|
|
|
การยกพลขึ้นบกในวัน ดี เดย์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2
การยกพลขึ้นบกในวัน ดี เดย์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2
โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ

การยกพลขึ้นบกของฝ่ายพันธมิตร ที่หาดนอร์มังดี ของฝรั่งเศสในวันที่ 6 มิถุนายน 1944 หรือที่เรียกว่าวัน ดี เดย์ จะเห็นเมืองแชร์บูรกก์ (Cherbourg) อยู่ทางซ้ายมือของแผนที่ ถัดมาคือหาดยูท่าห์ (Utah) โอมาฮ่า (Omaha) โกลด์ (Gold) จูโน (Juno) และซอร์ด (Sword) สีแดงคือกำลังของฝ่ายเยอรมัน จะเห็นกำลังของกองพลยานเกราะที่ 21 (21st Panzer Division) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองคานส์ (Caen) ถัดมาทางขวา จะเห็น กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 12 ฮิตเลอร์จูเกน (12th SS. Panzer Division Hitler Jugend) ทางขวาล่างขงแผนที่จะเห็นกองทัพ บี ของจอมพล เออร์วิน รอมเมล ผู้รับผิดชอบกำแพงแอตแลนติค ต่อต้านการยกพลขึ้นบกของฝ่ายพันธมิตร
-----------------------------
วันที่ 6 มิถุนายน 1944 ถือว่าเป็นวันดี เดย์ เป็นวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรทุ่มกำลังยกพลขึ้นบก โจมตีป้อมปราการยุโรปของฮิตเลอร์ (Fortress Europe) ด้วยกำลังมหาศาลเท่าที่เคยมีมา เพื่อเปิดสงครามด้านที่สองของเยอรมัน ซึ่งกำลังเผชิญกับรัสเซียทางด้านตะวันออก
จริงๆแล้วเยอรมันนั้นรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าฝ่ายสัมพันธมิตร จะทำการยกพลขึ้นบกในฝรั่งเศส แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นที่ใด เนื่องจากแนวชายทะเลของฝรั่งเศสด้านที่ติดกับอังกฤษนั้นยาวมาก ฮิตเลอร์และฝ่ายเสนาธิการบางคนเชื่อว่า การยกพลขึ้นบกจะเกิดขึ้นที่ เมืองท่าคาเล่ย์ (Calais) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือและเป็นส่วนที่แคบที่สุดระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส
ในขณะที่ จอมพลเออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) ของนาซีเยอรมัน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพกลุ่มบี ในประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือน พย. 1943 เชื่อว่าการยกพลขึ้นบกจะเกิดขึ้นในบริเวณอื่น เขาจึงสั่งการให้สร้างสร้างป้อมและบังเกอร์ขึ้นเรียงรายตามแนวชายฝั่งฝรั่งเศส เพิ่มจำนวนรังปืนกล เครื่องยิงลูกระเบิดหรือปืนครก บนหาดก็มีการสร้างสิ่งกีดขวางสำหรับเรือยกพลขึ้นบก ที่เรียกว่า เม่นทะเลและงาแซง บวกกับการติดทุ่นระเบิดและกับระเบิดจำนวนมากเข้าไป แนวตั้งรับนี้มีชื่อเรียกว่า กำแพงแอตแลนติค (Atlantic Wall)
รอมเมลเชื่อว่าชัยชนะของการต่อต้านการยกพลขึ้นบกจะอยู่ที่ชายหาด ใครที่ยึดหาดได้จะเป็นผู้ชนะ แต่ฮิตเลอร์มองว่า หากการยกพลขึ้นบกเกิดขึ้นจริง การรบขั้นแตกหักจะอยู่บนฝั่ง คือปล่อยให้พันธมิตรขึ้นฝั่งแล้วใช้กำลังเข้าบดขยี้
ด้วยความเห็นที่แตกต่างกันนี้เอง ฮิตเลอร์จึงสั่งการให้วางกำลังส่วนใหญ่ไว้ในแนวหลัง เนื่องจากไม่มั่นใจว่าการยกพลขึ้นบกจะเกิดที่ใด เมื่อมีการยกพลขึ้นบก ก็จะใช้กำลังหลักที่อยู่ส่วนหลังนี้เข้าเสริมกำลังที่ป้องกันชายหาด ส่วนรอมเมลต้องการให้วางกำลังหลักตามแนวชายหาดเพื่อสกัดกั้นการยกพลขึ้นที่ชายหาดได้ทันท่วงที
แน่นอนฮิตเลอร์เป็นฝ่ายชนะในความคิดของเขา ฮิตเลอร์และนายพลรุดชเท็ด (Gerd Von Rundstedt) จึงดึงกำลังสำคัญ เช่น หน่วยยานเกราะ (Panzer) เกือบทั้งหมดไปอยู่ส่วนหลัง เหลือเพียงกองพลยานเกราะที่ 21 (21st Panzer Division) ให้รอมเมลบังคับบัญชาเพียงกองพลยานเกราะเดียว
นอกจากนี้รอมเมลยังมีกองพลทหารราบอีก 38 กองพล วางกำลังอยู่ตั้งแต่เมืองท่าคาเล่ย์ ของฝรั่งเศส ขึ้นเหนือไปถึงฮอลแลนด์ และเลยลงไปทางใต้ถึงชายแดนสเปน จะเห็นว่าแนวตั้งรับของเยอรมัน มีระยะทางยาวมาก กำลังทหารเยอรมัน จึงดูไม่เพียงพอต่อการต่อต้านการยกพลขึ้นบก ในขณะเดียวกัน กำลังทางอากาศของเยอรมัน(Luftwaffe) ก็มีเครื่องบินขับไล่เพียง 70 ลำ เครื่องบินทิ้งระเบิด 90 ลำ และเครื่องบินอื่นๆ 160 ลำ น้อยเกินไปที่จะรับมือกับฝูงบินพันธมิตรจำนวนมหาศาล
กำลังของพันธมิตร ที่จะทำการยกพลขึ้นบกนั้นประกอบด้วย กองพลทหารราบ 39 กองพล (สหรัฐ 20 กองพล อังกฤษ 3 กองพล คานาดา 1 กองพล ฝรั่งเศสอิสระ 1 กองพลและโปแลนด์ 1 กองพล) มีเครื่องบินขับไล่ กว่า 5,000 ลำ เครื่องร่อน 2,600 ลำ เรือรบและเรืออื่นๆกว่า 6,000 ลำ จะเห็นว่ากำลังทหารราบของทั้งสองฝ่ายใกล้เคียงกันที่จำนวน แต่เยอรมันกระจายกันตั้งแต่เหนือจรดใต้ ในขณะที่พันธมิตรทุ่มไปที่จุดๆเดียว
กองทัพนาซีเยอรมันเชื่อว่า การยกพลขึ้นบกจะมีขึ้นในฤดูร้อนของปี 1944 เพราะมีการเตรียมการขนานใหญ่ที่สามารถสังเกตุเห็นได้ชัดในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการระดมพลครั้งยิ่งใหญ่ การระดมเรือทั้งเรือยกพลขึ้นบก เรือลำเลียงขนาดใหญ่ เรือรบนานาชนิด แต่วันเวลาที่แน่นอนนั้น ก็ยังเป็นความลับที่ดำมืด
ฝ่ายสัมพันธมิตรเองก็พยายามลวงให้เยอรมันมั่นใจว่า การยกพลขึ้นบกจะมีขึ้นที่คาเล่ย์ (Calais) สายลับของทั้งสองฝ่ายทำงานกันอย่างหนัก สายลับพันธมิตรพยายามปล่อยข่าวสถานที่ยกพลขึ้นบกหลายแห่ง จนสายลับเยอรมันในอังกฤษเกิดความสับสน
และแล้วนายพลไอเซนฮาว (Eisenhower) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจว่าการบุกจะเกิดขึ้นที่ใด และเมื่อใด ก็วางแผนที่จะเริ่มการยกพลขึ้นบกในวันที่ 5-6-7 มิย. 1944 ในเวลารุ่งอรุณ แต่สภาพภูมิอากาศที่เลวร้าย คลื่นลมบริเวณช่องแคบอังกฤษแรงราวกับทะเลกำลังบ้าคลั่ง ทำให้การปฏิบัติการต้องเลื่อนออกไปอีก 24 ชั่วโมง จนกระทั่งเช้าของวันที่ 6 มิย. ไอเซนฮาวจึงตกลงใจที่จะเริ่มการยกพลขึ้นบก
ฝ่ายเยอรมันนั้นก็สับสนกับข่าวการยกพลขึ้นบก ข่าววิทยุจากสถานีวิทยุบี บี ซี ที่กระจายเสียงจากกรุงลอนดอนของอังกฤษ สามารถรับฟังได้อย่างชัดเจนในฝรั่งเศส ซึ่งมักจะส่งข่าวให้พวกใต้ดินในฝรั่งเศส ผ่านทางข้อความที่เป็นรหัสลับ ออกข่าวเป็นเป็นบทกวีว่า "Chanson d'Automne" ซึ่งเป็นสัญญานให้หน่วยใต้ดินฝรั่งเศสทราบว่าการรุกกำลังจะเกิดขึ้น
เยอรมันสามารถจับรหัสนี้ได้ แต่สภาพอากาศที่เลวร้าย ทะเลที่มีแต่คลื่นลมแรง ทำให้เยอรมันตายใจ ไม่คิดว่าการยกพลจะเกิดขึ้นในสภาพอากาศที่เลวแบบนี้ จอมพลรอมเมลเอง ก็เดินทางกลับเยอรมันเพื่อไปเยี่ยมภรรยาของเขา ไม่มีใครคาดคิดว่า การยกพลขึ้นบกที่ยิ่งใหญ๋ที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่กำลังจะเกิดขึ้น และแล้วในคืนของวันที่ 5 ต่อเช้ามืดของวันที่ 6 มิย. พันธมิตรก็ได้ทำแผนลวง เช่น ส่งพลร่มลงที่หมายอื่นๆ ในฝรั่งเศส มีการปฏิบัติการทางอากาศที่เมืองบูโลน (Boulogne) ในขณะเดียวกันกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมดก็ออกจากอังกฤษ มุ่งหน้าสู่นอร์มังดี (Normandy) ท่ามกลางความมืดสนิท พลร่มและเครื่องร่อนบรรทุกทหารราบของสหรัฐและอังกฤษ ร่อนลงในดินแดนส่วนหลังของแนวตั้งรับของเยอรมันตามชายหาด และในแผ่นดินใหญ่ เพื่อป้องกันการเสริมกำลังของเยอรมัน
หาดต่างๆ ถูกแบ่งออกโดยใช้นามเรียกขานคือ ยูท่าห์ (Utah), โอมาฮ่า (Omaha), โกลด์ (Gold), จูโน (Juno), และซอร์ด (Sword) (ดูแผนที่การยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี)
กองพลพลร่มที่ 6 ของอังกฤษบุกขึ้นบกที่หาดซอร์ด (Sword) และยึดได้อย่างง่ายดาย กองพลพลร่มหรือกองพลส่งทางอากาศของสหรัฐที่ 82 และ 101 อันเลื่องชื่อ บุกเข้ายึดหาดยูท่าห์ (Utah) แต่ได้รับการต้านทานจากเยอรมัน จึงมีการสูญเสียมากกว่าหาดของอังกฤษ เนื่องจากเยอรมันทราบถึงการเข้าโจมตีของทหารพลร่ม จึงต่อสู้อย่างทรหด
แต่เนื่องจากการขาดการเตรียมพร้อม ทำให้เยอรมันต่อต้านได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควรจะเป็น กองพลทหารราบที่ 4 ของสหรัฐซึ่งยกพลขึ้นบกที่ยูท่าห์ พร้อมทั้งรถถังแบบ เอ็ม 4 เชอร์แมน (M 4 Sherman) สามารถรุกเข้าสมทบกับหน่วยพลร่มกองพลที่ 101 ได้ในที่สุด
สถานการณ์่รุนแรงที่สุดน่าจะเป็นที่หาดโอมาฮ่า (Omaha) ซึ่งกองพลทหารราบที่ 1 (1st US Infantry Division) ของสหรัฐ ที่ได้รับการสนับสนุนด้วยรถถังเพียง 5 ลำ ได้พบกับหน่วยทหารเยอรมันที่มีประสบการณ์จากกองพลที่ 352 แม้ปืนเรือจะได้ระดมยิงหาดก่อนการยกพลขึ้นบกอย่างหนัก แต่กำลังของเยอรมันส่วนใหญ่ ก็แทบไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
ดังนั้นเมื่อฝ่ายอเมริกันมาถึงหาดก็พบว่า พวกเขาถูกยิงตรึงอย่างหนาแน่น ยอดผู้บาดเจ็บเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความสูญเสียมีมากถึงขนาดนายพลโอมาร์ แบรดลี่ย์ (Omar Bradly) ของสหรัฐ ได้พิจารณาถึงการถอนตัวจากหาดโอมาฮ่า ก่อนที่มีการสูญเสียมากกว่าที่เป็นอยู่
แต่ในที่สุด เมื่อเวลา 1100 น. หาดโอมาฮ่าก็ตกเป็นของอเมริกัน เยอรมันถูกกดดันให้ถอยร่นไปตั้งรับที่แนวถนนของหาด ณ หาดจูโน กองพลทหารราบที่ 3 ของแคนาดา พบกับการต้านทานจากฝ่ายเยอรมัน ที่ปักหลักอยู่ตามที่มั่นที่แข็งแรง ตามแนวชายหาด แม้ว่ารถถังของทหารแคนาดาจะไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ เนื่องจากคลื่นลมที่แรงจัด ทหารแคนาดา ก็ต่อสู้อย่าง เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ โดยปราศจากการสนับสนุนของอาวุธหนัก และสามารถรุกคืบหน้าได้ถึง 11 กม.จากชายหาด
ส่วนที่ หาดโกลด์ กองพลทหารราบที่ 50 และกองพลน้อยยานเกราะที่ 8 ของกองทัพอังกฤษที่พรั่งพร้อมไปด้วยรถถัง และอาวุธหนัก ได้บุกเข้าโจมตีแนวต้านทานของเยอรมันตลอดแนวชายหาด
การสู้รบที่หนักหน่วงที่สุด เกิดขึ้นที่ หมู่บ้าน Le Hamel ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่สงบ ตั้งอยู่ตามแนวชายหาด ทหารเยอรมันส่วนสมทบของกองพลที่ 352 ได้ยึดหมู่บ้านเอาไว้ และดัดแปลงให้เป็นป้อมปราการ มีการวางปืนใหญ่ขนาด 75 มม.จำนวนหนึ่งเอาไว้ ซึ่งสามารถยิงครอบคลุมได้ทั่วทั้งหาด
นอกจากนี้ ทหารเยอรมันยังได้นำปืนกลหนักไปซุ่มไว้ตามอาคารต่างๆ พร้อมด้วยพลซุ่มยิง การต้านทานดังกล่าว ทำให้ รถถังของทหารอังกฤษ 4 ใน 5 คันถูกทำลายทันที ที่ถึงหาดโกลด์ ์ การต้านทานของเยอรมันไม่ใช่มีแค่เพียงบนหาดเท่านั้น ทหารเยอรมันยังวาง "งาแซง" ซึ่งทำจากท่อนเหล็กรางรถไฟ ตัดเป็นท่อนแล้วมาประกอบกันเป็น สามเหลี่ยม ความสูงกว่า 1 เมตร จำนวนมากกว่า 2,500 อัน
เมื่ือน้ำ้ขึ้น "งาแซง" นี้ จะมองไม่เห็น เพราะถูกน้ำท่วม จนเกือบมิด แต่ปลายสามเหลี่ยมที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ก็สามารถฉีกท้องเรือยกพลขึ้นบก จนได้รับความเสียหาย ใช้การไม่ได้ ส่วนหาดทรายก็มีทั้งลวดหนาม และกับระเบิด จำนวนมากมาย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทหารเยอรมันจะต้านทานอย่างเหนียวแน่นเพียงใด ทหารอังกฤษก็ต่อสู้อย่างยืนหยัดนานกว่า 8 ชม. โดยปราศจากอาวุธหนักอย่างรถถัง การต่อสู้ดุเดือดจนถึงขั้นประชิดตัว (hand to hand fighting) ในที่สุดทหารอังกฤษ ก็สามารถรุกเข้าไปได้ถึง 13 กม. จากหัวหาดโกลด์
สิ้นสุดวันอันยาวนาน (the longest day) ฝ่ายสัมพันธมิตรกว่า 150,000 คน ก็สามารถยึดครองพื้นที่กว่า 200 ตารางกิโลเมตร ตามแนวหาดนอร์มังดีได้ สายน้ำแห่งสงครามได้มาถึงจุดวกกลับแล้ว
นับจากวันดี เดย์เป็นต้นไป เยอรมันก็เริ่มเป็นฝ่ายถอย ชัยชนะที่มีมาแต่ต้น กลายเป็นตำนานของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ของฮิตเลอร์ การเริ่มต้นของการปลดปล่อย ฝรั่งเศส ก็เริ่มต้นขึ้น พร้อมๆกับการเริ่มต้นของการล่มสลายของระบอบนาซีในปี 1945
-------------------------------------

ภาพถ่ายขณะทหารอเมริกาลงจากเรือยกพลขึ้นบก เพื่อเข้ายึดหาดนอร์มังดี ในวันดี เดย์ บนหาดไกลๆ จะเห็นภาพความโกลาหล การกระจัดกระจายของทหารระลอกแรก บ่งบอกว่า เรือยกพลลำนี้น่าจะเป็นระลอกที่สอง ที่ส่งมาตามระลอกแรก โปรดสังเกตุหมอกควันหนาทึบ ที่อยู่หลังชายหาดลึกเข้าไป ซึ่งเกิดจากจากการระดมยิงฝั่งของปืนเรือฝ่ายสัมพันธมิตร จะเห็นว่าระดมหนาแน่นมากทั้งกระสุนจริงและกระสุนควันเพื่อพรางการยกพลขึ้นบก

ภาพนี้คือสัญญลักษณ์ของกองพลที่ 352 ของเยอรมันที่ทำหน้าที่ตรึงชายหาดนอร์มังดีเอาไว้อย่างเหนียวแน่น แม้จะไม่ได้เตรียมการมาก่อน กองพลนี้ตั้งขึ้นในเดือน พ.ย. 1943 รับผิดชอบพื้นที่นอร์มังดี เดิมสังกัดอยู่ในกองทัพกลุ่ม ดี ต่อมาในเดือน พ.ค. 1941 จึงเปลี่ยนสังกัดกองทัพกลุ่ม บี ของนายพลเออร์วิน รอมเมล เจ้าของฉายา จิ้งจอกทะเลทราย ผู้รับผิดชอบกำแพงแอตแลนติค

ภายหลังที่สถาปนาความมั่นคงบนหาดนอร์มังดีแล้ว ทหารพันธมิตรกว่า 150,000 คนก็หลั่งไหลเข้าสู่หาด เพื่อปลดปล่อยฝรั่งเศสเป็นเป้าหมายต่อไป บอลลูนที่เห็นอยู่ด้านหลัง จะเป็นสิ่งขัดขวางการโจมตีระยะต่ำของเครื่องบินเยอรมันที่อาจมีต่อทหารพันธมิตร

ทหารอเมริกันอีกคนหนึ่งที่ไม่มีโอกาสได้เห็นชัยชนะของสัมพันธมิตรเหนือหาดนอร์มังดี เครื่องกีดขวางที่เห็นอยู่ด้านข้าง แสดงให้เห็นว่า เมื่อน้ำขึ้น จะขึ้นสูงมากจนท่วมเครื่องกีดขวางนี้ ยอดของมันที่อยู่เรี่ยผิวน้ำจะเป็นตัวสกัดเรือยกพลขึ้นบกที่แล่นเข้ามา
ส่วนเครื่องกีดขวางที่เห็นอยู่ด้านหลัง เรียกว่า รอมเมลแอสปาราคัส (Rommel's Asparacus) ทำจากเหล็กรางรถไฟ หรือเสาเหล็กทั่วๆไป จะมีผลเมื่อน้ำขึ้นไม่สูงนัก นอกจากนี้บางส่วนของเครื่องกีดขวางเหล่านี้ ยังผูกกับระเบิดเอาไว้อีกด้วย

ทหารอเมริกันได้รับบาดเจ็บระหว่างการยกพลขึ้นบกในวันดี-เดย์ที่หาดโอมาฮ่า ความสูญเสียของอเมริกันที่หาดนี้มีมาก จนมีการพิจารณาถอนทหารออกจากหาด

ทหารอังกฤษกำลังวิ่งขึ้นจากเรือยกพลขึ้นบก ในวันดี เดย์ ท่ามกลางการระดมของฝ่ายเยอรมัน ฝ่ายอังกฤษค่อนข้างโชคดีกว่าทหารอเมริกันมาก ที่การต้านทานมีน้อยกว่า และการสูญเสียก็น้อยกว่าด้วยเช่นกัน

ความสูญเสียของฝ่ายพันธมิตรในวันดี เดย์ เป็นความสูญเสียที่คุ้มค่า เพราะนับจากนี้ไป สงครามกำลีงเดินทางไปสู่จุดสิ้นสุด
| Create Date : 12 กรกฎาคม 2552 | | |
| Last Update : 13 สิงหาคม 2553 6:43:04 น. |
| Counter : 29029 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
หน่วยทหารพลร่มของนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2
ประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่ 2
หน่วยทหารพลร่มของกองทัพนาซีเยอรมัน หรือ ฟอลชริมเจเกอร์ (FALLSCHIRMJAGER)
จาก //www.geocities.com/saniroj
โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ

ภาพแสดงการแต่งกายของทหารพลร่มเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สังเกตุได้ว่าหมวกเหล็กของพลร่มเยอรมัน จะแตกต่างจากหมวกเหล็กของทหารหน่วยอื่นๆ ตรงที่ส่วนขอบของหมวก ไม่ยื่นลงมาป้องกันบริเวณใบหูและศรีษะด้านหลัง เหมือนกับหมวกทหารนาซีเยอรมันทั่วไป หมวกเหล็กของพลร่มเยอรมันนี้ รู้จักกันในนามของหมวกแบบ M1938
--------------------------------------
หน่วยพลร่มของเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ถือว่าเป็นหน่วยรบ ที่มีประสิทธิภาพสูงมากที่สุด หน่วยหนึ่งของ กองทัพนาซีเยอรมัน ผู้นำนาซีเยอรมัน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มีความชื่นชม ในความสามารถของทหารหน่วยพลร่ม เป็นอย่างมาก อาจจะเรียกได้ว่า ชื่นชมไม่ด้อยไปกว่า ทหารหน่วย เอส เอส (waffen ss) ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษ ประจำตัวของฮิตเลอร์เอง
คำว่า ฟอลชริมเจเกอร์ (fallschirmjager) นั้นในภาษาเยอรมันแปลว่า นักล่าจากจากท้องฟ้า (hunters from the sky) (fallschirm - แปลว่า พลร่มหรือ parachute ในภาษาอังกฤษ และ jager แปลว่า นักล่าหรือ hunter - ranger ในภาษาอังกฤษ)
หน่วยพลร่มนี้ขึ้นตรงกับ กองทัพอากาศนาซีเยอรมัน หรือ ลุฟวาฟ (luftwaffe) ซึ่งต่างจากกองทัพสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ที่หน่วยพลร่มจะขึ้นตรงกับกองทัพบกมากกว่า ที่จะขึ้นตรงต่อกองทัพอากาศ โดยหน่วยพลร่มหน่วยแรกของเยอรมันถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1938 เริ่มต้นจากการรวบรวมกองพันทหารพลร่ม มาเป็นกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 (7th Flieger Division หรือ 7th Air Division ในภาษาอังกฤษ) ซึ่งประกอบด้วยกรมทหารพลร่ม จำนวน 3 กรม
ความชื่นชมที่ฮิตเลอร์มีต่อหน่วยทหารพลร่มนี้ เกิดขึ้นมาจากความสามารถอันโดดเด่นของทหารพลร่ม ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะการกระโดดร่มเข้าโจมตีประเทศต่างๆ เช่น เดนมาร์ก นอรเวย์ เนเธอร์แลนด์ ในปี 1940
โดยเฉพาะที่เดนมาร์กนั้น ถือเป็นการปฏิบัติการรบครั้งแรกของหน่วยพลร่มเยอรมัน ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 9 เมษายน 1940 ที่ทหารพลร่มเยอรมันจู่โจมเข้ายึดสนามบิน Aarhus นอกจากนี้ยังเข้าทำลายแนวต้านทานของเบลเยี่ยม ที่ป้อม อีเบน อีเมล (Eben Emael) ได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วว่า หน่วยฟอลชริมเจเกอร์ หรือ หน่วยทหารพลร่ม (หรือที่ทางสหรัฐอเมริกาใช้คำว่า หน่วยส่งทางอากาศ - Airborne) เป็นหน่วยทหาร ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกหน่วยหนึ่ง ของนาซีเยอรมันในขณะนั้น

ทหารพลร่มเยอรมัน กำลังพักผ่อน ภายหลังจากการเข้ายึดป้อม อีเบล อีเมล (Eben Emael) ของเบลเยี่ยมได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ชัยชนะครั้งนี้ มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้นาซีเยอรมันรุกเข้ายุโรปได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากทำให้ฝรั่งเศสและอังกฤษ ไม่สามารถเตรียมการตั้งรับได้ทันท่วงที

(ภาพบน) ทหารพลร่มของเยอรมัน ขณะทำการฝึก ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โปรดสังเกตุเสื้อเครื่องแบบ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทหารพลร่มเยอรมัน ในช่วงต้นของสงคราม
ขณะที่แสนยานุภาพทางอากาศของนาซีเยอรมัน ยังคงเกรียงไกรเหนือน่านฟ้ายุโรป ทหารหน่วยนี้จะทำการรบโดยการส่งทางอากาศ หรือกระโดดร่มลงเข้ายึดพื้นที่เป้าหมาย รวมทั้งใช้เครื่องร่อน (glider) เป็นพาหนะ ร่อนลงเหนือเป้าหมาย ดังเช่น การเข้ายึดป้อม อีเบน อีเมล ของเบลเยี่ยม ซึ่งทหารพลร่มเยอรมันจำนวน 85 นาย ลำเลียงโดยเครื่องร่อน 11 ลำ ร่อนลงเหนือป้อม แล้วใช้ระเบิดแรงสูงทำลายป้อมต่างๆ ทีละป้อม จนทหารภายในป้อมยอมแพ้อย่างรวดเร็ว
ในภาพนี้คาดว่าจะเป็นกำลังพลของกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1938 สองปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะอุบัติขึ้น ต่อมากองพลนี้ได้รับการปรับเป็น กองพลพลร่มที่ 1 (1st Parachute Division) โดยมีผู้บัญชาการกองพลคนแรกคือ พลตรี เคิร์ท สตูเด้นท์ (Kurt Student) ซึ่งเป็นหนึ่งขุนพลที่จอมพล แฮร์มาน เกอริง ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมัน ไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงปลายของสงคราม เมื่อกองทัพอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตร สามารถครองอากาศได้ ประกอบกับยุทธวิธีของนาซีเยอรมัน เปลี่ยนจากการรุก เป็นการตั้งรับในทุกแนวรบ
พลร่มเยอรมันแทบจะหมดโอกาสในการกระโดดร่มลงยึดที่หมายอย่างฉับพลัน ตามหลักการรบแบบสายฟ้าแลบของนาซีเยอรมัน ทหารหน่วยนี้ก็ต้องทำการรบแบบทหารราบทั่วไป แต่ประสิทธิภาพในการรบ ก็ยังคงเป็นที่น่าเกรงขาม สำหรับทหารฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่เช่นเดิม
ดังเช่นการรบที่แอนซิโอ และมองเตคาสิโน ในประเทศอิตาลี ในปี 1944 ที่กำลังพลของหน่วยพลร่มเยอรมัน ได้สร้างความเสียหายให้กับทหารอังกฤษ และอเมริกาเป็นอย่างมาก
กองพลพลร่มที่ 9 (9th Fallschirmjager Division) คือหน่วยพลร่มหน่วยสุดท้ายของนาซีเยอรมัน ที่ถูกตั้งขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ในการรบป้องกันกรุงเบอร์ลิน ในเดือนเมษายน 194

(ภาพบน) ภาพแสดงหมวกเหล็กของทหารพลร่มเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง จะเห็นสัญญลักษณ์ของกองทัพอากาศนาซีเยอรมัน หรือ ลุฟวาฟ (Luftwaffe) ปรากฏอยู่ด้านซ้ายของหมวก เป็นรูปนกอินทรีกางปีก เกาะอยู่บนเครื่องหมายสวัสดิกะ อันเป็นเครื่องหมายของพรรคนาซี ส่วนอีกด้านของหมวกจะเป็นแถบสีธงชาติเยอรมัน ดำ ขาว แดง ส่วนสายรัดคางนั้น จะเพิ่มเป็นสองจุด เพื่อทำให้เกิดความกระชับ เมื่อกำลังพล ต้องกระโดดออกมาจากเครื่องบิน ท่ามกลางสายลมที่พัดแรง และต้องรับแรงกระแทกเพื่อลงสู่พื้นดิน


(ภาพบน) การส่งสัมภาระทางอากาศของหน่วยพลร่มเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินในภาพคือ เครื่องบินแบบ จุงเกอร์ เจ ยู 52 (Junker Ju 52) ซึ่งเป็นเครื่องบินลำเลียงหลัก ของกองทัพอากาศเยอรมัน จุงเกอร์ เจ ยู 52 (ภาพล่าง) เป็นเครื่องบินแบบ สามเครื่องยนต์ สองเครื่องยนต์ที่ปีก และหนึ่งเครื่องยนต์ที่หัวเครื่องบิน รูปร่างของเครื่องแบบนี้ ได้รับการกล่าวขานว่า เทอะทะ ไม่มีความสวยงาม แต่แท้จริงแล้ว เครื่องจุงเกอร์ เจ ยู 52 เป็นเครื่องบินที่มีเครื่องยนต์สภาพเยี่ยม และไว้วางใจได้ ทำให้กองทัพอากาศเยอรมัน บรรจุเครื่องบินแบบนี้ เข้าประจำการเป็นเครื่องบินลำเลียงหลักของกองทัพ และใช้งานตลอดสงคราม
เครื่องบินจุงเกอร์ เจ ยู 52 เป็นเครื่องบินหลัก ที่ใช้ในการลำเลียงทหารพลร่ม ของกองทัพอากาศเยอรมัน เข้าสู่ที่หมาย นับตั้งแต่การรุกเข้าสู่ยุโรปในช่วงต้นของสงคราม ทั้งการรุกเข้าสู่ เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ และสงครามในการยึดเกาะครีต (Crete)

การรุกสู่เกาะครีต (Crete) ของทหารพลร่มเยอรมัน ภาพนี้ถ่ายบริเวณเมือง Heraklion หรือในภาษาอังกฤษว่า Iraq lion ในวันที่ 20 พ.ค. 1941 จะเห็นเครื่องบินแบบ จุงเกอร์ เจ ยู 52 ถูกยิงไฟลุกท่วม และกำลังตกลงสู่พื้น ในขณะที่ท้องฟ้า เต็มไปด้วยพลร่มเยอรมัน ที่โดดลงเพื่อยึดที่หมาย
เยอรมันใช้เครื่องบินลำเลียง ซึ่งรวมทั้งจุงเกอร์ เจ ยู 52 จำนวน 493 ลำ เครื่องร่อน 72 ลำ นำพลร่มเข้าสู่ที่หมายในครีต นอกจากเครื่องบินลำเลียงแล้ว ยังมีเครื่องทิ้งระเบิด 228 ลำ เครื่องดำดิ่งทิ้งระเบิด 245 ลำ และเครื่องบินขับไล่ 233 ลำ และเครื่องบินตรวจการณ์อีก 50 ลำ รวมทั้งสิ้นกว่า 700 ลำ เข้าร่วมในการรุกครั้งนี้ด้วย
การยึดเกาะครีต เป็นการรุกที่ใช้กำลังพลร่มเป็นหัวหอก โดยใช้กำลังพลจาก กองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 (7th Flieger Division) เป็นกำลังหลัก สนับสนุนโดยทหารราบอีก 3 กรมทหารราบ นับว่าเป็นการปฏิบัติการ โดยการใช้กำลังทหารพลร่มครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพเยอรมัน และต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก โดยพลร่มเยอรมันเสียชีวิตถึงกว่า 4,000 นาย บาดเจ็บ สูญหายอีกกว่า 2,500 นาย กำลังพลเหล่านี้ บางส่วนเสียชีวิตก่อนจะลงถึงพื้นดินเสียอีก เนื่องจากถูกทหารสัมพันธมิตร ระดมยิงขณะอยู่ในท้องฟ้า
กำลังพลที่สูญเสียไปเหล่านี้ ล้วนเป็นทหารชั้นยอด ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี และไม่สามารถทดแทนได้ในระยะเวลาอันจำกัด ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่นี้ ทำให้เยอรมันไม่เคยใช้หน่วยพลร่ม เป็นหัวหอกในการรุกครั้งใหญ่อีกเลย

(ภาพบน) วันที่ 20 พ.ค. 1941 พลร่มของกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 (7th Flieger Division - 7th Air Division ในภาษาอังกฤษ) โรยตัวลงสู่พื้นดินบนเกาะครีต ในเวลานั้น เกาะครีตมีกำลังทหารสัมพันธมิตร มากกว่าทหารเยอรมันถึงสองเท่า คือมีจำนวนถึง 42,500 คน ประกอบด้วยทหารออสเตรเลีย 6,450 คน ทหารนิวซีแลนด์ 7,700 คน ที่เพิ่งถอยทัพมาจากประเทศกรีซ ภายหลังจากเยอรมันเข้ายึดครอง ทหารกรีกอีกกว่าหมื่นคน และทหารอังกฤษอีกจำนวนหนึ่ง ทหารนิวซีแลนด์คนหนึ่งกล่าวว่า "ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเครื่องบินเยอรมัน บินลำต่อลำ เป็นแนวยาวจากขอบฟ้าหนึ่ง ไปยังอีกขอบฟ้าหนึ่ง เหมือนฝูงนกที่กำลังอพยพไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด"
ทหารเยอรมันจำนวนมาก กระโดดร่มออกจากเครื่อง ได้ถูกทหารสัมพันธมิตรสังหารขณะที่ไม่มีทางต่อสู้ หรือไม่มีทางป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะขณะที่กำลังลอยอยู่กลางท้องฟ้าภายใต้ร่มชูชีพสีขาว พลตรี Meindl ผู้บังคับหน่วยคนหนึ่งของพลร่มเยอรมัน ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนลงถึงพื้น จนไม่สามารถบัญชาการรบได้
ทหารเยอรมันลงสู่พื้นทุกหนทุกแห่ง บางแห่งพวกเขาก็เริ่มทำการรบกับทหารสัมพันธมิตร โดยปราศจากผู้นำ เนื่องจากผู้บังคับหน่วยเสียชีวิต บาดเจ็บ หรือพลัดหลงจากหน่วยของตน สนามบินที่ Maleme ถูกพลร่มเยอรมันเข้ายึดอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้จากความกล้าหาญของนักบินประจำเครื่องบินจุงเกอร์ เจ ยู 52 จำนวนหนึ่ง ที่นำเครื่องบินฝ่ากระสุนปืนนานาชนิด ร่อนลงจอดฉุกเฉินบริเวณสนามบิน ก่อนที่พลร่มที่อยู่ในเครื่องแต่ละลำ จะกระจายกำลังกันเข้ายึดสนามบินได้
ในช่วงแรกของการรบ เยอรมันไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้มากนัก จนกระทั่งกำลังสนับสนุนมาถึง นำโดยกองพลภูเขาที่ 5 การรบจึงเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายเยอรมันได้เปรียบ และสามารถยึดเกาะครีตได้ในที่สุด

ทหารพลร่มเยอรมัน ขณะกำลังปีนขึ้นเครื่องบินลำเลียง เพื่อทำการฝึกซ้อมการกระโดดร่ม แนวความคิดในการใช้ทหารพลร่มในการรบของเยอรมัน ในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นับว่าเป็นแนวความคิดใหม่ แต่เป็นแนวความคิดที่สอดคล้องกับการรบแบบสายฟ้าแลบ ที่เยอรมันนำมาใช้ โดยพลตรี เคริท์ สตูเด้นท์ (Kurt Student) ผู้บัญชาการกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 ซึ่งภายหลังได้รับการปรับเป็นกองพลพลร่มที่ 1
เคิร์ทเป็นอดีตเสืออากาศเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นผู้ที่ฮิตเลอร์นิยมชมชอบเป็นส่วนตัว ได้ริเริ่มแนวความคิดการใช้หน่วยพลร่มในการรบขึ้น รวมทั้งเขายังเป็นผู้ริเริ่มแผนการบุกเกาะครีต โดยการใช้ทหารพลร่มเป็นกำลังหลัก แม้ว่าฮิตเลอร์จะไม่มั่นใจในความสำเร็จ แต่สตูเด้นท์ก็โน้มน้าวให้ผู้นำเยอรมัน ตกลงใจ ใช้ทหารพลร่มบุกเกาะครีต และประสบความสำเร็จในที่สุด แต่ก็นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างหนัก

(ภาพบน) แผนที่เกาะครีต ที่หน่วยพลร่มเยอรมัน กองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 บุกเข้าโจมตีในวันที่ 20 พ.ค. 1941 จากมุมซ้ายของแผนที่ จะเห็นสนามบิน Maleme ซึ่งถูกฝูงบินทิ้งระเบิด และฝูงบินขับไล่เยอรมัน โจมตีในช่วงรุ่งอรุณ สร้างความเสียหายให้กับหน่วยปืนต่อสู้อากาศยานรอบสนามบินเป็นอย่างมาก ก่อนที่เครื่องบินลำเลียงแบบ จุงเกอร์ เจ ยู 52 ลำเลียงพลร่มของกรมจู่โจมที่ 1 กองพลพลร่มที่ 7 จะร่อนลงฉุกเฉิน ในบริเวณสนามบิน
เหล่าพลร่มกรูกันออกจากเครื่อง เข้ายึดพื้นที่รอบสนามบินอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พลร่มจากกรมทหารพลร่มที่ 3 ของกองพลพลร่มที่ 7 จะโรยตัวลงสู่พื้นดินบนเกาะครีต บริเวณ Khania กรมทหารพลร่มที่ 2 เข้าโจมตี Rethimnon และกรมทหารพลร่มที่ 1 เข้ายึด Heraklion
นับจากวันที่ 20 พ.ค. การรบจะดำเนินไปอย่างนองเลือด จนกระทั่งฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งอยู่ใต้การบังคับบัญชาของพลตรี Freyberg ผู้ซึ่งเดินทางมาถึงครีต เพียงสามสัปดาห์ก่อนการบุกของเยอรมัน จะยอมแพ้อย่างเด็ดขาดในวันที่ 30 พ.ค. ท่ามกลางความสูญเสียอย่างหนักของทั้งสองฝ่าย โดยทหารสัมพันธมิตรเสียชีวิต 1,800 คน ถูกจับเป็นเชลย 12,000 คน ทหารเรืออังกฤษเสียชีวิต 1,828 คน บาดเจ็บ 183 คน ถอยไปได้อย่างปลอดภัย 18,000 คน ในขณะที่เยอรมัน เสียทหารไปถึง 4,000 คน บาดเจ็บ 2,500 คน
ตามข้อเท็จจริงแล้ว สัมพันธมิตรทรบล่วงหน้าถึงแผนการบุกของฝ่ายเยอรมัน ก่อนหน้านี้แล้ว อันเป็นผลมาจาก การถอดรหัสอีนิกม่า (Enigma) ของฝ่ายเยอรมันได้ แต่ทหารสัมพันธมิตรก็อยู่ในสภาพที่ขาดแคลน อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ยานยนต์ อย่างมากมาย เนื่องจากถอยร่นมาจากกรีก ในสภาพที่แตกกระสานซ่านเซ็น ทำให้ทหารสัมพันธมิตรที่จำนวนมากกว่า เยอรมันผู้รุกรานถึงสองเท่า ไม่สามารถต้านทานได้
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ได้มีการวิเคราะห์ถึงการสูญเสียอย่างมากของทหารพลร่มเยอรมัน ในการรบที่เกาะครีต การวิเคราะห์พบว่า การใช้พลร่มเป็นกำลังหลักในการรุกนั้น จำเป็นจะต้องกระทำด้วยความรวดเร็ว ฉับพลัน โดยที่ข้าศึกไม่รู้ตัวมาก่อน เนื่องจากการส่งทางอากาศขนาดใหญ่ มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียสูงมากหากข้าศึกทราบล่วงหน้า
แต่การรบที่เกาะครีตนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรทราบล่วงหน้าถึงแผนการบุก จึงตอบโต้ได้อย่างรุนแรง เหตุการณ์เดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในการส่งทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ในยุทธการมาร์เก็ต การ์เดน (Operations Market - Garden) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 1944 ซึ่งก็จบลงด้วยความสูญเสียขนาดใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นเดียวกัน
สำหรับการรบที่มองเต คาสิโน (Monte Casino) ในประเทศอิตาลีนั้น กองพลพลร่มที่ 1 (1st Fallschirmjager Division) ซึ่งเดิมคือกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 นั่นเอง ได้ทำการรบแบบทหารราบ โดยดัดแปลงที่มั่นที่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทั้งทางอากาศ และอาวุธหนัก เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง พวกเขาสามารถต้านทานการรุกของสัมพันธมิตรได้นานนับเดือน และเนื่องจากทหารเหล่านี้สวมใส่ชุดคลุมสีเขียว จึงได้รับการตั้งฉายาจากทหารของสัมพันธมิตรว่า ปีศาจสีเขียว (Green Devils)

การแต่งกายของทหารพลร่มเยอรมัน ในการโจมตีเกาะครีต ในปี 1941 จะเห็นเสื้อคลุมสีเขียว (smock) ที่สวมทับเสื้อเครื่องแบบสีเทาของกองทัพอากาศเยอรมัน ตัวเสื้อตัดเย็บจากผ้าฝ้ายคุณภาพดี มีกระดุมพลาสติคสีน้ำเงิน 3 เม็ด และกระดุมแบบกดอีก 2 เม็ด
ในภาพจะเห็นแนวกระเป๋าที่หัวไหล่ ทั้งสองข้าง เป็นกระเป๋าแบบปิดเปิดด้วยซิปยาว ตัวซิปมีแถบหนังสีน้ำตาล เพื่อใช้จับได้สะดวกในการรูดซิปขึ้น ลง เสื้อคลุมสีเขียวจะคลุมยาวถึงเป้ากางเกง และติดกระดุมแบบกด 2 เม็ด บริเวณเป้ากางเกง ชุดเครื่องแบบจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามห้วงของสงคราม และตามภูมิประเทศ เช่นการรบในตูนิเซีย และในแอฟริกา สีเสื้อเครื่องแบบ และหมวก ก็จะเปลี่ยนเป็นสีกากี เพื่อใช้ในการรบในพื้นที่แถบทะเลทราย

ทหารพลร่มเยอรมัน หรือ ฟอลชริมเจเกอร์ ที่ได้รับเหรียญกางเขนเหล็ก จากความกล้าหาญในการโจมตีป้อมอีเบน อีเมล (Eben Emael) ของเบลเยี่ยม ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ่ายภาพร่วมกับผู้นำนาซีเยอรมัน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พลร่มเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับสงครามที่หนักหน่วง ตลอดช่วงสี่ปีข้างหน้าของสงคราม โอกาสแห่งการรอดพ้นจากความสูญเสียดูมีไม่มากนัก สำหรับนักรบผู้กล้าแห่งกองทัพอากาศเยอรมันเหล่านี้
การบุกโจมตีป้อมอีเบน อีเมล เปิดฉากขึ้นในรุ่งอรุณของวันที่ 11 พฤษภาคม 1940 ภายหลังจากที่มีการเตรียมความพร้อม และการซักซ้อมการบุกทำลายป้อมแห่งนี้มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1939
โดยหน่วยที่ร่วมทำการบุก จะถูกแยกออกจากโลกภายนอก ทั้งหน่วยพลร่ม และหน่วยทหารช่าง เพื่อทำการฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ โดยพลร่มที่เข้าโจมตีป้อมเป็นกำลังพลจากกองพันที่ 1 กรมพลร่มที่ 1 (1st Battalion, 1st Parachute Regiment) และทหารช่างที่จะข้ามเครื่องกีดขวางเข้าไปสมทบกับทหารพลร่ม จัดจาก กองร้อยทหารช่าง กองพันที่ 2 กรมพลร่มที่ 1 (Pioneer company, 2nd Battalion, 1st Parachute Regiment)

หน่วยพลร่มของเยอรมัน ควบคุมตัวเชลยศึกสัมพันธมิตร ภายหลังจากเข้ายึดเกาะครีตได้แล้ว การรบบนเกาะครีตดำเนินไปถึง 10 วัน จนกว่าทหารสัมพันธมิตรจะยอมแพ้ และล่าถอยจากเกาะครีตไปทั้งหมด อังกฤษพยายามอย่างมากในการสกัดกำลังหนุนของเยอรมัน ซึ่งเป็นทหารราบจากกรมทหารราบอีก 3 กรม เพื่อโดดเดี่ยวทหารพลร่มบนเกาะ แต่กองทัพอากาศเยอรมันก็ทำลายกองเรือของอังกฤษ ที่วางกำลังสกัดกั้นเรือลำเลียงที่จะลำเลียงทหารราบเยอรมัน จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเยอรมันสามารถจมเรือประจัญบานและเรือขนาดใหญ่ของอังกฤษได้ 6 ลำ อีก 2 ลำได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ส่วนทหารราบเยอรมันที่เป็นกำลังหนุน ก็สามารถยกพลขึ้นบกที่เกาะครีตได้ และเข้าร่วมกับทหารพลร่มเยอรมัน ทำการกวาดล้างทหารสัมพันธมิตรที่หลงเหลืออยู่ จนยอมแพ้ในที่สุด

(ภาพบน) ทหารพลร่มเยอรมัน จากกองพลพลร่มที่ 1 (1st Parachute Division) ซึ่งเดิมคือกองพลพลร่มที่ 7 ที่ทำหน้าที่บุกยึดเกาะครีต กำลังรอการบุกเข้ามาของทหารสัมพันธมิตร ในสมรภูมิที่มองเต คาสิโน (Monte Cassino) ในประเทศอิตาลี ในปี 1944
ปืนใหญ่ที่เห็น คือปืนใหญ่ของรถถังแบบ Stug III ซึ่งเป็นรถถังสนับสนุนทหารราบ โปรดสังเกตุระเบิดขว้างที่วางเรียงอยู่ที่ผนังเหนือศรีษะของทหารที่นั่งอยู่กับพื้น
จากปี 1940 จนถึงปี 1944 ทหารพลร่มเยอรมัน ทำการรบในสมรภูมิต่างๆทุกสมรภูมิ ด้วยความกล้าหาญ เคียงข้างกับทหารราบ และทหารหน่วยอื่นๆของกองทัพเยอรมัน เป็นการรบที่สร้างชื่อเสียงให้กับเหล่าฟอลชริมเจเกอร์ หรือทหารพลร่มเยอรมัน จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหน่วยรบชั้นยอด (Elite Force) ของสงครามโลกครั้งที่ 2 หน่วยหนึ่ง
การรบที่มองเต คาสิโนนี้ ทหารพลร่มเยอรมันต้องพบกับ พลตรี Freyberg ผู้บัญชาการทหารสัมพันธมิตรที่ต้องพ่ายแพ้ต่อเยอรมันในเกาะครีต ที่กลับมาบัญชาการทหารสัมพันธมิตร ในการบุกเข้าอิตาลี แต่ต้องพบกับการต้านทานอย่างเด็ดเดี่ยวที่มองเต คาสิโน ฝูงบินสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดถล่มศาสนสถานและเมืองจนกลายเป็นซากปรักหักพัง แต่ทหารพลร่มเยอรมันก็อาศัยซากปรักหักพังเหล่านี้ เป็นป้อมปราการในการป้องกันที่มั่นของตน
สมรภูมิที่คาสิโนสร้างความเสียหายให้กับทหารสัมพันธมิตรเป็นอย่างมาก ทหารสหรัฐอเมริกาต้องเสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหายไปกว่า 22,000 คน ซึ่งเท่าๆกับยอดผู้สูญเสียฝ่ายอังกฤษ ในขณะที่ทหารเยอรมันกลับสูญเสียเพียงเล็กน้อย และสามารถล่าถอยไปได้ ก่อนที่กองกำลังฝรั่งเศสเข้ายึด Monte Majo ได้ในวันที่ 13 พ.ค. 1944 และกองกำลังโปแลนด์ยึด Monte Cassino ได้ในวันที่ 17 พ.ค. 1944

ทหารพลร่มเยอรมันในการรบที่ตูนีเซีย (Tunisia) ในปี 1943 ทหารคนที่อยู่หน้าสุด มีปืนกลมือแบบ MP 40 ขนาด 9 มม. เป็นอาวุธประจำกาย อาวุธชนิดนี้ เหมาะสำหรับทหารพลร่มเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีขนาดกะทัดรัด ไม่ยาวเกะกะ หรือสร้างปัญหาให้กับทหาร เมื่อต้องกระโดดออกจากเครื่องบิน และลงสู่พื้น
แต่การรบที่ตูนีเซีย ทหารพลร่มเหล่านี้ ไม่ได้กระโดดลงมาจากฟากฟ้าเหมือนในช่วงต้นของสงครามอีกต่อไปแล้ว พวกเขาทำการรบแบบทหารราบ เคลื่อนพลด้วยยานพาหนะทางบก แต่ประสิทธิภาพ และความสามารถ ของทหารพลร่มเหล่านี้ ก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
หน่วยพลร่มเยอรมันที่ทำการรบในตูนีเซีย เป็นหน่วยที่ทำการรบในแอฟริกา ในนามของหน่วยแอฟริกา คอร์ (Afrika Korps) ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ จอมพลเออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) ซึ่งหลังจากความพ่ายแพ้ในแอฟริกาที่ เอล อลาเมน (El Alamain) แล้ว หน่วยแอฟริกา คอร์ ก็ย้ายมาทำการรบที่ตูนีเซีย ก่อนจะพบจุดจบทั้งหน่วย ด้วยการพ่ายแพ้ต่อสัมพันธมิตร เป็นการปิดตำนานความกล้าหาญของหน่วยแอฟริกา คอร์ โดยเฉพาะกองพลยานเกราะที่ 21 (21st Panzer Division) อันลือชื่อ และหน่วยพลร่มที่ร่วมอยู่ในแอฟริกา คอร์นี้ด้วย

(ภาพบน) ภาพแสดงหมวกของทหารพลร่มเยอรมันด้านขวา ที่ติดแถบธงชาติเยอรมัน สี ดำ ขาว แคง ไว้ ในขณะที่อีกด้านเป็นสัญญลักษณ์ของกองทัพอากาศเยอรมัน (Luftwaffe) ในภาพจะเห็นสายรัดคาง ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี เพื่อความกระชับ ในขณะสวมใส่
(ภาพล่าง) ภาพหมวกของทหารพลร่ม ที่ปฏิบัติการรบในแอฟริกา ในนามหน่วยแอฟริกา คอร์ (Afrika Korps) สีหมวกถูกเปลี่ยนเป็นสีกากี เพื่อพรางให้เข้ากับภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย

(ภาพบน) การแต่งกายของทหารพลร่ม ที่สังกัดหน่วยแอฟริกา คอร์ (Afrika Korps) ซึ่งทำการรบในแอฟริกา สีหมวก สีเสื้อ กางเกง เป็นสีกากี แม้ภายหลังจากที่พ่ายแพ้ในแอฟริกาแล้ว ทหารพลร่มส่วนหนึ่งของกองพลพลร่มที่ 1 (1st Parachute Division - 1st Fallschirmjager Division) ซึ่งถูกส่งเข้าทำการรบที่มองเต คาสิโน ประเทศอิตาลี ในปี 1944 ก็ยังคงใส่เครื่องแบบสีกากีแบบที่เห็นอยู่นี้ ที่พวกเขาได้รับการแจกจ่าย เมื่อครั้งทำการรบในแอฟริกา เครื่องแบบของเหล่าทหารพลร่ม ในการรบที่คาสิโน จึงปะปนกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ภาพนี้แสดงให้เห็นถึง เครื่องแบบของทหารพลร่มเยอรมัน โดยปกติเมื่อออกสู่สนามรบ ทหารเหล่านี้จะใส่เสื้อคลุมสีเขียว หรือสีพราง ทับเครื่องแบบสีเทานี้ ซึ่งเป็นเครื่องแบบของกองทัพอากาศเยอรมัน อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องปกติ ที่ทหารพลร่มเยอรมันจะทำการรบในชุดปกติสีเทาที่เห็นอยู่ข้างบน โดยไม่สวมเสื้อคลุมทับแต่อย่างใด
หมวกเหล็กสีเทาดำนี้ เป็นหมวกเหล็กที่ถูกออกแบบมาในปี 1938 เพื่อทหารพลร่มโดยเฉพาะ เหรียญกางเขนเหล็ก (Tron Cross) ที่ติดอยู่ที่หน้าอก เป็นเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 ใต้เหรียญกางเขนเหล็กลงมา เป็นเหรียญแสดงความสามารถในการกระโดดร่ม (the parachute qualification badge) เป็นรูปนกอินทรี เกาะอยู่บนเครื่องหมายสวัสดิกะ กำลังพุ่งโฉบลงหาเหยื่อเบื้องล่าง ล้อมรอบด้วยช่อใบโอ็ค ซึ่งผู้ที่จะได้รับเครื่องหมายนี้ จะต้องผ่านการกระโดดร่มมาไม่น้อบกว่า 6 ครั้ง ตัวนกอินทรีทำด้วยทองแดงผสมนิเกล อัลลอย ส่วนเครื่องหมายที่ประดับอยู่ที่หน้าอกอีกด้าน เป็นเครื่องหมายของกองทัพอากาศเยอรมัน (German Air Force Eagle) เช่นเดียวกับที่ติดอยู่ข้างหมวก
เครื่องหมายยศที่คอปกเสื้อ ซึ่งมีแถบสีเหลือง และรูปนกกางปีกสีเงิน 4 ปีก เป็นสัญญลักษณ์ ของนายทหารประทวน ชั้นต่ำกว่าสัญญาบัตร (NCO - Non commission officer) โดยปีกนกสีเงิน 1 ปีก แสดงถึงชั้นยศพลทหาร (private)

(ภาพบน) ทหารพลร่มเยอรมัน ขณะรุกเข้าสู่ป่าอาร์เดนส์ (Ardennes) ในประเทศเบลเยี่ยม ในปลายปี 1944 โดยนั่งอยู่บนรถถังแบบ King Tiger ที่ทรงอานุภาพ หน่วยพลร่มที่เข้าร่วมในการรบในสมรภูมิแห่งนี้ ประกอบไปด้วย กำลังพลจากกรมพลร่มที่ 9 (9th Parachute Regiment) ของกองพลพลร่มที่ 3 ซึ่งขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพที่ 15 รุกไปทางเหนือ กองพลพลร่มที่ 5 เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ 7 ซึ่งกองพลนี้สามารถประเดิมชัยชนะให้เยอรมันในการรุกครั้งนี้ โดยสามารถจับเชลยอเมริกันได้กว่า 1,000 คน รถถัง M 4 เชอร์แมนอีก 25 คัน
แม้ว่าการรบครั้งนี้ จะเป็นการรบแบบทหารราบของทหารพลร่มเยอรมัน แต่ก็ถือว่าเป็นการรบของหน่วยพลร่มครั้งสุดท้าย ภายใต้ชื่อรหัส "สตอสเซอร์" (Stosser) เพื่อสนับสนุนการรุกของทหารเยอรมันหน่วยอื่นๆ
ฮิตเลอร์ทุ่มเททุกอย่างที่มี ในการรุกเข้าสู่ทหารสัมพันธมิตร ในสมรภูมินี้ ทั้งอาวุธชั้นเยี่ยม และทหารชั้นยอด ไม่ว่าจะเป็นหน่วย เอส เอส และหน่วยทหารพลร่ม ภายใต้ชื่อยุทธการ Watch on the Rhine เพื่อตัดกองทัพน้อยที่ 8 ของสหรัฐอเมริกาออกเป็นช่องว่าง แล้วรุกเข้าสู่แม่น้ำเมิร์ส (Meuse) ก่อนที่จะเข้ายึดอานท์เวอร์ป (Antwerp) เป็นที่หมายสุดท้าย
กำลังพลของเยอรมันมีกำลังพลสูงถึง 200,000 คน ภายใต้การนำของจอมพล เกิร์ด ฟอน รุดสเท็ดท์ (Gerd von Rundstedt) แต่ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะใช้ทหารที่เยี่ยมยอด หรืออาวุธอันทรงอานุภาพเพียวใด ทหารเยอรมันก็ต้องพ่ายแพ้ เพราะไม่สามารถยึดเมืองบาสตอง (Bastogne) และถูกตีถอยร่นกลับไปในประเทศเยอรมันอีกครั้ง
การรบในครั้งนี้ ทหารพลร่มเยอรมัน ที่ทำการรบแบบทหารราบ ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก เช่นเดียวกับทหารเยอรมันหน่วยอื่นๆ ที่เข้าสู่สมรภูมิที่ป่าอาร์เดนส์แห่งนี้ กระแสน้ำแห่งความชัยชนะของเยอรมัน เมื่อครั้งเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีวันไหลกลับมาสู่อาณาจักรไรซ์ที่ 3 อันเกรียงไกรของนาซีเยอรมันอีกต่อไปแล้ว

(ภาพบน) ทหารหน่วยพลร่มของเยอรมัน กำลังหลบกระสุนปืนใหญ่ของยานเกราะอังกฤษ ในการรบที่ตูนีเซีย ณ เมือง Tebouba-Djedeida ในวันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 1942
ทหารพลร่มเหล่านี้ เพิ่งเดินทางมาจากประเทศอิตาลี เพื่อสกัดกั้นการรุกเข้ามาของฝ่ายสัมพันธมิตร ฝ่ายเยอรมันมีกำลังพลกว่าหกหมื่นคน ประกอบด้วย ทหารเยอรมัน 47,000 คน ทหารอิตาลี 18,000 คน จัดกำลังเป็นกองทัพยานเกราะที่ 5 (5th Panzerarmee) ภายใต้การนำของพลเอก ฮันส์ เจอร์เก้น ฟอน อาร์นิม (Hans Jurgen von Arnim) กำลังเหล่านี้จะสมทบกับกำลังของหน่วยแอฟริกา คอร์ (Afrika Korps) ของจอมพลเออร์วิน รอมเมล ที่ถอยมาจากแอฟริกา
ในขณะที่กำลังฝ่ายสัมพันธมิตร มีกำลังประมาณ 110,000 คน ส่วนใหญ่เป็นทหารสหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อแผนยุทธการในการบุกครั้งนี้ว่า Torch ซึ่งการรุกของสัมพันธมิตรในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และชื่อของนายพล จอร์จ เอส แพทตัน (George S. Patton) ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์นับจากนั้นมา เนื่องจากแพทตัน เป็นผู้บัญชาการกองพลน้อยที่ 2 ที่ยกพลขึ้นที่ซิซิลี (Sicily) และได้สร้างผลงานในการบัญชาการรบที่นี่ไว้อย่างยิ่งใหญ่ โปรดสังเกตทหารพลร่มคนขวาสุดของภาพ เป็นพลประจำเครื่องพ่นไฟ โดยจะเห็นถังเชื้อเพลิงอยู่ที่หลัง

(ภาพบน) ทหารพลร่มเยอรมัน ในการรบที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนมิถุนายน ปี 1944 หน่วยพลร่มที่ทำการรบที่นอร์มังดีประกอบด้วย กองทัพน้อยพลร่มที่ 1 กองทัพน้อยพลร่มที่ 2 กองพลพลร่มที่ 2 กองพลพลร่มที่ 3 และกองพลพลร่มที่ 5 รวมทั้งกรมพลร่มที่ 6 ที่ทำการรบที่คาเรนแทน (Carentan) ซึ่งปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง Band of Brother กำลังพลของหน่วยพลร่มเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ที่เฉลี่ย 17 ปี เท่านั้น พวกเขาถูกนำมาฝึกทดแทนกำลังพลที่สูญเสียไป
ทหารเหล่านี้ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญ ในการต้านทานการบุกขึ้นฝั่งของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่เนื่องจากขาดแคลนการสนับสนุนในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหนัก ยานเกราะ ซึ่งล้วนตกเป็นเหยื่อของเครื่องบินสัมพันธมิตร ทหารพลร่มของเยอรมันจำนวนมาก เสียชีวิตในการรบที่นอร์มังดีแห่งนี้

(ภาพบน) ทหารหน่วยพลร่มของเยอรมัน 3 คน สังกัดกรมพลร่มที่ 6 (6th Fallschirmjager Regiment) เสียชีวิตในการรบที่ Sainteny คาเรนแทน (Carentan) ประเทศฝรั่งเศส ในห้วงการรบในวันดี เดย์ ด้านหลังจะเห็นรถ Schiwmmwagen VW 166 ถูกทำลาย โดยมีทหารอเมริกัน 2 คน ซึ่งสังกัดกองพลทหารราบที่ 4 (4th Infantry Division) กำลังตรวจสอบอยู่ ทหารอเมริกันคนหนึ่งมีตราสัญญลักษณ์กาชาด ติดอยู่ที่ปลอกแขน

(ภาพบน) ทหารพลร่มเยอรมัน ในการรบที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนมิถุนายน ปี 1944 พวกเขากำลังตั้งรับ รอการบุกของกองทัพน้อยที่ 19 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งการโจมตีมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 1944 ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก โปรดสังเกตุระเบิดขว้างที่วางอยู่ แสดงให้เห็นว่า การรบแบบประชิดตัวกำลังจะมีขึ้น
กำลังพลของเยอรมันส่วนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ 7 ที่สูญเสียอย่างหนัก และร้องขอกำลังสนับสนุนจากจอมพล กุนเธอร์ ฟอน คลุก (Field Marchal Gunther von Kluge) แต่ความหวังของพวกเขาที่จะได้รับในสิ่งที่ร้องขอ ดูเลือนลางเต็มที อันเนื่องมาจากการครองอากาศของเครื่องบินสัมพันธมิตร บวกกับความขาดแคลนของกองทัพเยอรมันเอง

(ภาพบน) ชุดเครื่องยิงลูกระเบิด หรือ ปืน ค. ของกองพลพลร่มที่ 3 ในการรบที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1944 ภาพนี้ถ่ายเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 1944 ในเวลานั้น กองพลพลร่มที่ 3 ประกอบกำลังด้วย 3 กรมพลร่ม แต่ละกรมประกอบด้วย 3 กองพันทหารพลร่ม และ 1กองร้อยเครื่องยิงลูกระเบิด 1 กองร้อยทหารช่าง และ 1 กองร้อยต่อสู้รถถัง กรมพลร่มบางกรมใช้เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 120 มม. บางกรมใช้ขนาด 100 มม. บางกรมใช้เครื่องยิงแบบ 6 ลำกล้องที่เรียกว่า Nebelwerfer กองพลพลร่มที่ 3 ในปี 1944 ก่อนวัน ดี เดย์ มีกำลังพลทั้งสิ้น 17,420 คน

(ภาพบน) พลเอก เคริทซ์ สตูเดนท์ (Kurt Student) คือผู้ให้กำเนิดหน่วยทหารพลร่มของกองทัพนาซีเยอรมัน เป็นผู้ผลักดันให้มีการใช้ทหารพลร่มในการรุก ในแนวคิดการรบแบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) ของนาซีเยอรมัน เขาเกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 1890 ที่เมือง Birkholz ในแคว้นปรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศโปแลนด์ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นนักบินขับไล่ของกองทัพอากาศเยอรมัน ครั้นเมื่อนาซีเรืองอำนาจในเยอรมัน เขาได้เข้าร่วมกองทัพอากาศเยอรมัน และก่อตั้งหน่วยทหารพลร่มขึ้น
เมื่อเขาเข้ามารับผิดชอบเป็นผู้บัญชาการกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 เคริทซ์ สตูเดนท์ เป็นผู้วางแผนยุทธการเมอร์คิวรี่ ซึ่งเป็นการใช้กำลังทหารพลร่ม เข้ายึดเกาะครีต ในปี 1941 และในช่วงท้ายของสงคราม โดยเฉพาะในช่วงวัน ดี เดย์ ที่สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส สตูเดนท์ มีส่วนร่วมในการวางแผนใช้หน่วยทหารพลร่มของเขา ต้านทานการบุกของสัมพันธมิตร
สตูเดนท์ถูกทหารอังกฤษจับกุมตัวในเดือน เมษายน 1945 ก่อนที่เยอรมันจะยอมแห้ และถูกคุมขังอยู่จนถึงปี 1948 จึงถูกปล่อยตัว และเสียชีวิตอย่างสงบในวันที่ 1 กรกฎาคม 1978
ประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่สอง
| Create Date : 12 กรกฎาคม 2552 | | |
| Last Update : 29 สิงหาคม 2553 15:42:40 น. |
| Counter : 16487 Pageviews. |
| |
|
| |
|
|
|
กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 ของนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2
ประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่ 2
กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 โฮเฮนสเตาเฟน (9th SS. Panzer Division Hohenstaufen)
จาก //www.geocities.com/saniroj
โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
 สัญญลักษณ์ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9

รถถัง StuG หรือ สตรุมเกอชุสต์ (Sturmgeschutz - Assault Gun) หรือ รถปืนใหญ่อัตตาจร ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 โฮเฮนสเตาเฟน ระหว่างการรบที่เมืองอาร์นเน็ม (Arnhem) ของประเทศเนเธอร์แลนด์
หากใครได้เคยชมภาพยนตร์เรื่อง A bridge too far มาแล้ว คงจำกันได้ดีถึงหน่วยพลร่มของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่กระโดดลงสู่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในยุทธการมาร์เก็ต การ์เดน (Market Garden) เพื่อยึดสะพานอาร์นเน็ม (Arnhem) ในปี 1944 และต้องพบกับการต่อต้านอย่างดุเดือดของทหารเยอรมันที่ยึดเมืองอาร์นเน็มอยู่ จนพลร่มอังกฤษแห่งกองพลผีแดง ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ และพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่จากน้ำมือของทหารเยอรมัน หน่วยทหารเยอรมันหน่วยนั้นก็คือ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 โฮเฮนสเตาเฟน (9th SS. Panzer Division Hohenstaufen) นั่นเอง
กองพลโฮเฮนสเตาเฟน ตั้งขึ้นตามชื่อของพระเจ้าเฟรดเดอริคที่ 2 ของเยอรมัน ซึ่งเป็นราชสกุลโฮเฮนสเตาเฟน ครองราชย์ในช่วงปี ค.ศ. 1194 - 1250
กองพลนี้จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 1942 มีสถานที่ตั้งอยู่ที่ Maille le Camp ของฝรั่งเศส แรกเริ่มใช้ชื่อหน่วยว่า กองพลยานเกราะ เอส เอส โฮเฮนสเตาเฟน (SS. Panzer Division Hohenstaufen) จนในวันที่ 13 ตุลาคม 1943 จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อหน่วยเป็น กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 โฮเฮนสเตาเฟน (9th SS. Panzer Division Hohenstaufen) กองพลนี้ตั้งมั่นอยู่ในฝรั่งเศสจนถึงฤดูใบไม้ผลิปี 1944
ในช่วงนี้เอง ที่สถานการณ์การรบในรัสเซียย่ำแย่เอามากๆ กองทัพยานเกราะที่ 1 (1 PanzerArmee) ตกอยู่ในวงล้อมของรัสเซีย กองบัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพเยอรมัน (Oberkommando Die Wermacht) ตัดสินใจส่งกองทัพน้อยยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 (II SS. Panzerkorps) เข้าไปช่วย
โดยกองพลโฮเฮนสเตาเฟน ก็ขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพน้อยนี้ด้วย โดยร่วมกับกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 10 ฟรุนแบร์ก เจาะวงล้อมของทหารรัสเซียเข้าไปจนพบกับ กองพลยานเกราะที่ 6 ของกองทัพยานเกราะที่ 1 ที่ตกอยู่ในวงล้อม ที่เมือง Buezacz และสามารถช่วยกำลังพลที่ถูกล้อมออกมาได้ทั้งหมด
จากความสำเร็จของโฮเฮนสเตาเฟนในครั้งนี้ ทำให้ได้รับมอบภารกิจใหม่ ในการเข้าไปช่วยทหารเยอรมันที่ถูกล้อมอยู่ที่เมือง Tarnopol แต่คราวนี้การต่อต้านของทหารรัสเซียเป็นไปอย่างเหนียวแน่น ประกอบกับอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ภารกิจในครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
ในห้วงเวลาต่อมา กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 นี้ก็ยังคงปฏิบัติการรบในแนวรบด้านรัสเซียอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 12 มิถุนายน 1944 ก็มีคำสั่งให้เคลื่อนพลกลับไปฝรั่งเศส เนื่องจากพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่หาดนอร์มังดี ในวัน ดี เดย์ เมื่อ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา
โฮเฮนสเตาเฟน ถูกกำลังทางอากาศของพันธมิตรโจมตีตลอดเส้นทางที่เดินทางเข้าไปที่นอร์มังดี เป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ แต่โฮเฮนสเตาเฟนก็ทนทายาด สามารถเข้าไปถึงที่ตั้งที่เมืองคานส์ (Caen) ได้เป็นผลสำเร็จ
เมื่อเดินทางไปถึงในวันที่ 26 เดือนมิถุนายน 1944 กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 ก็จัดกำลังเข้าตีทหารอังกฤษ และเข้าช่วยทหารเยอรมันที่กำลังรักษาเมืองคานส์อยู่ทางตะวันตก การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด โฮเฮนสเตาเฟนต้องสูญเสียทหารไปกว่า 1,200 คน จนในวันที่ 10 กรกฎาคม 1944 กองพลนี้ก็ถูกแทนที่โดยกองพลทหารราบที่ 277 ของกองทัพบกเยอรมัน (277 Infanterie Division)
กองพลโฮเฮนสเตาเฟนถอยออกมาเป็นกำลังหนุน โดยปักหลักอยู่รอบๆเมิองคานส์ บริเวณเมือง Eterville, Maltot และบริเวณเนิน nr112 โดยเฉพาะที่เนิน nr 112 พันธมิตรยกกำลังเข้าตีอย่างหนัก เนินเปลี่ยนมือไปมาระหว่างอังกฤษ และเยอรมัน
จนในที่สุด กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 ก็เข้ายึดที่หมายได้อย่างเด็ดขาด แต่ก็อ่อนแรงเต็มที จนต้องเปลี่ยนให้กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 10 ฟรุนแบร์ก เข้ายึดพื้นที่แทน
ควาามสูญเสียของกองพลมีมาก จนถึงขั้นกองพันที่ 3 ของกรมยานเกราะเกรเนเดียร์ที่ 19 ของกองพล ต้องถูกยุบ และส่งกำลังพลที่เหลือไปบรรจุในกองพันอีก 2 กองพันที่ยังคงทำการสู้รบอยู่
จนกระทั่งวันที่ 1 เดือนสิงหาคม 1944 อังกฤษและแคนาดารุกหนักที่เมือง Merri และTrun ทางตอนเหนือของ Falaise เพื่อหวังจะโอบล้อมกำลังของเยอรมันทั้งหมด แต่กองพลโฮเฮนสเตาเฟนก็ทุ่มกำลังเพื่อเปิดช่องว่างเล็กๆเอาไว้ ทำให้ทหารเยอรมันกว่า 30,000 คนสามารถหลบหนีออกไปได้ วีรกรรมครั้งนี้ทำให้ผู้บัญชาการกองพลโฮเฮนสเตาเฟน คือ FriedrichWillhelm Bock ได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นอัศวินประดับใบโอ็ค
เมื่อทหารเยอรมันสามารถฝ่าวงล้อมออกมาได้ ก็ร่นถอยกลับไปที่ประเทศเบลเยี่ยม กองพลโฮเฮนสเตาเฟนก็ทำหน้าที่เป็นกองระวังหลัง คอยสกัดการติดตามของฝ่ายพันธมิตรตลอดการถอย ตั้งแต่ที่ Orbec, Bourg-Achard, Duclair, Laon, Cambrai จนกระทั่งได้รับคำสั่งให้ปรับกำลังใหม่ที่อาร์นเน็ม (Arnhem) ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อเริ่มแรกกองพลนี้มีกำลังทั้งหมด 15,898 คน ตอนนี้เหลือเพียง 6,000 - 7,000 คน จากนี้ไป กองพลจะต้องมีการปรับกำลังใหม่ กำลังพลส่วนหนึ่งถูกส่งไปรวมกับกองพลยานเกราะ เอส เอสที่ 10 ฟรุนแบร์ก ทำให้มีทหารเหลือไม่มากนักที่อาร์นเน็ม
17 กันยายน 1944 การส่งทางอากาศครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของฝ่ายพันธมิตรก็เปิดฉากขึ้น ภายใต้ชื่อยุทธการมาร์เก็ต การ์เดน (Market - Garden) โดยมีเป้าหมายอยู่ที่อาร์นเน็ม ประเทศเนเธอร์แลนด์ สถานที่กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 กำลังพักฟื้นภายหลังจากกรำศึกมาอย่างหนักในฝรั่งเศส
กำลังพลร่มของกองพลผีแดง หรือ กองพลส่งทางอากาศที่ 1 (the British Red Devils of the 1st Airborne Division) ของอังกฤษ โดดลงมาในพื้นที่ของโฮเฮนสเตาเฟน และพยายามยึดสะพานอาร์นเน็ม ในขณะเดียวกันกำลังส่วนใหญ่ของอังกฤษ และอเมริกาก็รุกคืบหน้ามาสมทบ
โฮเฮนสเตาเฟนต่อสู้กับทหารพันธมิตรจนสามารถตอบโต้การเขาตีของทหารพันธมิตร จนต้องถอยร่นไปที่โอสเทอร์เบ็ค (Osterbeck) และไม่สามารถบุกเข้าไปช่วยกำลังพลร่มที่ยึดหัวสะพานอาร์นเน็มได้ ส่งผลให้ยุทธการมาร์เก็ต การ์เดนต้องประสบกับความล้มเหลวลวอย่างสิ้นเชิง พร้อมๆกับความสูญเสียของกองพลผีแดง ความกล้าหาญของโฮเฮนสเตาเฟนในครั้งนี้ ได้รับการกล่าวขานถึงเป็นอย่างมาก
หลังจากเสร็จศึกจากเนเธอร์แลนด์แล้ว กอพลนี้ก็ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาแผ่นดินเยอรมันอีกหลายครั้ง ทั้งด้านตะวันออก และตะวันตก ก่อนที่จะจบภารกิจสุดท้ายในสงครามโลกด้วยการเดินแถวเข้ายอมแพ้ต่อทหารอเมริกันในเดือนพฤษภาคม 1945

ขบวนส่งกำลังบำรุงของทหาร เอส เอส กำลังเคลื่อนที่ผ่านหลุมศพของเพื่อนทหาร เอส เอส ที่เสียชีวิตจากการสู้รบในแนวหน้า ซ้ายมือจะเห็นสัญญลักษณ์ SS ติดอยู่ที่ไม้กางเขน ทหารเอส เอส ได้ชื่อว่า เป็นทหารที่สู้รบอย่างห้าวหาญ
มีครั้งหนึ่งนายทหาร เอส เอส นำกำลังเข้าโจมตีรถถังของโปแลนด์ ในปี 1940 และปฏิเสธที่จะใช้ปืนต่อสู้รถถัง เขากลับใช้ทุ่นระเบิดรถถังที่ต้องเข้าไปประชิดตัวรถถัง ผลสุดท้ายนายทหารเอส เอส คนนี้ก็สามารถทำลายรถถังของโปแลนด์ลงได้ แต่ตัวเขาเองก็ต้องเสียชีวิตอยู่ใต้ซากรถถังเช่นกัน
ประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่สอง
| Create Date : 12 กรกฎาคม 2552 | | |
| Last Update : 29 สิงหาคม 2553 15:44:23 น. |
| Counter : 4980 Pageviews. |
| |
|
| |
|
|
|
กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ ของนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2
กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (3rd SS. Panzer Division Totenkopf)
จาก //www.geocities.com/saniroj
โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ

สัญญลักษณ์ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ

กำลังพลของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ กำลังวางแผน ก่อนเปิดยุทธการซิทาเดล (Citadel) ที่ Kursk ในรัสเซีย รถถังที่ปรากฏในภาพคือ รถถัง Panzer VI - Tiger อันทรงอานุภาพ
กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่3 โทเทนคอฟ กำเนิดขึ้นมาจาก กรมทหารราบ เอส เอส ที่ 11 (SS. Infanterie Regiment 11) ขึ้นการบังคับบัญชากับ กองพล เอส เอส ดาส ไรซ์ (SS. Division Das Reich) ซึ่งต่อมาได้แยกตัวออกจากดาส ไรซ์ และตั้งเป็นกองพลใหม่ ชื่อ (3rd SS Divsion Totenkopf) กองพล เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (3rd SS. Totenkopf Division) ซึ่งเข้าปฏิบัติการรบครั้งแรกในยุโรป เมื่อปี 1939 ในโปแลนด์
โดยกองพล เอส เอส ที่ 3 นี้ ได้จัดตั้งขึ้นมาจากหน่วยโทเทนคอฟอื่นๆ (คำว่า โทเทนคอฟ แปลว่า หัวกระโหลกไขว้ หรือ Death head) รวมทั้งหน่วยโทเทนคอฟ ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมนักโทษที่ค่ายกักกันต่างๆ
ภายหลังจากการรบในโปแลนด์ กองพลโทเทนคอฟ ได้เข้ารับการฝึกในพื้นที่ใกล้ๆกับค่ายกักกัน ดาเชา (Dachau) ซึ่งเป็นค่ายกักกันที่มีชื่อในเรื่องของความโหดเหี้ยมของเจ้าหน้าที่ผู้คุมขัง
จากนั้นก็ย้ายไปที่ Wurttemberg จนการฝึกสิ้นสุดลง ผู้บัญชาการกองพลคนแรกที่เข้ารับหน้าที่ภายหลังจากที่กองพลเสร้จสิ้นการฝึก ก็คือ ทีโอดอร์ อิคค์ (Theodor Eicke) ซึ่งในภายหลัง ผู้บัญชาการกองพลท่านนี้ ได้สร้างชื่อในเรื่องของความกล้าหาญ และเด็ดเดี่ยว ในการนำกองพลโทเทนคอฟเข้าทำการสู้รบ
ระหว่างที่กองพลเข้าทำการรบในฝรั่งเศส โทเทนคอฟทำหน้าที่เป็นกองหนุน จนกระทั่งวันที่ 16 พฤษภาคม 1940 กองพลก็ได้รับคำสั่งให้เข้าสู่สมรภูมิ ในพื้นที่ Cateau และ Cambrai
ซึ่งในห้วงเวลานี้ กองพลโทเทนคอฟ ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่เชลยศึกอังกฤษ และฝรั่งเศส เช่น การกวาดต้อนเชลยเข้าไปในโรงนา และทหารเอส เอส ก็จะโยนระเบิดมือเข้าไป พร้อมกับกราดยิง
ผลจากการกระทำดังกล่าว ทำให้ Fritz Knochlein ผู้บังคับกองร้อยที่ 4 กองพันที่ 1 ของกองพลโทเทนคอฟ ถูกพิพากษาแขวนคอภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง แม้ว่าจะมีข้อโต้แย้งว่า การตัดสินดังกล่าวเต็มไปด้วยความลำเอียง และไม่เป็นธรรม
หลังจากนั้น กองพลโทเทนคอฟ ก็เดินทางไปถึงชานแดนฝรั่งเศส สเปน ในช่วงปลายของการรบในฝรั่งเศส จนถึงเมษายน ปี 1941 โทเทนคอฟก็ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปขึ้นการบังคับบัญชากับ กลุ่มกองทัพเหนือ (Army Group North) เพื่อเตรียมการบุกรัสเซียในยุทธการ บาร์บารอสซ่า (Barbarossa)
กองพล เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ เข้าทำการรบในลิธัวเนีย แลตเวีย จนถึง Demyansk เพื่อมุ่งสู่เลนินกราด ตั้งแต่ 31 กรกฎาคม 1941 ถึง ต้นเดือนสิงหาคม 1941 โทเทนคอฟสามารถยึดเมือง Chudovo ซึ่งเป็นชุมทางรถไฟระหว่างมอสโคว์ และเลนินกราด
ในช่วงฤดูหนาวปี 1941 รัสเซียเปิดการรุกตอบโต้เยอรมันหลายครั้ง โดยอาศัยความหนาวเย็นของฤดูหนาวในรัสเซีย เป็นเหตุให้ทหารเยอรมันตกอยู่ในวงล้อมของทหารรัสเซีย กองพลเอส เอส โทเทนคอฟ ตกอยู่ในวงล้อมเป็นเวลาหลายเดือนที่ Demyansk
ทหารเอส เอส บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถดำรงสถานะเป็นกองพลอยู่ได้ ต้องลดระดับเป็น คามพ์กรุป อิคค์ (Kampgruppe Eicke) หรือหน่วยเฉพาะกิจ (Task Forces)
แต่เยอรมันก็สู้ยิบตา ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ยังคงต่อต้านการเข้าตีของรัสเซียอย่างทรหดครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเมษายน 1942 กำลังพลส่วนหนึ่งของโทเทนคอฟ ก็สามารถแหวกวงล้อมของทหารรัสเซียออกมาได้ และตั้งแนวตั้งรับเพื่อรอกำลังพลทั้งหมดของโทเทนคอฟ ออกมาจากวงล้อม หลังจากนั้นกำลังพลทั้งหมดของโทเทนคอฟ ก็เดินทางกลับไปปรับกำลังเป็นกองพลดังเดิมในฝรั่งเศส ในเดือนตุลาคม 1942
ขณะที่อยู่ที่ฝรั่งเศส กองพลโทเทนคอฟ รับหน้าที่ในการเข้าควบคุมรัฐบาลหุ่นวิชี่ของฝรั่งเศส ที่ถูกเยอรมันครอบครอง พร้อมทั้งได้รับกองพันยานเกราะเพิ่มอีกหนึ่งกองพัน (a Panzer Abteilung - คำว่า อับไทลุง มีฐานะเทียบเท่ากับระดับ กองพัน หรือ Battalion ในระบบอเมริกา) พร้อมทั้งได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น กองพล เอส เอส เกรเนเดียร์ โทเทนคอฟ (SS Panzer Grenadier Divison "Totenkopf") และตั้งมั่นอยู่ในฝรั่งเศสจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 1943
เดือนกุมภาพันธ์ 1943 กองพลโทเทนคอฟถูกโยกกลับไปแนวรบด้านรัสเซียอีกครั้ง โดยขึ้นการบังคับบัญชากับกลุ่มกองทัพใต้ (Army Group South) โดยมีส่วนร่วมในการรุกตอบโต้กองทัพรัสเซีย เพื่อหยุดยั้งการรุกของรัสเซีย ที่กำลังเป็นไปอย่างดุเดือด และต่อเนื่องด้วยขวัญกำลังใจที่ฮึกเหิม ภายหลังจากที่ทำลายกองทัพที่ 6 ของเยอรมันที่ สตาลินกราด (Stalingrad) ได้อย่างราบคาบ
กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ ประสบความสำเร็จในการรบที่เมืองคาร์คอฟ ของรัสเซีย ครั้งที่ 2 สามารถหยุดยั้งกระแสการรุกของฝ่ายรัสเซียทางตอนใต้ ทำให้ฝ่ายเยอรมันมีขวัญและกำลังใจกลับมา ตลอดจนมีเวลาให้ฝ่ายเยอรมันได้หายใจและปรับแนวรบ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ฝ่ายเสนาธิการของเยอรมัน และตัวฮิตเลอร์ มีแนวความคิดริเริ่มในการวางแผนรุกกลับ
อย่างไรก็ตามความสำเร็จของโทเทนคอฟในครั้งนี้ ต้องแลกด้วยการสูญเสียผู้บัญชาการกองพลคนสำคัญ ที่ควบคุมบังคับบัญชาโทเทนคอฟมาตั้งแต่เริ่มต้น นั่นคือ ทีโอดอร์ อิคค์ (Theodor Eicke) ซึ่งเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในการรบ
จากความสำเร็จของหน่วยเอส เอส ที่เมืองคาร์คอฟ ฮิตเลอร์และฝ่ายเสนาธิการของเขา โดยเฉพาะจอมพลฟอน รุดสเต็ด ก็วางแผนที่จะรุกกลับโดยเลือกสถานที่ที่ เมืองเคริซ (Kursk) ซึ่งกองทัพรัสเซียล้ำเข้าในแนวของเยอรมันเป็นอาณาบริเวณกว้าง
แต่ฝ่ายเสนาธิการของฮิตเลอร์ ต้องการการรุกที่ทันท่วงที เพราะฝ่ายรัสเซียกำลังเสียสมดุลในการรุก ส่วนฮิตเลอร์ต้องการเตรียมกำลังให้พร้อมมากกว่าที่เป็นอยู่ ในขณะที่ฝ่ายเสนาธิการอีกหลายๆคนของเขา เห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะรุก เพราะเยอรมันยังไม่พร้อม
ด้วยความเห็นที่แตกต่าง และแต่ละความเห็นล้วนแต่มีเหตุผลที่ดี ฮิตเลอร์จึงตัดสินใจเปิดยุทธการซิทาเดล (Citadel) ขึ้น โดยรอการปรับกำลัง และรออาวุธใหม่ๆ ที่กำลังจัดส่งไปแนวหน้า เช่น รถถัง Panzer Mark V หรือ Panther ที่ออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม จนหลายคนถึงกับออกปากว่า มันคือรถถังที่ออกแบบได้ดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง
เวลาที่ฮิตเลอร์รอคอยความพร้อมนี้เอง ที่ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้น ข่าวการรวบรวมกำลังของฝ่ายเยอรมัน เพื่อทำการรุกครั้งใหญ่ในยุทธการซิทาเดล (Citadel) ล่วงรู้ไปถึงฝ่ายรัสเซีย ทั้งจากสายลับในเยอรมัน และจากเชลยศึกเยอรมันที่ถูกทหารรัสเซียจับได้ ทำให้รัสเซียวางแผนการตั้งรับอย่างขนานใหญ่
กำลังพลรัสเซียที่สดชื่นกว่าล้านสามแสนคน หลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่บริเวณสมรภูมิ แนวตั้งรับของรัสเซียถูกจัดตั้งถึง 6 แนว ทุ่นระเบิดดักรถถังกว่าครึ่งล้านลูก ถูกนำมาวางดักเส้นทางการรุกของเยอรมัน
รัสเซียล่วงรู้แม้กระทั่งวันเวลาในการบุกที่แน่นอน และทำการระดมยิงทำลายกำลังของเยอรมัน ในการเตรียมเข้าตีของฝ่ายเยอรมันก่อนเวลาออกตี 15 นาที สร้างความเสียหาย และสับสนให้กับเยอรมันเป็นอย่างมาก
ในที่สุดเยอรมันก็สูญเสียอย่างหนักในการยุทธที่เคริซ (Kursk) จนฮิตเลอร์ต้องสั่งยกเลิกยุทธการซิทาเดล (Citadel) พร้อมกับความสูญเสียอย่างหนักของหน่วยเอส เอส ซึ่งรวมทั้งกองพลโทเทนคอฟเองด้วย
ทำให้กองพล เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟต้องถอนตัวออกมา แต่ยังคงจัดตั้งแนวตั้งรับ เพื่อปรับแนวหน้าของเยอรมัน เพื่อรอการรุกครั้งใหญ่ของฝ่ายรัสเซีย และยังคงตั้งรับอยู่ในแนวหน้าของเยอรมันทางด้านใต้ อีกเกือบหนึ่งปี โดยปรับกำลังกรมยานเกราะเกรเนเดียร์ เอส เอส ที่ 5 (5th SS Panzer Grenadier Regiment) ที่อยู่ในกองพลและเปลี่ยนชื่อกรมเป็นกรมยานเกราะ เกรเนเดียร์ เอส เอส ที่ 5 ทีโอดอร์ อิคค์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ความเสียสละ และกล้าหาญของเขา รวมทั้งยกระดับกองพลให้เป็นกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (3rd SS. Panzer Division Totenkopf)
ในปี 1944 สถานการณ์ในแนวรบด้านตะวันออก เป็นไปอย่างย่ำแย่ รัสเซียเปิดแนวรุกทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะในตอนกลางของแนวรับของเยอรมัน ที่ต้องเผชิญกับการรุกครั้งใหญ่ และอาจจะเป็นครั้งใหญ่ที่สุดของรัสเซีย เพราะมีการประกอบกำลังมากเป็นจำนวนหลายร้อยหน่วย รุกเข้าสู่แนวตั้งรับของเยอรมัน และใช้เวลาเพียง 4 อาทิตย์ ก็ไล่ตีทหารเยอรมันแตกกระจัดกระจาย ผลักดันให้ต้องล่าถอยเป็นระยะทางกว่า 300 ไมล์ จนมาถึงประตูนครวอร์ซอร์ เมืองหลวงของโปแลนด์
ชาวยิวที่ถูกคุมขังในวอร์ซอร์ ซึ่งขณะนั้นถูกยึดครองโดยเยอรมัน ต่างลุกฮือก่อจลาจล โดยหวังว่าฝ่ายรัสเซียจะรุกเข้าเมืองมากช่วย แต่กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ พร้อมทั้งกองพล เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้ง (5th SS. Divsion Wiking) และ กองพลยานเกราะที่ 19 (19th Panzer Division) ของกองทัพบกเยอรมันก็ถูกส่งเข้ามา โจมตีทหารรัสเซียจนต้องล่าถอยออกจากเมือง และถอยร่นข้ามแม่น้ำวิสทูล่า (Vistula) จากนั้นก็ถึงเวลาของชาวยิวในวอร์ซอร์ที่ลุกขึ้นก่อจลาจล โดยทหารเยอรมันได้ดำเนินการกวาดล้างทั่วทั้งเมือง
จากนั้น กองพลนี้ก็เดินทางไปช่วยทหารเยอรมันที่รัสเซียโอบล้อมที่กรุงบูดาเปส และสามารถช่วยทหารเยอรมันกว่า 45,000 คนที่ตกอยู่ในวงล้อมออกมาได้ และได้ถูกดึงกลับมาทำการรบที่เวียนนา ก่อนที่จะยอมแพ้แก่ทหารอเมริกันในวันที่ 9 พฤษภาคม 1945 และถูกส่งต่อให้กับกองทัพรัสเซียในที่สุด

ทหารเอส เอส โทเทนคอฟ ขณะกำลังหลบการโจมตีทางอากาศของรัสเซีย ในแนวรบด้านฮังการีในปี 1945 การรุกกลับของฝ่ายรัสเซียนั้น เพียบพร้อมไปด้วยกำลังพลที่มากมาย ยานเกราะที่ทรงประสิทธิภาพ และฝูงบินใหม่ๆ ทำให้กองทัพอากาศเยอรมันหรือลุฟวาฟ (Luftwaffe) ไม่สามารถครองอากาศได้อีกต่อไป
แม้ว่าจะมีความพยายามนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการผลิตเครื่องบินไอพ่น อย่างเช่น เครื่องแมสเซอร์ชมิท เอ็ม อี 262 (Me 262) แต่ก็ยังไม่สามารถผลิตออกมาได้มาก เพราะโรงงานอุตสาหกรรมหนักในเยอรมัน ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนัก จนไม่สามารถผลิตได้ตามระยะเวลาที่กำหนด
| Create Date : 12 กรกฎาคม 2552 | | |
| Last Update : 29 สิงหาคม 2553 15:44:53 น. |
| Counter : 3902 Pageviews. |
| |
|
| |
|
|
| |
|
|