VUW - Victoria University of Wellington, New Zealand
Group Blog
 
All Blogs
 

สมรภูมิ "เดมแยงส์" ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนที่ 1

สมรภูมิ "เดมแยงส์" (Battle of Demyansk)

ตอนที่ 1

จากหนังสือเรื่อง "สมรภูมิของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์"

โดย พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ

Master of International Relations (with merit)

Victoria University of Wellington, New Zealand

สงวนลิขสิทธ์ตาม พรบ.สิ่งพิมพ์ พ.ศ.2537

ห้ามทำซ้ำเพื่อการพาณิชย์ ให้เผยแพร่เพื่อการศึกษาและค้นคว้าแก่ผู้สนใจเท่านั้น



“โล่ห์แห่งเดมแยงส์” เครื่องหมายเชิดชูเกียรติที่มอบให้กับกำลังพลกว่า 100,000นายที่ผ่านสมรภูมิในวงล้อม "เดมแยงส์"



ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่การสู้รบใน "ยุทธการบาร์บารอสซ่า" (Operation  Barbarossa) ของกองทัพเยอรมันตามแนวรบด้านรัสเซีย หรือ "สหภาพโซเวียต" (Soviet  Union) ในขณะนั้น กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด โดยกลุ่มกองทัพเหนือ (Heeresgruppe Nord ในภาษาเยอรมัน หรือ Army Group North ในภาษาอังกฤษมีเป้าหมายเพื่อยึดเมืองเลนินกราด (Leningrad) และกลุ่มกองทัพกลาง (Heeresgruppe Mitte ในภาษาเยอรมันหรือ Army Group Center ในภาษาอังกฤษรุกเข้ายึดกรุงมอสโคว์ (Moscow) เมืองหลวงของสหภาพโซเวียตตามยุทธการ "ไต้ฝุ่น" (Operation Typhoon หรือ Taifun ในภาษาเยอรมันจนกระทั่งฤดูหนาวอันโหดร้ายได้สร้างความเสียหายให้กับกองทัพเยอรมันเป็นอย่างมาก พร้อมๆ กับการตอบโต้อย่างรุนแรงจากกองทัพแดงของรัสเซีย จนกระทั่งกองทัพที่ 16 ของเยอรมันซึ่งประกอบด้วยกำลังทหาร กองพลจำนวนกว่า 100,000 คน สังกัดกองทัพน้อยที่  2 (II Corps) และบางส่วนของกองทัพน้อยที่ 10 (X Corps) ซึ่งประกอบไปด้วยกองพลทหารราบที่ 12, 30,  32,  123,  290  (12th, 30th, 32nd, 123rd, 290th Infantry Divisions)  และกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ (SS Division Totenkopf - ภายหลังได้รับการยกระดับเป็นกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ โทเทนคอฟต้องถอยร่นจนตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพรัสเซีย ในพื้นที่เมือง "เดมแยงส์" (Demyansk) และพื้นที่ใกล้เคียง ระหว่างวันที กุมภาพันธ์ถึงวันที่ 20 พฤษภาคม ค..1942

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สั่งการให้กำลังพลในวงล้อมทั้งหมด ทำการต่อสู้กับกองทัพรัสเซียเพื่อรักษาพื้นที่ประมาณ 1,200 ตารางไมล์อย่างทรหด ด้วยการออกคำสั่ง "ห้ามถอยและให้ทหารทุกคนรักษาที่มั่น จนกว่าความช่วยเหลือจากกองทัพใหญ่จะมา ถึงแม้จะต้องตกอยู่ในวงล้อมเป็นเวลานานก็ตาม (บางส่วนของทหารเยอรมันยึดที่มั่นอยู่ จนถึงเดือนมีนาคม ค..1943 หรือเป็นเวลากว่า 12 เดือน)

การสู้รบอันดุเดือด จึงเปิดฉากขึ้นระหว่างทหารเยอรมันและทหารรัสเซียเพื่อครอบครองและแย่งชิงพื้นที่รอบเมือง "เดมแยงส์อันเป็นที่มาของการรบครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง นั่นคือการรบใน "วงล้อมเดมแยงส์" (Demyansk Pocket) 

ซึ่งสมรภูมิแห่งนี้ ได้รับการบันทึกว่า เป็นสมรภูมิที่มีความดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะกองทัพเยอรมันต้องเปลี่ยนยุทธวิธีจากการรุก ที่ดำเนินมานานนับปี ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเปิดฉากขึ้นมา เป็นการตั้งรับอยู่ภายในวงล้อม ที่มีระยะเวลายาวนานที่สุด ความสำเร็จในการรักษาที่มั่นที่ “เดมแยงส์” ส่งผลให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อนุมัติในการจัดทำเครื่องหมายเชิดชูเกียรติให้กับกำลังพลที่ผ่านการรบ โดยมีลักษณะเป็นแถบโล่ห์ (shield) ขนาดเล็ก เรียกว่า "โล่ห์แห่งเดมแยงส์" (Demyansk shield) ทำจากโลหะชนิดสังกะสี ที่เป็นสีเงิน ซึ่งการประดับเครื่องหมายดังกล่าวจะประดับไว้ที่แขนเสื้อซ้ายท่อนบนเหนือข้อศอก เพื่อมอบให้แก่กำลังพลกว่า 100,000 นายทั้งสังกัดกองทัพบก หน่วยเอส เอส และกองทัพอากาศที่ผ่านการรบในสมรภูมิแห่งนี้ ไม่ว่าจะเสียชีวิตจากการต่อสู้ในวงล้อมหรือรอดชีวิตกลับมาได้

เมือง "เดมแยงส์หรือที่บางเอกสารออกเสียงว่าเมือง "เดเมียงส์ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเลนินกราด เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นทางแยกและเป็นจุดเชื่อมต่อของทางรถไฟ จากเมือง "เดมแยงส์ไปยังเมืองเลนินกราด และเมืองสตารายา รุสซ่า (Staraya Russa) ซึ่งใช้เป็นเส้นทางติดต่อสื่อสารและการส่งกำลังบำรุงของกองทัพที่ 16 และกองทัพที่ 18 สังกัดกลุ่มกองทัพเหนือของเยอรมัน

ลักษณะภูมิประเทศของเมือง "เดมแยงส์เป็นที่ราบสูงขนาดใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยป่าทึบสลับกับหนองน้ำจำนวนมากมาย พื้นดินมีลักษณะชื้นแฉะ เพราะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะในช่วงฤดูหนาว และแปรสภาพเป็นปลักตมในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ยากต่อการเคลื่อนที่ของทหารราบและยานยนต์

การสู้รบในวงล้อม "เดมแยงส์เปิดฉากขึ้นในวันที่ มกราคม ค..1942 เมื่อพลโท พาเวล คูรอชคิน (Pavel Kurochkin) ของสหภาพโซเวียต สั่งการให้กองทัพจู่โจมจำนวน กองทัพประกอบด้วย กองทัพจู่โจมที่ 1 (1st Shock Army) กองทัพจู่โจมที่ 3 (3rd ShockArmy) และกองทัพจู่โจมที่ 4 (4th Shock Army) เป็นหน่วยหลักในการเข้าตีแนวตั้งรับของทหารเยอรมันทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในวงล้อม "เดมแยงส์ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพลโท วอลเธอร์ ฟอน บร็อคดรอฟฟ์ (Walter Von Brockdorff) ผู้บัญชาการกองทัพน้อยที่ ซึ่งขึ้นตรงกับกลุ่มกองทัพเหนือของจอมพล วิลเฮล์ม ริทเธอร์ ฟอน ลีบ (Wilhelm Ritter von Leeb)

นอกจากนี้กองทัพจู่โจมของกองทัพแดงทั้งสามกองทัพ ยังได้รับการสนับสนุนจากกองทัพที่ 11, กองทัพที่34, กองทัพน้อยปืนเล็กยาวที่ และ ร่วมกับ กองพลน้อยส่งทางอากาศอีก กองพลน้อย รวมกำลังรบของฝ่ายรัสเซียทั้งหมดกว่า กองทัพ หรือคิดเป็นจำนวนทหารกว่า 400,000คน เพื่อทำการรุกครั้งใหญ่

แต่อุปสรรคของฝ่ายรัสเซียก็คือ สภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยป่าทึบ สลับกับหนองบึงที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาในช่วงปลายฤดูหนาวดังที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้การเคลื่อนที่ของรถถังและทหารราบกองทัพแดงเป็นไปอย่างยากลำบาก อีกทั้งลักษณะภูมิประเทศดังกล่าวยังลดความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการเข้าตีลงอย่างมาก แต่ในทางกลับกันป่าทึบและปลักตมเหล่านี้ กลับเอื้ออำนวยต่อการตั้งรับของฝ่ายเยอรมันที่วางแนวตั้งรับโดยขุดสนามเพลาะซ่อนอยู่ในพื้นที่ป่าหนาและรกทึบเหล่านั้น

สำหรับกองทัพจู่โจม หรือ Shock Army นั้น เป็นหน่วยที่กองทัพแดงของรัสเซียจัดตั้งขึ้นจากทหารกองหนุน หรือกองกำลังสำรอง เพื่อใช้เป็นหน่วยในการเข้าตีแนวตั้งรับของเยอรมันในลักษณะคลื่นมนุษย์ขนาดใหญ่ (Massed Human Waves) 

ทั้งนี้เนื่องจากยุทธวิธีของกองทัพสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ยังเป็นช่วงที่ทหารขาดการฝึกฝน ขาดประสบการณ์ ขาดผู้นำที่มีความสามารถในการวางแผน การเข้าตีจึงมักใช้กำลังทหารจำนวนมาก วิ่งดาหน้าผ่านแนวออกตี โดยมีปืนใหญ่และปืนกลหนักให้การสนับสนุนในการยิงโจมตีข้าศึก เพื่อเปิดโอกาสให้ทหารราบเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่โล่งแจ้ง เข้าหาแนวตั้งรับของทหารเยอรมันให้มากที่สุด ก่อนที่จะใช้ระเบิดขว้างและปืนกลประจำกาย สาดกระสุนเข้าใส่ที่มั่นของข้าศึก

ยุทธวิธีนี้ถ้าแนวตั้งรับเปราะบาง ขาดการเตรียมความพร้อม หรือมีกำลังทหารที่มีจำนวนน้อยกว่า ฝ่ายรุกก็จะสามารถเจาะแนวป้องกันได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วแนวตั้งรับของเยอรมันมักจะมีปืนกลหนักหลายกระบอก ยิงประสานสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทำให้บ่อยครั้งที่การเข้าตีของทหารรัสเซียในลักษณะนี้ลงเอยด้วยความสูญเสียอย่างหนัก

ในช่วงปี ค..1943 – 1945 ฝ่ายรัสเซียได้มีการปรับยุทธวิธีการเข้าตีไปสู่รูปแบบใหม่ โดยการเข้าตีของทหารราบ จะได้รับการสนับสนุนอย่างใกล้ชิดจากปืนใหญ่ที่จะระดมยิงใส่แนวหน้าของทหารเยอรมันอย่างรุนแรง และต่อเนื่องนานนับสิบนาที

จากนั้นทหารราบจะเคลื่อนที่ผ่านแนวออกตี พร้อมกับรถถังแบบที 34 ที่ติดอาวุธปืนประจำรถขนาด 76.2 มิลลิเมตรอันทรงอานุภาพ และสามารถทำความเร็วได้ถึง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีระยะทำการถึง 300 กิโลเมตร จึงปรากฏว่ามีหลายครั้งที่ทหารราบได้อาศัยรถถังเป็นยานพาหนะในการเคลื่อนที่ผ่านแนวออกตี ซึ่งเป็นที่โล่งแจ้งด้วยความเร็วสูงสุด โดยทหารราบจะใช้รถถังเป็นกำบัง และลงจากรถถังเมื่อใกล้ถึงแนวตั้งรับของเยอรมัน ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้รถถังแบบ ที 34 มีการปรับปรุง โดยการติดตั้งราวเหล็กรอบป้อมปืน สำหรับให้ทหารราบได้ยึดเกาะ ยุทธวิธีแบบใหม่นี้ช่วยรักษาชีวิตของทหารราบรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำให้การรุกของฝ่ายรัสเซียเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนแนวตั้งรับของเยอรมันไม่สามารถตั้งตัวไม่ทัน

สำหรับการเข้าตีของกองทัพจู่โจมในวงล้อม "เดมแยงส์ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น แม้จะเป็นการเข้าตีในยุทธวิธีแบบดั้งเดิมของกองทัพแดง นั่นคือ การใช้คลื่นมนุษย์ แต่ก็ยังนับว่าเป็นการเข้าตีที่เต็มไปด้วยความรวดเร็ว รุนแรง สร้างความประหลาดใจและไม่คาดคิดต่อข้าศึก 

โดยหน่วยหลักในกองทัพจู่โจมนี้ จะประกอบด้วย ทหารราบ ทหารช่าง ทหารปืนใหญ่ และรถถังหนัก เช่น กองทัพจู่โจมที่ เมื่อเข้าสู่สมรภูมิที่ "เดมแยงส์นั้น ประกอบด้วยทหารราบปืนเล็กยาวจำนวน กองพล คือ กองพลปืนเล็กยาวที่ 133 (133rd Rifle Division) และกองพลน้อยปืนเล็กยาวอีกเป็นจำนวนถึง กองพลน้อย ประกอบด้วย กองพลน้อยปืนเล็กยาวที่ 29, 44,  47,  50,  55,  56,  71 และ 84 (29th, 44th, 47th, 50th, 55th, 56th, 71st, 84th Rifle  Brigades) กองพลทหารม้าจำนวน กองพล คือ กองพลทหารม้าที่  17 (17th Cavalry  Division) พร้อมทั้งกองพันรถถังจำนวน กองพันและกรมทหารปืนใหญ่ ให้การสนับสนุนอีก กรม จะเห็นได้ว่ากองทัพจู่โจมนั้นจะมีทหารราบเป็นหลัก ทำหน้าที่ในการรุกเข้าหาที่มั่นของข้าศึก

(โปรดติดตามตอนต่อไป)




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2556    
Last Update : 15 ธันวาคม 2556 12:25:10 น.
Counter : 2829 Pageviews.  

เล่าด้วยรูป "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์"

เล่าด้วยรูป "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" (Adolf Hitler) 

 โดย

พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ

 (สงวนลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่เพื่อการพาณิชย์ ใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น)






การประชุมของผู้นำพรรคนาซีซึ่งจัดขึ้นบ่อยครั้งที่ Berghof อันเป็นที่พำนักของฮิตเลอร์ใน Obersalzberg บนเทือกเขาแอลป์ (Alpsใกล้กับเมือง Berchtesgaden

วันที่ถ่ายภาพนี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้แต่จากการแต่งกายของบุคคลในภาพทำให้ทราบได้ว่าเป็นการพบปะกันในการประชุมช่วงสุดสัปดาห์ 

บุคคลในภาพแถวหน้าจากซ้ายไปขวาคือ ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (HeinrichHimmler) ผู้นำกองกำลังเอส เอส อันลือชื่อ ถัดมาคือ ดร. วิลเฮล์ม ฟริค (Dr. Wilhelm Frick) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของเยอรมันผู้ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการสังหารโหดชาวยิวในค่ายกักกัน 

ส่วนคนขวาสุดของภาพคือแฮร์มาน เกอริง (Hermann Goering)ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมันสำหรับที่พำนักของฮิตเลอร์แห่งนี้เขาได้ซื้อต่อจากเจ้าของเดิมในปี 1933 ด้วยเงินทุนที่ได้มาจากการขายหนังสือเรื่อง “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” (Mein Kampf) และฮิตเลอร์เป็นผู้ออกแบบตกแต่งภายในทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง






ภาพแห่งการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคนาซี อันเนื่องมาจากฮิตเลอร์เป็นผู้ที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของชาวออสเตรียที่แตกต่างจากชาวเยอรมันที่ได้ชื่อว่าเป็นนักดื่มตัวยง 

เอกลักษณ์ประจำตัวนี้เป็นอุปสรรคในความพยายามที่จะทำให้ฮิตเลอร์เป็นคนชาติเยอรมันเป็นอย่างมากดังนั้นเพื่อทำให้ฮิตเลอร์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเฉกเช่นเดียวกับคนเยอรมันทั่วไป ไฮน์ริช ฮอฟท์มาน (HeinrichHoffman) ช่างภาพประจำตัวและเพื่อนสนิทของเขาจึงถ่ายภาพนี้ขึ้น โดยมีขวดไวน์ตั้งเป็นจุดเด่นอยู่เบื้องหน้าของฮิตเลอร์เพื่อแก้ไขเอกลักษณ์ประจำตัวของฮิตเลอร์ให้เป็นนักดื่มคนหนึ่ง





ฮิตเลอร์ขณะเข้าร่วมวางแผนการรุกของกองทัพเยอรมันในห้องยุทธการ 

ภาพนี้ถ่ายในปี 1941 ซึ่งเป็นช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ที่อยู่ในภาพทางด้านซ้ายติดกับฮิตเลอร์คือจอมพล วอลเธอร์ ฟอน บราวชิทส์ (Walther von Brauchitsch) ผู้บัญชาการทหารบกเยอรมันในขณะนั้นเขาเป็นผู้ที่ฮิตเลอร์ไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง รวมทั้งเป็นกุญแจสำคัญในชัยชนะเหนือฝรั่งเศสแต่จากความล้มเหลวในการรบที่มอสโคว์ ทำให้ฮิตเลอร์ปลดเขาออกจากทุกตำแหน่ง 

สำหรับนายทหารที่อยู่ขวาสุดของภาพคือนายพล ฟรานซ์ ริทเทอร์ เฮาเดอร์(General Franz Ritter Halder)หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการของกองทัพบกเยอรมันผู้ซึ่งเตือนฮิตเลอร์อยู่เสมอว่า ท่านผู้นำกำลังประเมินขีดความสามารถของกองทัพรัสเซียต่ำกว่าความเป็นจริง 

แต่คำเตือนของเขาก็ไม่ได้รับความสนใจจากฮิตเลอร์ เฮาเดอร์เป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกจับเพราะต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมในการการวางแผนสังหารฮิตเลอร์ในยุทธการ “วัลคีรี่” (Valkyrie) เมื่อวันที่20 มิถุนายน 1944แต่ท้ายที่สุดก็พิสูจน์ตัวเองได้ว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด






ภาพนี้ถ่ายเมื่อเดือนพฤษภาคม 1936 เป็นภาพที่ฮิตเลอร์กำลังได้รับการต้อนรับจากฝูงชนชาวเยอรมันระหว่างเดินทางไปถึงสนามกีฬาโอลิมปิกในกรุงเบอร์ลิน เพื่อแสดงสุนทรพจน์ของเขา 

โอลิมปิคที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ได้ถูกฮิตเลอร์ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองทั้งการโฆษณาชวนเชื่อและการประชาสัมพันธ์ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างกว้างขวางผ่านเครือข่ายของพรรคนาซีทั้งวิทยุ โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ 

ทำให้การแข่งขันโอลิมปิคในปี1936 ได้รับการบันทึกว่าเป็นการแข่งขันที่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรกของโลกโดยใช้อุปกรณ์ของบริษัทเทเลฟุงเกน (Telefunken) ของเยอรมัน






ฮิตเลอร์และมุสโสลินีผู้นำของอิตาลีขณะออกตรวจพื้นที่แนวรบด้านรัสเซีย 

สถานที่และเวลาที่ถ่ายภาพไม่ได้ระบุไว้ แต่หากสังเกตุจากซากรถถังแบบบีที-7 (BT-7) ของรัสเซียในภาพแล้วคาดว่าน่าจะเป็นช่วงระหว่างปี 1941 – 1942 อันเป็นช่วงต้นของยุทธการบาร์บารอสซ่าเนื่องจากรัสเซียใช้รถถังชนิดนี้ในการรบกับฟินแลนด์ในปี1939 และรบกับเยอรมันในช่วงต้นของสงครามในปี 1941 

แต่รถถังรุ่นนี้มีประสิทธิภาพเทียบไม่ได้กับรถถังของเยอรมันทั้งแบบแพนเซอร์ 3 (Panzer III) และ แพนเซอร์ 4 (Panzer IV) ทั้งอาวุธปืนใหญ่ประจำรถที่มีขนาดเพียง 45 มิลลิเมตร ตลอดจนความหนาของเกราะและความคล่องตัวทำให้รัสเซียยุติการใช้รถถังแบบบีที-7 นี้ในปี 1942 และทดแทนด้วยรถถังอันทรงอานุภาพแบบที 34 (T 34)   






ฮิตเลอร์ขณะเยี่ยมชมการฝึกของกองพลน้อยที่ 2 ของกองทัพบกเยอรมันในเดือนสิงหาคม 1938ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองอันเป็นช่วงของการเตรียมความพร้อมของกองทัพตามนโยบายการแผ่ขยายอาณาเขตประเทศเยอรมัน 

ความสนใจของเขาในการวางแผนการรบทางด้านยุทธวิธีเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังจากสงครามเปิดฉากขึ้นทำให้เขาเปลี่ยนบทบาทและแนวทางจากความเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาเป็นนักยุทธวิธี แต่เนื่องจากขาดประสบการณ์ทำให้เขามักได้รับการโต้แย้งจากฝ่ายเสนาธิการของเขาอย่างต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ตามผู้ที่โต้แย้งก็มักจะถูกถอนออกจากตำแหน่งที่สำคัญเสมอ 





 

Create Date : 29 มีนาคม 2555    
Last Update : 30 มีนาคม 2555 11:23:20 น.
Counter : 5654 Pageviews.  

เส้นทางสู่จุดจบของหน่วยยานเกราะนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง

โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ

Master of International Relations (with merit), 
Victoria University of Wellington, New Zealand

(สงวนลิขสิทธิ์ในการทำซ้ำ เผยแพร่เพื่อการพาณิชย์ อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น)



ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันถูกจำกัดอาวุธจากสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ทำให้เยอรมันต้องพัฒนารถถังขึ้นมาภายใต้ชื่อโครงการรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร แม้ว่าการใช้รถถังจะถูกคิดขึ้นมาจากนักคิดชาวอังกฤษ แต่นายพลไฮน์ซ กูเดอเรียน ของเยอรมันเป็นผู้คิดที่จะนำเอารถถังมาใช้ในการรบแบบ สายฟ้าแลบ ซึ่งมีหลักคือใช้การสนธิกำลังของการโจมตีจากอากาศยาน และอาวุธปืนใหญ่โจมตีข้าศึก ณ จุดใดจุดหนึ่งจนข้าศึกเริ่มอ่อนแรง จากนั้นจะใช้หน่วยรถถังรุกเข้าหาด้วยความเร็ว พร้อมกับทหารราบ ตรงจุดนี้ ความเร็วในการรุกของยานเกราะจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการโอบล้อมข้าศึกที่กำลังขวัญเสียจากการถูกโจมตีทางอากาศและจากปืนใหญ่ โดยมีทหารราบเป็นกองหนุนที่เข้าบดขยี้กำลังข้าศึกที่อ่อนล้าในวงล้อมดังกล่าว

จากนั้นหน่วยยานเกราะจะทำการโอบล้อมหน่วยของข้าศึกต่อไป รวมทั้งตัดเส้นทางการส่งกำลังของข้าศึก และทำลายหน่วยของข้าศึกที่ถูกล้อมทีละหน่วย การรบแบบสายฟ้าแลบนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงแรกของสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการบุกโปแลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และรัสเซีย หน่วยยานเกราะของเยอรมันได้แสดงให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพ และกลายเป็นต้นแบบของการใช้รถถังในการรบมาจนถึงปัจจุบัน

ความสำเร็จของหน่วยยานเกราะเยอรมันหรือ "แพนเซอร์" ส่งผลให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์สามารถครอบครองยุโรปได้อย่างรวดเร็ว ชัยชนะแต่ละชัยชนะล้วนมีส่วนสำคัญจากหน่วยยานเกราะอันทรงอานุภาพทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามเมื่อกาลเวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเยอรมันรุกเข้าสู่รัสเซีย ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ดูดกลืนประสิทธิภาพและความยิ่งใหญ่ของหน่วยยานเกราะเยอรมันลงทีละน้อย จนนำไปสู่กาลอวสานของนาซีเยอรมันและหน่วยยานเกราะอันเกรียงไกรในที่สุด

นับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ของกองทัพที่ 6 ของกองทัพนาซีเยอรมันที่เมืองสตาลินกราดในช่วงต้นปี ค.ศ.1943 ส่งผลให้กองพลยานเกราะส่วนหนึ่งถูกทำลายลง ในขณะที่กองพลยานเกราะที่ 22 และกองพลยานเกราะที่ 27 ของเยอรมันที่มีแนวตั้งรับบริเวณแม่น้ำดอน (Don) และแม่น้ำไมอัส (Mius) ก็ถูกกองทัพรัสเซียที่มีกำลังเหนือกว่าเคลื่อนที่เข้าบดขยี้จนได้รับความเสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถดำรงความเป็นกองพลยานเกราะอยู่ได้และต้องยุบรวมกับหน่วยข้างเคียงในช่วงต้นปี ค.ศ. 1943 นับเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของกองทัพเยอรมัน

ฮิตเลอร์ตระหนักดีว่าจุดศูนย์ดุลของสงครามในแนวรบด้านรัสเซียกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ และกองทัพเยอรมันอาจจะก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอย ดังนั้นในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 เขาจึงตัดสินใจแต่งตั้งนายพลไฮน์ซ กูเดอเรียน (Heinz Guderian) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งหน่วยยานเกราะและผู้ริเริ่มแนวความคิดในการรบแบบสายฟ้าแลบจนได้รับสมญาว่า "บิดาแห่งยานเกราะเยอรมัน" ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์พัฒนากองกำลังยานเกราะ




นายพลไฮน์ซ กูเดอเรียน (Heinz Guderian)




โดยฮิตเลอร์ได้มอบอำนาจให้กูเดอเรียนอย่างท่วมท้นในการพัฒนาศักยภาพยานเกราะของเยอรมัน ซึ่งกูเดอเรียนก็ไม่ทำให้ฮิตเลอร์ผิดหวัง เขาวางแผนที่จะแปรเปลี่ยน "ยานเกราะ" ที่ใช้ในการรบทั่วไปให้มีศักยภาพมากกว่ายานเกราะหรือรถถังธรรมดา จนกระทั่งรถถังและยานเกราะของเยอรมันกลายเป็น "จักรกลสงครามแห่งการทำลายล้างขั้นสูงสุด" ที่ประวัติศาสตร์การสงครามยุคใหม่ต้องบันทึกไว้

ในช่วงต้นของสงครามนั้นหน่วยยานเกราะของเยอรมันใช้รถถังแบบแพนเซอร์ 3 เป็นรถถังหลัก มันได้รับการยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของหน่วยยานเกราะเยอรมัน เพราะรถถังรุ่นนี้ทำหน้าที่ทุกอย่างในการรุกเข้าหาข้าศึกในช่วงครึ่งแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2

แพนเซอร์ 3 (Panzer III : Panzer ย่อมาจากคำว่า Panzerkampfwagen) ผลิตโดยบริษัทเดมเลอร์เบนซ์ (Daimler-Benz) แรกเริ่มติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 37 มิลลิเมตรและปืนกล 7.92 มิลลิเมตร 1 กระบอก ต่อมาได้เปลี่ยนปืนใหญ่เป็นขนาด 50 มิลลิเมตร พร้อมเพิ่มปืนกล 7.92 มิลลิเมตร อีก 1 กระบอก มีเครื่องยนต์ที่กำลังสูง สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเกราะหนา 30 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 21 ตัน มีระบบกันสะเทือนที่ยอดเยี่ยม เพราะมีโช๊คอัพที่ออกแบบโดย ดร.เฟอร์ดินานด์ ปอร์ช (Dr. Ferdinand Porche) แพนเซอร์ 3 มีการปรับปรุงหลายรุ่น ส่วนใหญ่ออกสู่แนวรบด้านรัสเซีย




แพนเซอร์ 3 (Panzer III)



รถถังอีกรุ่นหนึ่งของหน่วยยานเกราะเยอรมันคือรถถังขนาด 25 ตันแบบแพนเซอร์ 4 (Panzer IV) ที่เข้าสู่สายการผลิตมาตั้งปี ค.ศ. 1939 นับเป็นรถถังที่รับใช้กองทัพนาซีเยอรมันมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นสงครามจนสิ้นสุดสงครามและนับเป็นรถถังที่มีอานุภาพพอสมควร เนื่องจากมีเกราะหนาถึง 80 มิลลิเมตรและติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตรแบบ KwK40 L48 พร้อมกระสุน 87 นัด ซึ่งนับว่าเป็นขนาดปืนใหญ่ประจำรถถังที่เหนือกว่าปืนใหญ่ประจำรถถังของฝ่ายสัมพันธมิตรทุกชนิดในช่วงต้นสงคราม




แพนเซอร์ 4 (Panzer IV)



แม้จะมีแนวความคิดในการยุติการผลิตรถถังรุ่นนี้เพื่อหันไปผลิตรถถังรุ่นใหม่ๆ กูเดอเรียนก็เป็นผู้คัดค้านแนวคิดดังกล่าว โดยเขาให้เหตุผลว่า เยอรมันยังต้องการรถถังรุ่นนี้อยู่ เพราะพลประจำรถเกือบทุกคน มีความคุ้นเคยกับรถถังรุ่นนี้เป็นอย่างดี “พวกเขาสามารถบังคับรถถังรุ่นนี้ได้ แม้กระทั่งยามที่พวกเขาหลับ”

นอกจากรถถังแพนเซอร์ทั้งสองรุ่นนี้แล้ว กูเดอเรียนเห็นว่าควรทำการปรับโครงสร้างและสายการผลิตยานเกราะขึ้นใหม่ แผนแบบของรถถังรุ่นใหม่ที่ใช้ในการล่ารถถังหรือ Tank destroyer ตลอดจนรถปืนใหญ่อัตตาจรหรือ Assault Gun ที่ติดปืนใหญ่อันทรงอานุภาพถูกออกแบบและผลิตขึ้น รถถังชนิดนี้มีขั้นตอนที่ผลิตง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะไม่จำเป็นต้องมีป้อมปืนที่มีกลไกยุ่งยาก เพียงแต่ติดตั้งปืนใหญ่ต่อสู้รถถังบนฐานของยานเกราะเท่านั้น

การลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก ซับซ้อนทำให้ "รถถังล่ารถถัง" และ "รถปืนใหญ่อัตตาจร" สามารถผลิตได้ทีละเป็นจำนวนมาก เช่น รถปืนใหญ่อัตตาจรแบบ "สตุมเกอส์ชูท์ซ" (Sturmgeschütz) หรือ สตุค (StuG) และรถถังล่ารถถังแบบ Jagdpanzer ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อถอดป้อมปืนใหญ่ออกไปจากตัวถังรถก็ส่งผลให้ยานเกราะทั้งสองแบบดังกล่าวมีความสูงลดลงอย่างมาก ทำให้สามารถซ่อนพรางจากการสังเกตการณ์ของข้าศึกได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์ในแนวรบด้านรัสเซียขณะนั้นเยอรมันกำลังเป็นฝ่ายตั้งรับ ยานเกราะรุ่นใหม่ๆ เหล่านี้จึงเหมาะกับภารกิจในการซุ่มโจมตีรถถังของรัสเซียที่รุกเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ



"สตุมเกอส์ชูท์ซ" (Sturmgeschütz)



ในขณะเดียวกันกูเดอเรียนก็ได้ปรับปรุงอัตราการจัดหน่วยยานเกราะของกองทัพเยอรมันเสียใหม่ โดยเพิ่มกองพันรถปืนใหญ่อัตตาจร กองพันยานยนต์หุ้มเกราะลำเลียงพลกึ่งสายพานและกองพันปืนใหญ่ต่อสู้รถถังเข้าไปในหน่วยระดับกองพลยานเกราะ เพื่อสร้างสมดุลกำลังรบขึ้นเนื่องจากกองทัพรัสเซียมีหน่วยทหารราบที่คล่องตัวและมีรถถังที่ทรงอานุภาพแบบ ที 34 (T 34) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว




ที 34 (T 34)



นอกจากนี้กูเดอเรียนยังให้ความสำคัญอย่างมากต่ออัตราการสูญเสียรถถังและยานเกราะของเยอรมันในแนวหน้าที่มีสูงมาก เพราะไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียเฉพาะอาวุธยุทโธปกรณ์เท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงการสูญเสียกำลังพลที่มีขีดความสามารถและประสบการณ์ในการรบมาเป็นอย่างดี ซึ่งก่อนหน้านี้พลประจำรถถังหรือพลประจำรถยานเกราะของเยอรมันนั้นจัดได้ว่าเป็นทหารหน่วยพิเศษที่มีผลการปฏิบัติงานอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม กูเดอเรียนจึงหาหนทางฝึกฝนกำลังพลที่มีคุณภาพเข้าทดแทนในหน่วยรถถังและยานเกราะต่างๆ

จากความพยายามและความทุ่มเทของกูเดอเรียนส่งผลให้สายการผลิตรถถังของเยอรมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในครึ่งปีแรกของ ค.ศ. 1943 โดยมีจำนวนการผลิตถึง 3,643 คัน แต่เนื่องจากเส้นทางการส่งกำลังไปสู่แนวรบรัสเซียนั้นมีระยะทางที่ยาวและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย รถถังและยานเกราะจำนวนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวนี้สามารถเดินทางไปถึงสนามรบได้เพียง 2,504 คันเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอต่อการสูญเสียที่มีสูงถึงกว่า 7,800 คัน ด้วยความขาดแคลนรถถังและยานเกราะนี้เองทำให้หน่วยยานเกราะของเยอรมันต้องนำรถถังที่ยึดได้จากรัสเซีย อังกฤษและฝรั่งเศสนำมาใช้เสริมกำลังรบในแนวหน้าด้านรัสเซีย ซึ่งจากตัวเลขพบว่ามีรถถังที่ถูกยึดได้และนำกลับมาใช้ใหม่เป็นจำนวนถึง 822 คัน แต่ความขาดแคลนก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม

สำหรับการพัฒนาประสิทธิภาพของรถถังและยานเกราะนั้น วิศวกรเยอรมันได้ดำเนินการออกแบบรถถังรุ่นใหม่ที่สามารถต่อสู้กับรถถัง ที 34 ของรัสเซียได้อย่างทัดเทียมกัน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของรถถังที่มีขีดความสามารถสูงที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักมา นั่นคือ รถถังแบบ แพนเซอร์ 5 (Panzer V) หรือที่รู้จักกันในนาม "แพนเธอร์" (Panther) ซึ่งแปลว่า "เสือดำ" ส่วนอีกรุ่นคือ รถถังแบบแพนเซอร์ 6 (Panzer VI) หรือ "ไทเกอร์" (Tiger) ซึ่งแปลว่า "เสือโคร่ง" นั่นเอง



รถถังแพนเซอร์ 5 หรือ "แพนเธอร์" (Panzer V - Panther)



สำหรับรถถังแพนเซอร์ 5 หรือ "แพนเธอร์" (Panzer V - Panther) นั้นมีน้ำหนัก 44.8 ตัน มีเกราะหนาตั้งแต่ 15 – 120 มิลลิเมตร ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตรแบบ KwK 42 L70 พร้อมกระสุนจำนวน 79 นัด และติดตั้งปืนกลขนาด 7.92 มิลลิเมตรจำนวน 2 กระบอก ใช้เครื่องมายบัคแบบ (Maybach) แบบ HL230 P30 อันทรงพลังทำให้สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีรัศมีทำการภายใต้การเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงครั้งเดียวเป็นระยะทางถึง 250 กิโลเมตรและมีพลประจำรถ 5 นาย โดยรถถังรุ่นนี้ถูกออกแบบให้มีความซับซ้อนในการผลิตไม่สูงมากนักเพื่อมุ่งหวังให้ง่ายต่อการผลิตเป็นจำนวนมากและนำไปทดแทนรถถังที่สูญเสียไปในการรบ จึงมีรถถังแพนเธอร์ถูกผลิตออกมาในห้วงเวลาสั้นๆ ระหว่างปี ค.ศ. 1943 – 1945 เป็นจำนวนถึง 6,000 คัน

อีกทั้งแม้ว่ารถถังแพนเธอร์จะมีข้อด้อยกว่ารถถังแบบไทเกอร์ในเรื่องความทนทานของเกราะและขนาดปืนใหญ่ที่เล็กกว่า แต่มันก็มีความคล่องตัวสูงและมีปืนใหญ่ที่มีความแม่นยำสูง โดยเฉพาะปืนใหญ่แบบ HL230 P30 ที่มีลำกล้องยาวถึง 5,250 มิลลิเมตรนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นปืนใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดชนิดหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่สองเนื่องจากมีความแม่นยำและอัตราการทะลุทะลวงสูงกว่าปืนใหญ่รถถังทุกชนิดของสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซียในขณะนั้น รวมทั้งยังมีระยะยิงไกลถึง 10 กิโลเมตรในการยิงวิถีโค้งอีกด้วย ทำให้รถถังแพนเธอร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถถังที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งของเยอรมันและกลายมาเป็นแม่แบบให้กับรถถังของประเทศต่างๆ ภายหลังสิ้นสุดสงคราม

ส่วนรถถังแพนเซอร์ 6 หรือไทเกอร์นั้นนับเป็นรถถังที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่งของเยอรมัน เป็นรถถังที่ทั้งทหารรัสเซีย สหรัฐฯ อังกฤษและชาติสัมพันธมิตรอื่นๆ ต่างหวั่นเกรงในอานุภาพของมันเป็นอย่างมาก เพราะมีเกราะด้านหน้าหนาถึง 100 มิลลิเมตรและที่ป้อมปืนมีเกราะหนาถึง 120 มิลลิเมตรจึงยากที่ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังของข้าศึกจะเจาะทะลุทะลวงได้




แพนเซอร์ 6 หรือ Tiger



นอกจากเกราะที่หนามากแล้วรถถังไทเกอร์ยังติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 88 มิลลิเมตรแบบ KwK 36 L56 พร้อมกระสุน 92 นัด (รถถังไทเกอร์บางรุ่นสามารถบรรทุกกระสุนได้ถึง 105 นัด) ซึ่งมีอานุภาพในการทำลายรถถังข้าศึกทุกชนิดได้ในขณะนั้น อีกทั้งปืนใหญ่ดังกล่าวยังมีความแม่นยำสูงมาก จากสถิติการทดสอบโดยกองทัพอังกฤษภายหลังสงครามพบว่า มันสามารถยิงเป้าหมายขนาดกว้าง 41เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร ในระยะ 1,100 เมตรได้อย่างแม่นยำ และมีสถิติบันทึกไว้ว่ารถถังไทเกอร์สามารถยิงทำลายรถถังข้าศึกได้ในระยะไกลถึง 4 กิโลเมตร อันเป็นการยิงทำลายโดยที่รถถังข้าศึกไม่มีโอกาสรู้ตัวก่อนเลย

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุที่รถถังไทเกอร์มีเกราะหนามาก ส่งผลให้มันมีน้ำหนักสูงถึง62 ตัน จึงจำเป็นที่จะต้องมีสายพานที่กว้างถึง 725 มิลลิเมตรในการรับน้ำหนักตัวถังรถ และมีอุปสรรคค่อนข้างมากในการเคลื่อนที่ผ่านภูมิประเทศที่มีพื้นดินอ่อนนุ่ม รถถังไทเกอร์ทำความเร็วได้เพียง 38 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีรัศมีทำการโดยการเติมน้ำมันเพียงครั้งเดียว 110-195 กิโลเมตร

นอกจากนี้รถถังไทเกอร์ยังบริโภคน้ำมันอย่างมหาศาลรวมทั้งมีเทคโนโลยีในการผลิตที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการผลิตแต่ละคัน ทำให้เยอรมันสามารถผลิตรถถังรุ่นนี้ได้เพียง 1,347 คันซึ่งน้อยเกินกว่าที่จะหยุดยั้งกองทัพรัสเซียและสัมพันธมิตร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับจำนวนรถถัง ที 34 ของรัสเซียที่ผลิตเป็นจำนวนถึง 58,000 คัน และรถถังเอ็ม 4 เชอร์แมนของสหรัฐฯ ที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนกว่า 40,000 คันตลอดห้วงสงคราม

นอกจากการถือกำเนิดขึ้นของรถถังแบบใหม่แล้ว ในส่วนของการจัดกำลังยานเกราะในแนวรบด้านรัสเซียนั้น กูเดอเรียนได้อาศัยผลการผลิตรถถังและยานเกราะทุกรุ่นที่เพิ่มขึ้นมาจัดตั้งกองทัพน้อยยานเกราะเอสเอส (SS Panzer Corps) โดยมุ่งไปที่การพัฒนาศักยภาพของกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 1 ลีปสตานดาร์ด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (1st SS Panzer Division Leibstandarte Adolf Hitler), กองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ (2nd SS Panzer Division Das Reich, และกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (3rd SS Panzer Divsion Totenkopf) ให้เป็นกองพลยานเกราะที่มีขีดความสามารถในการทำลายล้างสูง โดยบรรจุรถถังแบบแพนเซอร์ 4, แพนเธอร์และไทเกอร์จำนวนกว่า 350 คันเข้าประจำการแทนรถถังแบบแพนเซอร์ 3 ที่ล้าสมัย



รถถังไทเกอร์ของหน่วยเอส เอส



จากการปรับปรุงศักยภาพกองพลยานเกราะ เอส เอส ทั้งสามกองพลดังกล่าว ทำให้ฮิตเลอร์ตัดสินใจรุกตอบโต้กองทัพรัสเซียที่ยูเครนในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 และประสบความสำเร็จอย่างมากจนทำให้กองทัพรัสเซียต้องล่าถอย ส่งผลให้กองทัพเยอรมันสามารถยึดเมืองคาร์คอฟคืนมาได้จากการครอบครองของรัสเซีย ในการรบตลอดห้วงเวลานี้รถถังแพนเธอร์ 21 คันและไทเกอร์ 108 คันสามารถทำลายรถถังรัสเซียลงได้ถึง 615 คันพร้อมทั้งทหารเอสเอสจากกองพลยานเกราะทั้งสามได้สังหารหมู่เชลยศึกและประชาชนรัสเซียจำนวนนับพันคนลงด้วย ทำให้ความสำเร็จในการรบของกองทัพเยอรมันถูกบดบังด้วยความอำมหิตและโหดเหี้ยมของทหารเอสเอสในโศกนาฏกรรมครั้งนี้

หลังจากการรบที่เมืองคาร์คอฟ หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็มีบทบาทโดดเด่นขึ้นมาอีกครั้งในการรบครั้งยิ่งใหญ่ที่เมือง "เคริสค์" (Kursk) โดยฮิตเลอร์สั่งระดมกองพลยานเกราะจำนวน 17 กองพลและกองพลน้อยยานเกราะอีก 2 หน่วยรวมจำนวนรถถังและยานเกราะชนิดต่างๆ ทั้งหมดกว่า 2,388 คันเพื่อเข้าตีแนวตั้งรับของรัสเซียภายใต้ยุทธการ "ซิทาเดล" (Citadel)

รถถังแพนเซอร์ 5 หรือ "แพนเธอร์" จำนวน 250 คันที่เพิ่งออกมาจากโรงงานผลิตในเยอรมันได้เดินทางเข้าสู่สมรภูมิทันทีด้วยความหวังที่จะใช้เป็นอาวุธในการทำลายรถถัง ที 34 ของรัสเซียซึ่งเป็นคู่ปรับเก่าให้ย่อยยับไป แต่ปัญหาเกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์และระบบเกียร์ที่ขัดข้องทำให้มีรถถังแพนเธอร์เพียง 1 ใน 5 ของจำนวนทั้งหมดที่สามารถเข้าทำการรบได้ ส่งผลให้จำนวนรถถังของเยอรมันในแนวหน้ามีไม่เพียงพอและทำให้ฮิตเลอร์ตัดสินใจส่งกำลังรถถังจำนวนสุดท้ายที่สำรองไว้เป็นกำลังหนุนเข้าทำการรบแทน นับเป็นการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงอย่างมาก เพราะหากสถานการณ์พลิกผันจะทำให้เยอรมันไม่หลงเหลือรถถังไว้คอยตอบโต้ข้าศึกเลย

การรบที่เคริสค์จบลงด้วยความสูญเสียอย่างหนักของทั้งสองฝ่าย แต่ความสูญเสียของเยอรมันเป็นความสูญเสียที่ไม่สามารถนำกลับมาทดแทนได้ในระยะเวลาอันสั้น รวมทั้งรถถังและยานเกราะที่เป็นกำลังสนับสนุนก็ถูกทำลายลงด้วย ทำให้เยอรมันแทบไม่หลงเหลือรถถังในแนวรบด้านรัสเซียเลย ต่างจากฝ่ายรัสเซียแม้จะมีรถถังแบบ ที 34 ถูกทำลายเป็นจำนวนมากแต่รถถังที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่จากโรงงานในเทือกเขาอูราล (Ural) ก็ยังคงหนุนเนื่องเข้ามาทดแทนอย่างไม่ขาดสาย



ยานเกราะของเยอรมันเตรียมรุกเข้าหาที่มั่นของรัสเซียในสมรภูมิ Kursk



ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ทำให้รถถังและยานเกราะที่กูเดอเรียนเพียรพยายามสั่งสมขึ้นมาจากทรัพยากรที่จำกัดและขาดแคลน รวมทั้งหามาด้วยความยากลำบากได้ถูกทำลายลงในชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน และนับจากนั้นมารถถังและยานเกราะที่เหลืออยู่ก็ถูกทำลายลงด้วยคลื่นรถถังรัสเซียจำนวนมหาศาล ตัวอย่างเช่นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1943 เยอรมันสูญเสียรถถังไปเป็นจำนวน 645 คัน และในเดือนต่อมาก็สูญเสียไปอีก 572 คัน เป็นความสูญเสียในอัตราที่กองทัพเยอรมันหมดหนทางในการฟื้นฟูขึ้นมาได้

เมื่อจำนวนรถถังลดลงอย่างมาก กองพลยานเกราะที่เหลืออยู่ก็ต้องรับภาระหนักขึ้นในการต่อต้านการรุกของกองทัพรัสเซีย กองพลยานเกราะทั้งหมดต่างแปรสภาพเป็น "หน่วยปืนใหญ่เคลื่อนที่" ที่เคลื่อนย้ายกำลังไปมาในการเข้าแก้ไขปัญหาวิกฤติในพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งแม้จะประสบความสำเร็จในการทำลายล้างกำลังทหารโซเวียตที่รุกเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้เป็นจำนวนมากแต่ความสำเร็จของหน่วยยานเกราะเหล่านี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความพ่ายแพ้ของเยอรมันให้กลับเป็นชัยชนะได้

ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1943 รัสเซียรุกกลับในพื้นที่ยูเครนและสามารถทำลายกลุ่มกองทัพกลางของเยอรมันลงได้พร้อมๆ กับการละลายหายไปของกองพลทหารราบยานเกราะจำนวนถึง 3 กองพล จากนั้นก็รุกไล่กลุ่มกองทัพใต้ให้ถอยร่นมาจนถึงเทือกเขาคาร์เปเธียน (Carpathian) ในยุโรปตอนกลาง แม้จะต้องถอยร่นมาอย่างไม่เป็นขบวนแต่หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็ยังคงต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี และไม่ยอมให้กองทัพรัสเซียรุกคืบหน้าเข้ามาได้ง่ายๆ

ตัวอย่างเช่น กองทัพน้อยยานเกราะที่ 48 (XLVIII Panzer Corps) ที่สามารถตอบโต้การรุกของกองทัพรัสเซียอย่างได้ผลในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 ที่เมืองเบอร์ดิเชฟ ทางตอนใต้ของเคียฟ โดยสามารถเข้าตีเจาะแนวรุกของกองทัพรัสเซียได้เป็นระยะทางลึกถึง 113 กิโลเมตรก่อนที่จะตีตลบหลังและโอบล้อมกองทัพรถถังการ์ดที่ 3 ของรัสเซียในวันที่ 18 พฤศจิกายน ก่อนที่จะเข้าบดขยี้ทหารรัสเซียที่อยู่ในวงล้อมทั้งกองทัพให้ย่อยยับไปจนหมดสิ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปี ค.ศ. 1943 นั้นแตกต่างจากสถานการณ์ในปี ค.ศ. 1941 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของสงครามอย่างสิ้นเชิง เพราะในห้วงเวลานี้กองทัพรัสเซียสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีกำลังหนุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกลางเดือนธันวาคม กองทัพน้อยยานเกราะที่ 48 ก็ถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจนต้องถอยร่นและปรับแนวรุกเป็นแนวตั้งรับในที่สุด

ในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1944 กองทัพรัสเซียจากยูเครนเปิดฉากรุกอย่างรุนแรงและสามารถเข้ายึดแนวตั้งรับของกองทัพยานเกราะที่ 48 ได้ พร้อมๆ กับโอบล้อมกองพลต่างๆ ของเยอรมันจำนวน 10 กองพลไว้ ในจำนวนนี้รวมถึงกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 5 ไวกิ้งอันลือชื่อด้วย ทหารเยอรมันพยายามฝ่าวงล้อมออกมาแต่ก็ถูกทหารรัสเซียตอบโต้ทุกครั้งไป จนกระทั่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ทหารเยอรมันจำนวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถเล็ดรอดผ่านวงล้อมของทหารรัสเซียออกมาได้ภายหลังที่ต้องต่อสู้อย่างนองเลือด ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์และรถถังไว้ในวงล้อมเป็นจำนวนมาก




ทหารรัสเซียขณะทำการรบ



แต่ชะตากรรมของหน่วยยานเกราะเยอรมันยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ กองทัพรัสเซียเปิดฉากรุกครั้งใหญ่ในวันที่ 24 มีนาคมและสามารถโอบล้อมกองทัพยานเกราะที่ 1 ของเยอรมันไว้ได้เกือบทั้งหมดที่เมืองคาเมเน็ทส์ (Kamenets) ฮิตเลอร์รู้ดีว่าเขาไม่สามารถสูญเสียกองทัพยานเกราะที่ 1 ไปได้ จึงสั่งการให้กองทัพน้อยยานเกราะเอสเอส ที่ 2 เดินทางออกจากประเทศฝรั่งเศสเข้าไปช่วยทหารเยอรมันที่ถูกล้อมในวันที่ 28 มีนาคม และสามารถช่วยกองทัพยานเกราาะที่ 1 ออกมาจากวงล้อมได้ในที่สุด

ในขณะที่การรบเป็นไปอย่างดุเดือดอยู่นั้น แผนการผลิตรถถังและยานเกราะที่กูเดอเรียนได้วางไว้ก็ยังผลิดอกออกผลมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมหนักของเยอรมันสามารถผลิตรถถังและยานเกราะได้เป็นจำนวนถึง 5,648 คันในเดือนมกราคม ค.ศ. 1944 และเพิ่มเป็น 6,155 คันในเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 ในจำนวนนี้มีรถถังแบบไทเกอร์อยู่จำนวน 373 คันและรถถังแบบแพนเธอร์อยู่ 972 คัน

รถถังบางรุ่นที่เริ่มล้าสมัยถูกส่งกลับเข้าโรงงานเพื่อปรับเปลี่ยนป้อมปืนออกไปและติดตั้งปืนใหญ่ที่ทรงอานุภาพเข้าไปแทน เช่น รถปืนใหญ่อัตตาจรแบบ "สตรุมแพนเซอร์ 4 บรุมม์บาร์" (Sturmpanzer IV Brummbar) ที่นำฐานของรถถังแพนเซอร์ 4 มาติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 150 มิลลิเมตรที่ทรงอานุภาพแทน จนกลายเป็นรถปืนใหญ่อัตตาจรที่น่าเกรงขาม แต่จำนวนรถถังและยานเกราะที่เพิ่มมากขึ้นเหล่านี้ก็ยังคงไม่เพียงพอที่จะรับมือกับข้าศึกที่รุกเข้าสู่ประเทศเยอรมันในทุกทิศทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งกองทัพอากาศของสัมพันธมิตรได้ทำลายหน่วยยานเกราะของเยอรมันเกือบทั้งหมดในยุโรปตะวันตกจนแทบหมดสิ้น



"สตรุมแพนเซอร์ 4 บรุมม์บาร์" (Sturmpanzer IV Brummbar) 



หน่วยยานเกราะของเยอรมันพยายามฟื้นตัวอย่างยากลำบาก รถถังและยานเกราะที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วยุโรปถูกรวบรวมเข้าอีกครั้ง ส่วนกองทัพรัสเซียก็ยังคงรุกคืบหน้าเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน จนในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1944 กองทัพรัสเซียก็สามารถเจาะแนวตั้งรับของกองทัพโรมาเนียที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเยอรมันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ส่งผลให้รัฐบาลโรมาเนียประกาศถอนตัวออกจากการเป็นพันธมิตรร่วมกับกลุ่มอักษะของเยอรมันในอีก 5 วันต่อมา และทำให้แผนการจัดตั้งกองทัพที่ 6 ของเยอรมันในประเทศโรมาเนียต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย

ในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1944 หน่วยยานเกราะของเยอรมันรวบรวมกำลังตอบโต้กองทัพรัสเซียอีกครั้งที่ชายแดนประเทศฮังการี โดยกองพลยานเกราะที่ 1 กองพลยานเกราะที่ 23และกองพลยานเกราะที่ 24 ของกองทัพบกเยอรมันเปิดฉากการเข้าตีแนวหน้าของรัสเซีย ก่อนที่จะทำลายกองทัพน้อยของรัสเซียลงได้ถึง 3 กองทัพ แต่กองทัพรัสเซียก็ยังคงหนุนเนื่องและรุกเข้ามาจนสามารถล้อมกรุงบูดาเปสท์ เมืองหลวงของฮังการีและสามารถยึดครองประเทศฮังการีได้ในที่สุด

ไม่แต่เฉพาะการรบในสมรภูมิรัสเซียเท่านั้นที่หน่วยยานเกราะเยอรมันต่อสู้อย่างสุดความสามารถ การรบในแนวรบด้านยุโรปตะวันตกภายหลังการยกพลขึ้นบกในวัน ดี เดย์ของฝ่ายสัมพันธมิตรก็เช่นกัน รถถังรุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น รถถังแบบไทเกอร์ ซึ่งแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับรถถังของสหรัฐฯ และอังกฤษ แต่ก็ได้สร้างชื่อเสียงอย่างมากในการรบ การที่เครื่องยนต์มักจะมีปัญหาไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ในระยะประชิดระหว่างรถถังกับรถถังของไทเกอร์ลดลงแต่อย่างใด

ทั้งนี้เพราะการรบในนอร์มังดี มักจะเป็นการรบในระยะใกล้ไม่เกิน120-350 หลา อีกทั้งพื้นที่การรบในนอร์มังดียังเป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการซุ่มโจมตีเป็นอย่างมาก ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องทุ่มเทกำลังรถถังและกำลังทหารเข้ากวาดล้างรถถังเยอรมันที่ซุ่มซ่อนอยู่ตามภูมิประเทศต่างๆ ซึ่งการปฏิบัติภารกิจในการกวาดล้างนี้ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอย่างหนัก โดยมีการคำนวณว่าในการรบที่นอร์มังดี ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องสูญเสียรถถังถึง 4 คัน เพื่อจะทำลายรถถังไทเกอร์เพียง 1 คัน

จนมีคำกล่าวว่า การต่อสู้ด้วยรถถังที่นอร์มังดีเป็นการต่อสู้ระหว่างคุณภาพ และปริมาณ ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายพันธมิตรมีจำนวนรถถังมากกว่าฝ่ายเยอรมันถึง 2 ต่อ 1 โดยฝ่ายสัมพันธมิตรมีรถถังที่เข้าปฏิบัติการทั้งหมด 1,350 คัน ส่วนใหญ่เป็นรถถังแบบเอ็ม 4 เชอร์แมน ส่วนฝ่ายเยอรมันมีรถถังเพียง 670 คัน มีทั้งรถถังแบบแพนเซอร์ 4, แพนเธอร์และไทเกอร์



รถถังไทเกอร์ของกองพันรถถังหนัก เอส เอส ที่ 101 (SS Panzer Abteilung 101) ถูกทำลายในการรบที่นอร์มังดี


อย่างไรก็ตามจำนวนรถถังสัมพันธมิตร 4 คันต่อ 1 คันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องแลกเพื่อทำลายรถถังแบบไทเกอร์นั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถทดแทนรถถังที่สูญเสียไปได้เกือบจะในทันที แต่ฝ่ายเยอรมันนั้นไม่มีโอกาสที่จะทดแทนรถถังของตนที่สูญเสียไปได้ เนื่องจากการโจมตีทางอากาศของสัมพันธมิตรที่โจมตีเส้นทางลำเลียงต่าง ๆ ที่มุ่งหน้าสู่นอร์มังดี ทำให้รถถังของเยอรมันในแนวหน้ามีไม่เพียงพอที่จะต่อต้านการบุกของฝ่ายสัมพันธมิตรในที่สุด

แม้จะต้องตกเป็นฝ่ายถอยร่นอย่างไม่หยุดหย่อนแต่หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็ยังคงสู้ยิบตาและไม่ปล่อยให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรุกเข้ามาอย่างสะดวก ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 กองพลยานเกราะ 2 กองพลของเยอรมันรุกเข้าสู่แนวหน้าที่บอบบางของกองพลยานเกราะที่ 7 ของสหรัฐฯ บริเวณเมืองเมย์เจล (Meijel) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองไอนด์โฮเว่น (Eindhoven) ประเทศเนเธอร์แลนด์ การรบเป็นไปอย่างรุนแรงกว่า 10 วัน ทหารเยอรมันยึดพื้นที่ได้ส่วนหนึ่งก่อนที่กำลังเสริมของสหรัฐฯ จะมาถึงและไล่ตีหน่วยยานเกราะของเยอรมันจนถอยร่นกลับไปยังจุดเริ่มต้น

ความสำเร็จในห้วงเวลาสั้นๆ ของการรุกที่เมืองเมย์เจลในครั้งนี้เป็นสิ่งที่จุดประกายให้ฮิตเลอร์เกิดแนวความคิดว่า เยอรมันยังไม่แพ้ การรุกตอบโต้ที่รุนแรงตามรูปแบบการรบแบบสายฟ้าแลบของเยอรมันยังสามารถเอาชนะข้าศึกได้ เขาจึงวางแผนการรุกกลับของกองทัพเยอรมันโดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมืองท่า "แอนท์เวอร์ป" (Antwerp) ของประเทศเบลเยี่ยม แผนการดังกล่าวจะใช้กองกำลังรถถังและยานเกราะจากกองทัพยานเกราะที่ 6 เข้าตีแนวหน้าของสหรัฐฯ ทางตอนเหนือและกองทัพยานเกราะที่ 5 เข้าเจาะทางตอนกลางแนวตั้งรับของสหรัฐฯ ซึ่งการรุกของเยอรมันจะเคลื่อนที่ผ่านป่าอาร์เดนส์ (Ardennes) อันรกทึบและทุรกันดาร

เยอรมันพยายามรวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายเพื่อการรุกในครั้งนี้ ประกอบด้วยกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 1 ลีปสตานดาร์ด กองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 2 กองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 9 โฮเฮนสเตาเฟนและกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 12 ฮิตเลอร์จูเกน นอกจากนี้ยังมีกองพลยานเกราะที่ 116 และกองพลยานเกราะที่ 2 ของกองทัพบกเป็นหัวหอกในการรุก รวมทั้งมีกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 10 ฟรุนด์แบร์กและกองพลยานเกราะที่ 21 เป็นกำลังหนุน ฮิตเลอร์สั่งรวบรวมรถถังและยานเกราะทั้งหมดที่มีอยู่ได้เป็นจำนวนถึง 950 คันเพื่อใช้เป็นกำลังหลักในการรุก ซึ่งในจำนวนนี้มีรถถังรุ่นใหม่ล่าสุดคือรถถังแบบไทเกอร์ 2 (Tiger II) หรือที่มีฉายาว่า "คิง ไทเกอร์" (King Tiger) ที่เป็นตำนานของสุดยอดรถถังแห่งยุคจำนวน 52 คันรวมอยู่ด้วย

การรุกเปิดฉากขึ้นในรุ่งอรุณของวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 เมื่อรถถังคิง ไทเกอร์จำนวน 30 คันของกองพันรถถังหนักเอสเอส ที่ 501 (501st SS Heavy Tank Battalion) ของเยอรมันติดตามด้วยทหารราบเคลื่อนที่เข้าตีแนวหน้าของทหารสหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านของทหารสหรัฐฯ ที่ด้อยประสบการณ์ แม้รถถังคิง ไทเกอร์จะทรงอานุภาพเพียงใด แต่เมื่อพื้นที่การรบเต็มไปด้วยไหล่เขาลาดชัน และป่าที่หนาทึบได้ทำให้ประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ของมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามในช่วง 2 วันแรกของการรบ เยอรมันก็สามารถรุกคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว กองพลยานเกราะ "แลฮ์ร" (Lehr Panzer Division) ของเยอรมัน



รถถังคิงไทเกอร์ ถูกทำลายที่บาสตองน์ 
จะเห็นรถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมนของสหรัฐฯ ทางขวามือของภาพ



จนกระทั่งในวันที่ 22 ธันวาคม กองทัพเยอรมันก็เข้าโอบล้อมเมืองบาสตองน์ (Bastogne) และกองพลยานเกราะที่ 2ก็พยายามเข้ายึดคลังน้ำมันของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่บริเวณริมสะพานข้ามแม่น้ำเมอส (Meuse) แม้จะอยู่ห่างจากคลังน้ำมันเพียง 6 กิโลเมตรแต่กองพลยานเกราะที่ 2 ก็ไม่สามารถยึดคลังน้ำมันซึ่งจะใช้สำหรับรถถังและยานเกราะในการรุกต่อไปได้

ขณะเดียวกันฝ่ายสัมพันธมิตรก็เริ่มตอบโต้และในวันต่อมาเมฆหมอกที่ปกคลุมท้องฟ้าเหนือสมรภูมิซึ่งเป็นอุปสรรคต่อฝูงบินสหรัฐฯ ก็เริ่มจางหายไป ทำให้รถถังและยานเกราะของเยอรมันถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก ประกอบกับการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ในที่สุดในวันที่ 24 ธันวาคมเยอรมันก็ตกเป็นฝ่ายรับและเริ่มล่าถอยท่ามกลางความสูญเสียอย่างหนัก

และในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ.1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรก็โจมตีกองทัพยานเกราะที่ 5 ของเยอรมันในทุกๆ ด้านจนต้องล่าถอยออกจากพื้นที่ป่าอาร์เดนส์ ผลจากการรบในครั้งนี้ทำให้เยอรมันต้องสูญเสียทหารไปถึง 120,000 คน รถถังและยานเกราะเป็นจำนวนกว่า 600 คัน ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้เยอรมันสูญเสียทรัพยากรสงครามเกือบทั้งหมดและทำให้แนวรบด้านรัสเซียมีความเปราะบางอย่างมาก เนื่องจากถูกดึงกำลังทหารและกำลังรถถังไปเสริมในการรบดังกล่าว จนรัสเซียสามารถเข้ายึดโปแลนด์ได้อย่างไม่ยากเย็น นับจากนี้ความพ่ายแพ้ของเยอรมันได้กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว

ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์สั่งให้ดึงกองทัพยานเกราะเอสเอส ที่ 6 ซึ่งมีรถถังและยานเกราะอยู่จำนวนหนึ่งจากแนวรบด้านฝรั่งเศสเพื่อไปเสริมแนวรบในประเทศฮังการี พร้อมๆ กับความพยายามในการก่อตั้งกองทัพน้อยยานเกราะขึ้นมาใหม่ คือ กองทัพน้อยยานเกราะที่ 24 และกองทัพน้อยยานเกราะ "กรอสส์ดอยช์ลันด์" (Grossdeutschland) เพื่อเตรียมการรับมือกับการรุกครั้งใหญ่ของกองทัพรัสเซียซึ่งประกอบไปด้วยกำลังทหาร 163 กองพลและรถถังอีกเป็นจำนวนถึง 7,042 คัน ในขณะที่เยอรมันมีรถถังและยานเกราะอื่นๆ อยู่เพียง 1,136 คันเท่านั้น

ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1945 รัสเซียเปิดฉากรุกครั้งใหญ่บริเวณแม่น้ำ "วิสทูรา" ของโปแลนด์ การรุกเป็นไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากรัสเซียมีกำลังที่เหนือกว่าอย่างมาก ทหารรัสเซียได้ใช้ยุทธวิธีการรบแบบสายฟ้าแลบที่เยอรมันเคยประสบความสำเร็จในช่วงต้นของสงครามมาแล้ว โดยรถถังของรัสเซียจะใช้ความเร็วแล่นเจาะแนวตั้งรับของทหารราบเยอรมันเข้าไปอย่างรวดเร็วและเจาะลึกเข้าไปจนถึงส่วนบังคับบัญชาของแต่ละหน่วย ก่อนที่จะโอบล้อมและตัดขาดทหารราบออกจากกองบัญชาการของพวกเขา ส่งผลให้ทหารเยอรมันอยู่ในสภาพสับสนเพราะขาดการบังคับบัญชาและการติดต่อสื่อสารกับหน่วยข้างเคียง ก่อนที่รถถังและทหารราบรัสเซียจะเข้าบดขยี้ทหารเยอรมันในวงล้อมนั้นจนหมดสิ้น

ด้วยยุทธวิธีดังกล่าวทำให้กองทัพรัสเซียสามารถเคลื่อนที่รุกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ กองทัพยานเกราะที่ 4 ของเยอรมันก็ถูกโจมตีจนได้รับความบอบช้ำ แต่อีก 1 สัปดาห์ต่อมากองทัพน้อยยานเกราะ กรอสส์ดอยช์ลันด์ และกองทัพน้อยที่ 24 ที่อ่อนล้าและมีรถถังเพียงบางส่วนก็รุกตอบโต้กองทัพรัสเซีย และสามารถตัดขาดกองทัพรถถังโซเวียตที่ 4 ออกจากกำลังส่วนใหญ่

แต่เนื่องจากกองทัพน้อยทั้งสองของเยอรมันอ่อนแอเกินไปจึงทำให้ทหารรัสเซียฝ่าวงล้อมออกมาได้และจัดแนวรุกขึ้นใหม่ เป็นเวลาเดียวกับที่กองพลยานเกราะที่ 8 และกองพลทหารราบยานเกราะ "ฟูเรอห์" เดินทางมาถึง และร่วมกันเข้าตีแนวหน้าของรัสเซียอย่างรุนแรง ส่งผลให้กองทัพรถถังโซเวียต ที่ 3 และกองทัพรถถังโซเวียตที่ 4 ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะกองทัพรถถังโซเวียตที่ 3 นั้นถูกทำลายอย่างหนักจนเกือบสิ้นสภาพความเป็นกองทัพรถถังเลยทีเดียว

เมื่อได้รับชัยชนะ หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็พยายามรุกต่อไป แต่ด้วยความขาดแคลนทั้งกำลังพลและรถถัง ทำให้กองทัพรัสเซียเป็นฝ่ายรุกตอบโต้กลับมาอีก โดยเฉพาะในวันที่ 14 มีนาคม กองทัพยูเครเนียน-โซเวียต ที่ 4 เปิดฉากรุกใส่กองทัพยานเกราะที่ 4 ที่อ่อนระโหยโรยแรงเต็มที แต่โชคยังเข้าข้างเยอรมันอยู่บ้างที่กองพลยานเกราะ ที่ 16 สังกัดกองทัพน้อยยานเกราะ ที่ 24 เดินทางมาถึงและสามารถนำกำลังพลของกองทัพยานเกราะ ที่ 4 ฝ่าวงล้อมของทหารรัสเซียออกมาได้ พร้อมๆ กับรวบรวมกำลังที่เหลือรุกเข้าใส่ทหารรัสเซียจนได้รับความสูญเสียอย่างหนักและต้องชะลอแผนการบุกลงเพื่อปรับกำลังใหม่

อย่างไรก็ตามกระแสน้ำแห่งชัยชนะในสงครามไม่มีวันหวนกลับมาสู่เยอรมันอีกต่อไปแล้ว กองทัพรัสเซีย กองทัพสหรัฐฯ และสัมพันธมิตรยังคงรุกเข้ามายังดินแดนเยอรมันอย่างไม่หยุดยั้ง ในกลางเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 เยอรมันรวบรวมรถถังและยานเกราะหลากชนิดที่หลงเหลืออยู่จำนวนไม่เกิน 25 คัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการฝึก

ส่วนกำลังพลประจำรถก็จัดจากโรงเรียนทหารต่างๆ จัดตั้งเป็นกองพลยานเกราะ คลอสวิทซ์ (Panzer Division Clausewitz) และเข้าตีกองทัพสหรัฐฯ ที่กำลังรุกเข้ามาแม่น้ำ "เอลเบ" (Elbe) แม้ว่าในช่วงแรกทหารเยอรมันจะเริ่มต้นได้ดีด้วยการหยุดยั้งทหารอเมริกันได้ แต่เมื่อกำลังหนุนของสหรัฐฯ มาถึง กองพลยานเกราะ คลอสวิทซ์ ก็ตกอยู่ในวงล้อมและแม้จะต่อสู้อย่างหลังชนฝา ทหารเยอรมันทั้งหมดก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นในวันที่ 21 เมษายน

ขณะเดียวกันกองทัพรัสเซียก็เคลื่อนที่เข้าสู่กรุงเบอร์ลินผ่านทางแม่น้ำ โอเดอร์ แต่หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็ยังไม่สิ้นเขี้ยวเล็บ ในวันที่ 16 เมษายน รถถังแพนเธอร์ ของกรมยานเกราะเอสเอส ที่ 11 และรถถังไทเกอร์ของกองพันรถถังหนักเอสเอส ที่ 503 ได้ซุ่มโจมตีกรมรถถังของรัสเซียที่เคลื่อนที่เข้ามาย่ามใจ เป็นผลให้รถถังรัสเซียจำนวนกว่า 50 คันถูกทำลายลง พร้อมๆ กับที่กองพลยานเกราะ มุนช์แบร์ก ก็ซุ่มโจมตีกรมรถถังของรัสเซียอีกกรมหนึ่งที่เมือง ดีเดอร์ ทำให้รถถังนับสิบคันของรัสเซียถูกทำลาย รวมทั้งกองพันรถถังหนักเอส เอส ที่ 502 ก็โจมตีกองทัพน้อยการ์ด ที่ 8 ของรัสเซียจนแทบละลายทั้งกองพัน

ชัยชนะเหล่านี้แม้จะเป็นชัยชนะในช่วงเวลาสุดท้าย แต่ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของหน่วยยานเกราะเยอรมันได้เป็นอย่างดี พวกเขาต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของพวกเขาแม้จะตระหนักดีว่า ไม่มีคำว่าชัยชนะสำหรับเยอรมันอีกต่อไปแล้ว ในช่วงสุดท้ายของการรบในกรุงเบอร์ลินก่อนสิ้นสุดสงคราม มีรถถังของเยอรมันหลงเหลืออยู่ไม่ถึง 70 คันพร้อมด้วยรถปืนใหญ่อัตตาจรชุดสุดท้ายจำนวน 31 คันของกองพลยานเกราะ มุนช์แบร์ก, กองพลน้อยรถปืนใหญ่อัตตาจร ที่ 249, กองพลทหารราบยานเกราะที่ 18 และกองพลทหารราบยานเกราะที่ 25 ที่ยังคงต่อสู้กับกองทัพรถถังรัสเซียที่เคลื่อนที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะกองพลน้อยรถปืนใหญ่อัตตาจร ที่ 249 นั้นได้เดินทางมาจากนอกกรุงเบอร์ลินและฝ่าวงล้อมทหารรัสเซียเข้าไปร่วมต่่อสู้กับทหารเยอรมันหน่วยอื่นๆ ในเมือง ทหารเยอรมันต่อสู้อย่างเหนียวแน่นจะกระทั่งเหลือรถปืนใหญ่อัตตาจรเพียง 9 คันที่ยังคงปักหลักอยู่ในบริเวณโรงเรียนมัธยมเบอร์ลินซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้าย

จนกระทั่งในคืนวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 ข่าวการฆ่าตัวตายของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก็เผยแพร่ออกมา ทหารยานเกราะของกองพลน้อยปืนใหญ่อัตตาจร ที่ 249 พร้อมรถปืนใหญ่อัตตาจรที่เหลืออยู่เพียง 3 คันก็ตัดสินใจฝ่าวงล้อมของทหารรัสเซียเพื่อต้องการไปยอมจำนนต่อทหารสหรัฐฯ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของกรุงเบอร์ลิน แต่รถทั้งสามคันก็ถูกรถถังรัสเซียยิงทำลายอย่างรวดเร็วเมื่อเคลื่อนที่ผ่านบริเวณเขต สแปนเดา

อย่างไรก็ตามพลประจำรถที่เหลืออยู่ส่วนหนึ่งซึ่งรวมทั้งผู้บัญชาการกองพลน้อยปืนใหญ่อัตตาจร ที่ 249 สามารถเล็ดรอดผ่านแนวของทหารรัสเซียออกไปมอบตัวต่อทหารสหรัฐฯ ได้ในที่สุด และในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 กรุงเบอร์ลินก็ถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซีย การต่อต้านของหน่วยยานเกราะเยอรมันก็ยุติลงพร้อมๆ กับการปิดฉากความยิ่งใหญ่และห้าวหาญของหน่วยยานเกราะเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สองอย่างสมบูรณ์





 

Create Date : 05 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2556 10:57:18 น.
Counter : 7689 Pageviews.  

พลร่มนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง

หน่วยพลร่มของนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง

ลงพิมพ์ในนิตยสาร TOPGUN ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ.2555

โดย

พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ

Master of International Relations (with merit)

Victoria University of Wellington, New Zealand

(สงวนลิขสิทธิ์ในการทำซ้ำหรือเผยแพร่เพื่อการพาณิชย์ ให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเท่านั้น เนื่องจากกำลังตีพิมพ์รวมเล่มเป็นพ๊อคเก๊ตบุ๊ค)




หน่วยพลร่มของเยอรมัน (Fallschirmjager) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ถือว่าเป็นหน่วยรบที่มีประสิทธิภาพสูงมากที่สุดหน่วยหนึ่งของกองทัพนาซีเยอรมัน ซึ่ง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมันมีความชื่นชมในความสามารถของทหารหน่วยพลร่มเป็นอย่างมาก อาจจะเรียกได้ว่าชื่นชมไม่ด้อยไปกว่าทหารหน่วย “เอส เอส” (SS – SchutzStaffel) ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษประจำตัวของฮิตเลอร์เอง (คำว่า “ฟอลชริมเจเกอร์” (fallschirmjager) ในภาษาเยอรมันแปลว่า "นักล่าจากท้องฟ้า" (hunters from the sky))




หน่วยพลร่มนี้ขึ้นตรงกับกองทัพอากาศนาซีเยอรมันหรือ “ลุฟวาฟ” (luftwaffe) ซึ่งต่างจากกองทัพสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ที่หน่วยพลร่มมักจะขึ้นตรงกับกองทัพบกมากกว่า โดยหน่วยพลร่มหน่วยแรกของเยอรมันถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1938 เริ่มต้นจากการรวบรวมกองพันทหารพลร่มต่างๆ มาเป็นกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 (7 Flieger Division) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1938 เป็นเวลาสองปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะอุบัติขึ้น

กองพลนี้ประกอบด้วยกรมทหารพลร่มจำนวน 3 กรม ต่อมาได้รับการปรับเป็นกองพลพลร่มที่ 1 (1st Parachute Division) โดยผู้บัญชาการกองพลคนแรกคือพลตรีเคิร์ท สตูเด้นท์ (Kurt Student) ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนพลที่จอมพลแฮร์มาน เกอริง (Hermann Goering) ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมันไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง

ความชื่นชมที่ฮิตเลอร์มีต่อหน่วยทหารพลร่มนี้ เกิดขึ้นมาจากความสามารถอันโดดเด่นของพวกเขาในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะการกระโดดร่มเข้าโจมตีประเทศต่าง ๆ เช่น เดนมาร์ก นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1940

โดยเฉพาะที่เดนมาร์กนั้น ถือเป็นการปฏิบัติการรบครั้งแรกของหน่วยพลร่มเยอรมัน ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1940 ที่ทหารพลร่มเยอรมันจู่โจมเข้ายึดสนามบิน Aarhus นอกจากนี้ยังเข้าทำลายแนวต้านทานของเบลเยี่ยม ที่ป้อม “อีเบน อีเมล” (Eben Emael) ได้อย่างรวดเร็วในรุ่งอรุณของวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 โดยทหารพลร่มที่เข้าโจมตีป้อมแห่งนี้เป็นกำลังพลที่จัดจากจาก กองพันที่ 1 กรมพลร่มที่ 1 (1st Battalion, 1st Parachute Regiment)






ส่วนทหารช่างที่ข้ามเครื่องกีดขวางเข้าไปสมทบกับทหารพลร่ม จัดจาก กองร้อยทหารช่าง กองพันที่ 2 กรมพลร่มที่ 1 (Pioneer company, 2nd Battalion, 1st Parachute Regiment) การโจมตีเริ่มขึ้นจากทหารพลร่มเยอรมันส่วนหนึ่งจำนวน 85 นายใช้เครื่องร่อน 11 ลำเป็นพาหนะ ร่อนลงบนหลังคาของเป้าหมายต่างๆ จากนั้นก็ใช้ระเบิดแรงสูงขว้างเข้าไปในป้อมทีละป้อม จนป้อมต่างๆ ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ความสำเร็จในการทำลายป้อมอีเบน อีเมลเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วว่า หน่วยทหารพลร่ม (หรือที่ทางสหรัฐอเมริกาใช้คำว่า หน่วยส่งทางอากาศ - Airborne) เป็นหน่วยทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโลกหน่วยหนึ่งในขณะนั้น

การรบครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของหน่วยพลร่มเยอรมันคือการรบที่เกาะครีต (Crete) ซึ่งเยอรมันใช้เครื่องบินลำเลียงจำนวน 493 ลำ เครื่องร่อน 72 ลำ นำพลร่มเข้าสู่ที่หมายในครีต นอกจากเครื่องบินลำเลียงแล้ว ยังมีเครื่องทิ้งระเบิด 228 ลำ เครื่องดำดิ่งทิ้งระเบิด 245 ลำ และเครื่องบินขับไล่ 233 ลำ และเครื่องบินตรวจการณ์อีก 50 ลำ รวมทั้งสิ้นกว่า 700 ลำ เข้าร่วมในการรุกครั้งนี้ด้วย

การยึดเกาะครีตเป็นการรุกที่ใช้กำลังพลร่มเป็นหัวหอกเปิดฉากขึ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 โดยใช้กำลังพลจากกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 เป็นกำลังหลัก สนับสนุนโดยทหารราบอีก 3 กรมทหารราบ นับว่าเป็นการปฏิบัติการโดยการใช้กำลังทหารพลร่มครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพเยอรมัน ทหารพลร่มเยอรมันกระโดดร่มลงจากเครื่องบินสู่เกาะครีตที่มีกำลังทหารสัมพันธมิตรมากกว่าทหารเยอรมันถึงสองเท่า คือมีจำนวนถึง 42,500 คน ประกอบด้วยทหารออสเตรเลีย 6,450 คน ทหารนิวซีแลนด์ 7,700 คน ที่เพิ่งถอยทัพมาจากประเทศกรีซ และยังมีทหารกรีกอีกกว่าหนึ่งหมื่นคน รวมทั้งทหารอังกฤษอีกจำนวนหนึ่ง ทหารนิวซีแลนด์คนหนึ่งกล่าวถึงการบุกของพลร่มเยอรมันในวันนั้นว่า “.. ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเครื่องบินเยอรมัน บินลำต่อลำ เป็นแนวยาวจากขอบฟ้าหนึ่งไปยังอีกขอบฟ้าหนึ่ง เหมือนฝูงนกที่กำลังอพยพไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ..”

ทหารเยอรมันจำนวนมากกระโดดร่มออกจากเครื่อง และถูกทหารสัมพันธมิตรสังหารขณะที่ไม่มีทางต่อสู้หรือไม่มีทางป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะขณะที่กำลังลอยอยู่กลางท้องฟ้าภายใต้ร่มชูชีพสีขาว พลตรีอูเกน มายน์ดัล (Eugen Meindl) ผู้บังคับหน่วยพลร่มเยอรมันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนลงถึงพื้น จนไม่สามารถบัญชาการรบได้ ทหารเยอรมันลงสู่พื้นทุกหนทุกแห่ง บางแห่งพวกเขาก็เริ่มทำการรบกับทหารสัมพันธมิตรโดยปราศจากผู้นำ เนื่องจากผู้บังคับหน่วยเสียชีวิต บาดเจ็บหรือพลัดหลงจากหน่วยของตน






สนามบินที่ Maleme ถูกพลร่มเยอรมันเข้ายึดอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้จากความกล้าหาญของนักบินประจำเครื่องบินลำเลียงแบบ จุงเกอร์ เจยู 52 จำนวนหนึ่ง ที่นำเครื่องบินฝ่ากระสุนปืนนานาชนิดร่อนลงจอดฉุกเฉินบริเวณสนามบิน ก่อนที่พลร่มที่อยู่ในเครื่องแต่ละลำจะกรูกันออกจากเครื่องและกระจายกำลังกันเข้ายึดสนามบินได้

ในช่วงแรกของการรบ เยอรมันไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้มากนัก จนกระทั่งกำลังสนับสนุนส่วนใหญ่เดินทางมาถึงนำโดยกองพลภูเขาที่ 5 ทำให้ฝ่ายเยอรมันเป็นฝ่ายได้เปรียบในการรบ การรบดำเนินไปอย่างนองเลือดเป็นเวลาถึง 10 วัน จนทหารสัมพันธมิตรซึ่งอยู่ใต้การบังคับบัญชาของพลตรีเบอร์นาร์ด ฟรายเบิร์ค (Bernard Freyberg) ผู้บัญชาการของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงเกาะครีตได้เพียง 3 สัปดาห์ก่อนการบุกของเยอรมัน จะยอมแพ้อย่างเด็ดขาดในวันที่ 30 พฤษภาคม และทหารสัมพันธมิตรที่เหลือก็ล่าถอยจากเกาะครีตไปทั้งหมด

แม้อังกฤษจะพยายามอย่างมากในการสกัดกั้นกำลังหนุนของเยอรมัน ซึ่งเป็นทหารราบจากกรมทหารราบอีก 3 กรม เพื่อโดดเดี่ยวทหารพลร่มบนเกาะ แต่กองทัพอากาศเยอรมันก็ทำลายกองเรือของอังกฤษที่วางกำลังสกัดกั้นเรือลำเลียงที่จะลำเลียงทหารราบเยอรมันจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเยอรมันสามารถจมเรือประจัญบานและเรือขนาดใหญ่ของอังกฤษได้ 6 ลำ อีก 2 ลำได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทำให้ทหารราบเยอรมันที่เป็นกำลังหนุนสามารถยกพลขึ้นบกที่เกาะครีตได้ และเข้าร่วมกับทหารพลร่มเยอรมัน ทำการกวาดล้างทหารสัมพันธมิตรที่หลงเหลืออยู่จนยอมแพ้ในที่สุด

เยอรมันประสบชัยชนะในการรบที่เกาะครีตท่ามกลางความสูญเสียอย่างหนักของทั้งสองฝ่าย โดยทหารสัมพันธมิตรเสียชีวิต 1,800 คน ถูกจับเป็นเชลย 12,000 คน ทหารเรืออังกฤษเสียชีวิต 1,828 คน บาดเจ็บ 183 คน ถอยไปได้อย่างปลอดภัย 18,000 คน ในขณะที่เยอรมันเสียทหารไปถึง 4,000 คน บาดเจ็บ 2,500 คน กำลังพลที่สูญเสียไปเหล่านี้ ล้วนเป็นทหารชั้นยอดที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี และไม่สามารถทดแทนได้ในระยะเวลาอันจำกัด ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้เยอรมันไม่เคยใช้หน่วยพลร่มเป็นหัวหอกในการรุกครั้งใหญ่อีกเลย

ตามข้อเท็จจริงแล้ว สัมพันธมิตรทราบล่วงหน้าถึงแผนการบุกของฝ่ายเยอรมัน ก่อนหน้านี้แล้ว อันเป็นผลมาจากการถอดรหัสอีนิกม่า (Enigma) ของฝ่ายเยอรมันได้จึงตอบโต้อย่างรุนแรง แต่เนื่องจากทหารสัมพันธมิตรอยู่ในสภาพที่ขาดแคลน อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ยานยนต์อย่างมากมาย เพราะต้องถอยร่นมาจากกรีกในสภาพที่แตกกระสานซ่านเซ็น ทำให้ทหารสัมพันธมิตรที่มีจำนวนมากกว่าเยอรมันผู้รุกรานถึงสองเท่า ไม่สามารถต้านทานได้

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ได้มีการวิเคราะห์ถึงการสูญเสียอย่างมากของทหารพลร่มเยอรมัน ในการรบที่เกาะครีต การวิเคราะห์พบว่า การใช้พลร่มเป็นกำลังหลักในการรุกนั้นจำเป็นจะต้องกระทำด้วยความรวดเร็ว ฉับพลัน โดยที่ข้าศึกไม่รู้ตัวมาก่อน เนื่องจากการส่งทางอากาศขนาดใหญ่มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียสูงมากหากข้าศึกทราบล่วงหน้า เหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นกับฝ่ายสัมพันธมิตรในการส่งทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ในยุทธการมาร์เก็ต การ์เดนในประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1944 ซึ่งก็จบลงด้วยความสูญเสียขนาดใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นเดียวกัน






ห้วงต่อมาของสงครามโลกครั้งที่สอง คือปี ค.ศ. 1940-1944 ทหารพลร่มเยอรมัน ได้ทำการรบในสมรภูมิต่าง ๆ ทุกสมรภูมิ ด้วยความกล้าหาญ เคียงข้างกับทหารราบ และทหารหน่วยอื่น ๆ ของกองทัพเยอรมัน เป็นการรบที่สร้างชื่อเสียงให้กับเหล่าทหารพลร่มเยอรมัน จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหน่วยรบชั้นยอด (Elite Force) ของสงครามโลกครั้งที่ 2 หน่วยหนึ่ง

ในช่วงปี ค.ศ. 1943 หน่วยพลร่มเยอรมันได้เข้าทำการรบในประเทศตูนีเซีย โดยทหารพลร่มเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นทหารที่ทำการรบในทวีปแอฟริกา ในนามของหน่วย “แอฟริกา คอร์” (Afrika Korps) ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจอมพล “เออร์วิน รอมเมล” (Erwin Rommel) อันลือชื่อ และหลังจากความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมันในแอฟริกาที่เอล อลาเมนแล้ว หน่วยแอฟริกา คอร์ ก็ย้ายมาทำการรบที่ตูนีเซีย ก่อนจะพบจุดจบทั้งหน่วยด้วยการพ่ายแพ้ต่อสัมพันธมิตร เป็นการปิดตำนานความกล้าหาญของหน่วยแอฟริกา คอร์ โดยเฉพาะกองพลยานเกราะที่ 21 (21st Panzer Division) อันโด่งดัง และหน่วยพลร่มที่ร่วมอยู่ในแอฟริกา คอร์นี้ด้วย

ในการรบที่ตูนีเซียนอกจากจะมีหน่วยพลร่มที่ถอยร่นมาจากแอฟริกาแล้ว ก็ยังทหารพลร่มของเยอรมันที่เดินทางมาจากประเทศอิตาลี ทหารพลร่มเหล่านี้เพิ่งเดินทางมาจากประเทศอิตาลี เพื่อสกัดกั้นการรุกเข้ามาของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยฝ่ายเยอรมันมีกำลังพลทั้งหมดกว่า 60,000 คน ประกอบด้วย ทหารเยอรมัน 47,000 คน ทหารอิตาลี 18,000 คน จัดกำลังเป็นกองทัพยานเกราะที่ 5 (5th Panzerarmee) ภายใต้การนำของพลเอกฮันส์ เจอร์เก้น ฟอน อาร์นิม (Hans Jurgen von Arnim)

กำลังเหล่านี้จะสมทบกับกำลังของหน่วยแอฟริกา คอร์ ของจอมพลเออร์วิน รอมเมล ที่ถอยมาจากแอฟริกา
ในขณะที่กำลังฝ่ายสัมพันธมิตร มีกำลังประมาณ 110,000 คน ส่วนใหญ่เป็นทหารสหรัฐอเมริกา ทำการรุกภายใต้ชื่อแผนยุทธการในการบุกครั้งนี้ว่า Torch ซึ่งการรุกของสัมพันธมิตรในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และชื่อของนายพล จอร์จ เอส แพทตัน (George S. Patton) ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์นับจากนั้นมาเนื่องจากนายพลแพทตันเป็นผู้บัญชาการกองพลน้อยที่ 2 ที่ยกพลขึ้นที่ซิซิลี และได้สร้างผลงานในการบัญชาการรบที่นี่ไว้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเอาชนะกองทัพเยอรมันได้ แม้กำลังพลของเยอรมันส่วนใหญ่จะล่าถอยไปได้ แต่ก็ทำให้โฉมหน้าของสงครามในแอฟริกาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง






นอกจากนี้ในช่วงปี ค.ศ. 1943 เป็นต้นไป กองทัพอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถครองอากาศได้เกือบทั้งหมด ประกอบกับยุทธวิธีของนาซีเยอรมันเปลี่ยนจากการรุกเป็นการตั้งรับในทุกแนวรบ พลร่มเยอรมันแทบจะหมดโอกาสในการกระโดดร่มลงยึดที่หมายอย่างฉับพลัน ตามหลักการรบแบบสายฟ้าแลบของนาซีเยอรมัน ทหารหน่วยนี้ก็ต้องเปลี่ยนมาทำการรบแบบทหารราบทั่วไป แต่ประสิทธิภาพในการรบก็ยังคงเป็นที่น่าเกรงขามสำหรับทหารฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่เช่นเดิม

ดังเช่นการรบที่แอนซิโอ (Anzio) และมองเต คาสิโน (Monte Casino) ในประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1944 ที่กำลังพลของหน่วยพลร่มเยอรมัน ได้สร้างความเสียหายให้กับทหารอังกฤษ และสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในการรบที่มองเต คาสิโน นั้น กองพลพลร่มที่ 1 (1st Fallschirmjager Division) ซึ่งเดิมคือกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 นั่นเอง ได้ทำการรบแบบทหารราบ โดยดัดแปลงที่มั่นที่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทั้งทางอากาศ และอาวุธหนัก เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง พวกเขาสามารถต้านทานการรุกของสัมพันธมิตรได้นานนับเดือน และเนื่องจากทหารเหล่านี้สวมใส่ชุดคลุมสีเขียว จึงได้รับการตั้งฉายาจากทหารฝ่ายสัมพันธมิตรว่า ปีศาจสีเขียว (Green Devils)

การรบที่มองเต คาสิโนนี้ ทหารพลร่มเยอรมันต้องพบกับพลตรีฟรายเบิร์ค ผู้บัญชาการทหารสัมพันธมิตรที่ต้องพ่ายแพ้ต่อเยอรมันในเกาะครีต ที่กลับมาบัญชาการทหารสัมพันธมิตรอีกครั้งในการบุกเข้าอิตาลี แต่ต้องพบกับการต้านทานอย่างเด็ดเดี่ยวที่มองเตคาสิโน ฝูงบินสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดถล่มศาสนสถานและเมืองจนกลายเป็นซากปรักหักพัง แต่ทหารพลร่มเยอรมันก็อาศัยซากปรักหักพังเหล่านี้ เป็นป้อมปราการในการป้องกันที่มั่นของตน

สมรภูมิที่คาสิโนสร้างความเสียหายให้กับทหารสัมพันธมิตรเป็นอย่างมาก ทหารสหรัฐอเมริกาต้องเสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหายไปกว่า 22,000 คน ซึ่งเท่า ๆ กับยอดผู้สูญเสียฝ่ายอังกฤษ ในขณะที่ทหารเยอรมันกลับสูญเสียเพียงเล็กน้อย และสามารถล่าถอยไปได้ ก่อนที่กองกำลังฝรั่งเศสจะสามารถเข้ายึดมองเต เมโจ (Monte Majo) ซึ่งอยู่รอบๆ มองเต คาสิโนได้ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 และในที่สุดกองกำลังโปแลนด์ก็ยึดมองเต คาสิโน ได้ในวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1944






ภายหลังจากความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมันในแอฟริกาและอิตาลี การรบครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่ทหารพลร่มเยอรมันได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากก็คือการรบเพื่อต่อต้านการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่หาดนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 หรือที่รู้จักกันในชื่อ วันดี เดย์ (D Day) โดยหน่วยพลร่มที่ทำการรบที่นอร์มังดีประกอบด้วย กองทัพน้อยพลร่มที่ 1 กองทัพน้อยพลร่มที่ 2 กองพลพลร่มที่ 2 กองพลพลร่มที่ 3 และกองพลพลร่มที่ 5 รวมทั้งกรมพลร่มที่ 6 ที่ทำการรบที่คาเรนแทน (Carentan) ซึ่งปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง “Band of Brother”

กำลังพลของหน่วยพลร่มเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 17 ปี เท่านั้น พวกเขาถูกนำมาฝึกทดแทนกำลังพลที่สูญเสียไป ทหารเหล่านี้ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญ ในการต้านทานการบุกขึ้นฝั่งของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่เนื่องจากขาดแคลนการสนับสนุนในทุก ๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหนัก ยานเกราะ ซึ่งล้วนตกเป็นเหยื่อของเครื่องบินสัมพันธมิตร ทหารพลร่มของเยอรมันจำนวนมาก เสียชีวิตในการรบที่นอร์มังดีแห่งนี้

ภายหลังจากความสูญเสียครั้งใหญ่ของทหารพลร่มในการรบที่นอร์มังดีแล้ว ฮิตเลอร์ก็ยังไม่สิ้นความพยายาม เขาเปิดฉากการรุกอันยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายที่ป่าอาร์เดนส์ (Ardennes) ประเทศเบลเยี่ยม โดยระดมกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นยอดเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ ภายใต้ชื่อยุทธการ Watch on the Rhine เข้าตีหน่วยทหารสหรัฐฯ เพื่อตัดกองทัพน้อยที่ 8 ของสหรัฐอเมริกาออกเป็นช่องว่าง แล้วรุกเข้าสู่แม่น้ำเมิร์ส (Meuse) ก่อนที่จะเข้ายึด “แอนท์เวอร์ป” (Antwerp) เป็นที่หมายสุดท้าย

กำลังพลของเยอรมันที่เข้าร่วมรบในครั้งนี้มีจำนวนสูงถึง 200,000 คน ภายใต้การนำของจอมพลเกิร์ด ฟอน รุดสเท็ดท์ (Gerd Von Rundstedt) สำหรับหน่วยพลร่มของเยอรมันที่เข้าร่วมในการรบในสมรภูมิแห่งนี้ ประกอบไปด้วยกำลังพลจากกรมพลร่มที่ 9 (9th Parachute Regiment) ของกองพลพลร่มที่ 3 ซึ่งขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพที่ 15 รุกไปทางทิศเหนือ และกองพลพลร่มที่ 5 เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ 7 ซึ่งกองพลพลร่มที่ 5 สามารถประเดิมชัยชนะให้เยอรมันในการรุกครั้งนี้ภายใต้ชื่อรหัสสตอสเซอร์ (Stosser) โดยสามารถจับเชลยอเมริกันได้กว่า 1,000 คน รถถังแบบ เอ็ม 4 เชอร์แมนอีก 25 คัน

แม้ว่าการรบครั้งนี้จะเป็นการรบแบบทหารราบของทหารพลร่มเยอรมัน แต่ก็ถือว่าเป็นการรบที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามครั้งสุดท้ายของหน่วยพลร่มเยอรมัน แม้ว่าในในท้ายที่สุด ทหารเยอรมันก็ต้องพ่ายแพ้ต่อแสนยานุภาพอันเกรียงไกรของฝ่ายสัมพันธมิตรและไม่สามารถยึดเมืองบาสตอง อีกทั้งยังถูกตีถอยร่นกลับไปในประเทศเยอรมนีอีกครั้ง

การรบในครั้งนี้ทหารพลร่มเยอรมันที่ทำการรบแบบทหารราบ ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก เช่นเดียวกับทหารเยอรมันหน่วยอื่น ๆ ที่เข้าสู่สมรภูมิที่ป่าอาร์เดนส์แห่งนี้ กระแสน้ำแห่งความชัยชนะของเยอรมัน เมื่อครั้งเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีวันไหลกลับมาสู่อาณาจักรไรซ์ที่ 3 อันเกรียงไกรของนาซีเยอรมันอีกต่อไปแล้ว และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1945 กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ของนาซีเยอรมันก็ถูกรัสเซียเข้ายึดครองพร้อมๆ กับการละลายหายไปของกำลังพลคนสุดท้ายของกองพลพลร่มที่ 9ซึ่งถือเป็นหน่วยพลร่มหน่วยสุดท้ายของนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง




 

Create Date : 04 มีนาคม 2555    
Last Update : 25 มิถุนายน 2556 11:17:54 น.
Counter : 9200 Pageviews.  

การแต่งกายของทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ตอนที่ 2)

จากหนังสือ German Soldiers of World War Two เขียนโดย Jean DE LAGARDE




แปลและเรียบเรียงโดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ

Master of International Relations (with merit)
Victoria University of Wellington, New Zealand

(สงวนลิขสิทธิ์ในการทำซ้ำ เผยแพร่เพื่อการพาณิชย์ 
หากเป็นการเผยแพร่เพื่อการศึกษา ขอความกรุณาใส่อ้างอิงและที่มาด้วย)





_______________________________________




การแต่งกายของนายทหารประทวน (ผู้บังคับหมู่) กรมทหารราบที่ 916 
ในการรบที่นอร์มังดี ฝรั่งเศส เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944


ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ.1944 หลังการยกพลขึ้นขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรในวันดี เดย์ เมื่อวันที 6 มิถุนายนที่ผ่านมา กำลังพลของกรมทหารราบที่ 916 (916th Infantry Regiment) ซึ่งขึ้นตรงต่อกรมทหารราบที่ 352 (352nd Infantry Division) กองทัพบกเยอรมัน ตั้งแนวเพื่อต้านทานการบุกของทหารสหรัฐอเมริกาที่เมือง แซงท์ จอร์ช เดอ เอลเล่ (Saint-Georges d'Elle) โดยทำการดัดแปลงที่มั่นอย่างแข็งแรง ทหารผ่านศึกหน่วยนี้ผ่านการรบมาอย่างโชกโชนในสมรภูมิด้านรัสเซีย กำลังจะปฏิบัติหน้าที่ในการหยุดยั้งการรุกของทหารสหรัฐฯ ในทุกย่างก้าว

หน่วยทหารหน่วยนี้นี่เอง ที่ปรากฏในการรบช่วงแรกของภาพยนตร์เรื่อง Saving Private Ryan โดยทำหน้าที่ในการต่อต้านการยกพลขึ้นบกของทหารสหรัฐฯ บริเวณหาดโอมาฮ่า (Omaha beach) ในรุ่งอรุณของวันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับทหารอเมริกันเป็นอย่างมากก่อนที่จะถูกกวาดล้างด้วยกำลังที่เหนือกว่าจนต้องล่าถอยไปพร้อมกับความสูญเสียอย่างหนัก




นายทหารประทวนกองทัพบกเยอรมันนายนี้สวมหมวกเหล็กแบบ 1943 (Model 1943) ติดตาข่ายลวดสำหรับใช้ในการพรางด้วยกิ่งไม้หรือเศษผ้า และแม้ว่าอากาศในฝรั่งเศสจะร้อนอบอ้าวในห้วงเดือนมิถุนายน แต่เขาก็คลุมด้วยผ้าคลุมลายพราง ซึ่งแท้จริงแล้วคือ ผ้าเต๊นท์ (Zeltbahn) นั่นเอง เพื่อใช้กันฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องและเพื่อใช้ในการพราง

ในการรบที่นอร์มังดี ผ้าคลุมเต๊นท์ดังกล่าวได้รับการยอมรับว่า มีประสิทธิภาพในการพรางสูงมาก เนื่องจากมีโทนสีเขียวและสีน้ำตาลใหม้ที่ใกล้เคียงกับภูมิประเทศในพื้นที่ หรือที่เรียกว่า "โบคาจ" (Bocage)





ภาพด้านหน้าของการแต่งกาย กระเป๋าสีน้ำตาลที่เห็นทางซ้ายของภาพคือ กระเป๋าสำหรับใส่กล้องส่องทางไกล ซึ่งกำลังคล้องคออยู่ ระเบิดมือที่เหน็บอยู่เหนือขึ้นไปเป็นระเบิดมือแบบ โมเดล 24 (Model 24 Stielhandgranate) หรือที่ทหารอังกฤษให้ฉายาว่า "ไม้บดมัน" (Potato smasher)

ปืนกลมือที่เขาถืออยู่คือ ปืนกลขนาด 9 มิลลิเมตร พาราเบลลั่ม (Parabellum) แบบ เอ็มพี 40 มีซองกระสุนซึ่งเย็บเป็นชุด 3 ซองติดกัน สำหรับใส่ซองกระสุน หรือแมกกาซีนขนาด 32 นัด ปืนกลชนิดนี้มีชื่อเสียงมากในสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการผลิตเป็นจำนวนมากถึงกว่า หนึ่งล้านกระบอก มีระยะยิงหวังผล 100 เมตร สำหรับกระเป๋าเล็กที่ติดอยู่กับซองปืนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดปืน เช่น น้ำมันปืน เป็นต้น





ภาพด้านหลังจะสังเกตุเห็นวิธีการบรรทุกสัมภาระส่วนบุคคล กล่องกลมที่อยู่เหนือสุดคือกล่องใส่หน้าการกันแก๊สพิษ ส่วนที่มัดติดอยู่กับกล่องด้วยสายผ้าคือกระเป๋าสำหรับใส่หน้ากาก ซึ่งตามระเบียบการแต่งกายของทหารเยอรมันนั้น กล่องใส่หน้ากากกันแก็สพิษจะสะพายที่หัวไหล่ด้านซ้าย

ขวามือของภาพคือกระติกน้ำที่ฝาสามารถถอดออกมาใช้ใส่อาหารหรือน้ำได้ กระเป๋าผ้าที่อยู่ด้านในสุด เป็นกระเป๋าสำหรับใส่อาหารเช่น ขนมปัง กล่องสีเขียวด้านนอกเป็นกล่องใส่อาหารเช่น ซุป ซ้ายสุดของภาพ จะเห็นพลั่วสนามติดอยู่กับสายเข็มขัด






ในกรณีที่ไม่ได้ใช้ผ้าคลุม จะเห็นการแต่งกายในลักษณะปกติ พลั่วสนามที่นำมาเหน็บด้านหน้า ส่วนใหญ่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการขุด แต่เพื่อใช้เป็นอาวุธในการรบระยะประชิด เนื่องจากปืนกลมือเอ็มพี 40 ไม่สามารถติดดาบปลายปืนได้






ภาพพลั่วสนาม ซองใส่พลั่วสนาม กระเป๋าใส่ซองกระสุนปืนกลเอ็มพี 40 และซองกระสุนขนาด 32 นัด ด้านบนสุดจะเห็นหัวเข็มขัดประจำเครื่องแบบทหารเยอรมัน




การแต่งกายของนายทหารประทวน จะเห็นเสื้อด้านในมีคอปกสีเทา สวมคลุมด้วยเสื้อเครื่องแบบสีเขียว รอบคอปกเสื้อตีขอบด้วยแถบสีเงิน แถบที่บ่าหรือ อินทธนู ขลิบรอบด้วยสีขาว (สีขาวแสดงถึงเหล่าทหารราบ) ดาวสีเงินหนึ่งดวง มักสร้างความสับสนว่า เป็นนายทหารยศร้อยตรี แต่ในความเป็นจริง ในกองทัพเยอรมัน หากเป็นนายทหารยศร้อยตรีขึ้นไป อินทธนูจะเป็นดิ้นเงินทั้งหมด หากเป็นนายพัน (พันตรีขึ้นไปถึงพันเอก) อินทธนูจะเป็นไหมเงินพันเป็นเกลียว ในกรณีทหารคนนี้อินทธนูเป็นพื้นสีเขียว ขลิบสีขาวตามเหล่าทัพ จึงถือว่าเป็นนายทหารประทวน (ยศต่ำกว่าร้อยตรี) ดาวหนึ่งดวงที่ปรากฏแสดงว่าเป็นจ่าสิบตรี

สำหรับหมวกที่สวมใส่เป็นหมวกแก๊ป 2 กระดุม บนสุดเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศ คือ นกอินทรีกางปีกเหยียดตรงเกาะบนเครื่องหมายสวัสดิกะ ถัดลงมาเป็นธงชาติสามสีรูปวงกลม

กรมทหารราบที่ 916 ของกองพลทหารราบที่ 352 ต่อสู้กับทหารสหรัฐฯ อย่างกล้าหาญในพื้นที่เมืองแซงท์ โล (Saint Lo) ในห้วงหลังจากวันดี เดย์ คือ 8 - 9 มิถุนายน แต่ในที่สุดกรมทหารราบที่ 916 และกองพลทหารราบที่ 352 ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทำลายลงจนละลายหายไปหมดสิ้น



__________________________________




การแต่งกายของกำลังพลสังกัดกองพลสนามที่ 17 กองทัพอากาศเยอรมัน หรือ 
ลุฟวาฟเฟอ (17th Luftwaffe Field Division) 
ในการรบที่นอร์มังดี ฝรั่งเศส ค.ศ.1944





ภาพกำลังพลของหน่วยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานของกองพลสนามที่ 17 แต่งกายโดยใส่เสื้อพราง "สมอค์ก" (smock) คลุมทับเสื้อเครื่องแบบปกติสีเทา เสื้อสมอค์กนี้มีกระดุมสีเทา 5 เม็ด ยาวคลุมเกือบถึงหัวเข่า มีกระเป๋าเสื้อใบใหญ่สองใบที่ด้านล่างของเสื้อ ที่หน้าอกด้านขวา หรือทางด้านซ้ายของภาพมีสัญญลักษณ์นกอินทรีกางปีกเหนือสัญญลักษณ์ "สวัสดิกะ" อันเป็นสัญญลักษณ์ของกองทัพอากาศเยอรมัน แขนเสื้อติดกระดุมโลหะเพื่อรัดข้อมือให้กระชับในขณะปฏิบัติงาน

อาวุธที่ใช้คือ ปืนเล็กยาวขนาด 7.92 มิลลิเมตร (รัสเซียใช้ขนาด 7.62 มิลลิเมตร) แบบ คาราไบเนอร์ 98 หรือ คาร์ 98 (Kar 98) ซึ่งมีระยะยิงหวังผล 500 เมตร บรรจุกระสุนครั้งละ 5 นัด บริเวณเข็มขัดมีกระเป๋าใส่ซองกระสุนสำหรับปืนเล็กยาวติดอยู่ทั้งสองด้าน





ภาพแสดงด้านหลังจะเห็นดาบปลายปืน แบบ เอส 84/98 สาม (S84/98 III) สำหรับปืนเล็กยาว กล่องใส่หน้ากากกันแก๊สพิษ กล่องสังกะสีใส่อาหารสีเขียว ถุงผ้าใส่ขนมปังและกระติกน้ำ






ภาพใกล้ของสัมภาระต่างๆ จะเห็นสายเกี่ยวของอุปกรณ์ต่างๆ ให้ยึดติดกับเข็มขัดสีน้ำตาล ส่วนกล่องใส่หน้ากากกันแก๊สพิษจะสะพายเฉียงทางไหล่ซ้าย





ตาข่ายเพื่อใช้ในการพรางที่ติดอยู่กับหมวก ทำให้ลดการสังเกตุเห็นจากศัตรูได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อคลุมทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่าไม่สามารถพรางความแตกต่างระหว่างหมวกเหล็กและใบหน้าได้






เมื่อถอดเสื้อคลุมลายพรางออก จะเห็นเครื่องแบบปกติของกองทัพอากาศเยอรมัน ซึ่งเป็นเสื้อทูนิคสีฟ้าเทา ที่คอปกติดเครื่องหมายยศเป็นรูปนกบิน สามตัว แสดงถึงยศสิบเอก พื้นของเครื่องหมายยศเป็นสีเลือดหมู (scarlet) ซึ่งเป็นสีแสดงถึงเหล่า "ทหารปืนใหญ่" ของกองทัพเยอรมัน เช่นเดียวกับอินทธนูทั้งสองข้างที่ขลิบสีเลือดหมูด้วยเช่นกัน

กองพลสนามที่ 17 กองทัพอากาศเยอรมัน เริ่มต้นจากความต้องการกำลังพลภาคพื้นดินของกองทัพบกเยอรมัน (Das Heer) ในการรบที่ยืดเยื้อของแนวรบด้านรัสเซีย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมันจึงสั่งการแบ่งกำลังพลจากกองทัพอากาศเยอรมัน (Luftwaffe) ไปร่วมเสริมให้กับกองทัพบก คำสั่งการดังกล่าวก่อให้เกิดกองพลสนามของกองทัพอากาศเยอรมัน (Field Division หรือ Luftwaffe Feld Divisonen ในภาษาเยอรมัน) จำนวน 21 กองพล สามารถทำการรบได้เช่นเดียวกับทหารราบ แต่ขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพอากาศ

กองพลสนามที่ 17 ถูกก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1942 ก่อนที่ถูกส่งไปยังประเทศฝรั่งเศสในเดือนมกราคม ค.ศ.1943 ในฐานะกองกำลังยึดครองฝรั่งเศส (Occupation Force) และถูกทำลายลงในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1944 โดยกองทัพสหรัฐฯ ที่รุกเข้าสู่ฝรั่งเศส กำลังพลที่หลงเหลืออยู่ได้เข้าร่วมกับกองพลสนามที่ 18 ทำการรบต่อไปจนวาระสุดท้ายของหน่วย





 

Create Date : 25 กันยายน 2553    
Last Update : 25 มิถุนายน 2556 11:21:10 น.
Counter : 10731 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

unmoknight
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 49 คน [?]




ฉันจะบิน ... บินไป ... ไกลแสนไกลไม่หวั่น
เก็บร้อยความฝันที่มันเรียงราย ...
ให้กลายมาเป็นความจริง ...
New Comments
Friends' blogs
[Add unmoknight's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.