คิมหันต์แห่งการเริ่มต้นใหม่
Epilogue ท้องฟ้าสีครามจัด ภายใต้แสงตะวันอันอบอุ่นมีแผ่นดินอันไพศาลทอดตัวอยู่เบื้องล่าง จากฟากฟ้ามองลงมายังดินแดนนั้นดุจสรวงสวรรค์ เมื่อหัวใจของผู้มองนั้นเปิดกว้างออกรับความงดงามอย่างที่ดินแดนแห่งนี้เป็น เมื่อนานแสนนานมาแล้ว นางไม่เคยได้สังเกตความงามของโลกใบนี้มาก่อน ความรู้สึกที่มีต่อดินแดนอันกว้างใหญ่นี้มีเพียงแค่ ความทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุด ดินแดนแห่งความทุกข์ยาก หากในเวลานี้ หัวใจของนางได้เปิดออก ความงามที่นางมองเห็นในเวลานี้ก็คือความงามอย่างที่โลกใบนี้เป็นมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะโลกเปลี่ยน หากเป็นเพราะทัศนคติของนางได้เปลี่ยนแปลงไป เป็นตัวนางเองที่เปลี่ยนไปจากเดิม และไม่เหลือโลกใบเดิมอันมืดมนทนทุกข์นั้นอีกแล้ว มันคืออิสระที่กรุ่นกลิ่นหอมหวนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ มันคืออิสระที่คนอันเป็นที่รักได้มอบให้แก่นาง อิสระที่จะได้โบยบินไปในโลกกว้าง อิสระที่จะได้เรียนรู้และได้พบเห็น อิสระที่จะได้ทำทุกสิ่งและลองในทุกๆอย่าง อิสระที่ตัวนางจะได้เป็นและได้เลือกที่จะเป็น นั่นคือทั้งหมด และเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง... อิสระในการเป็นตัวของตัวเอง! และคนที่ทำให้นางได้เห็น ได้รู้ ได้เจอ ได้ลองทำในทุกๆสิ่งที่ปรารถนาเยี่ยงนี้ได้ก็คือ...เขา...ชายเพียงคนเดียวที่สำคัญยิ่งกับนางในเวลานี้...เฟท...ชายคนเดียวที่ผลักดันนางในทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง และทุกๆทางที่เป็นไปได้! ริมฝีปากเล็กๆขับขานลำนำที่เมื่อนานแสนนานมาแล้วจนนางเจียนจะลืมเลือนว่า ครั้งหนึ่งนางชอบร้องเพลงสื่อความรู้สึกของตนเช่นนี้มากเพียงไร... ท้องฟ้ากว้างไกลสุดสายตา... สกุณาถลาร่อนโผผิน... เจ้าตัวน้อยลอยว่อนกางปีกบิน... สู่แดนอินทร์ถิ่นฟ้านภางาม... ฟีต้ากางแขนออกจนสุด สูดกลิ่นหอมของอิสรภาพอันแสนสดชื่นสวยงามตระการตา ในยามนี้ ยามที่เธอได้ยืนอยู่หมิ่นเหม่ขอบผาสูงเช่นนี้ ความรู้สึกที่ได้รับนั้นราวกับว่านางได้โอบกอดโลกทั้งใบเอาไว้ หนอยยยย ทำเป็นอารมณ์ดีขับลำนำนะแก! ในที่สุดก็หนีไม่พ้น! เจ้าหัวขโมย!!! เสียงของชายผู้หนึ่งดังไล่หลังนางมา หลังจากที่นางได้แอบเข้าไปเดินเล่นในกองทหารซึ่งรวมพลกันอยู่ใกล้กับอาณาเขตชายแดน บนที่ราบระหว่างเขา หญิงสาวในชุดนักเดินทางโพกศีรษะด้วยผ้าโพกสีน้ำตาลสลับลายหันมาทำตาโตทักทวน หากริมฝีปากกลับแย้มยิ้มยเยาะขบขัน นี่ๆๆ นายท่าน ข้าไม่ได้ขโมยอะไรมาสักหน่อย ข้าแค่เข้าไปเดินเล่นในเต้นท์ของพวกท่านก็เท่านั้นเองนา...อย่าขี้โมโหนักสิเจ้าคะ ท่านนายกอง ข้าเป็นแค่สิบโทเท่านั้น! อย่ามายั่วให้ข้าโมโหนะนางตัวดี ยอมให้จับรับโทษเสียดีดี จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว! ชายผู้นำทหารเพียงหยิบมือไล่ตามมาร้องตอบในขณะที่คนอื่นๆยืนหอบหมดแรงกันเสียแล้ว...ไม่รู้จักออกกำลังกายกันเสียบ้างเล๊ย วิ่งขึ้นเขาแค่นี้ก็หอบซะแล้ว! โอ้! ถ้าเช่นนั้นก็เข้ามาจับข้าเลยซี้ ท่านนายกอง เวลานั้นเองที่ลมพัดวูบขึ้นรุนแรง ร่างบางซึ่งยืนหิ่นขอบเหวอยู่นั้นพลันเอียงวูบอย่างน่าหวาดเสียวพลางพยายามที่จะทรงตัวเอาไว้ให้ได้ใหม่ ขณะที่นางกำลังยืนโอนไปเอนมาและเกือบๆที่จะทรงตัวเอาไว้ได้นั้นเอง ลมกรรโชกอีกวูบก็พัดนางเสียหลักลื่นตกลงเหวไปต่อหน้าต่อตานายทหารทั้งหลายทันที! ว๊ายยย!!! เฮ๊ย! เจ้า! นายทหารร้องด้วยความตกใจ พลางจะเข้ามาช่วยคว้าร่างเอาไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว ร่างนั้นร่วงจากขอบเหวลงไปเสียแล้ว ทำให้นายทหารผู้นั้นคว้าเอาไว้ได้แต่อากาศแถมยังพลาดท่าจะตกลงมาเองเสียอีกด้วย โชคยังดีที่เพื่อนทหารดึงเอาไว้ทัน... ในขณะที่นายทหารถูกเพื่อนๆดึงกลับขึ้นจากหน้าผาได้นั้นเอง ทหารทั้งหน่วยก็ต้องตกใจอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างสองร่างลอยอยู่กลางอากาศ ร่างหนึ่งคือร่างของชายหนุ่มรูปงามมีเรือนผมสีดำขลับ ดวงตาเป็นสีทองเป็นประกายดุจทองคำลอมเหลวอยูภายใน กับอีกร่างบางในอ้อมแขนของชายหนุ่มซึ่งเรือนผมยาวสลวยของนางเป็นสีเงินต้องแดดเป็นประกายประดุจประดับกากเพชรแวววาว ผิวขาวใสและใบหน้าสวยหวานงามราวนางอัปสรซึ่งถูกสลักเอาไว้ในวิหาร...ไม่สิ! งามยิ่งกว่าจินตนาการนั้นเสียอีก! ระวังหน่อยสิ! ฟีต้า เจ้ายังแปลร่างไม่คล่องเลย ถ้าข้ามารับเอาไว้ไม่ทัน หล่นลงไปตายจะทำยังไง! เสียงห้าวๆเอ็ดสาวในอ้อมกอด ฟังจากน้ำเสียงไม่ค่อยจริงจังเท่าไรนัก หากฟังดีดีอีกที น้ำเสียงติดจะขบขันเสียด้วยซ้ำ ข้าไม่กลัวหรอก ข้ารู้ว่าเฟทจะต้องช่วยข้าทัน ร่างนั้นหันไปคล้องแขนรอบคอชายหนุ่มแล้วดันตัวเข้าไปหอมแก้มของเขาครั้งหนึ่ง แสดงความรักใคร่อย่างเปิดเผย หมดเวลาซนแล้วสาวน้อย เราต้องกลับไปกันได้แล้ว เฟทขยับปีกกระพือลมแล้วโผนบินออกไป สองหนุ่มสาวหาได้สนใจสายตาที่มองตามอย่างตกตะลึงแทบสิ้นสติของเหล่าทหารผู้ขวัญกระเจิงทั้งหลายเลย แม้แต่นิดเดียว! โอราเคิล ดินแดนอันเกิดจากเหล่าทวยเทพประทานพร...ภายใต้ท้องฟ้างามดุจภาพเขียนสี ภายในอ้อมกอดของขุนเขาอันรายรอบ คือแดนฝันอันพรรณราย ดินแดนอันสงบสุขในแบบที่มันเป็น ดินแดนที่เหล่าสรรพสัตว์อยู่ร่วมกันโดยสันติและคงไว้ซึ่งความสมดุลแห่งสรรพสิ่ง จนกว่าถึงวันสิ้นสลาย... ฟากฟ้ายามนี้เป็นสีฟ้าอมม่วงและชมพูอ่อนๆจากแสงตะวันที่กำลังจะลาลับ หมู่ดาวเริ่มเคลื่อนตัวมาประดับวับวาวราวกับกากเพชรเหนือหมู่เมฆขาวที่ดูอ่อนนุ่มราวกับปุยฝ้าย สูญกลางของโอราเคิ้ลเวลานี้ถูกย้อมด้วยสีเขียวของใบไม้แรกผลิ...ฤดูกาลแห่งการเกิดใหม่...พื้นดินชุ่มฉ่ำด้วยน้ำจากหยาดฝนที่โปรยปราย และการละลายของหิมะ ต้นใหญ่ใหม่แตกออกแผ่ไปบนผืนดินดูนุ่มฟูเหมือนผืนพรม ดอกไม้ดอกเล็กๆสีขาวเติบโตเบ่งบานอยู่โดยทั่วไป ดอกไม้ขาวแห่งโอราเคิล ซึ่งแทนความหมาย หัวใจอันพิสุทธิ์ ของชาวโอราเคิลที่ทุกคนบนดินแดนแห่งสวรรค์นี้ภาคภูมิใจ นิ้วเรียวดุจลำเทียนเด็ดดอกไม้ดอกน้อยซึ่งภายในปกป้อง อัญมณีแห่งรุ่งอรุณ ไว้ชั่วกาล ส่งกลิ่นหอมดุจความรักอันอ่อนหวานที่สุด ส่งให้ร่างน้อยในอารณ์สีเดียวกับท้องฟ้า เรือนผมงามสีเงินบัดนี้ถูกรวบขึ้นกลัดเกล้าและประดับประดาอย่างงดงาม เสริมความเยาว์วัยใสสะอาดของนางให้งามพิสุทธิ์ยิ่งขึ้น พวงแก้มใสคราใดที่ได้รับดอกไม้น้อยๆนี้มาก็พลอยที่จะออกสีระเรื่อขึ้นมาเสียทุกคราไป ดวงตาสีอำพันดุจเดียวกันกับดวงตาของชายคนรักนั้นระยับหวานหลุบลงมองดอกไม้ดอกน้อยในมือนาง ริมฝีปากแย้มออกนิดๆแฝงความอ่อนหวานจากหัวใจ เมื่อร่างสูงลุกขึ้นยืนเบื้องหน้า วงแขนกว้างก็โอบรั้งร่างน้อยเข้ามาแนบกับหัวใจแล้วประพรมจุมพิตระไปบนเรือนผมของนางอย่างบูชา วันนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว วันคืนที่ทั้งนางและเขาเฝ้ารอคอยมาโดยตลอด วันที่จะได้สาบานรักนิรันดรนี้ร่วมกันต่อเหล่าทวยเทพและสักขีพยาน เพื่อก้าวเดินไปด้วยกัน และโบยบินไปด้วยกันยังฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ มีเพียงกันและกันตลอดไป นับแต่วันที่ข้าได้พบเจ้า...ข้าไม่รู้เลยว่าโลกของข้าจะเปลี่ยนแปลงไป เฟทเอ่ยออกมา เมื่อนำนางออกเดินไปพร้อมกัน มือน้อยๆประคองดอกไม้ดอกสวยเอาไว้ในมืออย่างทะนุถนอม อีกข้างก็กุมมือคนรักส่งผ่านความอบอุ่นซึ่งกัน แต่นับจากวันที่ข้าพบท่าน โลกของข้าได้เปลี่ยนไป ในวันนั้น...วันที่ท่านออกมาจากหลังต้นไม้ต้นนั้นแล้วช่วยข้าเอาไว้จากหมาป่าฝูงนั้น ชีวิตของข้า...กลับมามีความหมายขึ้นอีกครั้ง เฟทย่นคิ้ว มองดวงหน้าหญิงคนรักด้วยสีหน้าอันแสดงความประหลาดใจ... เจ้าจำได้อย่างนั้นเหรอ? จำได้เมื่อไหร่? ข้าจำได้ตั้งแต่แรกที่ข้าได้พบท่านอีกครั้ง หลังจากที่เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลง...ข้าอายตัวเองเหลือเกินที่ตลอดเวลาในดินแดนของพวกมนุษย์นั้น ข้ากลับอยากกลบฝังลืมมันไป ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีถ้าพบท่าน แต่ปรากฏว่า ท่านกลับไม่ยอมมาพบข้าแทนเสียนี่! เฟทนึกออกทันทีว่าตอนไหน ชายหนุ่มมีสีหน้าแสดงความสำนึกผิดในทันที ตอนนั้นข้ารู้สึกไม่มั่นใจ เรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ทำให้เราได้ใกล้ชิดกัน แต่ข้าก็กลัวว่า เจ้าจะไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้ารักเจ้า ข้ากลัวว่าความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้านั้นมันจะเป็นเกิดขึ้นเพียงเพราะความรู้สึกขอบคุณ กลัวว่าวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว ความรู้สึกของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป ไม่เลย ไม่เคยแม้แต่จะจืดจางลงเลยสักวันเดียว ดวงตาแจ่มใสเงยขึ้นสบสานลึกซึ้งกับดวงตาของผู้เป็นที่รัก ข้ารักเฟท ที่พูดคุยกับข้าอย่างสนุกสนาน เฟท ที่พยายามที่จะปกป้องข้าด้วยชีวิต เฟท ที่ทำทุกอย่างเพื่อข้า เพื่อให้ข้าได้พบความสุข เฟทคือโชคชะตาของข้า และ ศรัทธาของข้า...มีเพียงเฟทเท่านั้น ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของข้า ทำให้โลกใบนี้ของข้างดงามหาใดปาน สองหนุ่มสาวยิ้มให้แก่กันมือใหญ่กุมมือน้อยเอาไว้ แล้วออกเดินอีกครั้ง ความอบอุ่นจากมือนั้นซึมลึกเข้าสู่หัวใจ โอบกอดความรู้สึกอันเต็มเปี่ยมนี้ไว้อย่างมั่นคง... ดอกไม้ดอกน้อย โอบอุ้มเฝ้าคอยปกป้องประคองหยาดแห่งอรุณไว้ราวกับสิ่งมีค่าดุจเดียวกับมือของชายผู้เป็นที่รักโอบอุ้มหญิงสาวผู้เป็นดั่งดวงใจ กอดเกี่ยวกันไว้อย่างลึกซึ้งอุ้มชูดูแลตราปชั่วกาล และ นี่ก็คือ คำบอกรัก อันอ่อนหวานที่สุด ที่ชายแห่งแดนสวรรค์นี้ จะมอบให้กับนางได้... The end. 28/05/2551 (2008)
Free TextEditor
Create Date : 30 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:05:49 น. |
|
1 comments
|
Counter : 326 Pageviews. |
|
|
cute and give many good thinking