VUW - Victoria University of Wellington, New Zealand
Group Blog
 
All Blogs
 

ประวัติของ ศนิโรจน์ ธรรมยศ : ผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์สงคราม

  ประวัติผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์สงคราม
 
เช่น ชีวประวัติ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ , ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 , บันทึกลับ นักรบนิรนาม ๓๓๓ 
 
พลตรี ศนิโรจน์ ธรรมยศ
 


อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ






ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ



 

8 ขุนพลของฮิตเลอร์ โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ






สงครามเวียดนาม โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ

 
 
 
หนังสือ The War เส้นทางสู่สงคราม
 
 
 
 
 
พลตรี ศนิโรจน์ ธรรมยศ
 
Major General Saniroj Thumayos
 
 
 
 
 
ชื่อ : พลตรี ศนิโรจน์ ธรรมยศ
 
ตำแหน่ง : ที่ปรึกษาด้านประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร อนุสรณ์สถานแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย
 
การศึกษา
 
ปริญญาตรี : นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง
 
ปริญญาโท : รัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยวิคตอเรียแห่งเมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์  (Master of International Relations (with merit), Victoria University of Wellington, New Zealand
 
ประกาศนียบัตร : ศิลปศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยวิคตอเรียแห่งเมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ (Diploma in Art (International Relations), Victoria University of Wellington, New Zealand
 
การปฏิบัติราชการสนาม



 
 
 
 
 
 
- ผู้สังเกตุการณ์ทางทหาร กองกำลังรักษาสันติภาพสหประชาชาติ ในติมอร์ตะวันออก 1 ปี (2002 - 2003)  United Nation Military Observer in East Timor : UNMISET (United Nations Mission of Support in East Timor)
 
 
 
 




 
 
- ผู้ช่วยโฆษก กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) และ รองหัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ค่ายสิรินธร อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 
 
- ผู้ช่วยโฆษกคณะปฏิรูปการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค) พ.ศ.2549
 
- ผู้ช่วยโฆษกกองทัพไทย
 
- เสนาธิการกองกำลังผสมไทย มาเลเซีย, การฝึกร่วมบรรเทาสาธารณภัยไทย มาเลเซีย 2009
 
 
 
หลักสูตรทางทหาร

- Combined Humanitarian Assistant Response Training (CHART Course) หลักสูตรการปฏิบัติการร่วมเพื่อมนุษยธรรมของกองทัพสิงคโปร์ ณ ประเทศสิงคโปร์

- Public Affairs Seminar การสัมมนานายทหารประชาสัมพันธ์ของกองทัพสหรัฐอเมริกา มลรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา

- Public Affairs Seminar การสัมมนานายทหารประเทศประชาสัมพันธ์จากเอเชีย ของกองทัพสหรัฐอเมริกา กรุงวอชิงตัน ดี ซี สหรัฐอเมริกา

- Civil Military Response Course (CMR) หลักสูตรการปฏิบัติการพลเรือนร่วมพลเรือนทหาร ของกองทัพแคนาดา ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา

- Pacific Partnership Seminar การสัมมนาโครงการแปซิ ฟิค พาร์ทเนอร์ชิพ ณ เมืองซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา

- Seminar of East Asia Security (SEAs) การสัมมนาความมั่นคงของเอเชียตะวันออก ณ มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา , กรุงอูลันบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย , กรุงจาร์กาต้า ประเทศอินโดนีเซีย , กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์

- ประชุมการฝึกร่วมกองทัพไทย อินโดนีเซีย ณ กรุงจาร์กาต้า อินโดนีเซีย

- ผู้แทนและผู้บรรยายของกองทัพไทย ในการฝึกร่วมบรรเทาสาธารณภัยของอาเซียน ครั้งที่ 1 ณ ประเทศสิงคโปร์




 
การปฏิบัติงานที่สำคัญในอดีต
 
- อดีตผู้ดำเนินรายการวิทยุของกองทัพไทย "ใจถึงใจ", "เปิดคลื่นคุยข่าว"
 
 
 
 
 
 
- รองหัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการฝึกคอบร้าโกลด์ 08, 09
 
- รองหัวหน้าส่วนโครงการช่วยเหลือประชาชน กองอำนวยการฝึกคอบร้าโกลด์ 10, 11, 12
 
- ปัจจุบัน เป็น วิทยากร / ผู้บรรยายด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในสถาบันต่างๆ เช่น วิทยาลัยเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย , วิทยาลัยเสนาธิการทหารบก กองทัพบก , สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , มหาวิทยาลัยบูรพา , มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ,โครงการเยาวชนไทย รู้ รัก สามัคคี ของกองบัญชาการกองทัพไทย ฯลฯ



- เป็นผู้ผลิตสารคดีประวัติศาสตร์ทางทหารทาง Youtube ช่อง saniroj thumayos ที่มีผู้ติดตามกว่า 5 แสนคน และเฟสบุ๊ค เพจ : ครูหนุ่ม ศนิโรจน์ ที่มีผู้ติดตามกว่า 5 แสนคน

- ที่ปรึกษาด้านประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร อนุสรณ์สถานแห่งชาติ สถาบันวิชาการประเทศ,

- ที่ปรึกษาสมาคมยกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย

- ที่ปรึกษาด้านประวัติศาสตร์ กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม
 
- แขกรับเชิญในรายการ เพื่อสังคมไทย ออกอากาศเป็นประจำทุกวันจันทร์ เวลา 18.45 น. ทางสถานีวิทยุ เอฟ.เอ็ม 101 กรุงเทพฯ
 
 
ผลงานเขียนหนังสือ
 
1. The War เส้นทางสู่สงคราม : สำนักพิมพ์บ้านรัก
 
2. ขุมกำลังสะท้านโลกของฮิตเลอร์ : สำนักพิมพ์อนิเมท กรุ้ปส์
 
3. ยุทธการขจัดทรราชย์ : สำนักพิมพ์อนิเมท กรุ้ปส์
 
4. สมรภูมิรบสะท้านโลกของฮิตเลอร์ : สำนักพิมพ์อนิเมท กรุ้ปส์

5. 8 ขุนพลของฮิตเลอร์ : สำนักพิมพ์ยิปซี

6. มิคาเอล วิทท์มาน เสือรถถังไทเกอร์ของนาซีเยอรมัน : สำนักพิมพ์ยิปซี

7. ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 : สำนักพิมพ์ยิปซี

8. สงครามเวียดนาม : สำนักพิมพ์ยิปซี

9. อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ : สำนักพิมพ์ยิปซี

10. กองกำลังเอสเอส หน่วยพิฆาตแห่งนาซี : สำนักพิมพ์ยิปซี

11. บันทึกลับ นักรบนิรนาม ๓๓๓ : สำนักพิมพ์แสงดาว
 
 
 
 
การติดต่อ
 
e-mail address : saniroj2012@gmail.com

Youtube : saniroj thumayos

Facebook page : ครูหนุ่ม ศนิโรจน์
 
ID Line : saniroj




-------------------------------------------
 
 
 
 




 

Create Date : 08 กันยายน 2557    
Last Update : 30 กันยายน 2565 8:11:40 น.
Counter : 22911 Pageviews.  

สมรภูมิ "เดมแยงส์" ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนที่ 5

สมรภูมิ "เดมแยงส์" (Battle of Demyansk)

ตอนที่ 5

จากหนังสือเรื่อง "สมรภูมิของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์"

โดย พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ

Master of International Relations (with merit)

Victoria University of Wellington, New Zealand

สงวนลิขสิทธ์ตาม พรบ.สิ่งพิมพ์ พ.ศ.2537

ห้ามทำซ้ำเพื่อการพาณิชย์ ให้เผยแพร่เพื่อการศึกษาและค้นคว้าแก่ผู้สนใจเท่านั้น



ยิ่งระยะเวลาการสู้รบยืดเยื้อออกไปจนย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ พื้นดินตลอดจนหนองบึงที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนาเริ่มละลายกลายเป็นโคลนตม ทำให้เป็นอุปสรรคสำหรับฝ่ายรัสเซียที่บ่อยครั้งเคลื่อนที่อย่างยากลำบากกลางโคลนตม จนตกเป็นเป้านิ่งให้กับทหารเยอรมัน

ในขณะเดียวกัน ธีโอดอร์ ไอค์เคอ ผู้บัญชาการกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ก็ร้องขอการสนับสนุนด้านกำลังพลโดยตรงจากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เนื่องจากกองพลของเขาได้รับสูญเสียอย่างหนัก มีทหารทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนถึงกว่า 7,000 นาย ฮิตเลอร์ตอบสนองคำร้องขอของ ธีโอดอร์ ไอค์เคอ ด้วยการส่งกำลังทหารเอสเอส ที่สดชื่นกว่า 5,000 นายเข้าไปในวงล้อมเพื่อตรึงวงล้อมเอาไว้ น้อยกว่าที่ร้องขอไปกว่า 2,000 นาย

ในช่วงกลางเดือนมีนาคม ค..1942 กำลังทหารเยอรมันที่จะเข้าไปปลดปล่อยทหารในวงล้อมได้เริ่มรวมพลอยู่ภายนอกวงล้อม โดยกองกำลังช่วยเหลือนี้ อยู่ภายใต้การนำของพลโท วอลเธอร์  ฟอน ซีดลิทซ์ คูร์บาค (Waltervon Seydlitz-Kurzbach) ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 12 ซึ่งได้เตรียมการเข้าตีเจาะวงล้อมของทหารรัสเซีย และเปิดช่องว่างให้นานที่สุด เพื่อให้ทหารเยอรมันที่อยู่ติดอยู่ในวงล้อม "เดมแยงส์เคลื่อนกำลังออกมา

คูบาคจัดการรวบรวมกำลังพลเพื่อภารกิจนี้โดยจัดกำลังพลจากกองพลเบาที่ และ 18 (5th, 8th Light Divisions) กองพลทหารราบที่ 122, 127 และ 329 (122nd, 127th, 329th Infantry  Divisions) โดยกำลังทหารเยอรมันทั้งหมด จะเข้าตีทหารรัสเซียจากด้านตะวันออกของวงล้อม หรือจากแม่น้ำ "โลวัตพร้อมๆ กันนั้นทหารเยอรมันที่อยู่ภายในวงล้อมก็จะตีฝ่าออกมาบรรจบกับกำลังหลักที่เข้าไปช่วย

รถถังแบบ เควี ของรัสเซียจมลงไปในหนองน้ำที่ปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งบางๆ ภูมิประเทศในลักษณะนี้สร้างความเสียหายให้กับรถถังและยานยนต์ทั้งของฝ่ายรัสเซียและฝ่ายเยอรมันเป็นอย่างมาก


วันที่ 21 มีนาคม ค..1942 กำลังทหารเยอรมันที่อยู่ภายนอกวงล้อม ก็เริมเคลื่อนกำลังเข้าไปช่วยเหลือ โดยมีกำลังทางอากาศของกองบินที่ สนับสนุนอย่างเต็มที่ 

สองวันแรกของการรุก ฝ่ายเยอรมันทำได้ดีมากพอสมควร แต่หลังจากนั้นการต่อต้านของทหารกองทัพแดงของรัสเซียก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ การรุกใช้เวลาเกือบสองอาทิตย์ ท่ามกลางการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย จนกระทั่งกลางเดือนเมษายน คูร์บาคก็ส่งสัญญานให้ ธีโอดอร์ ไอค์เคอ นำกำลังทหารเอส เอส ที่อยู่ในวงล้อมตีฝ่าออกมาเพื่อบรรจบกับกำลังส่วนใหญ่

คราวนี้รัสเซียดูเหมือนจะอ่านแผนการของฝ่ายเยอรมันออก จึงทำการต่อต้านอย่างรุนแรงประกอบกับทหาร เอส เอส ของธีโอดอร์ ไอค์เคอ นั้นเหนื่อยล้าจากการรบมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้อัตราการรุกของทหารเยอรมันอยู่ในอัตราเพียง 1.6 กิโลเมตรหรือ ไมล์ต่อวันเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตามในวันที่ 20 เมษายน ค..1942 กองพันต่อสู้รถถังของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ก็รุกมาพบกับกำลังทหารเยอรมันส่วนใหญ่ ที่ริมฝั่งแม่น้ำโลวัตแล้วทำการจัดตั้งแนวตั้งรับเป็นช่องว่างทั้งสองด้าน มีความกว้างเพียง กิโลเมตรเพื่อเป็นช่องทางให้ทหารเยอรมันที่ติดในวงล้อมทั้งหมดใช้เป็นช่องทางล่าถอย

ภารกิจของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ยังไม่จบสิ้นลงเพียงเท่านั้น พวกเขาได้รับคำสั่งให้จัดตั้งแนวตั้งรับให้นานที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ เพื่อให้เวลาหน่วยทหารเยอรมันต่างๆ ถอนกำลังออกจากวงล้อมให้หมด

ที่สำคัญก็คือฝ่ายรัสเซียได้เตรียมการรุกครั้งใหม่ เพื่อปิดช่องว่างดังกล่าวให้ได้ ในขณะนี้ทหารเอส เอส ของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ สูญเสียกำลังพลไปมาก จนต้องรวมกำลังกับทหารเยอรมันจากกองทัพบกที่กระจัดกระจายอยู่ในวงล้อม และปรับกำลังใหม่ในลักษณะกองทัพน้อย (Corps) ซึ่งจากความเป็นจริงแล้วกองทัพน้อยนี้ มีกำลังพลเพียงครึ่งหนึ่งของอัตราการจัดในระดับกองพลในยามปกติเท่านั้นเอง

นอกจากนี้ ธีโอดอร์ ไอค์เคอ ผู้บัญชาการกองพลยังร้องขอกำลังเพิ่มเติมอีก 5,000 คนจากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งฮิตเลอร์ก็ส่งมาให้เพิ่มเติมอีกเพียง 3,000 คน พร้อมกับสั่งการให้ธีโอดอร์ ไอค์เคอ กลับไปพักผ่อนที่กรุงเบอร์ลินและมอบการบังคับบัญชาให้กับแม็กซ์ ไซม่อน รองผู้บัญชาการกองพล

เมื่อเดินทางกลับไปถึงกรุงเบอร์ลิน ธีโอดอร์ ไอค์เคอ ก็มีโอกาสเข้าพบ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์อย่างเป็นส่วนตัว และได้ร้องขอให้ถอนกำลังพลของเขาออกจากวงล้อม

แม้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์จะสงสารและเห็นใจธีโอดอร์ ไอค์เคอ แต่เขาก็ยืนกรานภารกิจเดิมให้กับทหาร เอส เอส พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาว่า เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในวงล้อม "เดมแยงส์แล้ว กองพล เอส เอสโทเทนคอฟ จะได้รับการยกระดับให้เป็นกองพลทหารราบยานเกราะ หรือ "แพนเซอร์เกรเนเดียร์" (Panzergrenadier = Armoured Infantry Division) อีกทั้งยังสำทับว่า ธีโอดอร์ ไอค์เคอ จะต้องพักอยู่ที่กรุงเบอร์ลินต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย

ทางด้านแมกซ์ ไซม่อน ซึ่งเข้าควบคุมบังคับบัญชากำลังพล เอส เอส โทเทนคอฟ ในการเปิดช่องว่างของวงล้อม "เดมแยงส์ก็เริ่มไม่มั่นใจในศักยภาพของกำลังพล ที่ทั้งอิดโรย บาดเจ็บ อ่อนล้า จากการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของทหารรัสเซีย แม้จะได้รับการเสริมกำลังทดแทนเข้ามาบางส่วนก็ตาม

เขาส่งจดหมายถึงธีโอดอร์ ไอค์เคอ เพื่อขอคำสั่งถอนกำลังออกจากพื้นที่การสู้รบ ก่อนที่กองพล เอส เอส โทเทนคอฟ จะถูกบดขยี้จนกลายเป็นตำนานไปเสียก่อน และเป็นอีกครั้งที่ธีโอดอร์ ไอค์เคอ ร้องขอต่อฮิตเลอร์อีกครั้ง ซึ่งคำตอบก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม นั่นคือให้ยึดที่มั่นไว้ให้นานที่สุด ทหารเอส เอส ต้านทานการเข้าตีของทหารรัสเซียอย่างทรหด เพื่อเปิดแนวช่องว่างอยู่นานจนถึงเดือนกรกฏาคม ค..1942 

ในช่วงนี้ท้องฟ้าเปิดโล่งปราศจากเมฆหมอกทำให้ฝูงบินของรัสเซีย เปิดฉากเข้าโจมตีแนวตั้งรับของเยอรมันพร้อมๆ กับการเข้าตีของกำลังทหารรัสเซียภาคพื้นดินที่สดชื่น รวมทั้งกระสุนปืนใหญ่ที่กระหน่ำเข้าใส่ทหาร เอส เอส อย่างไม่หยุดยั้ง


พลประจำเครื่องยิงลูกระเบิดของเยอรมันทั้ง นายที่ต่อสู้จนกระสุนนัดสุดท้าย


อย่างไรก็ตามทหาร เอส เอส ของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ก็ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า พวกเขาคือนักรบที่แข็งแกร่ง ที่ยืนหยัดต่อสู้อย่างกล้าหาญ ท่ามกลางความสูญเสียอย่างหนัก จนกระทั่งแนวหน้าของทหาร เอส เอส ต้องใช้ทหารที่ไม่ใช่หน่วยรบ เช่น พ่อครัว เสมียน พลพยาบาล พลขับรถ เข้าประจำแนวตั้งรับ ร่วมกับทหารราบ

ในช่วงนี้ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่วเป็นเวลานานถึงสองวัน ทำให้กำลังพลทั้งสองฝ่ายไม่สามารถปฏิบัติการทางทหารด้ กองพล เอส เอส โทเทนคอฟ จึงใช้ระยะเวลานี้ ปรับแนวตั้งรับใหม่ ทำการติดอาวุธให้กับกำลังพลให้มีความแข็งแกร่งพร้อมรับการเข้าตีของข้าศึก

จนกระทั่งวันที่ 25 สิงหาคม ค..1942 ทหารรัสเซียจากกองพลป้องกันที่ 7 (7th Guards  Division) กองพลทหารราบที่ 129, 130,  364,  391 (129th, 130th, 364th, 391st Infantry  Division) ก็เปิดฉากเข้าตีทหาร เอส เอส อย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง กองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ต้องสูญเสียกำลังทหารไปถึงกว่า 1,000 นาย แต่ก็ยังคงรักษาแนวตั้งรับอย่างเหนียวแน่น และในที่สุดกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ก็ได้รับอนุมัติให้ถอนกำลังออกจากวงล้อม "เดมแยงส์ในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน เพื่อปรับกำลังใหม่ในประเทศฝรั่งเศส

ณ เวลานี้ กองพล เอส เอส โทเทนคอฟ เหลือกำลังพลอยู่เพียง 6,000 นายเท่านั้น ส่วนกำลังพลกว่า 24,000 นาย หรือร้อยละ 80 ของหน่วยเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการสู้รบในครั้งนี้ 

แม้ทหาร เอส เอส จะถอนกำลังไปแล้ว แต่ฮิตเลอร์ยังคงสั่งการให้กำลังทหารเยอรมันบางส่วนตั้งมั่นในวงล้อมต่อไป เพื่อหวังยึดพื้นที่ให้นานที่สุด พร้อมกับส่งกำลังพลชุดใหม่เข้าสู่เมือง "เดมแยงส์" จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ค..1943 รัสเซียก็ทำการรุกครั้งใหญ่อีกครั้งและสามารถทำลายกำลังทหารเยอรมันในวงล้อม "เดมแยงส์ลงได้อย่างราบคาบ

การรบในวงล้อม "เดมแยงส์จบลงด้วยความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายเยอรมันสูญเสียทหารไปถึง 48,000 นาย บาดเจ็บอีก 140,000 นาย (กำลังทหารเยอรมันครั้งแรกเมื่อเริ่มการรบ มี 100,000 นายรวมกับ กำลังเสริมและกำลังพลชุดใหญ่ที่ฝ่าวงล้อมเข้าไปช่วยทหารที่ติดในวงล้อมนับเป็นการรบในวงล้อมที่ยาวนานที่สุดของกองทัพเยอรมัน และเป็นการส่งกำลังบำรุงทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพอากาศเยอรมันมีน้ำหนักในการขนส่งทั้งหมด 59,000 ตัน นำทหารเข้าไปเสริมในวงล้อม 31,000 นายส่งกลับผู้บาดเจ็บจากภายในวงล้อมจำนวน 36,000 นาย

อีกทั้งยังนับเป็นการสู้รบที่หนักหน่วงที่สุด จนหน่วย เอส เอส โทเทนคอฟ แทบจะสิ้นสภาพกองพล และส่งผลให้ ธีโอดอร์ ไอค์เคอ ผู้บัญชาการของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ กลายเป็นทหารเยอรมันคนที่ 88 ที่ได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนชั้นอัศวินประดับใบโอ็ค (Knight's Cross  of the Iron Cross wih Oak Leaves) อีกด้วย

สำหรับฝ่ายรัสเซียนั้นสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน โดยมีการคาดการณ์ว่ามีทหารเสียชีวิตถึงกว่า 200,000 นายและบาดเจ็บอีกกว่า 400,000 นาย


นอกจากนี้ความสำเร็จในการส่งกำลังบำรุงของกองทัพอากาศเยอรมันต่อกำลังพลที่ตกอยู่ในวงล้อมในสมรภูมิที่ 
"เดมแยงส์ยังถูกใช้เป็นแบบแผนในการส่งกำลังบำรุงทางอากาศให้กับกองทัพที่ 6 (6thArmy) ของเยอรมันที่ตกอยู่ในวงล้อมที่เมืองสตาลินกราด (Stalingrad) แต่ด้วยการประเมินขีดความสามารถในการส่งกำลังบำรุงของกองทัพอากาศเยอรมัน ตลอดจนองค์ประกอบต่างๆ ของกองทัพรัสเซียที่ผิดพลาด ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาในสมรภูมิ "เดมแยงส์และสมรภูมิที่เมืองสตาลินกราด มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2556    
Last Update : 15 ธันวาคม 2556 12:26:26 น.
Counter : 2118 Pageviews.  

สมรภูมิ "เดมแยงส์" ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนที่ 4

สมรภูมิ "เดมแยงส์" (Battle of Demyansk)

ตอนที่ 4

จากหนังสือเรื่อง "สมรภูมิของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์"

โดย พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ

Master of International Relations (with merit)

Victoria University of Wellington, New Zealand

สงวนลิขสิทธ์ตาม พรบ.สิ่งพิมพ์ พ.ศ.2537

ห้ามทำซ้ำเพื่อการพาณิชย์ ให้เผยแพร่เพื่อการศึกษาและค้นคว้าแก่ผู้สนใจเท่านั้น




 เครื่องบินลำเลียงแบบ เจยู 52 ของกองทัพอากาศเยอรมันกำลังลำเลียงยุทธปัจจัยให้กับกำลังทหารในวงล้อม "เดมแยงส์"


ในช่วงที่การขนส่งทางอากาศของเยอรมันดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น กองทัพรัสเซียสังเกตุเห็นว่ากองบัญชาการกองบินที่ ของเยอรมัน ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองเปสกี้ และทำหน้าที่ในการอำนวยการยุทธอย่างได้ผล จึงรวมกำลังเข้าโจมตีที่มั่นของกองบินที่ อย่างรุนแรงในช่วงค่ำของวันที่ 19 มีนาคม ค..1942 โดยจัดกำลังจากกองพลน้อยส่งทางอากาศ (พลร่มที่ และ 204 (1st and  204th Airborne  Brigade) เข้าตีสนามบินทั้งสองแห่งที่เมือง "เดมแยงส์และเมือง "เปสกี้"

การรบเริ่มขึ้นเมื่อทหารรัสเซียอาศัยความมืดคืบคลานผ่านแนวป่าทึบ จนถึงแนวหน้าของทหารเยอรมัน แต่ทหารราบเยอรมันสืบทราบความเคลื่อนไหวของทหารรัสเซียมาก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งแล้ว จึงได้เตรียมการรับมืออย่างเต็มที่ พวกเขาต่อสู้อย่างเหนียวแน่นเพราะต่างทราบดีว่าหากเมือง "เปสกี้และสนามบินของเมืองตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายรัสเซียแล้ว ก็จะส่งผลกระทบถึงการขนส่งยุทธปัจจัย และนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ของเยอรมันในวงล้อม "เดมแยงส์อย่างแน่นอน การต่อต้านของเยอรมันทำให้การเข้าตีครั้งใหญ่ของรัสเซียล้มเหลวเนื่องจากทหารพลร่มของรัสเซียมีแต่อาวุธประจำกาย ไม่มีอาวุธหนักสนับสนุน ทำให้ประสบกับความสูญเสียจำนวนมาก




ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 37 มิลลิเมตรแบบแพ็ค 36 ของเยอรมันตั้งมั่นรอการโจมตีของทหารรัสเซีย จะสังเกตุเห็นภูมิประเทศซึ่งเป็นที่โล่งแจ้งปราศจากสิ่งกำบังสำหรับฝ่ายรุกและฝ่ายรับ


โดยเฉพาะการรบของกองกำลังเฉพาะกิจ “ไซม่อน”  หรือ “คามป์กรุไซม่อน” (KampfgruppeSimon)  สังกัดกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรองผู้บัญชาการกองพล คือ เอส เอส โอแบร์ฟือเรอห์ แมกซ์ ไซม่อน (SS Oberfuhrer Max Simon - เอสเอส โอแบร์ฟืเรอร์ เป็นชั้นยศของหน่วย เอส เอส อยู่ระหว่างพันเอกและพลจัตวาของระบบสหรัฐอเมริกา ในที่นี้อาจเทียบได้กับชั้นยศพันเอกพิเศษที่สามารถต้านทานการเข้าตีสนามบินเมือง "เดมแยงส์ของทหารรัสเซียได้อย่างห้าวหาญและน่าทึ่ง เพราะมีกำลังเป็นรองทหารรัสเซียถึง 1:8 โดยเฉพาะการบดขยี้ทหารรัสเซียจากกองพลน้อยส่งทางอากาศที่ ซึ่งมีกำลังพลทั้งสิ้นถึง 8,500 นาย นำโดยพันโท นิโคไล ทาราซอฟ (NikolayTarasov) ให้เหลือรอดกลับไปเพียง 900 นาย

การเข้าตีของทหารรัสเซียที่สนามบิน "เดมแยงส์ดังกล่าวเปิดฉากขึ้นในเวลากลางคืน แม้ขณะนั้นจะไม่มีเครื่องบินขนส่งเดินทางเข้ามาแล้ว แต่ในพื้นที่บริเวณสนามบินก็เต็มไปด้วยยุทธปัจจัยอันมีค่าต่างๆ มากมาย ที่รอการขนส่งไปยังแนวหน้า 

เมื่อเสียงนกหวีดดังไปทั่วแนวรบ ทหารรัสเซียระลอกแรกก็วิ่งดาหน้าออกมาจากแนวป่ามุ่งเข้าหาสนามเพลาะของทหาร เอส เอส ปืนกลแบบเอ็มจี 34 (MG 34) เปิดฉากการยิงประสานกันเป็นแนวฉากกั้น เพื่อหยุดยั้งการเข้าตีของทหารรัสเซีย

กระสุนพุ่งเข้าตัดร่างของทหารพลร่มรัสเซียแนวแรก ที่วิ่งเข้ามาราวกับถูกเคียวที่คมกริบตัดขาดสะบั้น ในขณะที่พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดของเยอรมันก็ปูพรมด้วยกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 82 มิลลิเมตร ที่ยิงทั้งลูกระเบิดแรงสูง สลับกับกระสุนส่องสว่าง ขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อชี้เป้าให้ทหารเยอรมันที่อยู่ตามสนามเพลาะ

ถึงแม้ทหาร เอส เอส จะระดมยิงสกัดทหารพลร่มรัสเซียด้วยอาวุธทุกอย่างที่มีอยู่ แต่ทหารรัสเซียอย่างน้อยหนึ่งกองร้อย ก็สามารถรุกเข้ามาถึงแนวสนามเพลาะของทหารเยอรมัน ณ เวลานี้ การต่อสู้แบบประชิดตัวได้เปิดฉากขึ้น ทหาร เอส เอสใช้พลั่วสนามที่คมกริบและมีความคล่องตัวกว่าการใช้ดาบปลายปืน ฟาดฟันใส่ทหารพลร่มรัสเซีย

การสู้รบแบบมือเปล่ามีให้เห็นอยู่ทั่วไป จนในที่สุดทหารพลร่มรัสเซียก็ไม่อาจต้านทานความบ้าบิ่นและห้าวหาญของทหาร เอส เอส ได้ ต้องล่าถอยกลับเข้าพื้นที่ป่าไปทิ้งซากศพไว้กว่า 600 ศพทหารเอส เอสที่กระเหี้ยนกระหือรือ ปีนสนามเพลาะ วิ่งออกไล่ตามทหารพลร่มรัสเซียที่กำลังบาดเจ็บและเสียขวัญ พร้อมกับสาดกระสุนเข้าใส่อย่างไม่ยั้งมือ จนทหารพลร่มรัสเซียแทบจะละลายไปทั้งหน่วย

นอกจากนี้ในพื้นที่เมืองบาโคโว (Bjakowo) ชุดต่อสู้ทำลายรถถังของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ภายใต้การนำของเอส เอส โอแบร์สตรุมฟือเรอห์ เออร์วิน มายเออร์เดรส (SS Obersturmsfuhrer Erwin Meierdress – เอสเอส โอแบร์สตรุมฟือเรอห์ เทียบเท่ากับยศร้อยโทซึ่งมีกำลังเพียง 120 นายได้รับมอบหมายให้ยึดพื้นที่เมืองนี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

มายเออร์เดรสมีรถปืนใหญ่อัตตาจรแบบสตุก อยู่เพียงไม่กี่คันพร้อมกับปืนใหญ่ต่อสู้รถถังแบบลากจูงอีกเพียงไม่กี่กระบอก สามารถตอบโต้การเข้าตีของทหารรัสเซียและสามารถทำลายรถถังแบบที 34 ได้จำนวนหนึ่ง

แต่ฝ่ายรัสเซียก็เข้าตีอย่างไม่หยุดหย่อน จนทั้งสองฝ่ายต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ในที่สุดชุดต่อสู้รถถังของมายเออร์เดรส ก็เหลือกำลังพลเพียง 30 นาย โดยที่ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ซ้ำร้ายไปกว่านั้นทหารรัสเซียยังสามารถตัดขาด และโอบล้อมเมืองบาโคโว ออกจากกำลังส่วนใหญ่ของเยอรมันทำให้ทหารเยอรมันไม่ได้รับการส่งกำลังจากแนวหลังเลย แต่มายเออร์เดรสก็ยังคงยืนหยัดยึดที่มั่นอยู่ต่อไป

จนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือจากกำลังอีกส่วนหนึ่งของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ที่แหวกวงล้อมเข้ามาช่วย และนำมายเออร์เดรสส่งกลับไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลสนามของหน่วย เอส เอสในเมือง "เดมแยงส์วีรกรรมในครั้งนี้ทำให้มายเออร์เดรสได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน (Knight's Cross of the Iron Cross)

แม้ทหารรัสเซียจะต้องสูญเสียอย่างหนัก แต่การสูญเสียของกองทัพแดงไม่เคยเป็นปัญหา อันเนื่องมาจากการมีทรัพยากรมนุษย์ที่ไร้ขีดจำกัด ทหารรัสเซียหน่วยใหม่ๆ ยังคงหนุนเนื่องเข้ามาทดแทนกำลังพลที่สูญเสียไปอย่างต่อเนื่อง

กล่าวกันว่ากำลังของฝ่ายรัสเซียที่เข้าโอบล้อมและเข้าตีทหารเยอรมันมีจำนวนเทียบเท่าถึง 15 กองพลทหารราบเลยทีเดียว ตรงกันข้ามกับเยอรมันที่การสูญเสียกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ไป ได้ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างมาก แม้จะมีความพยายามในการส่งกำลังหนุนเข้ามาในวงล้อม แต่ก็กระทำได้อย่างยากลำบาก

ในขณะเดียวกันการขนส่งยุทธปัจจัยเข้าสู่วงล้อม "เดมแยงส์ของกองบินที่ ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และไม่ขาดสาย แม้จะต้องประสบกับการต้านทานและนำมาซึ่งความสูญเสีย จนผลสำเร็จเริ่มปรากฏชัดเจน เพราะทำให้เสบียงอาหารถูกลำเลียงเข้ามาจนสามารถใช้หล่อเลี้ยงทหารเยอรมันได้เป็นเวลานาน ถึง วัน แม้การลำเลียงจากสนามบินไปสู่แนวหน้าของวงล้อมจะประสบปัญหาบ้างพอสมควร

ความต้องการอันดับแรกๆ ในการขนส่งยุทธปัจจัยในวงล้อม "เดมแยงส์นั้น คือกระสุนสำหรับปืนใหญ่เฮาวิทเซอร์ โดยเฉพาะกระสุนของปืนใหญ่ขนาด 150 มิลลิเมตรแบบเอฟเฮช18 (FH 18) ซึ่งเป็นปืนใหญ่หลักของเยอรมันในการยิงสนับสนุนแนวตั้งรับในวงล้อม

ปืนใหญ่ชนิดนี้มีระยะยิงไกลถึง 13,325  เมตรหรือกว่า 13 กิโลเมตร เยอรมันค่อนข้างโชคดีที่มีปืนใหญ่ขนาดดังกล่าวในจำนวนที่มากพอ และอยู่ในสภาพที่ดี ก่อนที่ตกอยู่ในวงล้อมของรัสเซีย

กระสุนปืนใหญ่นี้มีน้ำหนักนัดละ 43 กิโลกรัมและใช้เวลาในการยิงน้อยกว่า นาทีต่อนัด โดยปกติแล้วกองบินที่  จะจัดสรรอาหาร น้ำ ยุทธปัจจัยอื่นๆ เช่น กระสุนปืนเล็ก ระเบิดขว้าง และกระสุนปืนใหญ่ โดยขนส่งกระสุนปืนใหญ่ในอัตรา 80– 100 ตันต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะในบางวันยอดการขนส่งก็ลดลง เนื่องจากอุปสรรคจากฝูงบินขับไล่ของรัสเซียและสภาพภูมิอากาศที่แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา

แม้ในบางห้วงเวลา กองบินที่ จะสามารถขนส่งยุทธปัจจัยได้เพิ่มขึ้นถึงวันละ 300 ตันและเพิ่มเป็นวันละ 544 ตันในห้วงเดือนมีนาคมก็ตาม ทำให้กองบินที่  ต้องใช้การทิ้งร่มลงในแนวตั้งรับของทหารเยอรมัน ซึ่งบางครั้งกระแสลมที่รุนแรงทำให้ยุทโธปกรณ์ที่ส่งลงมาถูกพัดเข้าไปแนวรบของทหารรัสเซีย

อุปสรรคเหล่านี้ทำให้หน่วยปืนใหญ่ของเยอรมันในแนวหน้าลดความแข็งแกร่งลงถึงร้อยละ 30 เนื่องจากขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ ตัวเลขที่น่าสนใจคือ เฉพาะกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ เพียงกองพลเดียว ใช้กระสุนของปืนใหญ่ขนาด 150 มิลลิเมตร แบบเอฟเฮช 18 เกินกว่าครึ่งหนึ่งของกระสุนปืนใหญ่ทั้งหมดในวงล้อม "เดมแยงส์

นอกจากนี้กองบินที่ ยังได้ลำเลียงปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 45 มิลลิเมตร จำนวน 10 กระบอกที่ยึดมาได้จากฝ่ายรัสเซียให้กับทหารเยอรมันในแนวหน้าอีกด้วย เนื่องจากทหารเยอรมันสามารถหากระสุนได้จากการปะทะและยึดกระสุนขนาดดังกล่าวได้เป็นจำนวนมาก

นอกจากกระสุนปืนใหญ่และยุทโธปกรณ์อื่นๆ ตลอดจนเสบียงอาหารสำหรับทหารแล้ว อาหารสำหรับม้าจำนวนกว่า 20,000 ตัวที่ตกอยู่ในวงล้อมก็เป็นปัญหาด้วยเช่นกัน เพราะม้าได้ถูกใช้ลากจูงเกวียนบรรทุกอาหาร กระสุนปืนเล็ก กระสุนปืนใหญ่และน้ำมัน ไปส่งให้ทหารเยอรมันในแนวหน้ากองบินที่ ต้องลำเลียงข้าวโอ็ตและหญ้าแห้งจำนวนมาก เพื่อนำไปใช้ในการดูแลม้าที่ตกอยู่ในวงล้อม ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าอาหารสำหรับม้าถูกจัดความสำคัญให้อยู่ในลำดับท้ายๆ ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนอาหารม้าและนับวันม้าเหล่านั้นก็จะผอมและไร้เรี่ยวแรงลงทุกวัน 

 (โปรดติดตามตอนต่อไป)




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2556    
Last Update : 15 ธันวาคม 2556 12:29:15 น.
Counter : 1731 Pageviews.  

สมรภูมิ "เดมแยงส์" ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนที่ 3

สมรภูมิ "เดมแยงส์" (Battle of Demyansk)

ตอนที่ 3

จากหนังสือเรื่อง "สมรภูมิของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์"

โดย พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ

Master of International Relations (with merit)

Victoria University of Wellington, New Zealand

สงวนลิขสิทธ์ตาม พรบ.สิ่งพิมพ์ พ.ศ.2537

ห้ามทำซ้ำเพื่อการพาณิชย์ ให้เผยแพร่เพื่อการศึกษาและค้นคว้าแก่ผู้สนใจเท่านั้น


ในสมรภูมิที่เมือง "เดมแยงส์กองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพที่ 16 และถูกแบ่งกำลังออกเป็น กองกำลังเฉพาะกิจ หรือ “คามป์กรุพป์” ((Kampfgruppe) คำว่า “คามป์กรุพป์” เทียบเท่ากับ TaskForce หรือกองกำลังเฉพาะกิจในระบบการจัดกำลังของกองทัพสหรัฐอเมริกาโดยแต่ละกองกำลังได้รับมอบหมายให้ยึดพื้นที่รับผิดชอบเป็นเวลานานที่สุด ไม่ว่าจะต้องสูญเสียเพียงใดก็ตาม กองกำลังเฉพาะกิจแรกมีภารกิจในยึดเมืองสตารายารุสซ่า ส่วนอีกกองกำลังเฉพาะกิจหนึ่งเสริมพื้นที่แนวตั้งรับตลอดแนวแม่น้ำ "โลวัต" ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณปีกของกองทัพที่ 16


พลประจำปืนใหญ่ต่อสู้รถถังของเยอรมัน กำลังหลบกระสุนปืนใหญ่ของรัสเซียที่ยิงมาตกใกล้กับที่ตั้ง  


ในวันที่ 20 มกราคม ทหารรัสเซียทุ่มกำลังเข้าตีแนวตั้งรับของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ การสู้รบเป็นไปอย่างติดพัน บางแห่งถึงขั้นประชิดตัว ทหารรัสเซียสูญเสียอย่างหนักจากการสู้อย่างยิบตาของทหาร เอส เอส แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าทำให้ทหารรัสเซียสามารถเจาะแนวตั้งรับของทหารเยอรมันเข้ามาได้หลายช่อง และเริ่มบีบวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆ กองทัพแดงใช้เวลาประมาณสามสัปดาห์ ก็สามารถปิดล้อมทหารเยอรมันในพื้นที่เมือง "เดมแยงส์ได้อย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ทหารรัสเซียยังสามารถโอบล้อมทหารเยอรมันเป็นวงล้อมเล็กๆ ซ้อนอยู่ในวงล้อม "เดมแยงส์อีกหลายแห่ง 

ทหารเอส เอส ต้องอาศัยพื้นที่หมู่บ้านแต่ละแห่ง ดัดแปลงเป็นที่มั่นของตนในการตั้งรับการเข้าตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่องของทหารรัสเซีย ในขณะเดียวกันเครื่องบินของกองทัพรัสเซียก็ทิ้งระเบิดลงใส่ที่มั่นของทหารเยอรมันอยู่ตลอดเวลา ทำให้อาคารบ้านเรือนต่างๆ ในพื้นที่วงล้อมถูกทำลายลงเกือบสิ้นเชิง ทั้งนี้เพื่อป้องกันทหารเยอรมันใช้อาคารเหล่านั้นเป็นที่มั่นในการตั้งรับ ส่งผลให้กำลังพลของเยอรมันต้องทนอากาศหนาวเหน็บในยามค่ำคืนอยู่กลางที่โล่ง หรือตามสุมทุมพุ่มไม้ ซึ่งนับว่าเป็นสภาพที่โหดร้ายมาก โดยเฉพาะฤดูหนาวในรัสเซียที่อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ถึงยี่สิบองศาหรือกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม กำลังพลของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ นั้นยังนับว่ามีโอกาสดีมากกว่าทหารเยอรมันในกองทัพบกหรือหน่วยปกติอื่นๆ ทั้งนี้เพราะความใกล้ชิดส่วนตัวของ ธีโอดอร์ ไอค์เคอ กับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ทำให้เขาสามารถจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนเสื้อผ้าเครื่องกันหนาวคุณภาพดีมาให้กับกำลังพลของหน่วยได้เป็นจำนวนมาก ก่อนที่ "เดมแยงส์จะถูกปิดล้อมอย่างแน่นหนา จึงทำให้ประสิทธิภาพในการรบและการต่อสู้กับความหนาวเย็นของทหาร เอส เอส มีสูงกว่าหน่วยทหารเยอรมันหน่วยอื่นๆ

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะมีอุปกรณ์ที่ดีมากเพียงใด แต่หิมะที่ตกลงมาอย่างหนักจนทำให้พื้นดินปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งขาวโพลนหนาถึงสามฟุตครึ่ง หรือเกือบหนึ่งเมตร ก็ได้ทำให้การรบเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งจากความหนาวเย็น  ทัศนวิสัยในการมองเห็นและศักยภาพในการเคลื่อนที่

ในช่วงวิกฤตินี้เอง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตัดสินใจเรียกจอมพล แฮร์มานน์ เกอริง ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมัน หรือ “ลุฟวาฟเฟอ” เข้าพบ โดยมอบหมายภารกิจในการส่งกำลังบำรุงขนาดใหญ่ให้กับทหารเยอรมัน ที่ถูกปิดล้อมในวงล้อม "เดมแยงส์เพื่อให้ทหารเหล่านั้นสามารถยืนหยัดอยู่ได้ จนกว่ากองกำลังชุดใหญ่จะเข้าไปช่วยเหลือ 

จอมพลเกอริง จึงมอบหมายให้กองบินที่ 1 (Luftflotte 1) ภายใต้การบังคับบัญชาของพลอากาศโท อัลเฟรด เคลเลอร์ เข้าทำหน้าที่ดังกล่าว และเคลเลอร์ก็มอบหมายภารกิจในแนวหน้าให้กับโอแบร์ส เฟรดริค วิลเฮล์ม มอร์ซิค (Oberst Friedrich Wilhelm Morzik)

สำหรับกองบินที่ หรือ "ลุฟฟลอทท์ ของกองทัพอากาศเยอรมันนั้น มีลักษณะและขนาดเทียบเท่ากับการจัดกำลังในระดับกองพลของกองทัพบก 

กองบินที่ นี้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ กุมภาพันธ์ ค..1939 ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองเพียงไม่กี่เดือน มีกองบัญชาการหลักอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมัน และมีส่วนแยกอยู่ในดินแดนเอสโตเนีย แลตเวีย และลิธัวเนีย 

มีภารกิจในการสนับสนุนทางอากาศต่อยุทธการบาร์บารอสซ่า ในการรุกเข้าสู่สหภาพโซเวียต โดยรับผิดชอบการสนับสนุนในพื้นที่ทางตอนเหนือ สำหรับภารกิจของกองบินที่ ที่ “เดมแยงส์”  ในครั้งนี้ ก็คือ การส่งกำลังบำรุงให้กับทหารเยอรมันในวงล้อม "เดมแยงส์วันละ 240 ตันเป็นประจำทุกวัน ติดต่อกันนานกว่า 70 วันโดยทหารเยอรมันที่ติดอยู่ในวงล้อม จะต้องรักษาสนามบินสองแห่ง คือ สนามบินที่เมือง "เดมแยงส์และสนามบินที่เมือง "เปสกี้" เอาไว้ให้ได้ แม้จะต้องสูญเสียมากมายเพียงก็ตาม


รถถังแบบ แพนเซอร์


นับว่าโชคยังเข้าข้างเยอรมันอยู่มาก เพราะในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่แนวตั้งรับของเยอรมันในวงล้อม “เดมแยงส์” ยังคงแข็งแกร่งอยู่นั้น ท้องฟ้าดูจะสดใสเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้พื้นดินจะถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาก็ตาม 

ทันวิสัยที่ดีนี่เอง ที่ทำให้กองบินที่ ของกองทัพอากาศเยอรมัน สามารถดำเนินการส่งกำลังบำรุงได้อย่างเต็มที่ นักบินเยอรมันใช้อากาศยานทุกชนิดที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินขนส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด, เครื่องบินลาดตระเวณ แม้กระทั่งเครื่องบินธุรการ นำยุทธปัจจัยจำนวนมากบินเข้าสู่วงล้อม "เดมแยงส์เที่ยวบินแล้วเที่ยวบินเล่า 

อย่างไรก็ตามเมื่อการรบยืดเยื้อออกไป การขนส่งยุทธสัมภาระเข้าสู่วงล้อม "เดมแยงส์ของกองทัพอากาศเยอรมัน ก็เต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ โดยเฉพาะเครื่องบินขับไล่ของรัสเซีย ที่คอยบินก่อกวนขบวนเครื่องบินลำเลียงแบบ เจยู  52 ที่เริ่มล้าสมัย อุ้ยอ้ายและเชื่องช้า โดยได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ ปี ค..1930 มีความเร็วเพียง 265 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็เป็นเครื่องบินที่ฮิตเลอร์ไว้วางใจ ให้เป็นเครื่องบินประจำตัวของเขาเมื่อแรกขึ้นดำรงตำแหน่ง "ท่านผู้นำหรือ "ฟือเรอห์" (Fuhrer)
นอกจากนี้ ยังมีน้อยครั้งที่ฝูงบินขับไล่ของเยอรมัน แบบ แมสเซอร์ชมิทท์ บีเอฟ 109 จะร่วมบินคุ้มกันให้กับเครื่องบินลำเลียง เนื่องจากความขาดแคลนเครื่องบินขับไล่ของกองบินที่ ในแนวรบด้านนี้
แต่ในเดือนมีนาคม ค..1942 ฝูงบินขับไล่ของเยอรมัน ก็สามารถจัดสรรเครื่องบินที่มีอยู่อย่างจำกัด เข้าต่อกรกับเครื่องขับไล่แบบ มิค 3 ของรัสเซีย ส่งผลให้เครื่องบินขับไล่ของรัสเซียถูกยิงตกเป็นจำนวน 162 ลำ ภายในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว
แต่ถึงแม้เครื่องบินขับไล่ของกองทัพแดง จะไม่สามารถครองความเป็นเจ้าอากาศเหนือน่านฟ้าเมือง "เดมแยงส์ได้อย่างเด็ดขาด พวกเขาก็สามารถสร้างความเสียหายให้เครื่องบินลำเลียงและเครื่องบินทิ้งระเบิด แบบ ไฮน์เกล เฮชอี 111  ที่นำมาใช้ในภารกิจการขนส่งได้มากพอสมควร
สำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ ไฮน์เกล เฮชอี  111 รุ่นนี้ สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 14,000 กิโลกรัม ทำความเร็วได้  415 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงสงครามกลางเมืองในสเปน แต่ในช่วงการรบเหนือเกาะอังกฤษ เครื่องบินแบบ ไฮน์เกล เฮชอี 111 ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างมาก จนต้องเพิ่มอาวุธปืนกลประจำเครื่องบินให้มากขึ้น แต่นั่นก็หมายถึงการเพิ่มจำนวนพลประจำปืนขึ้นไปอีก อันส่งผลให้ความสามารถในการบรรทุกสัมภาระของเครื่องบินชนิดนี้ลดลงเช่นกัน

แม้ฝูงบินขับไล่ของรัสเซียจะพยายามเข้าขัดขวาง แต่เนื่องจากในห้วงเวลานั้น นักบินรัสเซียยังด้อยประสบการณ์กว่านักบินของเยอรมันอยู่มาก จึงทำให้กองทัพอากาศของรัสเซียประสบกับความสูญเสียอย่างมาก

นอกจากเครื่องบินขับไล่ของรัสเซีย จะสร้างปัญหาให้กับขบวนเครื่องบินลำเลียงของเยอรมันแล้ว ปืนต่อสู้อากาศยาน ตลอดจนการยิงรบกวนด้วยอาวุธประจำกายของทหารราบรัสเซีย ที่กระชับวงล้อมอยู่อย่างหนาแน่น ก็ยังเป็นอุปสรรคและสร้างความเสียหายให้ฝูงบินลำเลียงมากพอสมควร

โดยเฉพาะปืนต่อสู้อากาศยานของรัสเซียนั้น สามารถยิงเครื่องบินลำเลียงแบบเจยู 52 ตกถึง 52 ลำภายในเดือนมีนาคม ค..1942 เพียงเดือนเดียว มอร์ซิค ผู้บังคับการกองบินที่ ของเยอรมัน ซึ่งย้ายกองบัญชาการกองบินของเขา เข้ามาอยู่ที่เมืองเปสกี้ (สนามบินเมืองเปสกี้เป็นสนามบินหนึ่งในสองสนามบินซึ่งอยู่ในวงล้อม "เดมแยงส์ที่ใช้ในการขนส่งยุทธปัจจัยตัดสินใจที่จะเปลี่ยนยุทธวิธีของเขา ด้วยการให้ฝูงบินลำเลียงของเขาบินเกาะกลุ่มด้วยจำนวนเครื่องบินที่มากขึ้นถึง 12 ลำต่อหนึ่งขบวน และบินด้วยความสูง 6,000 – 8,000 ฟุต (1,850 –  2,500 เมตรเพื่อให้พ้นรัศมีของปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานขนาดเล็กของรัสเซีย

การเกาะกลุ่มขนาดใหญ่ในลักษณะนี้ ทำให้เครื่องบินขับไล่ของเยอรมันที่มีอยู่น้อย สามารถให้การสนับสนุนในการบินคุ้มกันได้อย่างทั่วถึง การเปลี่ยนยุทธวิธีในครั้งนี้ทำให้ยอดการสูญเสียเครื่องบินลำเลียงแบบ เจยู 52 ลดลงเหลือเพียง ลำในเดือนถัดมา คือเดือนเมษายน แต่กลับสามารถทำลายเครื่องบินขับไล่ของรัสเซียได้เป็นจำนวนถึง 260 ลำในเดือนเดียวกันนี้เอง

สำหรับความสูญเสียทางอากาศในภาพรวมทั้งหมด ตลอดระยะเวลาการรบที่ “เดมแยงส์” นั้นฝ่ายรัสเซียสูญเสียเครื่องบินไปถึง 408 ลำมีนักบินเสียชีวิตหรือถูกจับเป็นเชลย 243 คนส่วนเยอรมันสูญเสียเครื่องบินไป 265 ลำ ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินขนส่งแบบ จุงเกอร์ เจยู 52 จำนวน 106 ลำ และเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดกลางแบบ ไฮน์เกล เฮชอี 111 อีก 17 ลำนอกจากนี้เยอรมันยังสูญเสียนักบินและพลประจำเครื่องบินที่มีประสบการณ์ไปอีกจำนวน 387 นายด้วย 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)





 

Create Date : 14 ธันวาคม 2556    
Last Update : 15 ธันวาคม 2556 12:34:44 น.
Counter : 2252 Pageviews.  

สมรภูมิ "เดมแยงส์" ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนที่ 2

สมรภูมิ "เดมแยงส์" (Battle of Demyansk)

ตอนที่ 2

จากหนังสือเรื่อง "สมรภูมิของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์"

โดย พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ

Master of International Relations (with merit)

Victoria University of Wellington, New Zealand

สงวนลิขสิทธ์ตาม พรบ.สิ่งพิมพ์ พ.ศ.2537

ห้ามทำซ้ำเพื่อการพาณิชย์ ให้เผยแพร่เพื่อการศึกษาและค้นคว้าแก่ผู้สนใจเท่านั้น




ตามยุทธวิธีในการรบของกองทัพรัสเซียนั้น กองทัพจู่โจมจะไม่เน้นการเคลื่อนที่เร็ว จึงมีกองพลทหารม้าเพียง กองพลและมีรถถังเพียง กองพัน แต่จะมุ่งเน้นความรุนแรงในการเข้าตีโดยอาศัยคลื่นทหารราบ เคลื่อนที่เข้าหาแนวตั้งรับของทหารเยอรมันอย่างต่อเนื่อง โดยมีกรมทหารปืนใหญ่ยิงสนับสนุน พร้อมๆ กับรถถัง 

เมื่อสามารถเจาะแนวตั้งรับของเยอรมันได้แล้ว หน่วยยานเกราะหรือรถถังที่อยู่ในส่วนกองหนุน จึงจะเคลื่อนที่ตามเข้าไปในแนวเจาะ แล้วขยายปีกออกทางซ้ายขวา เพื่อเข้าทำการกวาดล้างหรือขยายผลในการรบต่อจากทหารราบของกองทัพจู่โจมต่อไป

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายรัสเซียจัดตั้งกองทัพจู่โจมขึ้นทั้งหมด กองทัพทำการรบ ตั้งแต่วงล้อมเมือง "เดมแยงส์และการรบที่เมืองสตาลินกราด เรื่อยไปจนถึงการรบครั้งสุดท้ายที่กรุงเบอร์ลิน

ในช่วงแรกที่ทหารรัสเซียเปิดฉากโจมตีแนวหน้า ตลอดทั้งแนวของกองทัพเยอรมัน ซึ่งเป็นพื้นที่ของกองทัพที่ 16 อันประกอบไปด้วยกองทัพน้อยที่  และกองทัพน้อยที่ 10 นั้น จอมพลวิลเฮล์ม ริทเธอร์ ฟอน ลีบ ผู้บังคับบัญชากลุ่มกองทัพเหนือ ตระหนักดีว่า การรุกกลับอย่างรุนแรงของรัสเซีย อาจนำมาซึ่งความสูญเสียของกองทัพที่ 16 ทั้งกองทัพก็เป็นได้ เขาจึงร้องขอไปยัง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เพื่อขอรับคำสั่งให้ทหารเยอรมันล่าถอยจากพื้นที่เมือง "เดมแยงส์และจัดแนวตั้งรับใหม่ แต่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ปฏิเสธคำขอดังกล่าว

สำหรับจอมพล วิลเฮล์ม ริทเธอร์ ฟอน ลีบ นั้นเป็นนายทหารอาชีพ และมักแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่ฝักใฝ่หรือบางครั้งถึงกับมีแนวความคิดต่อต้านพรรคนาซีของฮิตเลอร์เสียด้วยซ้ำไป เขาจึงส่งคำขอไปยังฮิตเลอร์อีกครั้ง

คราวนี้เป็นคำขอถอดถอนตัวเองออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกลุ่มกองทัพเหนือ ฮิตเลอร์ซึ่งโดยส่วนตัวก็ไม่ค่อยนิยมชมชอบในตัวจอมพล วิลเฮล์ม ริทเธอร์ ฟอน ลีบ เท่าใดนัก แม้ว่าจอมพล วิลเฮล์ม ริทเธอร์ ฟอน ลีบ จะสามารถนำความสำเร็จจากการรุกเข้าสู่รัสเซียมาให้ฮิตเลอร์ได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มกองทัพเหนือของเขา สามารถรุกเข้าไปในรัสเซียได้เป็นระยะทางถึง 900 กิโลเมตร ภายในระยะเวลาอันสั้นก็ตาม แต่จอมพล วิลเฮล์ม ริทเธอร์ ฟอน ลีบ ก็ล้มเหลวในการยึดเมืองเลนินกราด สร้างความไม่พอใจให้กับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อย่างมาก ความไม่พอใจนี้ได้ถูกถ่ายทอดผ่านคำพูดของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนหนึ่งว่า

“.. จอมพล ฟอน ลีบ ชอบทำตัวเหมือนเด็ก เขาไม่สามารถทำตามแผนของฉันในการยึดเมืองเลนินกราดได้ อีกทั้งยังมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการวางแผนมากจนเกินไป โดยเฉพาะแผนตั้งรับในแนวรบด้านตะวันตกเฉียงเหนือ (เมืองเดมแยงส์) ..  เขายังคิดที่จะรุกสู่กรุงมอสโคว์มากกว่าการรุกสู่เลนินกราดตามแผน .. จอมพลคนนี้เป็นคนแก่ชรา ที่สูญเสียความห้าวหาญไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เหมาะที่จะเข้าโบสถ์สวดมนต์ มากกว่ามาทำหน้าที่บังคับบัญชาการรบ ..”

ด้วยความไม่พอใจดังกล่าวนี้เอง ที่ทำให้คำขอในการถอนตัวออกจากการเป็นผู้บัญชาการกลุ่มกองทัพเหนือ ของจอมพล วิลเฮล์ม ริทเธอร์ ฟอน ลีบ ได้รับการอนุมัติอย่างไม่รีรอ จากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พร้อมกับแต่งตั้งพลเอก จอร์ช ฟอน คุเลอร์ (Georgvon Kuchler) นายทหารผู้ซึ่งให้การสนับสนุนพรรคนาซีอย่างท่วมท้น เข้าทำหน้าที่แทน

สถานการณ์ใน "เดมแยงส์เป็นไปดังที่ จอมพล วิลเฮล์ม ริทเธอร์ ฟอน ลีบ คาดการณ์ไว้ การยึดที่มั่นตามแนวความคิดของฮิตเลอร์ ทำให้ทหารเยอรมันกว่า 100,000 นาย ตกอยู่ในวงล้อมของทหารรัสเซีย ตั้งแต่วันที่ กุมภาพันธ์ ค..1942 

ปัญหาของทหารเยอรมันในขณะนั้นคือ การขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ จำนวนมาก เพื่อจัดตั้งแนวป้องกันการรุกของทหารกองทัพแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดต่อสู้ทำลายรถถังหรือ "แพนเซอร์เยเกอร์" (Panzerjager) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 37 มิลลิเมตรแบบ แพ็ค 36 (PaK 36) ที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการหยุดยั้งหรือทำลายรถถังแบบ ที 34และแบบ เควี 1 (KV 1) ของรัสเซียได้

ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 37 มิลลิเมตร แบบแพ็ค 36 (Pak 36 : Panzerabwehrkanone 36)  เป็นปืนใหญ่ต่อสู้รถถังที่ใช้กระสุนขนาด 37 มิลลิเมตร มีระบบกล้องเล็งที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ มีน้ำหนักเบาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ง่ายในทุกภูมิประเทศ รวมทั้งใช้พลประจำปืนเพียงแค่สองคน มันถูกบรรจุเข้าประจำการในกองทัพเยอรมันตั้งแต่ ปี ค..1934 และใช้ในการรบระหว่างสงครามกลางเมืองในสเปน ใน ปี ค..1936 จนถึงช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังรุ่นนี้ได้กลายเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้รถถังของทหารเยอรมัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดกระสุนที่เล็กเกินไป ทำให้มันไม่สามารถหยุดยั้งรถถังของอังกฤษและฝรั่งเศสในการรบในประเทศฝรั่งเศสได้ ไม่ว่าจะเป็นรถถังแบบ มาทิลด้า (Matilda II) หรือรถถังของฝรั่งเศส แบบ โซมัว เอส 35 (Somua S 35) 

สำหรับการรบด้านรัสเซีย แม้ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังแบบแพ็ค 36 จะมีขนาดเล็กเกินไป แต่ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนกระสุนขนาด 37 มิลลิเมตร ให้เป็นกระสุนทังสเทน (Tangsten Core Shell) ที่มีประสิทธิภาพในการเจาะเกราะมากขึ้น แต่การยิงทำลายรถถังแบบ ที 34 ของรัสเซีย ก็ต้องอาศัยการยิงใส่ด้านข้างหรือด้านหลังเท่านั้น

ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ในระยะที่ใกล้จนสามารถยิงใส่ด้านข้างหรือด้านหลังของรถถังที 34 ได้นั้น ปืนใหญ่และพลประจำปืนมักจะถูกทหารราบรัสเซียที่ติดตามรถถังทำลายลงเสียก่อน ในช่วงปี ค..1942 ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังแบบนี้ ก็ถูกทดแทนด้วยปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 50 มิลลิเมตร แบบ แพ็ค 38 (PaK 38)

สำหรับปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 50 มิลลิเมตร แบบแพ็ค 38 (PaK 38 : Panzerabwehrkanone 38) ถูกออกแบบขึ้น ใน ปี ค..1938 และนำมาใช้เป็นครั้งแรก ในแนวรบด้านรัสเซียในปี ค.ศ 1941 เพื่อใช้ต่อสู้กับรถถังแบบ ที 34 ของรัสเซีย เนื่องจากกระสุนขนาด  50 มิลลิเมตรของปืนใหญ่ชนิดนี้ สามารถเจาะเกราะที่มีความหนา 45 มิลลิเมตรของรถถังแบบที 34 ได้ และหากใช้กระสุนทังสเทนจะสามารถทำลายรถถังแบบ เควี 1 (KV 1) ที่มีเกราะหนามากได้ด้วย ความมีอานุภาพในการทำลายล้างยานเกราะ ทำให้ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังแบบแพ็ค 38 ประจำการอยู่ในกองทัพเยอรมันจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

อย่างไรก็ตามในแนวรบที่ "เดมแยงส์นี้กองพลในแนวหน้าของทหารเยอรมันมีปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 50 มิลลิเมตร แบบแพ็ค 38 ที่มีอานุภาพเพียง 3– 4  กระบอกเท่านั้น ทำให้เยอรมันต้องนำเอาปืนใหญ่ขนาด 45 มิลลิเมตรที่ยึดได้จากรัสเซียเข้ามาเสริมแนวตั้งรับของตนเองในอัตรา 6– 7 กระบอกต่อกองพล

นอกจากนี้ทหารเยอรมันยังขาดแคลนรถถังแบบแพนเซอร์ รุ่นเจ (Panzer III Ausf. J –  Panzerkampfwagen III หรือเขียนย่อว่า Pz.Kfw. III Ausf.J) ซึ่งเปลี่ยนปืนใหญ่ประจำรถจากขนาด 37 มิลลิเมตรมาเป็นขนาด 50 มิลลิเมตรที่สามารถทำลายรถถังที 34 ของรัสเซียได้ในรัศมี 500 เมตร




รถปืนใหญ่อัตตาจรแบบ สตุก 3 (StuG III : Sturmgeschutz IIIติดปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตรที่ฝ่ายเยอรมันในวงล้อม "เดมแยงส์ขาดแคลนอย่างมาก เมื่อเริ่มเปิดฉากการรุกเข้าสู่สหภาพโซเวียตนั้น เยอรมันมีรถถังรุ่นนี้อยู่เป็นจำนวน 272 คันและสามารถสร้างชื่อเสียงในการทำลายรถถังของรัสเซียได้ทุกชนิด


ยิ่งไปกว่านั้น เยอรมันยังขาดแคลนรถปืนใหญ่อัตตาจรแบบ “สตุก 3” หรือ "สตุมเกอส์ชูทซ์ 3” (StuG III – Sturmgeschutz III) ที่ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตร แบบ เคดับเบิ้ลยูเค 40 แอล 43 (KwK 40 L/43) ชนิดลำกล้องสั้น และ เคดับเบิ้ลยูเค 40 แอล 48 (KwK 40 L/48) ชนิดลำกล้องยาวอันทรงประสิทธิภาพอีกด้วย

สตุก เป็นรถปืนใหญ่อัตตาจร ที่ใช้ฐานของรถถังแบบ แพนเซอร์ โดยถอดป้อมปืนของรถถังที่ติดตั้งปืนใหญ่ประจำรถขนาด 37 มิลลิเมตรอันด้อยประสิทธิภาพออกไป จากนั้นก็ติดตั้งปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 75 มิลลิเมตรเข้าไปแทน เพื่อเพิ่มอานุภาพในการทำลายล้าง

สตุก สามารถบรรทุกกระสุนได้ 54 นัด วัตถุประสงค์ของการปรับเปลี่ยนรถปืนใหญ่อัตตาจรรุ่นนี้ ก็เพื่อใช้เป็นฐานปืนใหญ่เคลื่อนที่ในการสนับสนุนทหารราบในการรุก โดยสตุก จะทำการยิงทำลายป้อม ค่าย รังปืนกล แนวตั้งรับ หรือปืนใหญ่ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการรุก

ทำให้มีการออกแบบให้ปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตรตรึงแน่นบนฐานของรถ สามารถปรับมุมยิงซ้ายขวาได้เพียง 25 องศาเท่านั้น ไม่สามารถหมุนไปมาได้รอบตัว 360 องศาเหมือนป้อมปืนของรถถัง ดังนั้นการที่พลปืนจะปรับเปลี่ยนเป้าหมายของปืน ต้องอาศัยการขยับรถทั้งคันทำให้สตุก เสียเปรียบเมื่อต้องทำการรบที่มีความจำเป็นต้องปรับมุมยิงอย่างรวดเร็ว

แต่ประโยชน์ที่ได้ เมื่อไม่มีป้อมปืนของรถปืนใหญ่อัตตาจรแบบสตุก ก็คือ ความสูงของรถที่ลดลงเหลือเพียง 2.16 เมตรทำให้เหมาะในภารกิจการตั้งรับ เพราะง่ายต่อการซุ่มซ่อนตามพื้นที่ต่างๆ และยากต่อการตรวจการณ์ของฝ่ายตรงข้าม ภายหลังจากการเข้าสู่สมรภูมิด้านรัสเซียปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตรของสตุก ได้รับการพิสูจน์ว่า สามารถหยุดยั้งรถถังแบบ ที 34 ของรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเปลี่ยนจากกระสุนระเบิดแรงสูงธรรมดา มาเป็นกระสุนเจาะเกราะ ส่งผลให้ภารกิจในการสนับสนุนทหารราบของมัน ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นภารกิจในการต่อสู้รถถัง (Tankhunter) ซึ่งตลอดการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง สตุก สามารถทำลายรถถังของข้าศึกได้เป็นจำนวนถึงกว่า 20,000คัน ทั้งแนวรบด้านตะวันตกและด้านตะวันออก

แม้จะขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น แต่ทหารเยอรมันก็สู้อย่างเต็มที่ โดยทหารราบในแนวหน้า หันมาใช้ทุ่นระเบิดต่อสู้รถถัง (Teller anti-tank mine) ในการต่อสู้กับรถถังของข้าศึก ที่พยายามรุกเข้ามา รวมทั้งพยายามดัดแปลงปราการทางธรรมชาติเพื่อปิดเส้นทางการเคลื่อนที่เข้ามาของรถถัง เช่น การขุดคูดักรถถัง การใช้หนอง บึง ในการต่อสู้กับรถถัง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จพอสมควร ประกอบกับการรุกของฝ่ายรัสเซียนั้น ใช้ทหารราบเป็นกำลังหลักเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้กองทัพรัสเซียจะพยายามรุกใหญ่ถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเจาะผ่านแนวตั้งรับอันเหนียวแน่นของทหารเยอรมันได้

กำลังของฝ่ายเยอรมันที่ตั้งรับอยู่ตามแนวขอบหน้าของวงล้อม คือ กองพลทหารราบที่ 30, กองพลทหารราบที่ 290 และกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ซึ่งกองพลโทเทนคอฟนี้ เป็นหน่วยรบ เอส เอส ที่ผ่านการฝึกมาเป็นพิเศษ อยู่ใต้การบังคับบัญชาของพลตรี ธีโอดอร์ ไอค์เคอ (SS Obergruppenfuhrer Theodor Eicke – เอสเอส โอแบร์กรุพพ์เพนฟือเรอห์ เป็นชั้นยศของหน่วย เอส เอส เทียบเท่าพลตรี)

เขาเป็นนายทหารที่อยู่เคียงข้าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์มาโดยตลอด ตั้งแต่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำนาซีเยอรมัน ธีโอดอร์ ไอค์เคอ เป็นผู้บังคับบัญชาที่มีความห้าวหาญและพร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แม้ว่าภารกิจนั้นจะเป็นภารกิจที่มีความเสี่ยงมากมายเพียงใดก็ตาม

(โปรดติดตามตอนต่อไป)




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2556    
Last Update : 15 ธันวาคม 2556 12:25:36 น.
Counter : 2157 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

unmoknight
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 49 คน [?]




ฉันจะบิน ... บินไป ... ไกลแสนไกลไม่หวั่น
เก็บร้อยความฝันที่มันเรียงราย ...
ให้กลายมาเป็นความจริง ...
New Comments
Friends' blogs
[Add unmoknight's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.