|
ไฮน์์ริค ฮิมม์เลอร์ ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอส ของนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2
ประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่ 2
ไฮน์ริค ฮิมม์เลอร์
(Heinrich Himmler)
ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอส และหนึ่งในผู้สั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว
โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
Master of International Relations (with merit) Victoria University of Wellington, New Zealand
(สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามทำซ้ำ ลอกเลียนหรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร)
ฮิมม์เลอร์ขณะได้รับการต้อนรับจากนายทหารระดับสูงของหน่วยเอสเอสที่เมือง Mauthausen ในปี ค.ศ. 1941 ซึ่งเป็นปีที่เขาเรืองอำนาจอย่างมาก
บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งของพรรคนาซีที่มีบทบาทอย่างมากในการแปรคำสั่งการทำลายล้างชาวยิวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไปสู่การปฏิบัติที่โหดเหี้ยมก็คือ ไฮน์ริค ฮิมม์เลอร์ (Heinrich Himmler) ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยตำรวจลับ "เกสตาโป" และผู้บัญชาการหน่วยเอส เอส อันลือชื่อ ทั้งๆ ที่บุคคลดังกล่าวเคยเป็นเพียงนักธุรกิจที่ล้มเหลว มีร่างกายที่อ่อนแอ และที่สำคัญที่สุดคือ ในช่วงท้ายที่สุดเขากลับเป็นผู้หนึ่งที่พยายามแปรพักตร์ด้วยการหันไปเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อหาทางยุติสงครามและกำจัดฮิตเลอร์ออกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดของเยอรมัน
ไฮน์ริค ฮิมม์เลอร์เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1900 ที่เมืองมิวนิค บิดาของเขาเป็นครูในโรงเรียนคาทอลิคที่เคร่งศาสนา หลังจากที่ฮิมเลอร์สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมต้น เขาก็เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฐานะนายทหารของกรมบาวาเรียนที่ 11 จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามเขาก็เข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยมปลายระหว่างปี ค.ศ. 1918-1922 จนได้รับประกาศนียบัตรด้านการเกษตรจากโรงเรียนมัธยมและประกอบอาชีพเป็นพนักงานขายสินค้าการเกษตรในโรงงานผลิตสินค้าการเกษตร จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1923 ฮิมม์เลอร์ได้เข้าร่วมกับพรรคนาซีในการปฏิวัติที่มิวนิค ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าหน่วยประชาสัมพันธ์ของพรรค รับผิดชอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการผลิตใบปลิว เอกสารสิ่งพิมพ์ปลุกระดมให้ชาวเยอรมันหันมาให้การสนับสนุนพรรคนาซี โดยใช้การกดขี่ชาวเยอรมันจากสนธิสัญญาแวร์ซายส์เป็นสาระสำคัญ
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1927 ฮิมม์เลอร์แต่งงานและหันหลังให้กับพรรคนาซี โดยเริ่มต้นทำธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ของตัวเอง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จจนต้องกลับมาเข้าร่วมพรรคนาซีอีกครั้งในปี ค.ศ. 1929 พร้อมๆ กับได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์ของฮิตเลอร์หรือที่รู้จักกันในนามหน่วยเอสเอส (Schutzstaffel SS) ซึ่งในขณะนั้นมีกำลังพลเพียง 200 นายเท่านั้น
ในฐานะสมาชิกพรรคนาซี เขาได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาไรซ์สตาร์คของประเทศเยอรมันในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1930 และทำหน้าที่ในการเสริมสร้างกองกำลังเอสเอส ให้เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ขึ้นจนกระทั่งมีกำลังพลเป็นจำนวนถึง 52,000 คนในปี ค.ศ. 1933 นอกจากนี้เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ "เกสตาโป" ในบาวาเรียซึ่งมีอำนาจล้นฟ้าในการกำจัดศัตรูทางการเมืองของพรรคนาซีและของฮิตเลอร์ในปี ค.ศ. 1934 อีกตำแหน่งหนึ่ง
ไฮน์ริค ฮิมม์เลอร์ ผู้ที่ทรงอำนาจที่สุดคนหนึ่งของพรรคนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2
และแล้วเหตุการณ์ที่ทำให้ฮิมม์เลอร์ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำระดับสูงของพรรคนาซีก็มาถึง นั่นคือการมีส่วนร่วมในการวางแผนโค่นล้มกองกำลังเอสเอ ที่เป็นคู่แข่งของเอสเอสในเหตุการณ์ "คืนแห่งมีดดาบยาว" ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1934 ซึ่งแท้จริงแล้วผู้นำหน่วยเอสเอ คือเออร์เนส โรห์มที่ร่วมเส้นทางการต่อสู้มากับฮิตเลอร์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นนั้น แทบไม่มีความคิดในการเป็นปฏิปักษ์ต่อฮิตเลอร์หรือพรรคนาซีเลย เพียงแต่เขาได้แสดงตนเป็นปฏิปักษ์ต่อฮิมม์เลอร์และกองกำลัง เอสเอส อย่างเห็นได้ชัด และฮิมม์เลอร์นั่นเองที่เป็นผู้ยุยงให้ฮิตเลอร์เกิดความหวาดระแวงในตัวเออร์เนส โรห์มว่ากำลังก้าวขึ้นมาเทียบบารมีของเขา จนสั่งการให้เกิดการกวาดล้างพวกเอสเอ ครั้งใหญ่
และฮิมม์เลอร์อีกนั่นเองที่สั่งการให้ทหารเอสเอส ที่เขาไว้ใจที่สุดจำนวน 3 นายควบคุมตัวเออร์เนส โรห์ม พร้อมกับยื่นคำขาดพร้อมปืนพกให้ปลิดชีพตัวเองโดยให้เวลา 10 นาที แต่เมื่อเวลาครบ เออร์เนส โรห์มกล่าวว่า "
หากฮิตเลอร์ต้องการชีวิตฉัน ให้เขามาเอาไปเอง
" ทหารเอสเอสคนหนึ่งจึงใช้ปืนพกจ่อยิงเขาจนเสียชีวิตทันที
การล่มสลายของเอสเอ ส่งผลให้กองกำลังเอสเอส ของฮิมม์เลอร์ก้าวขึ้นมาเป็นองค์กรหลักเพียงองค์กรเดียวในการเป็นหน่วยอารักขาของฮิตเลอร์ และเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ต่างๆ ในการควบคุมเรื่องความมั่นคงของประเทศ รวมไปถึงเป็นหน่วยงานที่ทำการแปลงทฤษฎีว่าด้วย "การกำจัดชาวยิว พวกคอมมิวนิสต์และชนชาติที่ต่ำกว่ามนุษย์" ของฮิตเลอร์ไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งแปรเปลี่ยนทฤษฎีแห่งการแบ่งแยก "เชื้อชาติ" ที่เต็มไปด้วยความกังขาและการต่อต้าน ไปสู่การปฏิบัติแห่ง "การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ" ที่ปราศจากข้อสงสัยและข้อคัดค้านใดๆ อย่างสิ้นเชิง
ฮิมม์เลอร์ยังคงก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในพรรคนาซีด้วยบุคลิกที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความทะเยอทะยาน เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยตำรวจลับเกสตาโปทั่วประเทศเยอรมัน และเมื่อควบรวมกับตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสแล้ว ก็ทำให้ฮิมม์เลอร์กลายเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในการตัดสินชะตาชีวิตผู้คนหรือองค์กรที่เป็นปฎิปักษ์ต่อพรรคนาซี หรือที่พรรคนาซีวิเคราะห์แล้วว่าเป็นบุคคลที่ต้องถูกกำจัดออกจากสังคมตามแนวทางการสร้างสังคมบริสุทธิ์ของชนชาติ "อารยัน" ซึ่งเครื่องมือที่ฮิมม์เลอร์คิดค้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1933 ก็คือค่ายกักกันที่ "ดาเชา" (Dachau) อันเป็นสถานที่ที่ฮิมม์เลอร์บรรยายไว้ว่า "
เป็นสถานที่สำหรับการทำสะอาดผู้คนที่มีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างจากพรรคนาซี ผู้คนที่มีเชื้อสายยิวหรือแม้กระทั่งลูกครึ่งยิว ชาวสลาฟส์ (Slavs) ในโปแลนด์ ตลอดจนผู้คนที่เป็นภาระต่อสังคม เช่น คนพิการ คนโรคจิต พวกลักเพศ ทั้งนี้เพราะหน้าที่ของชาวเยอรมันทุกคนก็คือการทำลายล้างกลุ่มคนที่มีสถานะต่ำกว่ามนุษย์ (sub-human) เหล่านี้ให้หมดสิ้นไปจากโลก ..."
ภาพนี้ถ่ายระหว่างที่ฮิมม์เลอร์เดินทางมาเยี่ยมค่ายเชลยศึกสัมพันธมิตรแห่งหนึ่ง เขากำลังแสดงความประหลาดใจที่เชลยอังกฤษนายหนึ่งกล้าที่จะออกมาจากกลุ่มเพื่อขออาหารเพิ่มให้กับนักโทษทั้งหมด อย่างไรก็ตามผู้บรรยายภาพต้นฉบับไม่ได้ระบุถึงชะตากรรมของเชลยศึกชาวอังกฤษนายนี้ภายหลังจากการถ่ายภาพดังกล่าว
ณ ที่ค่ายดาเชาแห่งนี้นี่เองที่ทำให้ฮิตเลอร์เกิดความประทับใจในแนวคิดของฮิมม์เลอร์ จนมีคำสั่งให้ขยายค่ายกักกันเหล่านี้ออกไปทั่วพื้นที่ยึดครองของเยอรมัน ฮิมม์เลอร์อาศัยจังหวะนี้ขยายองค์กรเอสเอส ของเขาออกไปให้กว้างขวางขึ้น โดยการจัดตั้งหน่วย "กระโหลกไขว้" หรือ "โทเทนคอฟ" (Totenkopf) ซึ่งเป็นหน่วยรับผิดชอบในการดูแลค่ายกักกันทั้งหมด พร้อมทั้งดำเนินการพัฒนาศักยภาพของกำลังพลของหน่วยเอสเอส ที่เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดให้เพิ่มสูงขึ้น โดยทหารเอสเอส จะต้องเป็นทั้งผู้นำ ผู้บริหาร นักรบ และนักวิชาการพร้อมๆ กันในคนเดียว
การพัฒนาดังกล่าวส่งผลให้ทหารเอสเอส กลายเป็นกำลังพลที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคนาซีอย่างมั่นคง จนกลายเป็นหน่วยรบที่ข้าศึกของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ต้องหวั่นเกรงทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากันในสนามรบ
กล่าวกันว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฮิมม์เลอร์ก้าวเข้ามาเป็นผู้นำในการฆ่าล้าเผ่าพันธ์ชาวยิวนั้น น่าจะเป็นผลมาจากการที่เขาเป็นผู้ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ลี้ลับ เรื่องของเวทมนตร์คาถาตลอดจนเรื่องการรักษาโรคด้วยสมุนไพรแปลกๆ นานาชนิด ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ได้ถูกผสมผสานกับทฤษฎีเกี่ยวกับความคลั่งเชื้อชาติอารยัน ส่งผลให้ฮิมม์เลอร์เกิดอาการเพ้อฝันถึงการสร้างสังคมในอุดมคติ สังคมที่จะก้าวไปถึงได้ด้วยการทำลายล้างสังคมอื่นที่เป็นอุปสรรคให้หมดสิ้นไป นักข่าวอังกฤษคนหนึ่งอธิบายลักษณะของฮิมม์เลอร์ว่า
"
เหมือนคนที่ไร้ความหวาดกลัว เยือกเย็น สงบ สุขุมและถ่อมตนราวกับเสมียนในธนาคารมากกว่าที่จะเป็นผู้บัญชาการหน่วยเอสเอส และเกสตาโปอันเหี้ยมโหด ที่สำคัญคือเขาเป็นคนที่ปกปิดความรู้สึกได้ดีมาก เราไม่มีวันรับรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไร รู้สึกเช่นไรและจะตัดสินใจอะไรต่อไป ..." สภาพร่างกายโดยทั่วไปของฮิมม์เลอร์นั้นไม่สู้แข็งแรงนัก เขามีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงอยู่บ่อยๆ จนเกือบจะเป็นลมล้มลงระหว่างเยี่ยมชมการสังหารหมู่ชาวยิวกว่าร้อยคนในรัสเซีย จนต้องมีการออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงวิธีการสังหารหมู่ชาวยิวให้ "มีมนุษยธรรม" มากขึ้น เช่น ใช้การรมแก็สพิษโดยตกแต่งห้องที่ใช้ในการสังหารให้เป็นแบบฝักบัวอาบน้ำ เป็นต้น ฮิมม์เลอร์เชื่อในเรื่อง "ชาติพันธุ์" เป็นอย่างมาก เขาสั่งให้มีการกำหนดกฏเกณฑ์ในการแต่งงานของชนชาติอารยัน เพื่อคงความบริสุทธิ์ของชาติพันธ์ุและเพื่อให้ได้มาซึ่งทารกหรือเมล็ดพันธ์ุที่มีความพิเศษเสมือน "ยอดมนุษย์" (Super-human) รวมทั้งจัดตั้งฟาร์มมนุษย์ที่เรียกว่า "เลเบนส์บอร์น" (Lebensborn) ซึ่งเป็นสถานที่ที่พรรคนาซีจะนำเด็กสาวในวัยเจริญพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วว่ามีเลือดอารยันสมบรูรณ์ที่สุด มาเป็นแม่พันธุ์ในการให้กำเนิดชนชาติอารยันรุ่นใหม่ โดยให้ทำการสมรสกับทหารหน่วยเอสเอส ของเขา มีนักประวัติศาสตร์หลายคนวิเคราะห์ว่า ฮิมม์เลอร์นำแนวคิดนี้มาจากประสบการณ์ที่ล้มเหลวในการทำฟาร์มไก่มาใช้ประยุกต์ในการทำฟาร์มมนุษย์
ฮิตเลอร์ (หันหลัง) และฮิมม์เลอร์ขณะตรวจดูธงประจำหน่วยทหารโปแลนด์ที่ทหารเยอรมันยึดได้ในปี ค.ศ. 1939
ในปี ค.ศ. 1939 ภายหลังจากที่เยอรมันเข้ายึดครองประเทศโปแลนด์แล้ว ฮิตเลอร์ก็แต่งตั้งให้ฮิมม์เลอร์เป็นผู้รับผิดชอบในการเคลื่อนย้ายผู้ที่มีเชื้อชาติเยอรมันจากประเทศในทะเลบอลติค เข้าไปยึดครองพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินแทนชาวโปแลนด์และชาวยิว ซึ่งในเวลาเพียง 1 ปี มีชาวโปแลนด์กว่า 1 ล้านและชาวยิวกว่า 300,000 คนถูกบังคับให้สละพื้นที่ของตนให้ชาวเยอรมัน พร้อมๆ กับการกวาดต้อนไปสู่ค่ายกักกันเพื่อรอการทำลายล้าง ฮิมม์เลอร์เคยกล่าวให้โอวาทต่อกำลังพลเอสเอส สังกัดกรมทหารเอสเอส ไลป์สตานดาร์ด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (ต่อมาได้รับการยกระดับเป็นกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 1 ไลป์สตานดาร์ด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์) ตอนหนึ่งว่า
"
การเข้าสู่สนามรบร่วมกับเพื่อนร่วมสมรภูมินั้น ง่ายกว่าการที่จะต้องอดทน อดกลั้นต่อการดำรงอยู่ของพวกชนชั้นต่ำ (โปแลนด์, ยิว และชนชาติอื่นๆ ที่นาซีมองว่า ต่ำกว่ามนุษย์) ดังนั้นในฐานะชาวอารยัน ผู้ที่มีชาติพันธุ์ที่สมบูรณ์ที่สุด เราต้องเดินหน้าในการทำลายคนเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป เพื่อสร้างสังคมในอุดมคติของพรรคนาซีที่ปราศจากชนชั้นต่ำกว่ามนุษย์ขึ้นมาให้จงได้
"
เมื่อยุทธการบาร์บารอสซ่า ซึ่งเป็นการบุกเข้าสู่ประเทศรัสเซียของกองทัพเยอรมันเปิดฉากขึ้นนั้น ฮิมม์เลอร์พยายามเปรียบเทียบการรบของกองทัพนาซีเยอรมันในครั้งนี้เสมือนกับสงครามครูเสดในยุคกลาง โดยเทียบเคียงว่าเป็นการเคลื่อนกำลังพลของนักรบผู้กล้าจากยุโรปเพื่อมุ่งทำลายล้างพวกยิว บอลเชวิคและคอมมิวนิสต์ให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินยุโรป
เขาสั่งให้มีการรับสมัครทหารเอสเอส จากยุโรปตอนเหนือ เช่น เดนมาร์ก สวีเดน และฮอลแลนด์ เพื่อเข้าร่วมในสงครามครูเสดครั้งนี้ ซึ่งการรับสมัครดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก บางประเทศมีผู้สมัครจนสามารถจัดกำลังได้ถึง 1 กองพลเลยทีเดียว เช่น กองพลฟรีวิลลิเกน ลีเจียน นีเดอร์ลันด์ (Freiwilligen Legion Niederlande Division) ที่มีกำลังพลจากประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งปฏิบัติการรบอย่างห้าวหาญในแนวรบด้านรัสเซียจนสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนถึง 80 เปอร์เซนต์ ก่อนที่จะสลายตัวไปรวมกับหน่วยอื่น
นอกจากนี้ยังมีกองพลที่มีกำลังพลจากยุโรปอีกกองพลหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากนั่นคือ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้ง (5th SS Panzer Division Wiking) ซึ่งรวบรวมกำลังพลจากประเทศเดนมาร์ก นอรเวย์ และกลุ่มประเทศบอลติคอื่นๆ กองพลนี้ทำการรบในรัสเซียอย่างกล้าหาญแม้จะต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก แต่กำลังพลของหน่วยก็เลือกที่สละชีพในการรบมากกว่าที่จะต้องเดินทางกลับประเทศในฐานะผู้ร่วมกับนาซีทรยศต่อประเทศของตน กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้งส์เลือกที่จะปิดตำนานอันห้าวหาญของตนเองด้วยการต่อสู้ราวกับ "ราชสีห์" ในการรบกับกองทัพรัสเซียจำนวนมหาศาลในการป้องกันกรุงเวียนนาของประเทศออสเตรียในปี ค.ศ. 1945 จนกำลังพลคนสุดท้ายจบชีวิตลง
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านเลยไป ทฤษฎีชาติพันธุ์ของฮิมม์เลอร์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ทหารเอสเอส ของเขาจำนวนเสียชีวิตจนกระทั่งจำเป็นต้องเสริมกำลังมาทดแทนส่วนที่สูญเสียไป ในขณะที่กำลังคนที่เป็นวัตถุดิบชั้นดีของเอสเอส แทบไม่หลงเหลือให้คัดเลือกอีกต่อไปแล้ว ฮิมม์เลอร์ก็ตัดสินใจลดเงื่อนไขในการคัดเลือกทหาร เอส เอส ของเขาลง
จนในที่สุดก็สิ้นหนทางที่จะหาคนมาเสริม ฮิมม์เลอร์ตัดสินใจตั้งกองพล เอส เอส ที่ 13 ฮันด์ซาร์ (13th SS Division Handschar) ขึ้นโดยมีกำลังเป็นชาวมุสลิมในโครเอเชียทั้งหมด นับเป็นการฉีกกฏเกณฑ์เรื่องการรบในสงครามครูเสดของชนชาติอารยันที่ฮิมม์เลอร์วาดเอาไว้อย่างสวยหรูลงอย่างสิ้นเชิง มาตรฐานการคัดเลือกที่ลดต่ำลงอย่างน่าใจหายทำให้ประสิทธิภาพของหน่วยเอสเอส ในระยะปี ค.ศ. 1943 เป็นต้นมาลดลงอย่างเห็นได้ชัด กำลังพลของกองพล เอส เอส ที่ 13 ฮันด์ซาร์เคยสังหารครูฝึกของพวกเขาระหว่างการฝึกในฝรั่งเศส อีกทั้งยังเป็นหน่วยที่มีปัญหาในด้านต่างๆ พอสมควรจนถูกยุบหน่วยลงในปลายปี ค.ศ. 1944 แต่กำลังพล เอส เอส บางส่วนที่มีประสิทธิภาพได้รวมตัวกันเป็นคามป์กรุ๊ปป์ หรือชุดเฉพาะกิจทำการต่อสู้กับกองทัพรัสเซียต่อไปจนสิ้นสุดสงคราม นอกจากบทบาทในฐานะผู้บัญชาการกองกำลัง เอส เอส แล้ว ในปี ค.ศ. 1943 ฮิมม์เลอร์ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบด้านความมั่นคงในภาคพลเรือน ซึ่งเขาพยายามดึงเอาหน่วย เอส เอส เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกเช่นเคย และในปลายปี ค.ศ. 1944 เขายังรับตำแหน่ง "ผู้บัญชาการกลุ่มกองทัพบกภาคพื้นแม่น้ำไรน์ตอนบน" เพื่อต่อต้านการรุกของกองทัพบกที่ 7 ของสหรัฐฯ และกองทัพที่ 1 ของฝรั่งเศสอีกด้วย
ตำแหน่งใหม่ทั้งสองนี้ทำให้ฮิมม์เลอร์กลายเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งของพรรคนาซีและของประเทศเยอรมัน อย่างไรก็ตามแม้ว่ากลุ่มกองทัพบกภาคพื้นแม่น้ำไรน์ตอนบนของเขาจะประสบความสำเร็จในช่วงแรกๆ ต่อมากลุ่มกองทัพนี้ก็ถูกทำลายลง นับเป็นความล้มเหลวที่ทำให้ฮิมม์เลอร์เสียหน้าเป็นอย่างมาก
แต่ฮิตเลอร์ก็ยังตั้งให้เขาบังคับบัญชากลุ่มกองทัพวิสทูรา เพื่อทำหน้าที่ในการป้องกันกรุงเบอร์ลินรอบนอกอีก ซึ่งผลก็ออกมาดังที่คาด กลุ่มกองทัพวิสทูราถูกกองทัพรัสเซียตีแตกถอยร่นไม่เป็นกระบวน จนฮิมม์เลอร์ต้องขอถอนตัวเองออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1945 โดยอ้างปัญหาเรื่องสุขภาพ
ฮิมม์เลอร์ขณะตรวจค่ายกักกัน Mauthausen ทางตอนเหนือของประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นค่ายกักกันที่โหดเหี้ยมที่สุดแห่งหนึ่ง มีชาวยิว เชลยรัสเซียและศัตรูของนาซีถูกสังหารที่ค่ายแห่งนี้กว่า 320,000 คน
ในช่วงนี้สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฮิมม์เลอร์เริ่มเห็นเค้าลางความหายนะของพรรคนาซีและอาณาจักรไรซ์ที่ 3 เขาไม่เห็นด้วยที่ฮิตเลอร์ยืนหยัดต่อสู้อย่างสิ้นหวังในกรุงเบอร์ลิน ฮิมม์เลอร์จึงตีตัวออกห่างจากฮิตเลอร์และเริ่มมองว่า หากต้องการรักษาพรรคนาซีและประเทศเยอรมันเอาไว้ก็จำเป็นต้องเจรจาสันติภาพกับอังกฤษและสหรัฐฯ อีกทั้งยังมองว่าเมื่อปราศจากฮิตเลอร์แล้ว ตัวเขาเองก็คือผู้นำคนต่อไปของเยอรมันนั่นเอง ฮิมม์เลอร์จึงตัดสินใจติดต่อกับจอมพลดไวท์ ไอเซนฮาวว์ของสหรัฐฯ ว่าเยอรมันขอยอมแพ้ในแนวรบด้านตะวันตกต่อสหรัฐฯ และอังกฤษ โดยมุ่งหวังว่าทหารสหรัฐฯ และอังกฤษจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารเยอรมันในการต่อต้านกองทัพรัสเซีย
ข่าวการเจรจาสันติภาพถูกเผยแพร่ทางสถานีวิทยุ บีบีซี ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1945 ทำให้ฮิตเลอร์โกรธมาก เพราะเขาเคยเชื่ออยู่เสมอว่าฮิมม์เลอร์คือบุคคลผู้ที่เขาไว้วางใจได้มากที่สุดคนหนึ่ง ก่อนที่ฮิตเลอร์จะปลิดชีพตัวเอง เขาสั่งปลดฮิมม์เลอร์ออกจากตำแหน่งทุกตำแหน่งและเรียกฮิมม์เลอร์ว่า "คนทรยศ" แต่ฮิมม์เลอร์ไม่สนใจสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นเขาตั้งหน้าตั้งหน้าเจรจาต่อรองกับไอเซนฮาวว์ว่า หากเขายอมเจรจาสงบศึกกับสหรัฐฯ แล้ว เขาจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดใหม่ของเยอรมัน แต่ไอเซนฮาวว์ปฏิเสธทุกข้อเรียกร้องที่ฮิมม์เลอร์เสนอพร้อมทั้งประกาศว่า เขาคืออาชญากรสงครามคนสำคัญที่ต้องถูกนำตัวมาลงโทษ
เมื่อการเจรจาไม่ได้ผล ฮิมม์เลอร์ก็พยายามหลบหนีโดยปลอมตัวเป็นคนตาบอดข้างเดียว มีผ้าคาดปิดตา โกนหนวดออกทั้งหมดเพื่ออำพรางตนเอง แต่เอกสารปลอมที่ยึดมาจากตำรวจที่เสียชีวิตมีพิรุธ ทำให้ทหารอังกฤษสงสัยและจับกุมตัวเขาได้ที่เมืองเบรเมน (Bremen) ก่อนที่จะทราบว่าชายคนดังกล่าวคืออาชญากรสงครามอันดับต้นๆ ของเยอรมัน
ในระหว่างรอการสอบสวนเบื้องต้น ฮิมม์เลอร์ก็ตัดสินใจกัดเม็ดยาพิษไซยาไนด์ที่ซ่อนไว้ในฟันซี่หนึ่งเพื่อปลิดชีวิตตัวเอง ในห้วงสุดท้ายของชีวิตนั้นมีหนังสือบางเล่มได้อ้างว่าฮิมม์เลอร์ได้กล่าวประโยคสุดท้ายของเขาก่อนสิ้นลมหายใจว่า "
ฉันคือไฮน์ริค ฮิมม์เลอร์
" ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่า ฮิมม์เลอร์ต้องการประกาศให้โลกรับรู้ถึงการเดินทางมาถึงจุดสุดท้ายของชีวิต และไม่ว่าเขาจะถูกประณามว่าเป็นอาชญากรสงครามคนสำคัญที่มีส่วนในการสังหารชาวยิวกว่าหกล้านคนทั่วทั้งยุโรป หรือจะได้รับการยกย่องในฐานะผู้บัญชาการหน่วยทหารเอสเอส อันทรงอานุภาพที่สุดหน่วยหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ตาม ฮิมม์เลอร์ก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว คงเหลือทิ้งไว้แต่บทเรียนอันทรงคุณค่าให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป
(สงครามโลกครั้งที่สอง)
Create Date : 21 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 13 กันยายน 2556 9:37:36 น. |
Counter : 11985 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จอมพลแฮร์มานน์ เกอริง เพชฌฆาตติดปีกของฮิตเลอร์ (สงครามโลกครั้งที่ 2)
ประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่ 2
จอมพล แฮร์มานน์ วิลเฮล์ม เกอริง
Hermann Wilhelm Göring หรือ Goering
ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมัน
โดย
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
Master of International Relations (with merit) Victoria University of Wellington, New Zealand
(สงวนลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ ลอกเลียน ทำซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน)
-----------------------
คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า จอมพลแฮร์มานน์ เกอริง คือบุคคลผู้มีบทบาททั้งการก้าวขึ้นสู่อำนาจและการล่มสลายของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์อย่างแท้จริง เขาได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของฮิตเลอร์ เป็นผู้ที่ฮิตเลอร์ไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่งนับตั้งแต่การชนะเลือกตั้งท้องถิ่นของพรรคนาซี การก้าวขึ้นสู่ความเป็นนายกรัฐมนตรี หรือ อัครมหาเสนาบดี (Chanceller) ก่อนที่จะก้าวสู่ความเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศเยอรมันในที่สุด
และเกอริงอีกนั่นเองที่คุมกำลังกองทัพอากาศเยอรมันที่ล้มเหลวในการโจมตีเกาะอังกฤษจนอังกฤษสามารถฟื้นตัวกลับมาพิชิตเยอรมันได้ เขาคือผู้ที่รับปากฮิตเลอร์ถึงการส่งกำลังบำรุงให้กับกองทัพที่ 6 ในการรบที่สตาลินกราด แต่ก็ล้มเหลวจนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ เขาล้มเหลวในการปกป้องแผ่นดินเยอรมันและอุตสาหกรรมสงครามจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งที่เคยรับปากกับฮิตเลอร์ว่า ไม่มีวันที่แผ่นดินเยอรมันจะถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตรได้ ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมขนาดหนักของเยอรมันไม่สามารถผลิตจักรกลสงครามออกมาได้อย่างเพียงพอในการปกป้องผืนแผ่นดินของตน และนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในที่สุด เกอริงเกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1893 ในเมือง โรเซนไฮม์ (Rosenheim) ทางตอนใต้ของแคว้นบาวาเรีย (Bavaria) ประเทศเยอรมัน บิดาของเขาคือ ไฮน์ริช เออร์เนสท์ เกอริง (Heinrich Ernest Göring) ผู้สำเร็จราชการของอาณาจักรเยอรมันในประเทศนามิเบีย จึงนับได้ว่าเกอริงเป็นผู้ที่อยู่ในตระกูลข้าราชการชั้นสูงอย่างแท้จริง เขาเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนนายร้อยปรัสเซีย และเข้ารับราชการในเหล่าทหารราบของกองทัพบกเยอรมันในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1912
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เปิดฉากขึ้นในปี ค.ศ. 1914 เกอริงก็เข้าร่วมในสงครามแต่เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บจากโรคไขข้ออักเสบจึงทำให้เขาต้องย้ายตัวเองไปอยู่หน่วยบินของกองทัพบก (German Army Air Service) ซึ่งเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการรบทางอากาศ สามารถยิงเครื่องบินข้าศึกตกถึง 22 ลำและได้รับการคัดเลือกให้เป็นเสืออากาศของกองทัพอากาศเยอรมัน รวมทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรษของประเทศอีกด้วย หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมันส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำจนถึงขั้นล่มสลาย เกอริงจึงผันตัวเองไปเป็นนักบินให้กับบริษัทฟอคเกอร์ (Fokker) ในประเทศฮอลแลนด์ เดนมาร์กและสวีเดน แต่ด้วยพื้นฐานของการเป็นวีรบุรุษสงครามทำให้เขาถูกดึงเข้ามาเป็นร่วมในการก่อตั้งพรรคนาซีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และได้เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยเอสเอ (SA Strum Abtailung) ซึ่งเป็นกองกำลังจู่โจมติดอาวุธที่มีฉายาว่า "เสื้อสีน้ำตาล" (Brown shirts) ของฮิตเลอร์ในปี ค.ศ. 1922
เขามีความประทับใจในตัวฮิตเลอร์และพรรคนาซีเป็นอย่างมากจนถึงกับกล่าวกับเพื่อนๆ ของเขาว่า
"
มันเป็นความประทับใจในการเมืองตั้งแต่แรกพบเลยทีเดียว
" หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีคือในปี ค.ศ. 1923 เขาก็มีส่วนร่วมในการปฏิวัติของพรรคนาซีในเมืองมิวนิค โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีถูกจับ ส่วนเกอริงได้รับบาดเจ็บเนื่องจากโดนสะเก็ดหินแกรนิต 2 ชิ้นที่ต้นขา เป็นเศษหินที่แตกออกผนังอาคารเพราะแรงกระสุน เขาหนีการจับกุมออกไปยังประเทศออสเตรีย อิตาลีและสวีเดน ในปี ค.ศ. 1925 เขากลายเป็นผู้เสพติดมอร์ฟีนและเป็นโรคอ้วนเพราะมีน้ำหนักมากถึง 280 ปอนด์ จึงถูกส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตสถานที่ที่ซึ่งฟื้นฟูสุขภาพจิตของเขาให้กลับคืนมาได้ดังเดิม ในปี ค.ศ. 1927 เกอริงเดินทางกลับเยอรมันเพื่อเข้าร่วมในพรรคนาซีของฮิตเลอร์อีกครั้ง หนึ่งปีต่อมาเขาชนะการเลือกตั้งในนามพรรคนาซีและได้รับคัดเลือกให้เป็นรองประธานสภา ในช่วงนี้เกอริงได้ใช้ความสามารถส่วนตัวในการเป็นบุคคลในสังคมชั้นสูงทำการติดต่อกับสมาชิกรัฐสภา ผู้นำองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน นักธุรกิจระดับสูงและนายทหารในกองทัพ เพื่อสร้างคะแนนเสียงให้กับพรรคนาซี ซึ่งผลงานของเขาทำให้พรรคนาซีได้รับการสนับสนุนจากทุกหน่วยงานอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1930 พรรคนาซีก็ได้คะแนนเสียงท่วมท้นถึง 6,500,000 เสียง ได้รับที่นั่งในรัฐสภา "ไรซ์สตาร์ค" ถึง 107 ที่นั่ง และในการเลือกตั้งครั้งต่อมาในปี ค.ศ. 1932 เกอริงก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นประธานสภา
เมื่อฮิตเลอร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรืออัครมหาเสนาบดีในปี ค.ศ. 1933 เกอริงก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้บัญชาการตำรวจแห่งแคว้นปรัสเซีย พร้อมๆ กันนี้เกอริงได้ร่วมกับสมาชิกระดับสูงของพรรคนาซีคนหนึ่งคือ ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (Heinrich Himmler) ก่อตั้งองค์กรตำรวจลับเกสตาโป (Gestapo) และจัดสร้างค่ายกักกันเพื่อใช้เป็นสถานที่คุมขังศัตรูทางการเมืองของพรรคนาซีขึ้น ซึ่งนับเป็นจุดกำเนิดของการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งยิ่งใหญ่และร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ นอกจากนี้เพื่อให้การปฏิบัติงานของเขาปราศจากอุปสรรค เกอริงสั่งการให้ปลดเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงจำนวน 22 คนจากทั้งหมด 32 คนรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายพันคน และทดแทนด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จัดจากหน่วยเอสเอส และเอสเอ ของพรรคนาซี เขายังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการวางเพลิงรัฐสภาไรซ์สตาร์คโดยโยนความผิดให้พวกคอมมิวนิสต์ เพื่อปูทางให้ฮิตเลอร์ใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศเยอรมัน รวมทั้งยังเป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติการตามคำสั่งของฮิตเลอร์ในการกวาดล้างกลุ่มเอส เอ ของเออร์เนส โรห์มในเหตุการณ์ "ราตรีแห่งมีดดาบยาว" ( night of long knives) ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1934 อีกด้วย เกอริงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมัน ซึ่งนับเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดตำแหน่งหนึ่งของเขาในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1935 และในปี ค.ศ. 1937 เขาได้รับมอบหมายให้เข้าดูแลแผนพัฒนาเศรษฐกิจและกิจการรัฐวิสาหกิจจำนวนหลายแห่งที่มีการจ้างงานสูงถึง 700,000 คน ใช้เงินจำนวนกว่า 400 ล้านมาร์ค ทำให้เขามีรายได้เป็นจำนวนมหาศาลทั้งในทางตรง เช่น เงินประจำตำแหน่งหลายตำแหน่ง รายได้จากหนังสือพิมพ์ Essener National Zaitungของเขาเอง และในทางลับ เช่น เงินสินบนจากบริษัทผลิตอากาศยานต่างๆ ที่เสนอต้นแบบเครื่องบินนานาชนิดในการสร้างกองทัพอากาศเยอรมันขึ้นมาใหม่
ด้วยบุคลิกส่วนตัวที่เป็นคนเจ้าสำราญจากตระกูลผู้ดีเก่า ทำให้เกอริงใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย มีชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อ เปลี่ยนเสื้อผ้าวันละ 4-5 ครั้ง ประดับคฑาจอมพลและเหรียญตราต่างๆ บนเครื่องแบบของเขาด้วยเพชรและทองคำแท้ เขามีงานอดิเรกในการสะสมของเก่าทั้งที่ได้มาอย่างถูกกฏหมายและได้มาจากผู้ลักลอบทำผิดกฏหมาย และเปลี่ยนพระราชวังเก่ากลางกรุงเบอร์ลินให้กลายเป็นสถานที่พำนักที่หรูหรา ด้วยของตกแต่งราคาแพง
แต่ที่น่าแปลกใจคือพรรคนาซีได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของเกอริงต่อสาธารณชนว่าเป็นต้นแบบแห่งความซื่อสัตย์ สุภาพบุรุษ เป็นคนที่เข้าถึงและสัมผัสได้ง่ายมากกว่าฮิตเลอร์ ทำให้คะแนนนิยมในตัวของเขาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปี ค.ศ. 1938 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเป็นทายาททางการเมืองของฮิตเลอร์ เขาคือบุคคลที่นำคำสั่งของฮิตเลอร์ในการกำจัดชาวยิวมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมด้วยการนำเอาชาวยิวออกไปจากระบบเศรษฐกิจและริบทรัพย์สินทั้งหมดของชาวยิวเป็นของรัฐภายใต้บทบัญญัติแห่ง "ชนชาติอารยันที่บริสุทธิ์" และเขาก็คือผู้สั่งการให้ใช้แนวทาง "การแก้ปัญหาขั้นสุดท้าย" หรือ Final Solution กับชาวยิวทั้งในเยอรมันและในดินแดนยึดครองของเยอรมัน อันนำมาซึ่งการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในที่สุด
ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพอากาศเยอรมันประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำลายกองทัพอากาศและกองทหารภาคพื้นดินของโปแลนด์ ฮอลแลนด์ เบลเยี่ยมและฝรั่งเศส ทำให้ชาวเยอรมันต่างชื่นชมในตัวเกอริงเป็นอย่างมาก แต่ชื่อเสียงของเขาเริ่มลดต่ำลงเมื่อเขาไม่สามารถพิชิตอังกฤษได้ พร้อมทั้งเริ่มมีเสียงวิพากวิจารณ์ว่า เขาเป็นเพียงนักบินขับไล่คนหนึ่งเท่านั้น ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ควบคุมกองทัพอากาศทั้งหมด เพราะการเป็นนักบินกับการเป็นผู้บัญชาการกองทัพอากาศนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ความสำเร็จอย่างท่วมท้นเหนือกองทัพอากาศรัสเซียที่ล้าสมัยในช่วงปี ค.ศ. 1941 ก็ทำให้เขาได้รับความนิยมกลับขึ้นมาอีก ก่อนที่ความจริงของสงครามจะปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า กองทัพอากาศเยอรมันกำลังถูกกองทัพอากาศสัมพันธมิตรและกองทัพอากาศรัสเซียกำจัดออกไปจากน่านฟ้า โดยเฉพาะเมื่อฝูงบินทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตรดาหน้าเข้าถล่มเมืองต่างๆ ในเยอรมันไม่เว้นแต่ละวัน ชาวเยอรมันก็เริ่มตระหนักดีกว่า ผู้บัญชาการทหารอากาศเยอรมันคนนี้ไร้ความสามารถในการปกป้องน่านฟ้าเยอรมันอย่างสิ้นเชิง
ในปี ค.ศ. 1943 ขณะที่ท้องฟ้าเหนือเมืองต่างๆ ของเยอรมันเต็มไปด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตร เกอริงกลายเป็นคนที่เซื่องซึมและตกอยู่ในภวังค์ เขาปฏิเสธการรายงานของอดอล์ฟ กัลล์ลันด์ เสืออากาศเยอรมันที่ว่า เครื่องบินของสัมพันธมิตรกำลังทำลายเมืองและโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆของเยอรมันอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันฮิตเลอร์ก็มองว่าเกอริงเป็นผู้บัญชาการกองทัพอากาศที่ไร้ความสามารถและเป็นต้นเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของเยอรมัน ทำให้เขาอับอายขายหน้าอย่างมาก ชื่อเสียงของเขาถูกกลบด้วยชื่อของไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ และอัลเบิร์ต สเปียร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกอริงเริ่มปลีกตัวออกจากฮิตเลอร์ เมื่อกองทัพรัสเซียรุกเข้ามาถึงกรุงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์ประกาศว่าตัวเขาเองจะอยู่ในหลุมหลบภัยกลางกรุงเบอร์ลินจนวาระสุดท้าย แต่เกอริงผู้ซึ่งหนีไปยังแคว้นบาวาเรียก่อนหน้านี้เข้าใจผิดในคำประกาศดังกล่าว โดยเข้าใจว่าเป็นการประกาศเพื่อสละอำนาจความเป็นผู้นำของฮิตเลอร์ เขาจึงเรียกร้องสิทธิความเป็นทายาททางการเมืองของฮิตเลอร์และขอขึ้นเป็นผู้นำประเทศเยอรมัน
ฮิตเลอร์โกรธมากสั่งให้จับกุมตัวเกอริงและปลดออกจากตำแหน่งทุกตำแหน่งก่อนที่กรุงเบอร์ลินจะล่มสลายและตามมาด้วยการยอมจำนนของเยอรมัน หลังจากนั้นไม่กี่วันคือในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 เกอริงก็ถูกจับกองทัพที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา เขาถูกนำตัวขึ้นศาลนูเรมเบอร์กในปี ค.ศ. 1946 ระหว่างการไต่สวนคดี เกอริงพยายามตอบโต้คณะผู้พิพากษาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวและพยายามแสดงตัวให้ผู้ต้องขังทุกคนเห็นว่า เขาคือตำนานของประเทศเยอรมันที่ไม่มีวันตาย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาการเป็นอาชญากรสงครามต่อคณะผู้พิพากษาได้ เกอริงจึงถูกพิพากษาประหารชีวิตโดยการแขวนคอในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1946
แต่ก่อนเวลาประหารชีวิตเพียง 2 ชั่วโมงเกองริงก็จบชีวิตตนเองด้วยการกลืนยาพิษไซยาไนด์ที่ผู้คุมลักลอบนำเข้ามาให้เขาระหว่างถูกคุมขัง นับเป็นการจบชีวิตของบุคคลสำคัญอันดับสองของนาซีเยอรมัน ผู้ซึ่งเดินเคียงข้างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์มาเกือบตลอดทั้งชีวิต ตั้งแต่การก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จก่อนที่จะเดินทางสู่ห้วงแห่งความหายนะ แต่เกอริงเลือกที่จบชีวิตด้วยหนทางที่แตกต่างกับฮิตเลอร์ เป็นหนทางที่ทิ้งเป็นปริศนาให้ผู้คนในอนาคตตัดสินว่า แฮร์มานน์ เกอริงคือวีรบุรุษที่แท้จริงหรือเพียงแค่คนขี้ขลาดที่เป็นวีรบุรุษจอมปลอมคนหนึ่งเท่านั้น
สภาพศพของเกอริงภายหลังกลืนยาพิษไซยาไนด์ปลิดชีพตัวเอง
(สงครามโลกครั้งที่สอง)
Create Date : 09 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2556 11:02:26 น. |
Counter : 7719 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เหรียญตราของนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง (สงครามโลกครั้งที่ 2)
ประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่ 2
เหรียญตราของนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง
โดยพันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
Master of International Relations (with merit)Victoria University of Wellington, New Zealand --------------------------
เหรียญกางเขนเหล็ก (The Iron Cross)
เหรียญกางเขนเหล็กเป็นเหรียญกล้าหาญของเยอรมันแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ - เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็ก (Iron Cross) ซึ่งมีอยู่ 2 ชั้น คือ ชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ชั้นที่ 1 จะสูงกว่าชั้นที่ 2
- เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน (Knight Cross of the Iron Cross) ซึ่งมี 5 ชั้น คือ 1.ชั้นธรรมดา 2. ชั้นประดับใบโอ็ค 3. ชั้นประดับใบโอ็คและดาบ 4. ชั้นประดับใบโอ็ค ดาบ และเพชร 5. ชั้นประดับใบโอ็คทองคำ ดาบ และ เพชร
-----------------------------
เหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 (The Iron Cross 2nd Class)
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 มีชื่อในภาษาเยอรมันว่า Eisernes Kreuz 2 Klasse เป็นเหรียญที่มอบให้กับทหารชาย หญิง ทุกเหล่า ในกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่ปฏิบัติหน้าที่การรบ ด้วยความกล้าหาญ ในกองทัพเยอรมัน หรือ หน่วยเอส เอส หรือ หน่วยงานองค์กรที่ร่วมในการรบนั้นๆ นอกจากนั้นยังสามารถมอบให้กับผู้ที่มิใช่ชาวเยอรมัน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ให้กับกองทัพเยอรมันโดยตรง หรือร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารเยอรมัน ในฐานะหน่วยทหารของประเทศอักษะ มีสตรี 39 คน ได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 นี้
หลักเกณฑ์ทั่วไป - ปฏิบัติการรบด้วยความกล้าหาญ ในหน้าที่หรือนอกเหนือหน้าที่ จำนวน 1 ครั้ง
พิธีมอบครั้งแรก ไม่ทราบวันที่แน่นอน ระบุได้แต่เพียงว่า เป็นการมอบให้กับผู้ที่เข้ารบในประเทศโปแลนด์ ใน ก.ย. 1939
จำนวนที่มอบ มากกว่า 3,000,000 เหรียญ วิธีการประดับเหรียญ ในพิธีประดับเหรียญ ผู้ที่ได้รับเหรียญจะติดสายริบบิ้นไว้ที่รังดุมที่ 2 แล้วปล่อยตัวเหรียญให้ออกมานอกเสื้อ ส่วนในชีวิตประจำวัน จะติดริบบิ้นไว้ที่รังดุมที่ 2 โผล่สายริบบิ้นออกมาก่อนที่ม้วนกลับเข้าไปในตัวเสื้อ ส่วนตัวกางเขนเหล็ก ติดไว้ที่ กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย บริเวณตรงกึ่งกลางของกระเป๋า ส่วนผู้ที่ได้รับเหรียญชนิดนี้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็สามารถติดเหรียญได้ทั้งสองเหรียญ ข้อสังเกต ผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 มีอายุ 12 ปี ชื่อ Alfred Zeck จาก Goldenau เมื่อเดือน มี.ค. 1945 ที่แนวหน้าในเมือง Oder เขาได้รับเหรียญเนื่องจาก ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญในการช่วยเหลือทหารเยอรมัน 12 คนที่ได้รับบาดเจ็บ ท่ามกลางห่ากระสุนปืนใหญ่ ของฝ่ายข้าศึก และสามารถช่วยชีวิตไว้ได้หมดทั้ง 12 คน นอกจากนี้ทหารเรือประจำเรือ Admiral Scheer ก็ได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นนี้ทุกคน รวม 1,300 คน เมื่อ 1 เม.ย. 1941
การติดเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 ในพิธีประดับเหรียญ จะเห็นตัวเหรียญกางเขนเหล็กติดกับแพรแถบ หรือริบบิ้นที่สอดผ่านรังดุมที่ 2 แต่การประดับเหรียญในชุดปฏิบัติงานปกติประจำวัน จะเหลือแต่แพรแถบหรือริบบิ้น ไม่มีตัวเหรียญ
เครื่องแบบนายทหารยศร้อยเอก ของกองพล อาสาสมัครภูเขา เอส เอส ที่ 7 ปริ้นซ์ อูเกน (7th SS. Volunteer Mountain Division Prince Eugen) ติดเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 โดยการใช้แพรแถบสอดออกมาจากรังดุมที่ 2 และไม่ติดตัวเหรียญกางเขนเหล็ก ซึ่งตามปกติในการประดับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 ซึ่งเป็นชั้นต่ำสุดของเหรียญกางเขนเหล็กในการปฏิบัติภารกิจประจำวัน จะติดเฉพาะแพรแถบหรือ ริบบิ้นเท่านั้น ไม่ติดตัวเหรียญ
----------------------------------------
เหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 (The Iron Cross 1st Class)
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที 1 มีัชื่อในภาษาเยอรมันว่า Eisernes Kreuz 1 Klasse เป็นเหรียญที่มอบให้กับทหารชาย หญิง ทุกเหล่า ในกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่ปฏิบัติหน้าที่การรบ ด้วยความกล้าหาญ ในกองทัพเยอรมัน หรือ หน่วยเอส เอส หรือ หน่วยงานองค์กรที่ร่วมในการรบนั้นๆ นอกจากนั้นยังสามารถมอบให้กับผู้ที่มิใช่ชาวเยอรมัน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ให้กับกองทัพเยอรมันโดยตรง หรือร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารเยอรมัน ในฐานะหน่วยทหารของประเทศอักษะ หรือในดินแดนที่เยอรมันครอบครอง
หลักเกณฑ์ทั่วไป - เคยได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 มาแล้ว - ปฏิบัติการรบด้วยความกล้าหาญ ในหน้าที่หรือนอกเหนือหน้าที่ จำนวน 3-5 ครั้ง
หลักเกณฑ์สำหรับกองทัพอากาศ (Luftwaffe)
- สามารถทำคะแนนได้ 5 คะแนน เมื่อ 1 คะแนน สำหรับการยิงเครื่องบิน 1 เครื่องยนต์ตก 2 คะแนนสำหรับการยิงเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์ตก 3 คะแนนสำหรับการยิงเครื่องบิน 4 เครื่องยนต์ตก คะแนนนี้จะเพิ่มเป็นสองเท่า เมื่อปฏิบัติการรบทางอากาศในเวลากลางคืน พิธีมอบครั้งแรก ไม่ทราบวันที่แน่นอน
จำนวนที่มอบ มากกว่า 450,000 เหรียญ วิธีการประดับเหรียญ เนื่องจากเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 ไม่มีสายริบบิ้น มีเพียงตัวเหรียญ เพื่อเป็นการแยกระหว่างเหรียญชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2
ดังนั้นการประดับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 ทั้งในพิธีประดับเหรียญและในชีวิตประจำวัน จะติดเหรียญไว้ที่ กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย บริเวณตรงกึ่งกลางของกระเป๋า
ข้อสังเกตุ มีสุภาพสตรีเยอรมัน 2 คน ได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ทหารพลร่มของเยอรมันหรือ ฟอลชริมเจเกอร์ (Fallschirmjager) ติดเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1
เหรียญที่อยู่ใต้เหรียญกางเขนเหล็กลงมา เป็นเหรียญแสดงความสามารถในการกระโดดร่ม (the parachute qualification badge) เป็นรูปนกอินทรี เกาะอยู่บนเครื่องหมายสวัสดิกะ กำลังพุ่งโฉบลงหาเหยื่อเบื้องล่าง ล้อมรอบด้วยช่อใบโอ็ค ซึ่งผู้ที่จะได้รับเครื่องหมายนี้ จะต้องผ่านการกระโดดร่มมาไม่น้อบกว่า 6 ครั้ง ตัวนกอินทรีทำด้วยทองแดงผสมนิเกล อัลลอย
ส่วนเครื่องหมายที่ประดับอยู่ที่หน้าอกอีกด้าน เป็นเครื่องหมายของกองทัพอากาศเยอรมัน (German Air Force Eagle) เช่นเดียวกับที่ติดอยู่ข้างหมวก
--------------------------------------
เหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน (Knight Cross of the Iron Cross)
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน มีทั้งหมด 5 ชั้น คือ 1. ชั้นธรรมดา 2. ชั้นประดับใบโอ็ค 3. ชั้นประดับใบโอ็คและดาบ 4. ชั้นประดับใบโอ็ค ดาบ และเพชร 5. ชั้นประดับใบโอ็คทองคำ ดาบ และ เพชร
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินชั้นที่ 1 นี้ มีชื่อในภาษาเยอรมันว่า Ritterkreuz des Eisernes Kreuzes เป็นเหรียญที่มอบให้กับทหารชายทุกเหล่า ในกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่ปฏิบัติหน้าที่การรบ ด้วยความกล้าหาญ ในกองทัพเยอรมัน หรือ หน่วยเอส เอส หรือ หน่วยงานองค์กรที่ร่วมในการรบนั้นๆ
หลักเกณฑ์ทั่วไป - เคยได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1(1st Class Iron Cross) มาแล้ว - ปฏิบัติการรบด้วยความกล้าหาญอย่างต่อเนื่อง
หลักเกณฑ์สำหรับกองทัพอากาศ (Luftwaffe) - เคยได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 มาแล้ว - มีคะแนนสะสม 20 คะแนน โดย 1 คะแนนสำหรับการยิงเครื่องบิน เครื่องยนต์เดียวตก 1 ลำ 2 คะแนน สำหรับการยิงเครื่องยนต์ 2 เครื่องยนต์ตก 1 ลำ 3 คะแนน สำหรับการยิงเครื่องบิน 4 เครื่องยนต์ ตก 1 ลำ คะแนนดังกล่าวจะเพิ่มเป็นสองเท่า หากปฏิบัติการรบทางอากาศในเวลากลางคืน
หลักเกณฑ์สำหรับกองทัพเรือ (Kriegsmarine) - เคยได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 มาแล้ว - สามารถจมเรือของข้าศึกได้รวมแล้ว 100,000 ตัน อย่างไรก็ตามกฏเกณฑ์ดังกล่าว มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในระหว่างสงคราม
พิธีมอบครั้งแรก 30 ก.ย. 1939
จำนวนที่มอบ 7,318 เหรียญ มอบให้กับทหารเยอรมัน 43 เหรียญมอบให้กับชาวต่างชาติ รวมทั้งหมด 7,361 เหรียญ ในจำนวนผู้รับเหรียญทั้งหมดนี้ ประมาณ 1,000 คนยังมีชีวิตอยู่ (ข้อมูลปี 1999) และจำนวนนับพันที่หายสาปสูญจากการรบ (Missing in Action - MIA)
วิธีการประดับเหรียญ ประดับไว้ที่คอ โดยมีสายริบบินสีดำ ขาว และแดง เป็นตัวผูกเหรียญกางเขนเหล็กเอาไว้ ให้ตัวเหรียญห้อยออกมาจากคอเสื้อด้านหน้า หากได้รับการประดับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน ที่มีชั้นสูงขึ้นไป เหรียญชั้นต่ำจะต้องถอดออกไป
ข้อสังเกต เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน ของกองทัพเยอรมันนี้ เทียบเท่ากับเหรียญกล้าหาญ Medal of honor ของกองทัพสหรัฐอเมริกา บันทึก นายทหารประทวน (ชั้นนายสิบ) คนแรกที่ได้รับการประดับเหรียญนี้ คือ Hubert Brinkforth ได้รับการประดับเหรียญ เมื่อ 7 มี.ค. 1941 ในขณะปฏิบัติหน้าที่ในกองร้อยต่อสู้รถถังที่ 14 (14. Panzerjager Kompanie) ของกรมทหารราบที่ 25 ทหารที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเหรียญนี้มี 3 คน คือ Gefreiter, Christian และ Lohrey (ไม่มีข้อมูลอายุขณะนั้น) ได้รับการประดับเหรียญเมื่อ 11 มี.ค. 1945 ก่อนการสิ้นสุดสงครามไม่นานนัก
ภาพตัวอย่างการประดับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน หรือ Knight's Cross ชั้นธรรมดา จะประดับด้วยการคล้องสายริบบิ้นรอบคอ และปล่อยเหรียญออกมาด้านหน้าระหว่างคอปกเสื้อ ซึ่งต่างจากการประดับเหรียญกางเขนเหล็กทั่วไปที่จะประดับที่กระเป๋าเสื้อเท่านั้น
ภาพนี้เป็นนายทหารชั้นยศร้อยเอก แห่งกองทัพบกเยอรมัน (ดาวทองที่บ่า สองดวง) อินธนูและขอบหมวกหม้อตาล ขลิบสีแดง แสดงให้เห็นว่านายทหารคนนี้ สังกัด เหล่าทหารปืนใหญ่ (สีแดงแสดงถึงเหล่าทหารปืนใหญ่) ประดับทั้งเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน (ที่คอเสื้อ) และเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 (ที่กระเป๋าเสื้อ)
-------------------------------------
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็ค (Knight's Cross of the Iron Cross with Oak Leaves)
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็คนี้มีชื่อในภาษาเยอรมันว่า Ritterkreuz des Eisernes Kreuzes mit Eichenlaub จะประดับให้กับทหารที่ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญ ในกองทัพเยอรมัน หรือหน่วยเอส เอส หรือหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องในการรบนั้น
หลักเกณฑ์ - ได้รับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน มาแล้ว - ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญต่อเนื่องกัน
หลักเกณฑ์สำหรับกองทัพอากาศ
- ได้รับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินมาแล้ว - คะแนนสะสมของการยิงเครื่องบินข้าศึกตก เพิ่มสูงขึ้นจากเดิม ในระดับกางเขนเหล็กประดับใบโอ็ค
พิธีมอบครั้งแรก วันที่ 19 มิ.ย. 1940 มอบให้กับ Eduard Dietl
จำนวนที่มอบ 882 เหรียญมอบให้คนเยอรมัน 8 เหรียญมอบให้กับชาวต่างชาติ รวมทั้งหมด 890 เหรียญ
วิธีการประดับเหรียญ วิธีการประดับเหมือนกับการประดับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน คือประดับที่คอเสื้อ โดยใช้ริบบิ้นพันรอบคอ และห้อยตัวเหรียญออกมาด้านหน้าของคอเสื้อ โดยตัวเหรียญจะมีใบโอ็คอยู่ด้านบนของเหรียญ
ข้อสังเกตุ เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็คนี้ เป็นเหรียญกล้าหาญที่สูงกว่า เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน และมีเกียรติยศสูงกว่า ต้องใช้ความสามารถอย่างสูง ต้องมีความกล้าหาญที่เห็นได้ชัด ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้ที่ได้รับมอบเหรียญมีจำนวนลดน้อยลงเหลือเพียง 890 คนเท่านั้น เหรียญนี้ยังสามารถมอบให้กับผู้บัญชาการของหน่วยที่ปฏิบัติการรบด้วยความกล้าหาญ ทหารเยอรมัน 882 คนที่ได้รับเหรียญ 96 คน ยังมีชีวิตอยู่ (ข้อมูลเมื่อปี 1999) และ 237 คน มีข้อมูลชัดเจนว่า เสียชีวิตในสนามรบ (killed in action - KIA)
--------------------------------
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน ประดับใบโอ็คและดาบ (Knight's Cross of the Iron Cross with Oak Leaves and Swords)
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็คและดาบนี้มีชื่อในภาษาเยอรมันว่า Ritterkreuz des Eisernes Kreuzes mit Eichenlaub und Schwertern จะประดับให้กับทหารที่ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญ ในกองทัพเยอรมัน หรือหน่วยเอส เอส หรือหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องในการรบนั้น
หลักเกณฑ์ - ได้รับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ๊คมาแล้ว - ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญต่อเนื่องกัน
หลักเกณฑ์สำหรับกองทัพอากาศ
- ได้รับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ๊คมาแล้ว - คะแนนสะสมของการยิงเครื่องบินข้าศึกตก เพิ่มสูงขึ้นจากเดิม ในระดับกางเขนเหล็กประดับใบโอ็คและดาบ
พิธีมอบครั้งแรก วันที่ 21 มิ.ย. 1941 มอบให้กับอดอล์ฟ กัลลันด์ (Adolf Galland) เสืออากาศของเยอรมัน
จำนวนที่มอบ 159 เหรียญมอบให้คนเยอรมัน 1 เหรียญมอบให้กับชาวต่างชาติ รวมทั้งหมด 160 เหรียญ
วิธีการประดับเหรียญ วิธีการประดับเหมือนกับการประดับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ๊ค คือประดับที่คอเสื้อ โดยใช้ริบบิ้นพันรอบคอ และห้อยตัวเหรียญออกมาด้านหน้าของคอเสื้อ โดยตัวเหรียญจะมีใบโอ็คและดาบอยู่ด้านบนของเหรียญ
ข้อสังเกตุ เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็คและดาบนี้ เป็นเหรียญกล้าหาญที่สูงกว่า เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ๊ค และมีเกียรติยศสูงกว่า ต้องใช้ความสามารถอย่างสูง ต้องมีความกล้าหาญที่เห็นได้ชัด ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้ที่ได้รับมอบเหรียญมีจำนวนลดน้อยลงเหลือเพียง 160 คนเท่านั้น เหรียญนี้ยังสามารถมอบให้กับผู้บัญชาการของหน่วยที่ปฏิบัติการรบด้วยความกล้าหาญ ทหารเยอรมัน 159 คนที่ได้รับเหรียญ 14 คน ยังมีชีวิตอยู่ (ข้อมูลเมื่อปี 1999) และ 38 คน มีข้อมูลชัดเจนว่า เสียชีวิตในสนามรบ (killed in action - KIA)
-----------------------------------
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน ประดับใบโอ็ค ดาบ และเพชร (Knight's Cross of the Iron Cross with Oakleaves, Swords and Diamonds)
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็ค ดาบ และเพชรนี้มีชื่อในภาษาเยอรมันว่า Ritterkreuz des Eisernes Kreuzes mit Eichenlaub, Schwertern und Brillianten จะประดับให้กับทหารที่ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญ ในกองทัพเยอรมัน หรือหน่วยเอส เอส หรือหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องในการรบนั้น
หลักเกณฑ์ - ได้รับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ๊คและดาบมาแล้ว - ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญต่อเนื่องกัน
หลักเกณฑ์สำหรับกองทัพอากาศ
- ได้รับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ๊คและดาบมาแล้ว - คะแนนสะสมของการยิงเครื่องบินข้าศึกตก เพิ่มสูงขึ้นจากเดิม ในระดับกางเขนเหล็กประดับใบโอ็คและดาบ
พิธีมอบครั้งแรก วันที่ 15 ก.ค. 1941 มอบให้กับแวร์เนอร์ โมลเดอร์ (Werner Mölders)
จำนวนที่มอบ 27 เหรียญมอบให้คนเยอรมัน ไม่มีชาวต่างชาติได้รับเหรียญนี้
วิธีการประดับเหรียญ วิธีการประดับเหมือนกับการประดับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ๊ค ดาบและเพชร คือประดับที่คอเสื้อ โดยใช้ริบบิ้นพันรอบคอ และห้อยตัวเหรียญออกมาด้านหน้าของคอเสื้อ โดยตัวเหรียญจะมีใบโอ็ค ดาบและเพชรอยู่ด้านบนของเหรียญ
ข้อสังเกตุ เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็ค ดาบและเพชรนี้ เป็นเหรียญกล้าหาญที่สูงกว่า เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ๊ค และดาบ และมีเกียรติยศสูงกว่า ต้องใช้ความสามารถอย่างสูง ต้องมีความกล้าหาญที่เห็นได้ชัด ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้ที่ได้รับมอบเหรียญมีจำนวนลดน้อยลงเหลือเพียง 27 คนเท่านั้น เหรียญนี้ยังสามารถมอบให้กับผู้บัญชาการของหน่วยที่ปฏิบัติการรบด้วยความกล้าหาญ ทหารเยอรมัน 27 คนที่ได้รับเหรียญ ในปัจจุบันต่างเสียชีวิตทั้งหมดแล้ว (ข้อมูลเมื่อปี 1999) และ 9 คน มีข้อมูลชัดเจนว่า เสียชีวิตในสนามรบ (killed in action - KIA)
จอมพลเออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) ในเครื่องแต่งกายชุดจอมพล ของกองทัพเยอรมัน พร้อมด้วยคธาประจำตำแหน่ง ที่คอมีเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน ประดับใบโอ็ค ดาบและเพชร (Knight Cross with Oakleaves, Swords and Diamonds) ซึ่งเป็นเหรียญตรากางเขนเหล็กชั้นรองสูงสุด จากเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ็คทองคำ ดาบและเพชร (Knight Cross with gold oakleaves, Swords and Diamonds) นอกจากนี้ที่กระเป๋าด้านขวาของภาพ หรือด้านซ้ายของเขา ยังติดเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 อีกหนึ่งเหรียญ (the 1st Class Iron Cross
-------------------------------------
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน ประดับใบโอ็คทองคำ ดาบ และเพชร (Knight's Cross of the Iron Cross with Golden Oakleaves, Swords and Diamonds)
เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอ้ศวิน ประดับใบโอ็คทองคำ ดาบ และเพชร เป็นเหรียญกล้าหาญชั้นสูงสุดของนาซีเยอรมัน ตัวกางเขนเหล็กทำด้วยทองคำ มีผู้ได้รับเหรียญนี้เพียงคนเดียว คือ Hans Ulrich Rudel นักบินแห่งกองทัพอากาศลุฟวาฟ (Luftwaffe) ซึ่งเป็นนักบินเครื่องบิน เจ ยู 87 สตูก้า (Ju 87 Stuka)
หลักเกณฑ์ ได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นก่อนหน้านี้มาแล้ว และยังคงปฏิบัติการรบด้วยความกล้าหาญอยู่อย่างต่อเนื่อง
พิธีมอบครั้งแรก ประกาศเมื่อ 29 ธันวาคม ปี 1944 และทำพิธีมอบใน 1 มกราคม ปี 1945
จำนวนผู้ที่ได้รับมอบ 1 คน
วิธีประดับเหรียญ ประดับที่คอเสื้อ โดยใช้สายริบบิ้นพันรอบคอเสื้อ เหมือนการประดับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็ก ชั้นอัศวินอื่นๆ โดยตัวกางเขนเหล็กจะห้อยติดกับใบโอ็คทองคำ ดาบไขว้และเพชร ตัวกางเขนเหล็กจะทำด้วยทองคำ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ได้รับมอบ
ข้อสังเกตุ Hans Ulrich Rudel ซึ่งเป็นบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ได้รับมอบเหรียญกล้าหาญกางเขนชั้นอัศวิน ที่สูงที่สุดนี้ จากการปฏิบัติงานในหน้าที่นักบินประจำเครื่องบิน เจ ยู 87 สตูก้า ซึ่งเป็นเครื่องบินทำลายรถถัง โดยติดปืนใหญ่อากาศขนาด 37 มม. ไว้ที่ใต้ปีกทั้งสองข้าง ข้างละหนึ่งกระบอก
Rudel สามารถทำลายรถถังรัสเซียได้ทั้งหมด 530 คัน ปืนต่อสู้อากาศยานและปืนใหญ่ต่อสู้รถถังของรัสเซียอีก 150 กระบอก ยานยนต์ทั่วไปประเภทต่างๆอีก 800 คัน จมเรือรบชื่อ Marat ของรัสเซียได้ 1 ลำ เรือชั้นครุยเซอร์ 1 ลำ เรือ Destroyer 1 ลำ เรือยกพลขึ้นบก (Landing Craft) 70 ลำ สะพานและบังเกอร์ ป้อมปืนต่างๆ อีกนับไม่ถ้วน
เขาขึ้นบินทั้งหมด 2,530 ครั้ง และถูกยิงตกทั้งหมด 30 ครั้ง
------------------------------------
เหรียญตราสำหรับผู้ทำการรบด้วยรถถัง (Tank Battle Badge)
เหรียญตราสำหรับผู้ที่ทำการรบด้วยรถถัง (Tank Battle Badge) หรือ Panzerkampfwagenabzeichen นี้ มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 1939 จะมอบให้กับผู้ที่ทำการรบด้วยรถถัง สำหรับเหรียญที่เห็นในภาพ เป็นเหรียญชั้นแรก ตอนล่างมีขีดสามขีด หมายถึงผู้ที่ได้รับเหรียญ ได้เข้าทำการรบด้วยรถถัง 3 ครั้ง ในวันที่ต่างกัน (three tank engagement on three different days)
ต่อมาในปี 1940 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น Panzerkampfabzeichen เนื่องจากแรกเริ่มนั้น มุ่งที่มอบเหรียญตรานี้ให้กับพลประจำรถถังเท่านั้น แต่ต่อมาก็ได้มีการขยายสิทธิผู้ที่ได้รับเหรีญญไปถึง พลมอเตอร์ไซค์ ของกองพลยานเกราะ รวมไปถึงชุดกู้ (recovery team) ซึ่งมักจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้า ไม่แตกต่างไปจากพลประจำรถถัง ขั้นตอนการพิจารณาว่าสมควรจะได้รับเหรียญหรือไม่ ก็ใช้หลักเดียวกับพลประจำรถถัง
สำหรับเหรียญชั้นต่อไป จะเปลี่ยนขีด 3 ขีดเป็นตัวเลขของการรบด้วยรถถัง เช่น ตัวเลข 25 ซึ่งหมายถึงทำการรบด้วยรถถัง 25 ครั้ง หรือ ปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้าต่อเนื่องกันเป็นเวลา 15 เดือน เหรียญนี้ยังอาจจะมอบให้กับผู้ที่ได้บาดเจ็บสาหัสจากการสู้รบก็ได้ โดยเหรียญทำการรบ 25 ครั้งนี้ เริ่มมีใช้เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 1943
เหรียญนี้มี 3 แบบ คือ รมดำ ชุบเงิน และชุบทอง ตัวเหรียญออกแบบโดย Ernest Peekhaus เป็นรูปรถถัง ล้อมรอบด้วยใบโอ็ครูปทรงรี ตอนบนสุดของเหรียญ เป็นรูปนกอินทรี กางปีกเพียงครึ่งเดียว เกาะอยู่บนเครื่องหมายสวัสดิกะ อันเป็นสัญญลักษณ์ของพรรคนาซีเยอรมัน ตัวรถถังกำลังแล่นผ่านใบโอ็ค จากทางซ้ายไปขวา
เหรียญที่เห็นอยู่ด้านบนเป็นเงินทั้งเหรียญ เหรียญที่มอบให้ผู้ทำการรบ 25 ครั้ง จะแตกต่างกับเหรียญทำการรบ 3 ครั้งคือ ตัวรถถังของเหรียญทำการรบ 25 ครั้งจะเป็นสีเทาดำ ตัวเลข 25 ที่ปรากฎแทนขีด 3 ขีดทางตอนล่าง จะเป็นสีทอง ส่วนนกอินทรีและใบโอ็คยังคงเป็นสีเงินเช่นเดียวกับเหรียญทำการรบ 3ครั้ง
ต่อมาเมื่อการรบยังคงดำเนินต่อไป จำนวนครั้งในการรบของกำลังพลก็เพิ่มมากขึ้น จึงมีการเพิ่มตัวเลขจาก 25 ครั้ง เป็น 50 และ 75 ครั้งอีกด้วย
เหรียญสำหรับผู้ทำการรบด้วยรถถัง 50 ครั้ง
เหรียญสำหรับผู้ทำการรบด้วยรถถัง 75 ครั้ง
ภาพบนเป็นตัวอย่างการติดเหรียญสำหรับผู้ทำการรบด้วยรถถัง ตัวเหรียญจะติดที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้ายของผู้ที่ได้รับเหรียญ โดยติดให้ต่ำกว่าเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 และเสมอกับเหรียญอื่นๆ ในภาพจะอยู่เสมอกับเหรียญสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการรบ ที่อยู่ค่อนไปข้างหลัง
เหรียญสำหรับผู้ทำการรบด้วยรถถังในภาพนี้ เป็นเหรียญสีทอง ผู้ได้รับเหรียญเป็นนายทหารยศ พันตรีของหน่วยเอสเอส (SS หรือ SchutzStaffel) จากกองพล ดาส ไรซ์ (Das Reich) สิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นหน่วยเอส เอส คือ
1. ที่ปกเสื้อด้านขวาของเครื่องแบบ มีเครื่องหมายอักษร เอส เอส
2. ที่หน้าหมวกแก็ป ใต้สัญญลักษณ์นกอินทรีกางปีกเต็ม เท้าเกาะเครื่องหมายสวัสดิกะ จะเป็นเครื่องหมาย หัวกระโหลกไขว้ (Death head) ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ ของหน่วย เอส เอส
3. ที่แขนเสื้อด้านซ้ายของเครื่องแบบ ตอนบน มีตรานกอินทรีเหยียดปีกตรงเกาะบนเครื่องหมายสวัสดิกะติดอยู่ ในภาพจะเห็นเพียงปลายปีกเหยียดตรงโผล่ออกมาเท่านั้น
4. เครื่องหมายยศของ เอส เอส ที่ติดอยู่ที่ปกเสื้อ จะแตกต่างจากเครื่องหมายของกองทัพบกเยอรมัน ดุมเงิน 4 เม็ดหมายถึงพันตรี ส่วนแถบที่แขนเสื้อซ้าย ด้านล่าง เป็นแถบบอกนามหน่วย จะเห็นดัวอักษร Das Reich ติดอยู่
---------------------------------------
เหรียญสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ (Wound Badge)
เหรียญสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ มีสามระดับ คือ รมดำ เงิน และทอง ในภาพเป็นเหรียญเงิน มอบให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการรบ 3 - 4 ครั้ง หรือ สูญเสียแขนขา บาดเจ็บทางสมอง บาดเจ็บที่ตา ระบบการได้ยิน จากการรบ
เหรียญชนิดนี้จะมอบให้กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ทั้งที่เป็นทหาร หรือข้าราชการของกองทัพเยอรมัน และหน่วยเอส เอส ต่อมาในปี 1943 เมื่อสงครามขยายเข้ามาถึงประเทศเยอรมัน ทั้งจากการทิ้งระเบิด และการรุกเข้ามาทางพื้นดิน ก็ได้มีการมอบเหรียญชนิดนี้ให้กับพลเรือน ที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีทางอากาศด้วย
หลักเกณฑ์ เหรียญนี้มี 3 ระดับ คือ 1. รมดำ สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 1 - 2 ครั้ง
2. เหรียญเงิน สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 3 - 4 ครั้ง หรือ สูญเสียแขนขาจากการสู้รบ ได้รับบาดเจ็บที่ตา ระบบการได้ยิน สมอง หรือบาดเจ็บที่ใบหน้าจนเสียโฉม
3. เหรียญทอง สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 5 ครั้ง หรือพิการตาบอด สมองได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หรือเสียชีวิตในการรบ
พิธีมอบครั้งแรก พิธีมอบครั้งแรกใน 1 กันยายน ปี 1939
จำนวนผู้ที่ได้รับมอบ กว่า 5,000,000 คน
วิธีประดับเหรียญ ประดับที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย โดยติดต่ำกว่าหรือเสมอกับเหรียญอื่นๆ
ภาพบนเป็นตัวอย่างของการประดับเหรียญผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ (Wound Badge) จะติดอยู่ที่กระเป๋าเสื้อซ้ายของผู้ที่ได้รับมอบ ในภาพนี้จะติดเฉียงค่อนไปทางสีข้าง
ส่วนอีกเหรียญที่อยู่ระดับเดียวกัน ใกล้กับกระดุมเสื้อ เป็นเหรียญทำการรบด้วยรถถัง สำหรับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กที่อยู่เหนือขึ้นไป เป็นกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 เนื่องจากไม่มีแพรริบบิ้นที่รังดุมที่สองของเสื้อ และหากเป็นเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน ก็จะประดับที่คอเสื้อ แทนการประดับที่กระเป๋าเสื้อ
ภาพนี้เป็นภาพการแต่งกายของนายทหารเอส เอส ยศพันตรี หรือ เอส เอส สตรุมบาน ฟือเรอห์ (SS. Sturmbannfuhrer) ที่แขนเสื้อด้านซ้ายมีสัญญลักษณ์ นกอินทรีเกาะเครื่องหมายสวัสดิกะติดอยู่ ปักด้วยไหมสีเงิน เป็นสัญญลักษณ์ที่ทหาร เอส เอส ทุกคนจะต้องติดไว้ที่แขนเสื้อ
ส่วนที่ปลายแขนเสื้อมีป้ายบอกนามหน่วยว่า แดร์ ฟือเร่อห์ (Der Fuhrer) แสดงว่าเป็นกำลังพลของกรมทหารราบยานเกราะ เอส เอส ที่ 4 แดร์ ฟือเร่อห์ (4th SS. Panzer Granadier Regiment "Der Fuhrer") ซึ่งกรมนี้สังกัดอยู่กับ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ (2nd SS. Panzer Division Das Reich)
เหรียญผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบรุ่นสั่งทำเป็นพิเศษ ลงวันที่ 20 มิถุนายน 1944 ซึ่งเป็นเหรียญที่มอบให้เฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่รังหมาป่าโดยพันเอก เคล้าซ์ ฟอน สตอฟเฟนเบอร์ก
-------------------------------------------
เหรียญสำหรับการสู้รบทั่วไป (General Assault Badge)
เหรียญสำหรับการสู้รบทั่วไป เป็นเหรียญตราที่มอบให้กับกำลังพลของกองทัพนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มิได้เป็นทหารราบและทหารยานเกราะ (เนื่องจากทหารราบและทหารยานเกราะ มีเหรียญตราสำหรับความกล้าหาญในการสู้รบของหน่วยต่างหากอยู่แล้ว)
พิธีมอบครั้งแรกใน 1 มิถุนายน 1940 โดยมุ่งหวังที่จะมอบเป็นเหรียญตราแห่งความกล้าหาญในการรบให้กับกำลังพลเหล่าทหารช่าง แต่ต่อมาได้ขยายไปยังกำลังพลในเหล่าอื่นๆ เช่น ทหารปืนใหญ่ อีกด้วย
หลักเกณฑ์
เหรียญการสู้รบทั่วไป มี 5 ระดับ คือ
1. ชั้นที่ 1 ทำการสู้รบ ด้วยการเข้าตีที่มั่นข้าศึก (assault) ตีตอบโต้ (counter attack) หรือลาดตระเวณจนเกิดการปะทะกับข้าศึก เป็นจำนวน 3 ครั้ง ใน 3 วันที่แตกต่างกัน
2. ชั้นที่ 2 ทำการสู้รบ ด้วยการเข้าตีที่มั่นข้าศึก (assault) ตีตอบโต้ (counter attack) หรือลาดตระเวณจนเกิดการปะทะกับข้าศึก เป็นจำนวน 25 ครั้ง ใน 25 วันที่แตกต่างกัน หรือปฏิบัติการรบอยู่ในแนวหน้าเป็นเวลานานถึง 15 เดือน
3. ชั้นที่ 3 ทำการสู้รบ ด้วยการเข้าตีที่มั่นข้าศึก (assault) ตีตอบโต้ (counter attack) หรือลาดตระเวณจนเกิดการปะทะกับข้าศึก เป็นจำนวน 50 ครั้ง ใน 50 วันที่แตกต่างกัน
4. ชั้นที่ 4 ทำการสู้รบ ด้วยการเข้าตีที่มั่นข้าศึก (assault) ตีตอบโต้ (counter attack) หรือลาดตระเวณจนเกิดการปะทะกับข้าศึก เป็นจำนวน 75 ครั้ง ใน 75 วันที่แตกต่างกัน
5. ชั้นที่ 5 ทำการสู้รบ ด้วยการเข้าตีที่มั่นข้าศึก (assault) ตีตอบโต้ (counter attack) หรือลาดตระเวณจนเกิดการปะทะกับข้าศึก เป็นจำนวน มกกวก่า 100 ครั้ง ใน 100 วันที่แตกต่างกัน
เหรียญสำหรับทำการรบทั่วไปจำนวน 75 ครั้ง
ภาพการประดับเหรียญตราสำหรับผู้ทำการรบทั่วไป (General Assault medal)
------------------------------------------
ข้อมูลจาก //www.wikipedia.com, //www.feldgrau.com, หนังสือ German Soldiers of World War Two โดย Jean DE LAGARDE
(สงครามโลกครั้งที่สอง)
Create Date : 05 กันยายน 2552 | | |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2556 11:04:15 น. |
Counter : 18359 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|