~* SumiTra is a Pali name...it means 'GooD Friend'. *~

108 เรื่อง ว่าด้วยความเป็นมาของแซนวิช

พวกเรานั้นรู้กันดีว่า แซนวิช เป็นอาหารที่ทำขึ้นโดยใช้ขนมปังสไลด์หนึ่งหรือสองแผ่นกับเครื่องหนึ่งอย่างหรือมากกว่า ซึ่งตัวขนมปังนั้นไม่จำกัดว่าจะถูกปรุงขึ้นมาด้วยส่วนผสมอะไรบ้าง ซึ่งทุกวันนี้เราสามารถพบเห็นแซนวิชที่มีหน้าตาต่างๆนานามากมายรวมไปถึงถูกทำขึ้นด้วยขนมปันหลากหลายชนิดหน้าตาสีสันด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีหน้าตาน่าทาน และบ้างก็ถูกทำขึ้นเพื่อให้ดีต่อสุขภาพSmiley แต่ว่าพวกเราทุกคนจะมีใครรู้บ้างว่าที่มาของอาหารสุดยอดนิยมของพวกเราอย่างแซนวิชนั้นเกิด จริงแท้แล้วเกิดขึ้นมาได้อย่างไรSmiley



แซนวิชในยุคแรกๆนั้นยังไม่ได้ถูกเรียกว่าแซนวิชSmiley และหน้าตาของแซนวิชในยุคแรกนั้นถูกประกอบขึ้นจากแผ่นขนมปัง Matzo ซึ่งเป็นขนมปังยิวที่มีหน้าตาเป็นแผ่นแบนๆไม่ขึ้นฟูดูคล้ายๆกับเสื่อ ห่อเนื้อลูกแกะ (Paschal lamb) กับผักรสขม ซึ่งอาหารนี้พระนักบวชชาวยิวที่มีชือว่า "ฮิลเลล (Hillel the Elder)" ได้บอกให้คนในศาสนาทานในช่วงเทศกาลวันศักดิสิทธิ Passover Smiley




และเมื่อเข้าสู่ช่วงยุคกลาง ขนมปังแผ่นหนาหยาบและมักจะถูกใช้เป็นถาดวางอาหารนั้นเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของแซนวิชแบบเปิดหน้าในยุคแรกๆ ซึ่งตัวขนมปังที่ถูกใช้วางอาหารด้านบนนั้นมีชื่อเรียกเล่นๆว่า "เขียง" Smiley เนื่องจากลักษณ์ของมันและการใช้งานที่ไม่ได้ต่างจากเขียง และเขียงที่ว่านี้หากไม่ได้ถูกทานเข้าไปด้วย(ซึ่งพวกผู้ดีสมัยนั้นคงไม่นิยมทานกันเข้าไป) ก็จะถูกเอาไปเลี้ยงหมาหรือขอทาน (เป็นการเก็บล้างที่ดูสะดวงดีแฮะ)Smiley อนึ่งวัฒนธรรมในการกินเช่นนี้ก็ได้ขยายจากฮอลแลนด์ในช่วงศตวรรษที่17 เชื่อมโยงมาถึงแซนวิชของอังกฤษในปัจจุบัน (จากการสำรวจของนักโภชนาการที่มีชื่อ John Ray ซึ่งก่อนหน้านั้นในประเทศอังกฤษไม่พบวัฒนธรรมในการกินเช่นนี้มาก่อน)



และในที่สุดแซนวิชก็ได้ปรากฏขึ้นในอังกฤษ และถูกบันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรกในEdward Gibbon's journal คำว่าแซนวิชนั้น ถูกตั้งขึ้นในศตวรรษที่18 โดยตั้งชื่อนั้น ตามฐานันดร เอิร์ลแห่งแซนวิชที่4 หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ จอห์น มอนตากิว ผู้จะว่าสร้างนวัตกรรมการกินนี้ก็ไม่เชิง เรียกว่าผู้นำแฟชั่นน่าจะถูกกว่า เมื่อมันได้ถูกกล่าวกันว่า ลอร์ดแซนวิช นั้นได้วางรูปแบบของอาหารชนิดนี้เพื่อให้สะดวกในการ "เล่นไพ่"Smiley โดยไม่ทำให้สำรับไพ่ของเขาเลอะเทอะ (อะไรจะติดเกมปานนั้นนะพ่อคู๊ณ)Smiley



และนี่ก็ถูกใช้เป็นโจ๊กใส่ไข่เล่าต่อกันมาและได้รับการเผยแพร่เป็นเรื่องขำขันในสารของ  Pierre-Jean Grosley's Londres(1770) ของฝรั่งเศส และถูกแปลมาลงใน A Tour to London(1772) อีกสองปีต่อมา ซึ่งโกรสลี่(Pierre-Jean Grosley; คาดว่าน่าจะเป็นชาวฝรั่งเศสก็เพราะชื่อนี่แหละ)ได้มาพบรูปแบบในการกินนี้ในระหว่างการเยือนลอนดอนในปี 1765 จากนั้นแซนวิชก็ได้ขยายความนิยมขึ้นจากการแนะนำของ N. A. M. Rodger ให้นำเข้ามาใช้ในกิจการราชนาวี(เพราะมันสะดวกกินอ่ะนะ)Smiley แล้วจึงแพร่หลายเข้ามาสู่โต๊ะอาหารของคนทั่วไปในที่สุด (คงจะเพราะพอทหารกลับบ้านก็คงจะติดกินอะไรเหมือนที่เคยกินมาละมัง)


 


และนี่คือเรื่องราวที่ทำให้แซนวิชนั้นเป็นที่นิยมและแพร่หลายไปสู่สังคมในทุกๆชนชั้นตั้งแต่ระดับสูงไปจนถึงระดับรากหญ้ามาถึงทุกวันนี้จ้า...SmileySmiley



ขอบคุณเรื่องราวดีดีจาก //en.wikipedia.org/
แปลและเรียบเรียงโดย จิ้งจอกน้อยArTimuS






Free TextEditor




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2552 14:11:29 น.
Counter : 1952 Pageviews.  

108 History of Tea

108 History of Tea
: Tea time--High Tea and Afternoon Tea


จาก Twinings

ประวัติการดื่มชานั้นมีกันมาเนิ่นนานแล้วก็จริง แต่ปัจจุบันนี้ผู้คนให้ความสนใจกับการดื่มชาน้อยลงในบางสังคม วันนี้ จขบ. ได้เอาเรื่องราวเกี่ยวกับการดื่มชามาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งแล้วค่า

การดื่มน้ำชาแบ่งเป็นสองแบบเวลาหลักๆด้วยกันค่ะ



อย่างแรกก็คือ High tea

ฟังแล้วอาจจะคิดว่าประหลาด หรืออาจจะนึกถึงการดื่มชาแบบหรูหราไฮโซในราชสำนักหรืออะไรทำนองนั้น แต่จริงๆแล้วนั้น high tea เป็นการดื่มชาในมื้ออาหารหลักๆ ซึ่งสมัยก่อนชาวอังกฤษมีมื้อหลักอยู่สองมื้อด้วยกัน คือ มื้อเช้าและเย็นเท่านั้น โดยมื้อเย็นนั้นจะเป็นมื้อหนักที่มีอาหารประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ เนย มันฝรั่ง ขนมปัง ผักดอง ชีส และแน่นอนที่สุดนั้นก็คือชา ที่มาของhigh teaนั้นมาจากการจัดอาหารขึ้นโต๊ะที่จะจัดใส่ภาชนะทรงสูงนั้นเองค่ะ



ส่วนAfternono tea

มีอีกชื่อว่า Low tea หมายถึงการดื่มชาในยามบ่ายที่มักจะถูกจัดขึ้นเล็กๆ บนโต๊ะทรงเตี้ย ทานกับอาหารเบาๆ ในครอบครัวชั้นสูงก็มักจะจัดให้เป็นอาหารพอดีคำ ไม่ว่าจะเป็นแซนวิช ขนมสโคน ขนมอบต่างๆ ดังนั้นคนในสมัยนั้นจึงนิยมจัดสังสรรค์พูดคุยและแลกเปลี่ยนข่าวสารในกลุ่มญาติสนิทมิตรสหายค่ะ เช่นนั้นเองช่วงเวลานี้ของการดื่มกินจึงเป็นช่วงเวลาที่แสนผ่อนคลาย และเช่นเดียวกันกับhigh tea ...Low teaก็มาจากการจัดอาหารนั้นเองค่ะ แต่Afternoon teaนั้นก็มาจากการเรียกเพื่อให้เข้ากับช่วงเวลานั้นนั่นเองค่ะ








 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2550 22:51:01 น.
Counter : 278 Pageviews.  

108 เรื่องชาชา 2: the Legend of Tea

The Legend of Tea!



ไฮๆ สวัสดีจ้า เหล่าเพื่อนสนิทมิตรสหายชาว Bloggang ทุกท่าน >w< 108 เรื่องหนนี้ก็เอาชาชามาฝากอีกแล้ว เรื่องชาชาเป็นอะไรที่มีให้พูดมากหลายบานเบอะเลยอะเหอะๆ แล้ววันนี้ The ToZ ก็ได้เอา "ตำนานแห่งใบชา" มาเล่าสู่ พวกสูกันฟังนะจ้า!!!(ไฮเปอร์ของขึ้นเอิ๊ก)



ชา!

เรื่องเล่าแรกเริ่มก่อกำเนิดใบชานั้นมีอยู่ว่า...

ย้อนนนนน กลับไปในสมัยจีนโบร๊าณโบราณ มีจักรพรรดิพระองค์หนึ่งนามว่า จักรพรรดิ Shen Nung ผู้ซึ่งถ้ามีชีวิตอยู่จนถึงป่านนี้ก็คงจะปาเข้าไป เกินกว่า 5,000 ขวบแล้วนั้น เป็นคนที่ช่างสังเกตและสนใจเรียกสมัยนั้นก็ราวๆ เป็นพวกชอบเล่นแร่แปรธาตุอ่ะนะ สมัยเราเขาเป็นเรียกว่า...มีความเป็นนักวิทยาศาสต์...ในตัวน่านแหละ ได้เสด็จออกไปเที่ยวนอกวังในวันที่อากาศร๊อนร้อนของฤดูร้อนนั่นแล

รู้มั้ยว่าสมัยนั้นนะ...จีนเขาเรียนรู้แล้วว่าการกินน้ำร้อนๆ ในวันที่อากาศร้อนๆ จะช่วยทำให้รู้สึกเย็นได้!(อันนี้เรื่องจริงนะจ้า แต่ก็อย่าร้อนมากจนปากพองหละ) แต่ยังไม่รู้จักชา เพราะมันก็กำลังจะเริ่มขึ้นในตอนที่จักรพรรดิองค์นี้ออกมาเที่ยวเนี่ยแหละ

พรรคพวกของพระองค์ก็ได้หยุดพักการเดินทางนั่งจิบน้ำร้อน (ยังไม่มีน้ำชา) กันใต้ร่มไม้ แล้วก็มานั่งต้มน้ำร้อนก๊งกันนั่นแล ขณะที่ทุกคนกำลังเพลินกับบรรยากาศร้อน ใบไม้แห้งๆใบนึงก็หล่นจ๋อมลงไปในหม้อต้มน้ำร้อนนั่นแหละ ทำให้น้ำในหม้อเปลี่ยนสีไป จักรพรรดิ Shen Nung เนี่ยก็ได้สังเกตเห็นและลองชิม ก็ได้บรรลุถึงความอร่อยของรสชาติที่เปลี่ยนไปรวมทั้งสีและกลิ่นด้วย!!!

แล้วชาก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากความบังอร เอ๊ย! บังเอิญนี้เองแหละจ้า!!!นี่ถ้าไม่ใช่เพราะจักรพรรดิซนๆ พระองค์นี้ออกไปเที่ยวนอกวังเราคงไม่ได้มีชาอร่อยๆ แบบนี้กินกันหรอกนะเนี่ยะ...น่าดีใจ๊ น่าดีใจ...จริงๆ







(ข้อมูลจาก //www.stashtea.com/facts.htm)




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2550 14:56:47 น.
Counter : 245 Pageviews.  

108 เรื่องชาชา..(อ๊ะ อาจจะมีกาแฟแจมบ้างเล็กๆน้อยๆ)

ภาค1: ว่าด้วยชานานาชาติ...เอเชีย

เมื่อหลายวันก่อน จขบ. ได้ดูรายการ ว๊าว! โลกมหัศจรรย์ (Wow...wonderful world) ซึ่งมีอยู่เรื่องนึงที่ จขบ. ฟังแล้วเลคเชอร์ตามเก็บเอาไว้อ่านเล่น (ว่างมากเลยนะหล่อน) ก็เลยเอามาบอกเล่า 90 ให้ทุกคนอ่านกันนี่แหละ



โมร็อคโค ดินแดนแห่งสวน...

โมร็อคโคมีชา pepper mint ประจำชาติ ชื่อ มันนัคนา ซึ่งเวลาชงชาชนิดนี้นั้นเขาจะเอาใส่กาแล้วเทใส่แก้วแล้วเทใส่กากลับไปกลับมาเช่นนี้จนกว่าจะได้ชา มันนัคนาที่มีกลิ่นของเปปเปอร์มิ้นต์ที่เข้มข่น ได้กลิ่นหอม ซึ่งชาวโมร็อคโคนิยมดื่นชานิดนี้เป็นอันมาก เพื่อช่วยในการย่อย และ เป็นชาช้างปากหลังอาหารอีกด้วย

ซูเต...แห่ง มองโกล

มองโกเลียมีชาชนิดหนึ่งซึ่งเป็นชาชั้นสูงของชาวมองโกล นั้นก็คือชา ซูเต...ที่มีส่วนผสมพิเศษและไม่เหมือนใคร และส่วนผสมพิเศษนั่นก็คือ...น้ำนมที่ได้จากม้า หรือนมม้านั่นแหละ วิธีการทำก้น่าสนใจทีเดียวนั้นคือเขาจะเอานมม้าไปต้มกับชาเขียวของมองโกล ต้มนานจนในที่สุดได้เป็นสีแอ็ปปริค็อท เป็นชาที่ชาวมองโกลดื่มเพื่อเริ่มวันใหม่รสชาติหวานมัน กลิ่นหอมกรุ่งไม่แพ้เรดคัพบ้านเราเลยทีเดียว...

กลมกล่อม...กาแฟลาว

ใครจะไปรู้ว่าเพื่อนบ้านเราก็เป็นคอกาแฟเหมือนกัน ชาวลาวมีกาแฟสูตรเด็ดที่เรียกกันว่า คาวานาม ซึ่งมีรสขมและเข้มมาก ชาวลาวจะชงกาแฟลาวชนิดนี้กับนมข้นหวานเพื่อใช้ลดทอนความขมจัดของกาแฟ ถึงกระนั้นเจ้าคาวานามนี่ก็ไม่ได้ลดดีกรีความเข้มข้นขมจัดของมันไปได้เลย ยังไงก็ขมอยู่ดีต่างจากกาแฟบ้านเราที่ออกจะหวานๆ มันๆ แต่ยังไงเราก้เพื่อนบ้านกัน เวลาดื่มกาแฟ ไม่ว่จะเป็นกาแฟไทยหรือกาแฟลาวเราก็ทานคล้ายๆกันนั่นแหละนั้นก็คือ การดื่มกับน้ำชานั่นเอง หรือจะเอาปาท่องโก๋จิ้มก็อร่อยเด็ดเหมือนกัน

ทาริด...รสจุมพิตของคู่รัก

บรูไน ประเทศอันร่ำรวย ทุกคนถุกว่าจ้างโดยสุลต่าน มีงานทำ ประเทศปลอดภัย ปชช. มีสุข และเคร่งศาสนา แต่กระนั้น เห็นแบบนี้ก็จริงแต่ชาวบรูไนเป็นพวกรักความหวานเป็นชีวิตจิตใจทีเดียว บรูไนมีชารสเลิศที่ชื่อว่า ทาริด ว่ากันว่าชาทาริดนั้นมีความหวานเสียยิ่งกว่า "จูบของคู่รัก" เสียอีก ทาริดดูเผินๆเหมือนชานมที่ใส่ครีมใส่น้ำตาลทั่วๆไป หากรสชาดหวานจัดและกลิ่นอันหมอกรุ่น หากได้ชิมซักคำจะอุ่นซ่านไปทั้งร่าง ยิ่งทานคู่กับ "พางัง" ซึ่งเป็นข้าวก้อนห่อใบตองไส้คาวด้วยแล้ว โอ๊ยอย่าให้เซดทีเดียว....

ดับร้อน ด้วยร้อน

อียิปต์ ประเทศแห่งทะเลทรายอันร้อนระอุ หากเครื่องดื่มคลายร้อนของชาวไอยคุปต์นั้นหาได้เป็นน้ำใสไหลเย็นแต่อย่างไรไม่ หากเป็น เช...ชาร้อนแก้กระหาย เครื่องดื่มร้อนๆที่ต้มจากดอกไฮดิสคัต ช่วยให้ร่างกายคลายร้อน สำหรับคนชอบหวานก็เติมน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อนให้พลังความและความสดชื่นแก่ร่างกายลงไปนิดๆ ว่ากันว่าหลังจากดื่มชาแล้วร่างกายก็จะเย็นซ่านแสนสบายไปตลอดทั้งวันเลยทีเดียว




โลกเรามีอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ เอาไว้ถ้าบังเอิญเลคเชอรือะไรที่น่าสนใจจากโทรทัศน์ได้อีกจะเอามาฝากเพื่อนๆทุกคนนะจ้า!!!

แล้วพบกัน





 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2550 23:08:51 น.
Counter : 357 Pageviews.  


ArTimuS
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





PhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucket


นิยายอัพเดท...Photobucket

-ปฏิบัติการหักร้างถางรักPhotobucket
เรื่องราวความรัก แนวโรแมนติกดราม่า ของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเลิกลากันไป แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็กลับมาเพื่อขอเคียงคู่เธออีกครั้ง ความรักแสนเศร้าครั้งนี้จะเป็นอย่างไร สำหรับผู้ที่ชื่นชอบนิยายรักพลาดได้นะคะ (อัพเดทใหม่ล่าสุดค่ะ)

-คีตคิมหันต์ Photobucket
ภาคต่อจากเรื่องลำนำเหมันต์ เมื่อคุณพ่อคนเก่งลงโทษคุณลูกตัวแสบให้ออกติดตามหาวิหคศักดิ์สิทธิ์จนนำไคเมร่าหนุ่มไปยังโลกมนุษย์จนได้พบกับเด็กสาวผู้อาภัพและเหตุการณ์เหนือความคาดฝัน นิยายแฟนตาซีโรแมนติกที่แฟนนิยายมกราไม่ควรพลาดค่ะ (อัพเดทใหม่ล่าสุดค่ะ)

-Love Happening
เรื่องสั้นของสองหนุ่มสาว และความไม่เข้าใจกัน อุปสรรค และมนต์เสน่ห์แห่งเทศกาล (น่าเสียดายที่ห้องนี้บังเอิญล็อคเพราะเนื้อหาบางตอนไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชน แต่ถ้าสนใจและอายุไม่ต่ำกว่า18 สามารถขอพาสเวิร์ดได้โดยการส่งอีเมลมายัง จขบ. หรือหลังไมค์มาก็ได้นะคะ)Photobucket

-Pretty Doll
เรื่องสาวผู้น่ารักของเมทสาวกับนายหนุ่มจอมเสเพลที่เก็บเธอมาเลี้ยง เรื่องรักกุ๊กกิ๊กแนวโรแมนซ์แสนฮาเฮ (น่าเสียดายที่ห้องนี้บังเอิญล็อคเพราะเนื้อหาบางตอนไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชน แต่ถ้าสนใจและอายุไม่ต่ำกว่า18 สามารถขอพาสเวิร์ดได้โดยการส่งอีเมลมายัง จขบ. หรือหลังไมค์มาก็ได้นะคะ)PhotobucketPhotobucket

- Love in Rain
รวมเรื่องสั้นของเจ้าของบ้าน เรื่องราวความรัก และสายฝนอันชุ่มฉ่ำ



Photobucket
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ArTimuS's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.