต้องออมมือ ออกแรงแกะมันให้เต็มที่เลย” เฟทพูดกับหญิงสาวแล้วพยักหน้ารับรองคำพูดของตนเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของหญิงสาวเพื่อให้กำลังใจนาง สองสามนาทีต่อมา เชือกของเขาก็คลายลง เฟทสะบัดมือแล้วเชือกก็หลุดออก เขาแก้มัดขาของตนออกอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับที่ข้อมือและข้อเท้าของหญิงสาว


เมื่อมือและเท้าเป็นอิสระ เฟทก็คว้าอาหารที่โจรร่างเล็กเอามาให้หญิงสาว และแบ่งมันเป็นสองส่วน เวลาเดียวกันที่ฟีต้ามองเขาอย่างสนใจ


“เราต้องกิน และนอนเอาแรงเอาไว้ เพราะคืนนี้เราต้องออกแรงกันหน่อยเพื่อให้พ้นไปจากคนพวกนี้ เอา...กินสิ...” ชายหนุ่มยื่นมาให้นางแล้วเลื่อนน้ำมาให้นางดื่มเช่นกัน เขารอจนกระทั่งหญิงสาวลงมือกินอาหารของตนเองตรงหน้า เขาจึงเริ่มกินในส่วนของเขาเองบ้างและเมื่อกินเสร็จ ชายหนุ่มก็เอาเชือกพันมือและเท้าของหญิงสาวเอาไว้ตามเดิม เช่นเดียวกับตนเองเพื่อพรางตาพวกโจรเอาไว้ก่อนล้มตัวลงนอนข้างๆหญิงสาวแล้วหลับไปอย่างง่ายดาย


ฟีต้าทึ่งจัดกับพฤติกรรมของชายหนุ่ม หากการทีอยู่ใกล้ๆเขาทำให้นางรู้สึกสงบ โล่งใจและปลอดภัย สบายใจอย่างที่นางไม่เคยรู้สึกมาก่อนนับแต่มารดาของนางเสียชีวิตไป หญิงสาวขยับเข้าใกล้ชายหนุ่มที่หลับอย่างสบายใจราวกับว่าทั้งคู่ไม่ได้ถูกลักพาตัวมา แล้วค่อยๆล้มตัวลงนอนบ้างข้างๆเขาโดยที่นางหันหลังให้


แปลกเหลือเกินถึงสิ่งที่นางรู้สึกยามเมื่ออยู่กับเขา...ความคิดถึง ความโหยหา และความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยได้รับมาจากใคร...


ชั่วเวลาเพียงไม่นานเมื่อหญิงสาวหลับตาลง สาวน้อยก็หลับสนิทเหลือเพียงเสียงกรนเบาๆ เสียงหนึ่งกับเสียงหายใจสม่ำเสมอเสียงหนึ่งเท่านั้น...


ฟ้ามืดแล้ว...เขารู้สึกได้


อากาศเย็นที่โรยตัวหลังดวงตะวันลาลับขอบฟ้าและความเงียบกับเสียงของสายลม เหล่านั้นเป็นเครื่องยืนยันความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี ดวงตาทอแสงในความมืดเบิกโพลงขึ้น ทันทีที่ลืมตาตื่นร่างสูงกระดกตัวขึ้นนั่งในความมืดอย่างเงียบเชียบ ร่างบางทรุดตัวนอนอยู่ข้างกายเขา เช่นนี้เองที่ทำให้เขารู้สึกสงบยิ่งนักในการนอนนี้


แต่ไม่เหลือเวลาอีกแล้ว หากพวกเข้าต้องการหนี...เขาต้องทำเดี๋ยวนี้!


มือใหญ่สะกิดร่างบางให้ตื่นจากการหลับก่อนเอื้อมไปปิดปากแล้วทำส่งเสียงชู่เบาๆ ให้หญิงสาวเงียบเสียง


“ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว เราต้องไปกันแล้ว...” เฟทกระซิบแผ่วราวกับสายลมเคลื่อนกายอ่อนๆ เมื่อดวงตาสีอำพันลืมขึ้นฟีต้าตกใจเล็กน้อยจากการที่ตนถูกอีกฝ่ายปิดปากเอาไว้ ก่อนซึมซับเอาถ้อยคำของเขาเข้าไปอย่างช้าๆ และเข้าใจ ในที่สุดนางพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ


ทั้งสองผลักเชือกที่พันหลอกเอาไว้ออก ร่างสูงนำออกมาก่อนเพื่อดูลู่ทาง ครั้งเมื่อพบว่าพวกโจรหลับไปจนเกือบหมดและเหลือเพียงคนเฝ้ายามนั่งหาวอยู่คนเดียว เฟทก็รู้ว่า...นี่ก็เป็นโอกาสที่จะหนี!


เฟทยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากเป็นสัญญาณบอกหญิงสาวว่าให้เงียบๆไว้แล้วใช้มือหนึ่งปิดตาของนาง ชายหนุ่มใช้ปลายเล็บอันคมกริบจากมือเสือตัดเชือกที่ยึดกรงขังโทรมๆ นี้ออกอย่างง่ายดายแล้วออกแรงผลักเพียงน้อยนิดจนมันหลุดออก เกือบเสียงขาดและเสียงไม้ลั่นเล็กน้อย


ชายที่เฝ้ายามสะดุ้งหันมองมาทางทั้งสองที่สงบนิ่งอยู่ในกรงทึบบนเกวียน ซึ่งถูกปลดสัตว์เทียมออกไปแล้ว เฟทยึดกรงฟากนั้นเอาไว้นิ่งที่สุด เมื่อเขาพบว่าเจ้าคนเฝ้ายามหน้าโง่นั่นคลายใจลงโดยคิดว่าเป็นเพียงเสียงกิ่งไม้ในป่าเสียดสีกันแล้วลั่นขึ้น เฟทก็ดึงไม้ลูกกรงใหญ่หนาท่อนนั้นออกได้โดยง่าย ก่อนปล่อยมือออกจากตาของหญิงสาวผู้งุนงง เมื่อฟีต้าลืมตาขึ้นมานางก็เห็นว่าลูกกรงนั้นถูกเปิดออกแล้ว


เฟทยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากอีกครั้งเป็นเชิงเตือนแล้วพาร่างบางลอดออกจากที่คุมขัง


ฝีเท้าของเฟทนั้นเบาราวกับแมว หากฟีต้านั้นไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะนางเท้าหนัก หากหญิงสาวไม่เคยผ่านการฝึกฝนการพรางตนมาก่อนเช่นเดียวกับชายหนุ่ม เช่นนั้นฝีเท้าของนางจึงไม่เงียบกริบเช่นเดียวกันกับของเขา


เมื่อเป็นดังเช่นนี้ เฟทจึงตัดสินใจพานางเดินเลี่ยงกลุ่มสุมทุมพุ่มไม้ทั้งหลายที่เกลื่อนกลาดไปด้วยเศษใบไม้กิ่งไม้มากมายอันจะทำให้เกิดเสียงขึ้นได้! โชคเป็นของพวกเขาในคืนนี้...ความมืดโรยตัวอำพรางร่างทั้งสอง แม้มีแสงจันทร์เสี้ยวจะทอลงมาส่องทางให้กับพวกเขาก็ตาม แต่แสงนั้นก็ยังไม่สว่างพอที่จะเปิดเผยตัวของพวกเขาภายใต้การอำพรางของไคเมร่าหนุ่มได้


เฟทดึงแขนของหญิงสาวเอาไว้ข้างตัวให้ร่างนางใกล้ตัวเขาตลอดเวลา เพื่อให้ทั้งคู่เล็ดลอดสายตาของยามเฝ้าออกไปได้ด้วยกัน


ฝีเท้าของชายหนุ่มนั้นรวดเร็ว จากการฝึกฝนและการเรียนรู้ในการใช้อำนาจที่มีอยู่ในตัวทำให้เขาสามารถวิ่งเป็นระยะทางไกลๆได้เป็นเวลานานๆ โดยที่เขาลืมไปว่า หญิงสาวที่ตามมาหาได้เหมือนกับตัวเขาแต่อย่างไร


ฟีต้าหายใจหอบ เมื่อเฟทพาหล่อนวิ่งมาได้กว่าชั่วโมงแล้วทำให้นางรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะระเบิดออกมาให้ได้ แม้จะไม่มีทีท่าสักนิดว่าพวกโจรนั่นจะตามพวกเขามาแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ชะลอฝีเท้าของเขาลงเลยสักนิดเดียว...


“แฮ่ก...แฮ่ก...ท่าน...นายท่าน! ข้า...วิ่งไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ เราพักกันหน่อยไม่ได้เหรอเจ้าคะ...เราวิ่งมานานแล้วนะคะ แล้วก็ห่างมาจากพวกนั้นมากแล้วด้วยนะเจ้าคะ” หญิงสาวหอบเหนื่อยจนไม่อาจจะพูดออกมาได้โดยไม่หยุดหอบเป็นระยะ เสียงหายใจแรงของนางทำให้เฟทค่อยๆชะลอฝีเท้าของตนลงทีละน้อย


“ก็ได้...แต่เราคงต้องหาที่ซ่อน และพักนานไม่ได้จนกว่าข้าจะแน่ใจว่าพวกมันคลาดกับเราแล้ว ข้าไม่อาจจะวางใจได้ว่าพวกมันจะไม่ตามมา ถึงเราจะห่างจากพวกค้าทาสมามากแล้วก็ตามที แต่ทันทีที่พวกมันรู้ตัวว่าเราหายไป มันจะออกตามเราอย่างแน่นอน” เฟทเอ่ย หากหญิงสาวเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ลึกซึ้ง


“ทำไมมันถึงต้องตามหาเราด้วยคะ...ในเมื่อเราหนีออกมาแบบนี้และพวกนั้นก็มีสินค้าอื่นๆอีกตั้งมากมายแล้วอีกอย่างเมื่อข้ากลับไปที่คฤหาสน์ได้พวกมันก็ไม่สามารถเข้าไปจับข้าได้อยู่ดี”


เฟทส่ายหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะลืมไปแล้วว่าทำไมพวกตนจึงถูกจับมา “ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก พวกมันต้องตามมาแน่ เพราะพวกเราไปได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยินเข้า ถ้าเจ้ากลับไป เจ้านายเจ้าต้องกำจัดเจ้าไปอีกแน่ถึงตอนนี้ดีไม่ดีเจ้าอาจจะต้องสังเวยชีวิตให้วกมันก็ได้ เพราะอย่างนี้...เจ้ากลับไปไม่ได้อีกแล้ว...เข้าใจรึเปล่า


ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างใบหน้าสวยซีดเผือด...กลับไปไม่ได้แล้ว! โลกของนางทะลายลงอีกครา นำความเจ็บปวดมาให้หญิงสาวผู้เดียวดายในโลกกว้าง...


“ฟีต้า...เจ้ามาจากที่ไหน...นอกจากบ้านหลังนั้น ที่ๆ เป็นบ้านเกิดของเจ้า...อยู่ที่ไหน ข้าจะนำเจ้าไปส่งเอง แล้วเจ้าก็จะปลอดภัยเมื่อเราแยกกัน พวกมันจะไม่สามารถตามหาเราเจอได้...” เฟทเอ่ยถามขึ้นอย่างอ่อนโยน เมื่อชายหนุ่มเห็นสีหน้าตกใจของนาง เขาไม่อยากให้นางตระหนกไปมากกว่านี้...


“ข้า...ไม่มีที่ให้กลับไปอีกแล้ว...” น้ำตาร่วงผล็อยจากดวงตางามในทันใด น้ำเสียงของนางเบาจางราวละอองหมอกและเต็มไปด้วยความเศร้าราวกับเมฆฝน ท่าทางราวกับจะแตกสลายไปต่อหน้าต่อตาเขาตรงนั้น ทำให้เฟทผู้เก่งกาจอึ้งใบ้ไปพลัน


น้ำใสจากหยดหนึ่งและอีกหยดหนึ่งกลายเป็นสายอาบไปทั้งดวงตาและแก้มเนียน หญิงสาวดูราวกับรูปปั้นที่ถูกตากเอาไว้กลางสายฝน...แน่วนิ่งและเปียกปอน ช่างน่าสงสารจนสุดหัวใจ...ภาพที่จะตราตรึงอยู่หัวใจของไคเมร่าหนุ่มไปตลอดกาล


ทนไม่ได้...สิ่งนี้มันไม่สามารถจะทนได้ มันเกินทนเกินไปแล้ว!


เฟทรวบร่างบางเข้ามาในวงแขนของตน โอบกอดนางเอาไว้แนบร่างของเขา ตัวเขาเองจะกำลังกลั้นลมหายใจเอาไว้ในอก ราวกับกลัวว่า การถอนลมหายใจนั้นออกมาจะทำให้ร่างน้อยๆ ร่างนี้แตกสลายไป...ร่างนุ่มๆ ให้ความรู้สึกดีเหลือเกินแต่น้ำตาของนางกลับเสียดแทนความรู้สึกของเขาแปลกๆ


“ได้โปรดเถอะ อย่าร้องไห้เลย...ข้าทนไม่ได้ เฉพาะน้ำตานี่เท่านั้นที่ข้าทนไม่ได้...” เฟทเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวดราวกับว่านางได้ทุบตีเขาอย่างโหดร้าย...


ต่อไปจะทำเช่นไร...ชีวิตข้า


ต่อไปจะเป็นเช่นไร...ตัวข้า


ไม่มีอนาคตที่ข้ามองเห็นเลย...


ราวกับความคิดของนางถูกถ่ายทอดออกมาและชายหนุ่มก็รับรู้เอาไว้ได้ เฟทเอ่ยตอบคำถามที่นางคิดวนเวียนและหลงทางอยู่กับมันในวงกตของหัวใจ


“ข้าจะดูแลเจ้าเอง...ต่อไปนี้ ข้าจะดูแลเจ้าเอง...”


ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้น ถ้อยคำของเขาค่อยๆ โรยตัวลงมาอย่างช้าๆ บนหัวใจของนางที่ตกอยู่ในก้นบึ้งอันมืดมิดของโชคชะตาและโอบอุ้มมันขึ้นมาอย่างอ่อนโยนจากหลุมของความสิ้นหวัง


หากนั่นคือแสงสว่างที่ปลายทางอันจะส่องทางสู่อนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้...นางก็จะก้าวไป หากยังคงมีทางนั้นอยู่สำหรับนาง หากนี่คือทางที่นางต้องเดิน แม้ปลายทางคือหุบเหว...


นางก็จะก้าวไป!


ในเวลาที่เคว้งคว้าง หลงทางเพราะไม่รู้ว่าที่ๆ ตนยืนอยู่คือที่ไหน และอยู่กลางป่าเช่นนี้พร้อมกับสัมภาระชิ้นโตที่กินไม่ได้ แถมยังถูกตามล่าจากโจรค้าทาสไส้สึกจากต่างชาติอีก...


คุณจะทำยังไง?


แต่...คำตอบของเฟทนั้นย่อมไม่เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป...


ฟีต้าลืมตาตื่นขึ้นมาบนกองใบไม้ที่ถูกโกยมารวมกันเอาไว้เป็นกองใหญ่ สิ่งที่ปลุกนางหาใช่แสงแดดอุ่นๆ ที่สาดมาต้องกายแต่อย่างไรหากเป็นเสียงของหมู่สกุณาเจี๊ยวจ๊าวร้องจิ๊บๆ แข่งกันเสียงดัง และภาพที่ปรากฏต่อหน้าฟีต้านั้นยากเกินกว่าจะเชื่อได้...


“จิ๊บๆๆๆ...” เฟททำเสียงเล็กเสียงน้อยกับนกตัวจ้อยจิ๊ดริดที่เกาะอยู่บนมือของเขาพร้อมกับจุ๊บเจ้าตัวเล็กบนปลายนิ้ว นกมากมายเกาะอยู่บนกิ่งไม้รอบตัวเขา บนบ่า บนหัว บนแขนของเขาทั่วไปหมด รอบๆ ตัวของเขาจึงดูงดงามเหมือนจินตนาการมากกว่าจะเป็นความจริงได้


หญิงสาวยังคงนั่นนิ่งมองอยู่เช่นนั้นอย่างลืมตัวลืมเวลาไปถนัดใจ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนนางหลับไปได้อย่างไร ลืมแม้กระทั่งว่าตนเองกำลังถูกตามล่าอยู่...ฟีต้าได้ยินเสียงของหัวใจตนเองกำลังเต้นเป็นจังหวะชัดเจน ภาพชายหนุ่มที่ถูกรุมล้อมด้วยฝูงสัตว์เป็นภาพที่เหมือนความฝัน...


เอ๊ะ? น่าแปลกที่นางคิดเช่นนั้น...ภาพนี้ช่างดูคุ้นตา...


ทำไมกัน?


หมู่นกกระพือปีกโบยบินจากไปพร้อมกันทั้งหมด ทำให้เกิดเสียงพึบพับๆ และกระแสลมพัดเส้นผมดำขลับของชายหนุ่มให้ปลิวสะบัด นางเพิ่งสังเกต ผมของเขายาวและเป็นสีดำเหมือนราตรีเหยียดตรงเหมือนกับเส้นไหมไม่ได้ไว้ผมซอยสั้นเช่นผู้ชายหลายๆ คนในหมู่บ้านเก่าที่นางเคยอยู่ หรือคนอื่นๆ ที่นางเคยพบเห็น เส้นผมที่สวยสะดุดตาเช่นนั้น ทั้งๆ ที่โดดเด่นถึงเพียงนี้แต่ทำไมนางถึงได้เพิ่งสังเกตได้


“เจ้าตื่นแล้ว...เราไปกันต่อเถอะ...” เฟทหันมาส่งยิ้มพร้อมคำพูดโหดร้ายให้กับนาง


ไปต่อ...เท้าของนางระบมและขาของนางปวดเมื่อยจากการวิ่งข้ามคืนข้ามป่า เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำหน้าเบ้ เฟทกลับยิ้มนิดๆ อย่างขบขัน


“ไม่ต้องห่วง เราจะค่อยๆ เดินไป ไม่จำเป็นต้องวิ่งอีกแล้ว” คำพูดนั้นทำให้ฟีต้าถอนหายใจ หากประโยคต่อไปเรียกบางสิ่งที่มากกว่านั้นจากนางได้


“น้ำตาคงขโมยเสียงของเจ้าไปด้วยแล้วแน่ๆ”


ประโยคล้อเลียนนั่นทำให้นางหันขวับมามุ่ยหน้าใส่เขา แทนที่ชายหนุ่มจะโกรธ เขากลับหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้มให้นางก่อนที่จะโยนผลไม้สุกสีแดงน่ากินให้กับนางที่ไม่ทันตั้งตัว


“อ๊ะ


“เดินไปกินไปกันเถอะ...”






Free TextEditor




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:40:24 น.
Counter : 193 Pageviews.  

คิมหันต์ที่ 8/1

Chapter8


ราวกับชายหนุ่มคนนี้มีญาณวิเศษ...


หลังจากการออกเดินทางมาได้ไม่นานเท่าไหร่ และดวงตะวันยังลอยขึ้นมาไม่ทันจะตรงหัว โดยที่เฟทนำทางนางเดินมุ่งไปโดยไม่ลังเลในเส้นทางที่เขาย่างไปแม้แต่น้อย สองหนุ่มสาวก็เดินมาพบหมู่บ้านแห่งหนึ่ง...และนั่นราวกับว่าเขารู้มาแต่แรกแล้วว่ามันตั้งอยู่ที่นั้น แต่กระนั้นแม้ว่าทั้งสองจะมาถึงในที่ๆ มีคนอยู่แล้วก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีเงินหรือของมีค่าอื่นๆ ติดตัวมาพอจะแลกเปลี่ยนอาหารได้เลย


“แต่เราก็รู้แล้วล่ะว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน...” เฟทเอ่ยขึ้นอย่างคนที่มองโลกในแง่ดี...แม้ฟีต้าก็มองไม่เห็นถึงอนาคตของทั้งคู่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปได้อีก


“จากที่นี่ ถ้าเราจะเดินทางด้วยเท้ากลับไปที่ลิสมัต ก็ต้องใช้เวลาถึงสี่วัน...” เฟทเอ่ยออกมา และนั่นทำให้ฟีต้ายิ่งงงงันขึ้นไปอีก


“แต่ไหนท่านว่า เรากลับไปไม่ได้ไงคะ...” นางถามออกมา


“ใช่ เรากลับไปที่คฤหาสน์นั่นไม่ได้อีก แต่ว่าถ้าเราจะกลับไปที่หมู่บ้านนั่นโดยไม่ให้เจ้านายเก่าของเจ้ารู้ก็ไม่เป็นไรนี่...แต่ว่าข้าคงต้องหาทางอื่นในการตามหาคนๆ นั้นเสียแล้ว”


เมื่อเฟทเอ่ยออกมา หญิงสาวก็ถูกประโยคนั้นสะกิดใจนางขึ้นมา...นางได้ยินพวกผู้หญิงคุยกันตอนอยู่ในคฤหาสน์นั้น เกี่ยวกับแขกสามัญชนของนายหญิง เรื่องที่ราวกับนิยายรักโรแมนติก...


จริงสิ...ชายคนนี้กำลังออกตามหาคู่หมั้นของเขาอยู่!


 “เจ้าไม่สบายรึเปล่า ฟีต้า?” เสียงของเขาทำให้นางสะดุ้ง ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าที่เอนเข้ามาจนใกล้ หัวใจของนางกลับเต้นแรง


“ขะ ข้าสบายดีเจ้าค่ะ”


“เฮ้อ...เอาอีกแล้ว ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าใช้คำพวกนั้นกับข้า ข้าไม่ใช่เจ้านายของเจ้า ตอนนี้เราอยู่ในฐานะพี่ชายกับน้องสาวกันอยู่ จำได้ไหม! ให้เรียกข้าว่าเฟทเฉยๆ แล้วหางเสียงก็ลงท้ายด้วยค่ะเฉยๆ ไม่ใช่เจ้าค่ะ” ชายหนุ่มเขกมะเหงใส่หน้าผากมนๆ น่ารักนั่นเบาๆ พลางเอ็ดแม่สาวน้อยที่คอยแต่จะกดฐานะตนเองให้ด้อยกว่าอยู่ร่ำไป


“จริงๆ เลยนะเจ้านี่ ทำไมถึงได้ชอบเป็นเบี้ยล้างคนอื่นเขานักรึไงกัน...” ชายหนุ่มบ่นอุบ ในขณะที่หญิงสาวกลับเอาแต่ก้มหน้าเมื่อคิดถึงเรื่องอดีตของตนเอง


นางเป็นเช่นนั้นมาตลอด นับแต่บิดามารดาของนางจากไปในสงครามพร้อมทั้งญาติสนิทมิตรสหาตั้งแต่นั้นเรื่อยมานางมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกๆ วันนี้ได้ด้วยการยอมเป็นเครื่องรองมือรองเท้าของผู้อื่น เพื่อให้ตนเองได้มีกินมีชีวิตรอดมาได้...แม้แต่งานที่ต้อยต่ำที่สุด นางก็ไม่เคยรังเกียจหากว่านั่นจะทำให้นางมีชีวิตยืดต่อไปได้อีกสักวัน


“ฟีต้า...เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ...”


หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนก้มหน้าตอบราวกับว่านางกำลังคุยกับตนเองเช่นนั้น “เปล่า ไม่เป็นไร...”


ท่าทางกับคำพูดหาได้ไปด้วยกันไม่สักนิด นั่นทำให้เฟทสิ้นความอดทนกับความอยากรู้ของตนเอง.. “แล้วถ้าข้าบอกว่า...ข้าไม่เชื่อเจ้าแม้แต่คำเดียว บอกข้ามาเสียดีๆ ดีกว่าว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”


“เปล่า...เปล่าค่ะ”


“เจ้าโกหก...เด็กโกหก บอกมาเสียดีๆ ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ตอนนี้ข้าน่ะเป็นผู้ปกครองของเจ้าแล้วนะ...เรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจเจ้าต้องบอกข้ามาให้หมด


เมื่อไม่เห็นทางใดจะหลีกเลี่ยงการถูกเปิดเผยนี้ไปได้อย่างไร ดังนั้นทางเดียวที่นางจะมุ่งไปได้ก็คือ สารภาพสิ่งต่างๆ เหล่านั้นออกมา


เฟทหลับตาลงช้าๆ หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จากหญิงสาวตรงหน้าอย่างตั้งใจแล้วเขาก็ได้ข้อสรุปสั้นๆ กับตนเองว่า...เขามันโง่จริงๆ!


หญิงสาวตรงหน้า สำหรับเขาแล้วเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่า แต่สิ่งที่นางพบและได้เผชิญมานั้นมันช่างเต็มไปด้วยความเศร้า


ในขณะเดียวกัน ทางหญิงสาวผู้ได้บอกเล่าเรื่องราวเกือบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของนาง รู้สึกราวกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความฝัน...ฝันร้ายที่นางเพิ่งตื่นขึ้นมาพบกับโลกแห่งความเป็นจริง ฟีต้ารู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด และรู้สึกดีที่ได้พูดมันออกมา


อิสระจากอดีตที่เก็บกดตนเองเอาไว้มาเนิ่นนาน


อิสระจากความทุกข์ที่แบกรับ


อิสระจากความโศกเศร้าของการสูญเสียผู้คนอันเป็นที่รักเป็นมากมาย


ทั้งสองนั่งเงียบกันไปหลายชั่วยาม สำหรับชายหนุ่มนั้นกลับรู้สึกผิดอยู่ข้างในลึกๆ ต่างกับหญิงสาวที่เริ่มเรียบเรียงเรื่องราวโดนมองมันว่าเป็นเพียงอดีตไปแล้วด้วยความโล่งใจ


“ข้าขอโทษ...ที่บังคับให้เจ้าเรื่องราวที่น่าเศร้านี่ออกมา...” เฟทกลับเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงอย่างอึดอัดใจ สีหน้าของชายหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายนิดๆเพราะคิดว่าตนนั้นไปสะกิดความหลังที่หญิงสาวคงไม่อยากจะจำ ฟีต้าเหม่อมองสีหน้าเช่นนั้นของเขาด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า ก่อนค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ ราวกับกำลังซึมซับความรู้สึกเสียใจของอีกฝ่ายเข้าไป


คนๆ นี้...ช่างใจดีเหลือเกิน...ทั้งห่วงความปลอดภัยของนาง แล้วยังจะห่วงใยจิตใจของนางอีกด้วย...


ฟีต้ารู้สึกราวกับว่านางได้รับแสงสว่างที่นางสูญเสียไปเมื่อนานมาแล้วอีกครั้ง ความรู้สึกที่แสนดีนี้ส่งผ่านมาจากอีกฝ่าย ความรู้สึกนั้นทั้งอบอุ่นและให้ความรู้สึกเป็นสุขใจเหลือเกิน แล้วเมื่อได้ลืมตาขึ้นมาหัวใจของนางก็รู้สึกสงบ


ไม่ต้องมีคำพูด แต่กลับส่งผ่านความรู้สึกห่วงใยมาถึงได้...ราวกับว่าเขากำลังกระซิบอยู่ใกล้ๆ


ปรารถนาดี...นั่นคือความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางในเวลานี้...ความรู้สึกที่นางแสนจะขอบคุณ


รอยยิ้มที่ค่อยๆ เกลี่ยไปบนริมฝีปากของหญิงสาวนั้นดูเป็นสุขอย่างมากมาย ดวงตาสีอำพันแวววาวระยิบระยับ แม้เรือนผมสีดำด้านๆ ราวกับถูกผงถ่านขยี้มาจะช่างดูขัดหูขัดตา แต่ภาพนั้นก็ยังทำให้ประทับใจคนมอง


“ท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยค่ะ...ความใจดีของท่านข้ารู้สึกได้ สิ่งที่ท่านทำก็เพราะความเป็นห่วง ความห่วงใยและอยากปกป้องนั้นเป็นความรู้สึกที่ดี...ท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ”


เฟทถึงกับทำอะไรไม่ถูกกับคำชมกันซึ่งๆ หน้าเช่นนั้น...น้ำเสียงและสัมผัสที่ส่งมานั้นบอกความจริงใจอย่างยากหาใครเปรียบได้ เกิดมาก็ไม่ค่อยจะเคยถูกใครชมว่าเป็นคนดีเลยสักครั้ง...โดยส่วนใหญ่แล้วพอเขาถูกส่งไปจนทั่วเพื่อร่ำเรียนสารพัดวิชาการทั่วทั้งโอราเคิลแล้ว พอกลับมาเขามักจะทำตัวเกกมะเหรกเกเรแล้วโดนพวกผู้ใหญ่ดุว่าเอาเสียมากกว่า จนเมื่อเร็วๆ นี้ถึงขนาดถูกท่านพ่อทำโทษเอาฐานที่เกงานระหว่างรักษาการตำแหน่งผู้ปกครองจนต้องตระเวนไปทั่วทั้งโอราเคิลแถมยังต้องหลุดมาตามหาคนถึงโลกมนุษย์นี้อีก...


คนดี...ช่างเป็นคำที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินและยากเกินกว่าจะทำใจรับคำชื่นชมนั้นเอาไว้ได้เมื่อตัวนั้นรู้อยู่แก่ใจดีว่า...ตัวเองนั้นมีความเป็นคนดีน้อยมาก...


แต่ก็ยังเขินอยู่ดีนะแหละ...เขินจัง...


“หน้าแดงแจ๊ดเลยค่ะ...” ฟีต้าทักออกมาตรงๆ


โธ่...เด็กเอ๋ย ไม่ได้รู้อะไรบ้างเลย!


กองใบไม้ที่สุมกันอยู่อย่างผิดสังเกตในขณะที่บริเวณอื่นๆมีเศษใบไม้เกลื่อนกลาดอยู่น้อยกว่ามาก แม้ไม่มีวี่แววของการจุดกองไฟเพื่อไล่สัตว์หากสิ่งที่เห็นอยู่นี่เป็นฝีมือของคนที่หนีมาอย่างแน่นอน...เล็คซ์ต้องยอมรับว่า พวกมันฉลาดมากจริงๆ!


“พวกมันต้องมาทางนี้แหละ...” เล็คซ์เอ่ยอย่างมั่นใจกับเหล่าลูกน้องอีกสองคนในขณะที่ทีอาสวิ่งกลับมาพร้อมสิ่งที่ตนพบ


“ข้าพบนี่ตกอยู่ทางด้านโน้น ลูกน้องอีกสองคนของข้าพบพวกหาของป่า ใกล้ๆ นี้มีหมู่บ้านเล็กๆอยู่ พวกมันต้องไปที่นั่นแน่ทีอาสยื่นเศษผ้าลูกไม้กะรุ่งกะริ่งจากการถูกกิ่งไม้เกี่ยวจนขาดให้กับเล็คซ์ผู้เป็นหัวหน้า


เศษผ้าลูกไม้แต่งชายกระโปรงของสาวใช้คฤหาสน์จีอัสผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ในแผนการครั้งนี้ ถ้ามันมาอยู่แถวนี้ได้ ก็แสดงว่าพวกเขาตามสองคนนั้นมาถูกทางอย่างแน่นอนที่สุด!


เล็คซ์ไม่อยากเชื่อเลยว่า เพียงเขาชะล่าใจนิดเดียว เชลยทั้งสองก็หลบหนีเขาไปได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น...นักเดินทางนั่นไม่ใช่ธรรมดาเลย ทั้งการฟื้นตัวทั้งๆ ที่เขาให้ยามันไปมากถึงขนาดคนตัวโตๆหลับไปได้สามวันเต็มๆ แต่มันกลับใช้เวลาในการฟื้นตัวเพียงสองวันเท่านั้น แถมยังหลอกพวกเขาว่ายังไม่ได้สติแถมยังพาหญิงสาวอีกคนหนีไปด้วยกันได้อีก!


ผู้ชายคนนั้น...ต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ


ถึงมันจะไม่มีท่าทางเหมือนพวกสายลับก็ตามเถอะ แต่มันก็ได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยินเข้าแล้ว หากว่ามันเอาไปบอกกับใครเข้าละก็ แผนการที่พวกเขาวางมาทั้งหมดก็เป็นอันพินาศกันหมด จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้!


แรกสุดเขาเพียงคิดว่าจะผลักชายหนุ่มคนนั้นไปให้พ้นๆ ทางด้วยการเอาไปทิ้งไว้ในที่ไกลๆ ไม่ให้กลับมายุ่มย่ามกับแผนการนี้ได้ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้ เห็นทีว่าเขาจะต้องจัดการกำจัดให้เด็ดขาดลงไปเสียแล้ว...


ส่วนเด็กผู้หญิงคนนั้น เขาไม่อยากจะทำนางเลย แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว คิดได้เพียงอย่างเดียวว่าเป็นโชคร้ายของนางเสียก็แล้วกัน...





 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:40:01 น.
Counter : 285 Pageviews.  

คิมหันต์ที่ 8/2

โดยไม่มีเงินติดตัวมาเลยแม้แต่น้อย เฟทก็หาสิ่งจำเป็นในการเดินทางแบบง่ายๆ จากสิ่งที่หญิงสาวผู้ร่วมเดินทางไม่เคยคาดคิดได้มาก่อน


ทั้งคู่หยุดพักข้างๆ กับสระน้ำนิ่งภายในป่าขณะที่เดินทางมาได้ระยะเวลาหนึ่ง เฟทเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านหมู่บ้านและชุมชน เพราะในเมื่อพวกเขารู้แล้วว่าพวกตนนั้นในเวลานี้ อยู่ที่ใดบนโลกใบนี้จึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะเดินทางกลับไปยังที่หมาย อีกประการหนึ่งที่เขาเลี่ยงสถานที่ชุมชนนั่นก็เพราะ เขาต้องการที่จะป้องกันการติดตาม หากเดินทางผ่านหมู่บ้าน นักเดินทางที่แต่งตัวสะดุดตาอย่างพวกเขา คนหนึ่งใส่เสื้อผ้าของพวกผู้ดีที่ดูโทรมๆ กับอีกคนที่แต่งชุดสาวใช้ขาดๆ ใครเห็นใครก็ต้องรู้สึกว่าแปลก และอีกประการสำคัญหนึ่งคือ...ชายหนุ่มหญิงสาวเดินทางด้วยกันก็ยิ่งดึงความสนใจของพวกมนุษย์อยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้นไปอีก!


“หิวแล้วรึยัง...” เฟทเอ่ยถามกับผู้ร่วมทางหญิงที่ทรุดกายลงนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ใกล้ๆ แอ่งน้ำแห่งนั้นด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน


ฟีต้าหันไปพยักหน้าอย่างเขินๆ นางไม่ค่อยมีคนมาคอยถามแบบนี้กับนางเท่าไรนัก ไม่ว่าความหิวความอิ่มใดๆ ของนาง ไม่เคยมีใครต้องการเข้ามาเป็นห่วงดูแล...การที่มีคนมาคอยใส่ใจเช่นนี้ เป็นความแปลกใหม่ในความรู้สึกของนาง


“นี่ดูอะไรนี่นะ...” เฟทหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วชี้ลงไปในบ่อหินนั่น...แม้ว่าจะเป็นบ่อน้ำนิ่งๆ แต่น้ำที่มีอยู่ก็ไหลมาจากร่องหินแตกเล็กๆ ยามฝนตกลงมา น้ำจากอีกฟากของหินคงเอ่อล้นแล้วไหลท่วมมาทางแอ่งหินด้านนี้ เช่นนั้นเองจึงทำให้ปลาตัวเล็กๆ ถูกซัดมาตามน้ำนั้นด้วย ทำให้น้ำในแอ่งนิ่งๆ นี้มีปลาอาศัยอยู่ เฟทขว้างหินในมือลงไปกระทบหินก้อนใหญ่ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาไม่ถึงนาที ปลาสามสี่ตัวก็ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ทำให้ฟีต้าอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ


“น้ำในบ่อหินนี่ มันนิ่ง พวกปลาเองก็ว่ายกันนิ่งๆ อยู่ในบ่อ อีกทั้งความตื้นและความใสของบ่อหินนี้ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นได้ ปลาที่ลอยขึ้นมานี่ไม่ได้ตายแล้วหรอกนะ แต่มันตกใจจนหมดสติไปต่างหาก...” ชายหนุ่มอธิบายแล้วเดินลงไปจับเจ้าปลาที่เขาว่าหมดสติไปขึ้นมา


“ข้าทำบ้างได้หรือเปล่า...” หญิงสาวเอ่ยอย่างตื่นเต้น ขณะที่มองชายหนุ่มด้วยดวงตาระยิบระยับราวกับเด็กๆ ที่เห็นของเล่น เฟทขันกับท่าทางของนาง


“ได้...แต่เราจะมีปลามากเกินไปสำหรับสองคนน่ะสิ...” เฟทเอ่ยแหย่เล่นๆ หากสีหน้าของหญิงสาวราวกับสำนึกผิดในความคิดของตน ทำให้เฟทต้องรีบเข้าขวางความคิดนั่นเอาไว้...ด้วยการยัดก้อนหินใส่มือบางอย่างรวดเร็ว...


“เอาสิ เอาเลย!...ลองดู ไม่กินไม่เป็นไรหรอก ปลามันไม่จมน้ำตายหรอก...ต่อให้มันหมดสติก็เถอะ”


คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวหน้าบาน รับก้อนหินนั้นมาอย่างยินดี ขณะที่เฟทเอาปลาขึ้นมาวางไว้บนใบไม้สดเพื่อเตรียมเสียบย่าง หญิงสาวก็เก้งๆ ก้างๆ ตั้งท่าเล็งหิน


แก็ก!


มือบางโยนหินออกไป ไม่เฉียบคมเหมือนกับฝีมือโยนของชายหนุ่ม เจ้าปลาน้อยทั้งหลายที่ผ่านการรบกวนมาแล้วจึงเพียงแต่ว่ายหนีหินที่ตกจ๋อมลงไปในน้ำเท่านั้น สีหน้าผิดหวังของฟีต้า ทำให้เฟทนึกขำ...


“ไม่เป็นไรหรอกน่า...มือใหม่แรกๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ มาทางนี้ดีกว่า มาช่วยกันย่างปลานี่ดีกว่า...มามะ” เฟทกวักมือเรียกหญิงสาวหยอยๆ พลางส่งยิ้มสดใสที่ฟีต้าเริ่มจะคุ้นชิน ผู้ชายคนนี้มีรอยยิ้มเป็นอาวุธ และการยิ้มของเขาก็ดูราวกับเป็นกิจนิสัยประจำตัวเสียด้วย เมื่อเขายิ้มทุกสิ่งทุกอย่างก็ช่างแสนวิเศษไปเสียหมด และเขาก็ดูราวกับว่าสามารถยิ้มกับน้ำกับฟ้าได้ตลอดเวลาเสียด้วย! แม้กับนกกับต้นไม้เขาก็ยิ้มให้อย่างร่าเริง...จนบางครั้งบางทีทำให้ดูเหมือนคนไร้สาระไป...


“ท่านเฟท...ยิ้มได้ตลอดเวลาเลยนะคะ...ดูเป็นคนอารมณ์ดีได้ตลอดเวลาเลยนะคะ ทั้งๆ ที่เรากำลังโดนตามล่าอยู่แบบนี้แท้ๆ ท่านกลับไม่มีท่าทางเครียดเลย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างชวนคุยเป็นครั้งแรก ดวงตาของนางจับจ้องมาที่เขาอย่างตรงไปตรงมา แต่แล้วรอยยิ้มรื่นนั้นก็ดูจืดจางลงไปถนัด!


“เจ้าเห็นว่าอย่างนั้นเหรอ...” เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาสีทองทอดมองมาที่นางด้วยสายตาอ่อนโยนจนเหมือนพี่ชายมองน้องสาวตัวน้อยๆ ฟีต้าพยักหน้ารับแทนคำพูด


“คนเรายิ้มออกมาด้วยความรู้สึกจากภายในอย่างไม่เคยเสแสร้งนั้นก็มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกนั้น...” เฟทหยุดพูดไปนิดหนึ่งเพื่อมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวและเขาก็ได้เห็นแววตาอันสับสนมองตอบกลับเขามา


“ระหว่างรอยยิ้มกับรอยน้ำตา...สองสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างมากมายเกินกว่าคำว่าสุขและทุกข์อยู่นะ เมื่อมนุษย์ร้องไห้ เขาร้องไห้ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจเขาอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจหรือความดีใจก็ตาม แม้ฝืนร้องออกมา เขาก็ยังต้องไปกระตุ้นความรู้สึกในส่วนที่เศร้าหรือสุขจนสุดใจขึ้นมาให้รู้สึกเช่นนั้นอย่างจริงจัง...แต่ กับร้อยยิ้มนั้นไม่เพียงไม่ต้องรู้สึกยินดี แม้แต่ตอนที่ทุกข์ที่สุดในชีวิต...มนุษย์ก็ยังสามารถยิ้มออกมาได้


“เพราะฉะนั้น รอยยิ้มและรอยน้ำตาจึงยังมีความต่างสุดขั้วในสิ่งนี้ ที่เป็นอีกสิ่งหนึ่งรวมอยู่ด้วยไม่ต่างกับการที่มันเป็นตัวแทนของความสุขและความเศร้าอย่างผิวเผิน...” ถ้อยคำประโยคนั้นที่ราวกับพี่สอนน้องนี้ ทำให้ฟีต้าระลึกได้ราวกับภาพของอดีตหมุนย้อนกลับมาแสดงให้เห็น


อดีตที่นางยิ้มแย้มกับตนเอง แม้ในใจจะเศร้าโศก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่นางเองเข้าใจดีอย่างสุดหัวใจ...รอยยิ้มที่หาได้มาจากความรู้สึกสุขใจ แต่เมื่อไรที่นางร้องไห้ นางก็ร้องออกมาด้วยความทุกข์เศร้าสุดหัวใจ! ดวงตากลมเงยขึ้นมองบุรุษตรงหน้าด้วยความเข้าใจ และเห็นชายหนุ่มยิ้มตอบรับกลับมา


“แต่เราไม่จำเป็นต้องทุกข์ตลอดเวลา เจ้ารู้หรือไม่ ว่ารอยยิ้มและรอยน้ำตาก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วนั้น...” เฟทเอ่ยถามขึ้น ทำให้หญิงสาวส่ายหน้าดิก...และรอฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่ออย่างตั้งใจ


“ไม่ว่าจะหัวเราะ หรือร้องไห้ สิ่งสุดท้ายที่มนุษย์ได้รับจากทั้งสองก็คือความสบายใจ เมื่อมนุษย์ร้องไห้ระบายทุกสิ่งที่เป็นความทุกข์ออกมาจนหมดสิ้น พวกเข้าก็จะรู้สึกดีขึ้น ในเวลาเดียวกันเมื่อพวกเรายิ้มสิ่งต่างๆ ก็ดูจะเป็นเรื่องดีไปหมดไม่ว่ายิ้มนั้นจะจริงใจหรือไม่ก็ตาม เพราะฉะนั้นไม่ว่ายิ้มหรือร้องไห้ มันต่างมีสิ่งที่ดีในตัวของมันเอง...ขึ้นกับว่าเราเลือกที่จะมองในด้านไหนของมันต่างหาก...จริงไหม?” คำสุดท้ายนั่น หาใช่คำถามต่อย่างไรไม่ เมื่อเฟทขยิบตาให้กับนางและทำให้นางยิ้มออกมา...ตามมาด้วยเสียงหัวเราะสดใส


ใช่...ในใจของนางตอบกับตัวเอง...


ใช่แล้ว...ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่เราว่าจะเลือกสิ่งใด


หัวใจของฟีต้าในยามนี้พองฟูและลอยละล่องเบาโหวง หน้างามเงยขึ้นมองท้องฟ้าสีครามสดใส แลแสงของดวงตะวันอันเจิดจ้า...นางเองก็ได้เลือกแล้วแม้ย้อนกลับไปในอดีต...ว่านางได้เลือกที่จะขอมองแต่ในสิ่งดีๆ ยืดอกและยิ้มออกมาอย่างกล้าหาญ!


นั่นไม่ใช่การปลอบใจตัวเอง...แต่เป็นการยิ้มเพื่อเรียกหาสิ่งดีๆต่างหาก!


และสิ่งดีนั้นก็ได้หานางจนพบแล้ว...สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี่อาจจะเลวร้าย แต่เมื่อคิดให้ดีแล้ว หากนางไม่ได้พบกับเขาและไม่ได้อยู่ที่นี่ในเวลานี้ นางก็คงจะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความต่ำต้อยของตนเอง...


“ปลาสุกแล้ว...” เสียงห้าวๆ แต่น่าฟังนั่นดังขึ้น มือใหญ่ส่งปลาย่างกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอยื่นเข้ามาให้กับนาง มือบางรับมาดมก่อนถอนใจพร้อมกับรอยยิ้ม


“ทานเลยนะคะ...”


ใบหน้าของเล็คซ์แลดูเคร่งขรึม ทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดอย่างที่สุด...


หลังจากที่คนของเขาเข้าไปสอบถามจากพวกชาวบ้านถึงหนุ่มสาวแปลกหน้าคู่หนึ่งที่เดินทางผ่านทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ เขาก็ต้องพบกับความไม่เข้าใจ เมื่อคำตอบที่เขาได้จากพวกชาวบ้านนั้นทำให้เขาได้ข้อสรุปถึงจุดหมายของคนทั้งคู่!


ลิสมัต!


เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าพวกมันจะย้อนทางกลับไปยังลิสมัตอีกทำไม ในเมื่อสามารถหลบหนีจากพวกเขาไปได้ หรือพวกมันจะเป็นเพียงนักเดินทางโง่ๆ เท่านั้นจริงๆ? หากไม่เช่นนั้น...หรือว่าพวกมนจะเป็นสายสืบอย่างที่ทีอาสคิด!


ข่าวและข้อมูลที่มันได้ยังไม่พอเพียงจึงย้อนกลับไปที่คฤหาสน์นั่นอีกอย่างนั้นหรือ?


หรือบางทีนังผู้หญิงเองก็เป็นสายลับที่แฝงตัวเข้าไปในคฤหาสน์นั่นเช่นกัน?


แต่เมื่อคิดดูให้ดีดีอีกทีแล้ว หากพวกมันเป็นสายลับจริง การถูกเปิดเผยตัวเช่นนี้แล้วพวกมันก็ไม่น่าจะย้อนกลับไปอีกนี่ ทางที่ถูกคือพวกมันน่าจะรีบเดินทางตรงขึ้นไปยังเมืองหลวงเพื่อแจ้งความลับนี้ให้นายเหนือหัวพวกมันโดยเร็วที่สุดเสียมากกว่า…


หรือว่าพวกมันจะมีวิธีการส่งข่าวที่พวกเขาไม่รู้?


เป็นไปได้หรือไม่ที่เวลานี้ผู้สำเร็จราชการแทนเจ้าชายรัชทายาท เจ้าชายวาเลียสแห่งซานซาลอว์ จะล่วงรู้แผนการของพวกเขาแล้ว?


แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงละก็ เจ้าชายวาเลียสเองก็น่าจะยกกองกำลังมาแล้วสิ...แต่นี่กลับไม่มีท่าทีอะไรเลย


แม้จีอัสผู้เป็นหัวหน้าแผนการครั้งนี้จะมั่นใจว่าได้รับความไว้วางใจจากเจ้าชายวาเลียวอย่างเต็มที่ หากเล็คซ์เองก็มีสายข่าวที่เชื่อถือได้อยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน...ข่าวที่ว่า เจ้าชายวาเลียสเริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับไส้สึกในราชสำนักที่ลักลอบเข้ามาเพื่อบั่นทอนความมั่นคงของราชบัลลังก์! การที่เจ้าชายองค์นั้นเริ่มหวาดระแวงชายแดนด้านนาร์เดนและการมีคำสั่งให้เคลื่อนไหวกองกำลังทางด้านนาร์เดน ทำให้ข่าวนี้มีมูลความจริงอย่างมาก


และการที่เจ้าชายองค์นั้นจะส่งคนออกสืบข่าวเข้าไปในบ้านของเหล่าขุนนางทั้งใหญ่น้อยก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้เช่นกัน...อีกทั้งยังมีเรื่องที่ว่า สายข่าวของเจ้าชายวาเลียสได้แพร่ออกไปในทุกๆ หลังคาเรือนทั่วอาณาจักรนี้ก็ยังเป็นที่สงสัยอันไม่อาจจะหาข้อพิสูจน์อันใดได้


สายข่าวที่มีความเก่งกาจเช่นนั้นรึที่จะย้อนกลับไปยังที่เกิดเหตุให้ตัวถูกจับได้อีก?


ไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใด เล็คซ์ก็ไม่อาจจะหาคำอธิบายในสิ่งที่ผู้หลบหนีคิดได้เลย...แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ผลก็ยังคงเดิมนั่นก็คือ พวกเขาจะต้องจับทั้งสองกลับมาให้จงได้!


“เห็นไหม ข้าว่าแล้ว พวกมันจะต้องเป็นสายลับของเจ้าวาเลียสที่เข้ามาสืบข่าวในบ้านนั่นแน่ๆ! ข้าบอกพวกท่านแล้วนี่พวกมันคงยังสืบหาข่าวไม่พอ จึงย้อนกลับไปเอาข้อมูลเพิ่มเติมที่บ้านนั้นอีกเป็นแน่ เสียงเอะอะโวยวายของทีอาสที่โกรธกรุ่นเป็นฟืนเป็นไฟกับเชลยที่หนีรอดสายตาตนไปได้ดังเข้ามาในความคิดใคร่ครวญของเขาทำให้เล็คซ์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา


“เงียบได้แล้ว ทีอาส...”เล็คซ์เอ็ดปรามลูกน้องคนสนิทใต้บังคับบัญชาอย่างรำคาญ ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“ถ้าเจ้าให้ข้าจัดการได้สองคนนั้นเสียตั้งแต่ทีแรก เรื่องที่เราถูกลูบคมเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นมาหรอก เชือดพวกมันซะแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ไหนสักแห่งก็ได้ ทุกอย่างก็เป็นอันจบไปนานแล้ว


“เจ้ายังมองอะไรแคบเกินไป ทีอาส! เราไม่รู้ว่าพวกมันต้องการอะไรในการเดินทางย้อนกลับไปอีก...ที่สำคัญเราต้องรู้ก่อนว่าพวกมันรู้อะไรบ้าง ตื้นลึกหนาบางขนาดไหนและพวกมันส่งข่าวไปให้วาเลียสแล้วหรือยัง...นี่เป็นเหตุผลที่เราต้องรีบจับพวกมันกลับมาให้เร็วที่สุดและหลังจากนั้นจึงจะทำตามใจชอบของเจ้าได้ เล็คซ์เอ่ยถึงการตัดสินใจของตนอย่างรวดเร็ว


“พวกเราจะเปลี่ยนม้าทั้งหมดที่นี่ แล้วเราจะควบไปดักรอพวกมันที่ลิสมัต จีอัสคงต้องการรู้เรื่องนี้โดยเร็วที่สุด






Free TextEditor




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:38:37 น.
Counter : 182 Pageviews.  

คิมหันต์ที่ 9/1

Chapter 9


เฟทแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์งามเด่นแจ่มจรัสอยู่บนท้องฟ้า ข่มแสงดาราแห่งรัตติกาลให้มืดหายไปในแสงนวลใย แม้ไร้หมู่เมฆก็ไม่อาจหาควานหาแสงของหมู่ดาวได้ จึงเหลือเพียงจันทร์ดวงเดียวที่ลอยละล่องอยู่บนฟากฟ้า


เดียวดาย...ลึกลงในความรู้สึก อากาศของยามค่ำคืนทั้งเย็นชื่นจนหนาวใจ


ฟีต้า หญิงสาวเก็บงำความลับบางสิ่งบางอย่างกับเขาอยู่ไม่อาจเปิดเผย และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขาเองจะเปิดเผยตัวตนที่แท้ให้กับนางเช่นเดียวกันได้อย่างไร...เมื่อต่างยังไม่อาจจะวางใจให้กันได้อย่างเต็มที่เช่นนี้ อีกทั้งเวลาก็ผ่านเลยไปรวดเร็ว เขาเองก็ยังมีคนที่ต้องตามหาให้พบ...และไม่อาจจะรั้งรอได้อีกนานนัก อีกทั้งปริศนาที่มีก็เพิ่มมากขึ้นทุกที


หน้าที่ที่จะต้องค้นหาผู้มีเชื้อสายของนกในตำนาน...อีกทั้งหน้าที่ที่มีต่อหญิงสาวชาวมนุษย์ผู้หลับนิ่งอยู่เคียงใกล้...


เวลานี้เขาเองก็ควรจะล้มลงนอนได้แล้ว...แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ มีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดมากเกินไป...มีสิ่งติดค้างในใจมากเกินไป วันนี้เขาบังคับให้นางพูดถึงอดีตออกมาได้...แต่ไม่ทั้งหมด เขาแน่ใจ หญิงสาวยังเก็บบังเงื่อนงำบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญเป็นอันมากกเอาไว้ ซึ่งเขารับรู้ได้จากสัญชาตญาณที่มี...


ทำอย่างไร...จะทำอย่างไร?


เฟทรู้สึก เหมือนมีม่านบางๆ คอยกั้นขวางความคิดของเขาเอาไว้ บางสิ่งเกี่ยวข้องกับหญิงสาวและหญิงสาวที่เขาติดตามหาเข้าไปในคฤหาสน์หลังนั้น เขาเชื่อว่านางรู้...จากท่าทางของนาง...แต่นางไม่บอก และกลัวที่จะเปิดเผยออกมา


“หากเป็นเฟลิอาคงพอเดาใจเจ้าได้ว่าเจ้ารู้สึกอะไรหรือเก็บซ่อนสิ่งใดเอาไว้ และข้าอยากจะรู้เหลือเกิน...สาวน้อย ว่าในสมองอันอ่อนเยาว์ของเจ้าปิดซ่อนสิ่งใดเอาไว้และความรู้สึกอะไรเอาไว้กัน?” ไคเมร่าหนุ่มรำพึงรำพันออกมาเงียบๆ กับตนเอง แล้วปล่อยให้สายลมหอบพัดเอาถ้อยนั้นลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า


สายลมเย็นในคืนคิมหันต์ทำให้ร่างสะท้านได้ไม่ต่างกับสายลมเหมันต์ แม้ไม่หนาวเท่าก็ตาม แต่สร้างความว้าเหว่ให้แก้หัวใจไม่ต่างกัน เส้นผมสีดำประหลาดของฟีต้าพัดไปตามลมปรกระใบหน้าดูรุงรัง ชายหนุ่มจึงแตะมือใหญ่ของตนแล้วปัดออกให้อย่างนุ่มนวลด้วยกลัวจะรบกวนการหลับใหลของนาง แต่แล้ว...


แสงจันทราก็สะท้อนบางสิ่งต้องตา...ในกลุ่มผมดำดกนั้นมีกลุ่มผมกลุ่มเล็กๆ ที่ทอประกายแปลกตา แต่เมื่อชายหนุ่มยื่นมือออกไปจับ ผมอีกกลุ่มหนึ่งก็ไหลลงมาปิดกลบเมื่อลมหอบหนึ่งพัดมา เฟทพยายามคว้าและสางหาเบาๆ หากมันก็หายไปเสียแล้ว


เฟทถอนใจ...หรือว่าเขาจะตาฝาด? มันอาจจะเป็นผมดำที่สะท้อนเงากับแสงจันทร์เท่านั้นก็ได้ ทว่าชายหนุ่มหาได้รู้ไม่เลยว่าเขาได้พลาดสิ่งสำคัญยิ่งไป เพราะสิ่งที่เขาคิดว่าตนนั้นตาฝาดไปนั้นมันคือ...กลุ่มผมกลุ่มเล็กๆ สีเงิน!


เขาคงคิดถึงคนที่ตามหาและความลับของนางมากเกินไปจนตาลาย เขาไม่ควรคิดมากในเวลาที่ร่างกายไม่พร้อมและกำลังเหนื่อยล้าจากการเดินทางเช่นนี้ ถ้าเป็นปกติ เขาคงบินขึ้นฟ้ากลับไปแล้วแทนที่จะมาเสียเวลาเดินเป็นวันๆ อยู่เช่นนี้ แต่เมื่อมีภาระมาเพิ่มเติม เขาไม่อาจจะทำได้เช่นแต่ก่อน


ดวงจันทร์ตรงหัวแล้ว...เขาควรจะนอน ไม่จำเป็นที่จะต้องมีใครเฝ้ายาม โดยเฉพาะเขา...เฟทผิวปาก การผิวปากหวีดหวิวที่ไร้เสียงสำหรับมนุษย์ แต่ไม่ใช่สำหรับสิ่งที่อยู่ในป่านั้น


เมื่อครึ่งหนึ่งในกายของเขาคือสัตว์ป่าที่กล้าแข็ง แล้วใยเลยที่เขาจะไม่สามารถบงการสัตว์ที่อ่อนด้อยกว่าได้...ในเมื่อจ่าฝูงของเหล่าสรรพสัตว์อย่างเขาบัญชา ลูกฝูงทั้งหลายก็ต้องเชื่อฟัง!


เฟทค่อยๆ เอนกายลงโอบร่าง แล้วดึงร่างน้อยเข้ามาโอบกอดเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่นในยามไร้ผ้าห่มกายเช่นนี้ ฟีต้านอนหนุนแขนของเขาอยู่แนบข้าง ใต้ร่างมีกองใบไม้ที่ช่วยกันกอบมารวมเอาไว้แทนเบาะนอน ขณะที่หนุนเขาเอาไว้ หญิงสาวก็ใช้แขนทั้งสองข้างของตนกอดตนเองเอาไว้แน่นแทนผ้าห่ม ท่าทางน่าสงสาร...เฟทดึงร่างนั้นขึ้นมาเพื่อที่เขาและนางจะได้ถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กัน...


หากว่านางตื่นขึ้นมาในยามนี้นางคงกรีดร้องจนลั่นป่า ไม่ใช่เพราะตกใจที่ตนถูกชายหนุ่มโอบกอดเอาไว้หรอก แต่เป็นเพราะสิ่งที่โอบกอดให้ความอบอุ่นแก่ร่างของนางในเวลานี้ ได้แปลงเปลี่ยนสภาพของตนเองไปต่างหาก ร่างกายที่ค่อยๆ แผ่ความร้อนออกมามากขึ้นและขนที่งอกหนาขึ้นมาเป็นเงาดำมันยะยับ ดวงตาที่แวววาวและส่องแสงในความมืดค่อยๆ หลับลง เสียงครางเครือของสัตว์ใหญ่ตระกูลแมวอยู่ไม่ห่างออกไป แต่หญิงสาวก็ยังหลับอย่างเป็นสุข...สงบ...และสบายไปตลอดคืน...


โดยมีลูกน้องใหม่สี่ขาหนึ่งฝูงของเฟทเป็นยามปริศนาคอยระแวดระวังภัยให้อย่างลับๆ


การเดินทางติดต่อกันยาวนานสร้างความอ่อนล้าสะสมให้กับร่างบางเป็นอย่างยิ่ง..หากนั่นก็ก่อร่างสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมาด้วยเช่นกัน


สำหรับฟีต้าแล้ว ในช่วงสองสามวันแรกนั้นร่างบางทั้งเหนื่อยทั้งเพลียเป็นอย่างมาก ครั้งใดที่ได้ล้มตัวลงนอน ร่างน้อยก็หลับเป็นตายราวกับสิ้นไร้เรี่ยวแรง และตื่นขึ้นมาพร้อมความอ่อนเพลียปวดเมื่อยที่แสนรวดร้าวลามไปทั้งขาละบาดไปทุกกล้ามเนื้อ


“พ้นจากป่านี่ได้เราก็จะถึงลิสมัตแล้ว หวังว่าเจ้าของโรงแรมจะยังคงเก็บข้าวของเอาไว้ให้ข้านะ...” ประโยคท้ายราวกับว่าเฟทเพียงรำพึงกับตนเองเท่านั้น ขณะที่เดินนำร่างบางที่เดินตามหลังตนเองมาอยู่สองก้าว


“อีกนานหรือเปล่าคะ...” เสียงใสเอ่ยถามขึ้น ช่วงสองวันนี้ฟีต้าพูดคุยกับเขาเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่นางก็เหมือนกับเด็กๆ ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะตื่นตาตื่นใจนางไปเสียหมด ตั้งใจทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และจดจำสิ่งที่เขาบอกได้อย่างรวดเร็ว เฟทสังเกตเห็นความช่างสังเกตของนางในหลายๆ ครั้ง หญิงสาวสามารถเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ รวมถึงสามารถคาดการณ์เรื่องราวต่อไปได้เองโดยที่เขาไม่ต้องบอกเล่าอธิบายให้อีกด้วย บัดนี้ฟีต้าเข้าใจเหตุผลที่ตนต้องหลบหนีแล้วอย่างถ่องแท้..


วันที่ผ่านมา ฟีต้าไม่มีท่าทางเหนื่อยหอบเหมือนเช่นสองสามวันแรก เป็นเพราะการที่ต้องออกแรงเดินเท้ามาหลายวันเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องในทางลัดร่างกายของฟีต้าเริ่มปรับตัวให้คุ้นเคยกับการเดินทางต่อเนื่องยาวนานนี้ได้ในที่สุด แต่แม้ในวันนี้นางจะรู้สึกเหนื่อยน้อยกว่าวันที่ผ่านๆ มา นางก็ไม่รู้เลยว่าร่างกายของตนเองนั้นมาจวนเจียรถึงขีดสุดแล้ว แม้ว่าวันนี้จะเดินติดต่อกันมาเกือบทั้งวันได้อย่างสบายๆ ก็ตาม...


“อีกไม่นานหรอก เดินไปอีกสักสี่ชั่วโมงก็ถึง ป่าแถบนี้ไม่ทึบเหมือนที่พวกเราผ่านๆ มาแล้ว ดีใจได้แล้วล่ะ เดี๋ยวพวกเราก็จะได้พักผ่อนกันแล้วละนะ...”


ตุ้บ!


เฟทชะงัก เมื่อหันกลับไปเขาก็พบ ร่างบางนอนหน้าคว่ำแน่นิ่งอยู่บนพื้น!


“ฟีต้า เฟทวิ่งไปประคองร่างน้อยขึ้นมา แล้วก็พบว่า หญิงสาวนั้นเนื้อตัวร้อนราวกับไฟ! ร่างบางหายใจหอบ ใบหน้าแดงเรื่อทั้งหน้าทั้งคอ และทั้งร่างราวกับสิ้นไร้เรี่ยวแรง ยังดีที่นางยังรู้สึกตัวอยู่


“ฟีต้า...ฟีต้า เฟทเหลียวมองรอบตัว เมื่อเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีแดง พระอาทิตย์ดวงใหญ่กำลังคล้อย เพียงต้องพ้นไปจากป่านี่ให้ได้ก่อนตะวันจะลับฟ้า อีกนิดเดียวก็จะไปถึงหมู่บ้านลิสมัต...เขาจะต้องพานางไปให้ถึง!


“รอก่อนนะฟีต้า...ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ ไม่มีเสียงตอบนอกจากเสียงครางฮือๆ ในลำคอของนาง หญิงสาวหลับไปเสียแล้ว น่าจะเพราะความอ่อนล้า...การเร่งการเดินทางทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนเพลีย เขารู้สึกแปลกใจที่หญิงสาวไม่บ่นออกมาแม้แต่คำเดียวกับการเร่งเดินทางของเขา


โง่ทุเรศชะมัด! เฟทสบถในใจกับความเขลาของตนเอง เขาลืมคิดเผื่อผู้ร่วมทางทั้งๆ ที่บอกกับนางว่าจะดูแล คิดถึงแค่ส่วนของตนเอง ในการเดินทางลำพัง เขาสามารถเดินติดต่อกันได้หลายวันโดยไม่หยุดพักจริง แต่ไม่ใช่สำหรับมนุษย์ตัวเล็กๆ บอบบางอย่างฟีต้าแน่!


เฟทช้อนร่างบางขึ้นด้วยสองแขน อุ้มนางขึ้นอย่างง่ายดายราวกับหญิงสาวเป็นเพียงตุ๊กตายัดนุ่น วงแขนแกร่งกระชับร่างบางแน่นแนบอกแล้วออกวิ่ง ไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีกต่อไป และไม่คิดสนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป นอกเสียจากสิ่งเดียวที่สำคัญในเวลานี้ นั่นก็คือ...เขาต้องพาหญิงสาวไปหาหมอ...ให้เร็วที่สุด!


นางมีไข้ขึ้นสูงและอ่อนเพลียอย่างหนัก ทำให้หญิงสาวถึงกับฟุบลงไปทั้งยืน เฟทสับสนอยู่ลึกๆ เมื่อไหร่กันที่นางป่วยหนักถึงขนาดนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาพลาดไปไม่ทันได้สังเกตเห็น ทำไมนางถึงไม่เอ่ยบอกเขาสักคำว่าเจ็บป่วยอยู่ถึงเพียงนี้ ร่างน้อยๆ นี้ต้องอดต้องทนถึงเพียงไหนเพื่ออะไรและทำไมกัน เพราะไม่ต้องการให้เขาลำบากอย่างนั้นเหรอ? เขาไม่ได้ให้สัญญากับนางว่าจะดูแลเหรอ? คำถามมากมายเกิดขึ้นกับเขา...


ดวงตาสีอำพันปรือขึ้นนิดหนึ่งแล้วปิดลงอีกครั้ง ทีท่าของนางกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงภายในห้องที่เขาเช่าเอาไว้ใหม่ในโรงแรมแห่งนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะหายไปหลายวัน แต่เจ้าของโรงแรมก็ยังมีน้ำใจเก็บของเอาไว้ให้เขา แม้ห้องเดิมจะถูกปิดไปแล้ว และจำต้องมาเปิดห้องใหม่นี้อยู่ แต่เมื่อได้ข้าวของกลับมา เฟทก็มีเงินเพียงพอที่จะเช่าอยู่ต่อในห้องที่ดีกว่าเดิม...


ต้องขอบคุณที่คนในหมู่บ้านนี้ค่อนข้างซื่อและจิตใจดี อาจเป็นเพราะความที่เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ ผู้คนก็ทำมาหากินพอเพียงไม่ได้ยากลำบากแร้งแค้นแตกต่างจากอีกหลายๆ แห่ง ความโชคดีนี้ทำให้ผู้คนที่นี้ยังคงรักษาความดีในจิตใจเอาไว้ได้ส่วนหนึ่ง


มือใหญ่ดึงผ้าที่วางเอาไว้เพื่อลดไข้ออกอย่างเบามือเพื่อนำไปซักและเปลี่ยนน้ำกับผ้าผืนใหม่ขึ้นมา เมื่อกลับขึ้นมา...เฟทก้มลงมองร่างบางหลับใหลยังไม่ได้สติเพราะพิษไข้และความอ่อนล้าด้วยความสงสารสุดใจ


กว่าจะตัดใจผละมาได้ก็ปาเข้าไปพักใหญ่...เฟทจัดการกับตนเองเงียบๆ ทั้งอาบน้ำ โกนหนวดเคราที่เริ่มขึ้นมาจนครึ้ม และเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นเสื้อของตนเองที่นำมาจากโอราเคิลอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพิศดูตนเองในกระจกชายหนุ่มก็ถอนใจออกมา เมื่อภาพในนั้นสะท้อนร่างน้อยที่นอนนิ่งอยู่บนที่นอนอย่างทรมานด้านหลังเขา นั่นทำให้เฟทนึกขึ้นได้...ร่างบางไม่มีข้าวของส่วนตัวติดกายมาเลยแม้แต่เสื้อผ้าสำหรับผลัดสักชุดก็ไม่มี จะให้ใส่เสื้อผ้าของเขาหรือก็คงจะไม่เหมาะ...เพราะมันคงดูแปลกที่หญิงสาวตัวเล็กนิดเดียวจะสวมเสื้อผ้าของผู้ชายตัวใหญ่กว่านางเกือบเท่าตัว


ถ้าฟื้นขึ้นมา นางคงอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ที่สำคัญเวลานี้ชุดของนางที่ติดมาด้วยก็สกปรกซ้ำยังเป็นชุดคนใช้เสียอีกด้วย เมื่อตอนที่เขาขอให้นายหญิงของโรงแรมนี้ช่วยผลัดเสื้อเช็ดตัวให้กับนาง ในตอนนี้...ฟีต้าสวมเสื้อตัวใหญ่ของเขาเอาไว้อยู่ก็จริง แต่เมื่อทั้งคู่จะต้องเดินทางไปจากที่นี่ เสื้อตัวนั้นคงใช้ไม่ได้อีกนอกจากในเวลานอน


ชายหนุ่มจำต้องออกไปซื้อเสื้อผ้าเสบียงรวมทั้งสิ่งของที่จำเป็นข้างนอก เฟทฝากหญิงสาวเอาไว้กับนายหญิงของโรงแรมให้ดูแลพร้อมทั้งทิ้งเงินเอาไว้ให้สำนวนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่จำเป็นก็ตามเพราะกว่าที่นางจะฟื้นขึ้นมาก็คงจะอีกนาน แต่ชายหนุ่มก็ทำไปด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าหากนางลืมตาตื่นขึ้นมาเพียงลำพังแล้วไม่พบเขาอยู่ใกล้ๆจะร้อนใจ หรือน่ากลัวกว่านั้น นางจำคิดว่าเขาได้ทิ้งนางจากไปแล้ว...


เมื่อออกมาในส่วนค้าขายของหมู่บ้านชายหนุ่มก็ต้องพบกับ...การต้อนรับที่ไม่คาดฝัน!


สิ่งที่เฟทเจอก็คือภาพแปลกตาที่สุดที่ใครจะเห็นได้...กองโจรในคราบทหาร! เฟทจำได้ถึงหน้าตาของคนหนึ่งในกลุ่มนั้นว่าเป็นหนึ่งในพวกพ่อค้าทาสที่ลักพาตัวเขาและฟีต้าไป!


“พวกเราขอจับกุมตัวเจ้า...ในข้อหาลักพาตัวสาวใช้!!!”


คนที่ดูท่าทางเป็นหัวหน้าก้าวออกมา ในเวลาเดียวกัน พวกลูกน้องก็เข้ามารุมจับเฟทกดเอาไว้กับพื้นตรึงชายหนุ่มเอาไว้อย่างแน่นหนา จำนวนคนทำให้เฟทหมดทางหนีราวกับสัตว์ที่เดินเข้ามาติดกับ!


เสียงนั่น...เฟทจำได้ในทันที มันก็คือ...เสียงของผู้ชายที่วางแผนร้ายร่วมกับนายผู้ชายของคฤหาสน์ที่เขาแฝงตัวเข้าไปหลังนั้นนั่นเอง!


“แก... เฟทกัดฟันกรอดขณะที่เหล่าโจรในชุดทหารเข้ามาจับตัวเขาเอาไว้





 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:37:43 น.
Counter : 204 Pageviews.  

คิมหันต์ที่ 9/2

“หึ...หาเจอจนได้ ไอ้ตัวแสบ...” เล็คซ์แสยะยิ้มให้กับชายผู้บัดนี้ถูกเหล่าลูกน้องของเขาเข้ารุมตะครุบตัวกดเอาไว้แต่ยังพยายามดิ้นรนจนถึงที่สุด


“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้หน้าอ่อนแบบนี้ที่ทำให้พวกเรายุ่งกันไปหมด ชายอีกคนก้าวออกมาเคียงข้างชายผู้เป็นหัวหน้า สีหน้าที่แสดงความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด และผิวหน้าที่แดงจัดราวกับกำลังโกรธกรุ่นนั้น ทำให้ผู้เป็นหัวหน้าต้องเอ่ยปรามเอาไว้


“ใจเย็นๆ น่ะทีอาส! ตอนนี้เรากำลังแสดงเป็นทหารของซานซาลอว์อยู่นะ ถ้าทำอะไรเกินไปกว่านี้พวกชาวบ้านจะกลัวกันหมดและก็อาจจะเกิดความระแวงสงสัยได้ อย่าลืมสิว่าคนที่เดินในหมู่บ้านลิสมัตที่ส่วนหนึ่งก็เป็นพวกขุนนางที่มาตากอากาศที่ลิสมัตนี้ เราไม่ต้องการให้พวกมันเข้ามายุ่งกับแผนการของพวกเรา อย่าทำให้เสียเรื่องใหญ่เพียงเพราะเรื่องเล็กๆ นี่สิ” เล็คซ์เอ่ยปราม ทำให้ทีอาสค่อยสงบลง


“แล้วนังผู้หญิงล่ะ! เล็คซ์ มันมีผู้หญิงอยู่กับมันด้วยนี่...”


เล็คซ์เองก็คิดอยู่เช่นกัน แต่ด้วยทีท่าของหญิงสาวที่ตื่นกลัวและเสื้อผ้าที่นางใส่ ทำให้เขาปักใจว่า นางไม่ได้มีส่วนรู้เรื่องอะไรเลย เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา


“แค่ผู้หญิงคนเดียว ไม่มีปัญญาทำอะไรได้หรอก จากท่าทางของนางตอนนั้น บางทีนางอาจจะเป็นแค่หญิงรับใช้ธรรมดา ไม่ต้องไปสนใจ...เอาตัวมันไอ้เจ้าหมอนี่ไปหาท่านจีอัสแล้วเราค่อยสอบมันทีหลังก็พอ”


ฟีต้าลืมตาขึ้นมาพบกับเพดานของห้องสีขาวสะอาดตา และเสียงของสตรีนางหนึ่งดังมาจากไกลๆ...ความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาในหัวก็คือ เฟทอยู่ไหน?


“เฟท...ฟ เฟท...”


“นางฟื้นแล้ว...” เสียงบอกความยินดีของสตรีดังขึ้นยังความสับสนว้าวุ่นใจให้กับนาง...เฟทอยู่ไหน...และนางอยู่ที่ไหน?


“ฟื้นแล้วเหรอจ้ะแม่หนู...พี่ชายของเจ้าออกไปซื้อของข้างนอก จนป่านนี้ยังไม่กลับมา เจ้าหิวหรือเปล่า...อยากกินอะไรไหมข้าจะหามาให้...” นายหญิงเจ้าของโรงแรมเอ่ยถามอย่างมีไมตรี หากความคิดของหญิงสาววนเวียนอยู่แค่เพียง...เฟท...เท่านั้น


“เฟท...เฟทอยู่ไหน ข้าอยู่ที่ไหน เขา...”


“ใจเย็นๆ จ้ะแม่หนู พี่ชายเจ้าไม่หายไปไหนเดี๋ยวเขาก็กลับมาอย่าได้เป็นห่วง พี่เจ้าบอกว่าเขาไปซื้อของข้างนอกประเดี๋ยวจะกลับ ให้ข้าดูแลเจ้าที่นี่ เจ้าต้องการอะไรไหม ข้าจะไปหามาให้...”


ฟีต้ายังคงสับสน หากภายในปากและริมฝีปากนางก็แห้งผาก “น้ำ...”


“ได้ๆ ข้าจะไปหามาให้...” รับคำแล้วหญิงสูงวันก็เดินไปตามนำของตามที่ขอ...ลับร่างหญิงนางนั้นไป ฟีต้ายันร่างขึ้นนั่งด้วยเรี่ยวแรงที่มีอย่างทุลักทุเล


“เฟท...” ร่างน้อยแม้แทบสิ้นเรี่ยวแรงที่มีหากนางก็ยังรั้นที่จะลงจากเตียงนอนของตน ด้วยหมายใจว่าจะออกไปตามหาชายหนุ่มผู้นั้น ร่างที่เดินเซซวนไปตามทางในโรงที่พักแรมนั้นแม้จะหายใจหอบเหนื่อย และร่างกายที่ปวดร้าวราวกับจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ


ฟีต้าโอบกอดร่างของตนเองเอาไว้ยามที่พาร่างของตนไปตามทางในโรงที่พักแรมราวกับพยายามฉุดรั้งร่างไม่ให้แหลกสลายและสติของตนไม่ให้หลุดลอยไป


ครั้นเมื่อนางเดินมาจนถึงประตูบานหนึ่ง...


“ว่ายังไงนะ! พี่ชายของเด็กนั่นถูกพวกทหารจับตัวไปอย่างนั้นเหรอ...โอ...น่ากลัวจริง แล้วเด็กสาวคนนั้นละคะ เราจะทำยังไงกับเด็กคนนั้นดีคะนี่...” เสียงของภรรยาเจ้าของโรงแรมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว ในขณะที่ผู้เป็นสามีถอนหายใจหนักหน่วงอย่างเป็นกังวล


“ดูจากท่าทางของเขาสองคนไม่น่าเป็นคนร้ายไปได้เลยนะ ท่าทางของเด็กคนนั้นก็น่าสงสาร น่าจะเป็นการเข้าใจผิดของพวกทหารมากกว่า หรือไม่บางทีนางอาจจะไม่รู้เรื่องที่พี่ชายของนางทำก็ได้ ข้าเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน...”


แต่ในเวลานั้นเองที่สองสามีภรรยากำลังหารือเกี่ยวกับเด็กสาวผู้น่าสงสาร หญิงสาวคนที่ทั้งคู่กำลังพูดถึงก็พาตนเองจากสถานที่แห่งนั้นไปแล้ว...


มือและเท้าของเขาถูกพันธนาการเอาไว้ ใบหน้าของเขาก็บวมช้ำจากการถูกซ้อม โชคยังดีที่ฟันเขาแข็งแรงเลยไม่มีซี่ไหนร่วงออกมาจากปากจากการถูกทารุณซ้อมตีนั่น กระนั้นริมฝีปากของเขาก็แตกยับ...


เพื่อให้เขาคายข้อมูลอะไรบางอย่างที่พวกมันคิดว่าเขาเข้ามาสืบ เฟทจึงทั้งถูกเตะถีบต่อยตีไปจนทั่วร่าง ยังดีที่เป็นเพียงแค่แผลพกช้ำดำเขียว แต่ถึงเลือดของเขาจะออก พวกมันก็ไม่มีทางดูออกภายในห้องที่มืดทึบเช่นนี้ได้หรอก ว่าเลือดในกายของเขา...ไม่ได้เป็นสีเดียวกับพวกมัน!


และด้วยเลือดนี้เองที่ทำให้แผลปริแตกเมื่อสี่ห้านาทีก่อนเหลือเป็นเพียงแค่ร่องรอยเขียวๆ ม่วงๆ และแถบแดงจางๆ บนผิวเนื้อของเขาเท่านั้น บาดแผลสมานกันได้อย่างรวดเร็ว...แต่ถ้าหากนั่นทำให้พวกมันสังเกตเห็นความผิดปรกติของเชลยผู้นี้ละก็ ร่างของเขาคงต้องถูกพวกฉีกชำแหละออกเป็นชิ้นๆ แน่!


เสียงคนเดินลงมาจากด้านบนทำให้ชายหนุ่มรู้ว่า การทรมานกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง...


“นี่เหรอที่เจ้าว่าทรมานทุกวิถีทาง...นี่มันแค่พกช้ำนิดเดียวเท่านั้นเองไม่ใช่รึไงไอ้พวกไม่ได้เรื่อง เสียงของชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เฟทมองไม่เห็นหน้าชายผู้นี้ แต่เสียงของเขานั้นฉุกความทรงจำอันเลือนรางของเฟทขึ้นมา


“แต่ว่าท่านจีอัส...พวกเราเฆี่ยนมันจริงๆ นะขอรับท่าน”


ชายแก่หันกลับไปมองเหล่าลูกน้องด้วยสายตาดุกร้าวจนเหล่าลูกน้องทั้งหลายถึงกับสะดุ้ง! “แล้วที่เห็นตรงนี้นี่มันอะไร หรือเจ้าจะบอกว่าไอ้สายลับนี่มันเป็นยอดมนุษย์รึไง! เอาแส้ม้ามา...ข้าจะจัดการมันเอง


เวลานั้นเองที่เฟทเงยหน้าขึ้นมาพบกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง สายหนังที่ถูกร้อยรัดรวมกันจนแน่นแล่นฝ่าอากาศด้วยความเร็วจนเกิดเสียงน่าหวาดเสียวตามติดด้วยเสียงฟาดและความเจ็บร้าวบนผิวกาย


ด้วยแรงหวดที่สาดกระหน่ำเข้ามา เฟทภาวนาในใจขออย่าให้ตนเองสิ้นสติไปหาไม่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขาก็ไม่รู้ เวลานี้เขายังคงสติเอาไว้ได้การใช้อำนาจจิตทำให้สิ่งที่พวกมนุษย์มองเห็นว่าเลือดเขาเป็นสีแดงเช่นเดียวกันกับพวกมันก็พอจะทำได้ แต่หากสติของเขาหมดไป พวกมันต้องสับร่างของเขาออกเป็นร้อยท่อนแน่!


เสียงเพี้ยะๆ ดังมาเข้าหู ขณะที่เสียงหวดอีกวูบหนึ่งดังขึ้น เฟทรู้สึกราวกับว่าตนได้หมดสติไป!


“นั่นอะไรน่ะ เสียงนั่นทำให้เฟทสะดุ้งความเจ็บปวดดึงสติของเขากลับคืนมาอีกครั้ง...แต่สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้เขาแล้วก้มมองบาดแผลของไคเมร่าหนุ่มอย่างสนใจ!


“น้ำ...ไม่สิเลือดนี่! สีของเลือดนี่มันไม่ใช่สีแดง...”


เฟทกัดฟันกรอดกับความพลาดพลั้งของตน หากดวงตาของเขาพร่ามัวไปหมดยามเมื่อเงยขึ้นมองใบหน้าครุ่นคิดของชายตรงหน้า ใบห้าเหี่ยวย่นซีดขาวเหมือนคนทางเหนือ ดวงตาสีซีดๆ ของชายผู้นี้ทำให้ไคเมร่าหนุ่มนึกถึงท้องฟ้าในฤดูหนาวอันทารุณ...เทา และไร้ชีวิตชีวา...


“เจ้า...เป็นสิ่งนั้น...” ชายสูงวัยผู้นั้นเอ่ยขึ้น


ในขณะที่ดวงตาเยียบเย็นนั้นเปล่งประกายเพียงวูบแล้วแวบหาย ผู้ที่ถูกเรียกขานนามอย่างนอบน้อมว่าจีอัสถอยห่างไปเพื่อมองชายหนุ่มผู้ถูกพันธนาการไว้ให้เต็มตา เฟทที่อ่อนล้าจนคอตกนั้นมองไม่สามารถเห็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบนใบหน้าของชายแปลกหน้าผู้นี้ได้ หาไม่แล้วเขาจะต้องกระหายที่จะดิ้นรนหนีรอดออกไปให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และไม่ว่าด้วยวิธีการอันใดก็ตาม! จีอัสประกาศด้วยน้ำเสียงยินดีอย่างเยือกเย็นต่อลูกน้องของตน...


“เราได้สิ่งที่มีค่าที่สุดมาไว้ในกำมือแล้ว


เพล้ง! เสียงแก้วแตกดังสะท้อนไปตามผนังหินอ่อนในห้องที่ตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามราวกับวิมาน ดวงตาที่ทอดมองถ้วยแก้วแตกออกเป็นสองเสี่ยงต่อหน้าต่อตาถึงกับอึ้งค้างกับภาพตรงหน้าไปอึดใจใหญ่


สายลมวูบหนึ่งพัดเรือนผมสีดำมันขลับแม้จะผ่านกาลเวลาไปกว่าหลายร้อยปีให้ปลิวปละละดวงหน้าคมงามมาโดยตลอดนับแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้าโน้นและราวกับยิ่งจะทวีความงามนั้นให้เด่นชัดยิ่งขึ้นด้วยแววตาคมกล้าทรงภูมิอย่างน่าพิศวงยิ่งขึ้นตามวันและเวลาที่ผ่านไป


ร่างบางกระแทกมือลงกับโต๊ะและผลุดลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางตื่นตระหนก เป็นเวลาเดียวกันที่ผู้เป็นสามีของนางเดินผ่านโค้งประตูเข้ามา


“เกิดอะไรขึ้นรึ...ที่รัก?” เฟตระหนกไปเช่นเดียวกันกับท่าทางของภรรยา นางไม่เคยมีทีท่าทาว่าควบคุมตนเองไม่ได้เช่นนี้มาก่อน


“เฟคะ! ข้า ข้ารู้สึกว่ามีเรื่องไม่ดี เกิดขึ้นกับลูกค่ะ...กับเฟท ฟาฟาทอดสายตามองลงไปยังถ้วยแก้วที่แตกออกเป็นสองเสี่ยง...นางไล้สายตามองตามรอยแตกที่เรียบตรงนั้นอย่างไม่สบายใจ...เฟรั้งร่างบางเข้ามาโอบประคองเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างปลอบโยน


“เชื่อมั่นในตัวลูกของเราเถอะที่รัก...เขาเป็นลูกของเราและเขาเป็นคนเก่ง ต่อให้พลาดพลั้ง เขาจะต้องรอดกลับมาหาเราจนได้ เชื่อข้าเถอะ...” ถ้อยคำปลอบประโลม น้ำเสียงอันอ่อนโยนของสามีทำให้ฟาฟาคลายความวิตกลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฟาฟาซบหน้าของตนลงกับอ้อมอกกว้างราวกับจะหาที่พึ่งพิงจิตใจของนาง...ซึ่งนานมากแล้วที่นางไม่ได้เป็นเช่นนี้นับแต่เหตุการณ์ก่อนเก่าเนิ่นนานนั่นเป็นต้นมา ฟาฟาไม่เคยมีท่าทางอ่อนแอเช่นนั้นอีกเลย...จนมาถึงตอนนี้ เมื่อเฟทจำต้องเดินทางออกท่องโลกมนุษย์นานเกินกว่าจำเป็น...


เฟทอดตาลงมองไปยังถ้วยแก้วที่แตกออกเช่นเดียวกัน แม้จะยืนสงบนิ่งมั่นคงเป็นหลักอยู่ตรงนั้นเพื่อภรรยาของตนก็ตาม แต่ภายในใจของเขานั้นหวั่นไหวไม่แพ้กัน...


ลูกข้า...เจ้าต้องปลอดภัย!






Free TextEditor




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:36:58 น.
Counter : 167 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ArTimuS
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





PhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucket


นิยายอัพเดท...Photobucket

-ปฏิบัติการหักร้างถางรักPhotobucket
เรื่องราวความรัก แนวโรแมนติกดราม่า ของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเลิกลากันไป แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็กลับมาเพื่อขอเคียงคู่เธออีกครั้ง ความรักแสนเศร้าครั้งนี้จะเป็นอย่างไร สำหรับผู้ที่ชื่นชอบนิยายรักพลาดได้นะคะ (อัพเดทใหม่ล่าสุดค่ะ)

-คีตคิมหันต์ Photobucket
ภาคต่อจากเรื่องลำนำเหมันต์ เมื่อคุณพ่อคนเก่งลงโทษคุณลูกตัวแสบให้ออกติดตามหาวิหคศักดิ์สิทธิ์จนนำไคเมร่าหนุ่มไปยังโลกมนุษย์จนได้พบกับเด็กสาวผู้อาภัพและเหตุการณ์เหนือความคาดฝัน นิยายแฟนตาซีโรแมนติกที่แฟนนิยายมกราไม่ควรพลาดค่ะ (อัพเดทใหม่ล่าสุดค่ะ)

-Love Happening
เรื่องสั้นของสองหนุ่มสาว และความไม่เข้าใจกัน อุปสรรค และมนต์เสน่ห์แห่งเทศกาล (น่าเสียดายที่ห้องนี้บังเอิญล็อคเพราะเนื้อหาบางตอนไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชน แต่ถ้าสนใจและอายุไม่ต่ำกว่า18 สามารถขอพาสเวิร์ดได้โดยการส่งอีเมลมายัง จขบ. หรือหลังไมค์มาก็ได้นะคะ)Photobucket

-Pretty Doll
เรื่องสาวผู้น่ารักของเมทสาวกับนายหนุ่มจอมเสเพลที่เก็บเธอมาเลี้ยง เรื่องรักกุ๊กกิ๊กแนวโรแมนซ์แสนฮาเฮ (น่าเสียดายที่ห้องนี้บังเอิญล็อคเพราะเนื้อหาบางตอนไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชน แต่ถ้าสนใจและอายุไม่ต่ำกว่า18 สามารถขอพาสเวิร์ดได้โดยการส่งอีเมลมายัง จขบ. หรือหลังไมค์มาก็ได้นะคะ)PhotobucketPhotobucket

- Love in Rain
รวมเรื่องสั้นของเจ้าของบ้าน เรื่องราวความรัก และสายฝนอันชุ่มฉ่ำ



Photobucket
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ArTimuS's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.