VUW - Victoria University of Wellington, New Zealand
Group Blog
 
All Blogs
 
เส้นทางสู่จุดจบของหน่วยยานเกราะนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง

โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ

Master of International Relations (with merit), 
Victoria University of Wellington, New Zealand

(สงวนลิขสิทธิ์ในการทำซ้ำ เผยแพร่เพื่อการพาณิชย์ อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น)



ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันถูกจำกัดอาวุธจากสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ทำให้เยอรมันต้องพัฒนารถถังขึ้นมาภายใต้ชื่อโครงการรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร แม้ว่าการใช้รถถังจะถูกคิดขึ้นมาจากนักคิดชาวอังกฤษ แต่นายพลไฮน์ซ กูเดอเรียน ของเยอรมันเป็นผู้คิดที่จะนำเอารถถังมาใช้ในการรบแบบ สายฟ้าแลบ ซึ่งมีหลักคือใช้การสนธิกำลังของการโจมตีจากอากาศยาน และอาวุธปืนใหญ่โจมตีข้าศึก ณ จุดใดจุดหนึ่งจนข้าศึกเริ่มอ่อนแรง จากนั้นจะใช้หน่วยรถถังรุกเข้าหาด้วยความเร็ว พร้อมกับทหารราบ ตรงจุดนี้ ความเร็วในการรุกของยานเกราะจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการโอบล้อมข้าศึกที่กำลังขวัญเสียจากการถูกโจมตีทางอากาศและจากปืนใหญ่ โดยมีทหารราบเป็นกองหนุนที่เข้าบดขยี้กำลังข้าศึกที่อ่อนล้าในวงล้อมดังกล่าว

จากนั้นหน่วยยานเกราะจะทำการโอบล้อมหน่วยของข้าศึกต่อไป รวมทั้งตัดเส้นทางการส่งกำลังของข้าศึก และทำลายหน่วยของข้าศึกที่ถูกล้อมทีละหน่วย การรบแบบสายฟ้าแลบนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงแรกของสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการบุกโปแลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และรัสเซีย หน่วยยานเกราะของเยอรมันได้แสดงให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพ และกลายเป็นต้นแบบของการใช้รถถังในการรบมาจนถึงปัจจุบัน

ความสำเร็จของหน่วยยานเกราะเยอรมันหรือ "แพนเซอร์" ส่งผลให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์สามารถครอบครองยุโรปได้อย่างรวดเร็ว ชัยชนะแต่ละชัยชนะล้วนมีส่วนสำคัญจากหน่วยยานเกราะอันทรงอานุภาพทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามเมื่อกาลเวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเยอรมันรุกเข้าสู่รัสเซีย ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ดูดกลืนประสิทธิภาพและความยิ่งใหญ่ของหน่วยยานเกราะเยอรมันลงทีละน้อย จนนำไปสู่กาลอวสานของนาซีเยอรมันและหน่วยยานเกราะอันเกรียงไกรในที่สุด

นับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ของกองทัพที่ 6 ของกองทัพนาซีเยอรมันที่เมืองสตาลินกราดในช่วงต้นปี ค.ศ.1943 ส่งผลให้กองพลยานเกราะส่วนหนึ่งถูกทำลายลง ในขณะที่กองพลยานเกราะที่ 22 และกองพลยานเกราะที่ 27 ของเยอรมันที่มีแนวตั้งรับบริเวณแม่น้ำดอน (Don) และแม่น้ำไมอัส (Mius) ก็ถูกกองทัพรัสเซียที่มีกำลังเหนือกว่าเคลื่อนที่เข้าบดขยี้จนได้รับความเสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถดำรงความเป็นกองพลยานเกราะอยู่ได้และต้องยุบรวมกับหน่วยข้างเคียงในช่วงต้นปี ค.ศ. 1943 นับเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของกองทัพเยอรมัน

ฮิตเลอร์ตระหนักดีว่าจุดศูนย์ดุลของสงครามในแนวรบด้านรัสเซียกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ และกองทัพเยอรมันอาจจะก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอย ดังนั้นในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 เขาจึงตัดสินใจแต่งตั้งนายพลไฮน์ซ กูเดอเรียน (Heinz Guderian) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งหน่วยยานเกราะและผู้ริเริ่มแนวความคิดในการรบแบบสายฟ้าแลบจนได้รับสมญาว่า "บิดาแห่งยานเกราะเยอรมัน" ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์พัฒนากองกำลังยานเกราะ




นายพลไฮน์ซ กูเดอเรียน (Heinz Guderian)




โดยฮิตเลอร์ได้มอบอำนาจให้กูเดอเรียนอย่างท่วมท้นในการพัฒนาศักยภาพยานเกราะของเยอรมัน ซึ่งกูเดอเรียนก็ไม่ทำให้ฮิตเลอร์ผิดหวัง เขาวางแผนที่จะแปรเปลี่ยน "ยานเกราะ" ที่ใช้ในการรบทั่วไปให้มีศักยภาพมากกว่ายานเกราะหรือรถถังธรรมดา จนกระทั่งรถถังและยานเกราะของเยอรมันกลายเป็น "จักรกลสงครามแห่งการทำลายล้างขั้นสูงสุด" ที่ประวัติศาสตร์การสงครามยุคใหม่ต้องบันทึกไว้

ในช่วงต้นของสงครามนั้นหน่วยยานเกราะของเยอรมันใช้รถถังแบบแพนเซอร์ 3 เป็นรถถังหลัก มันได้รับการยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของหน่วยยานเกราะเยอรมัน เพราะรถถังรุ่นนี้ทำหน้าที่ทุกอย่างในการรุกเข้าหาข้าศึกในช่วงครึ่งแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2

แพนเซอร์ 3 (Panzer III : Panzer ย่อมาจากคำว่า Panzerkampfwagen) ผลิตโดยบริษัทเดมเลอร์เบนซ์ (Daimler-Benz) แรกเริ่มติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 37 มิลลิเมตรและปืนกล 7.92 มิลลิเมตร 1 กระบอก ต่อมาได้เปลี่ยนปืนใหญ่เป็นขนาด 50 มิลลิเมตร พร้อมเพิ่มปืนกล 7.92 มิลลิเมตร อีก 1 กระบอก มีเครื่องยนต์ที่กำลังสูง สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเกราะหนา 30 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 21 ตัน มีระบบกันสะเทือนที่ยอดเยี่ยม เพราะมีโช๊คอัพที่ออกแบบโดย ดร.เฟอร์ดินานด์ ปอร์ช (Dr. Ferdinand Porche) แพนเซอร์ 3 มีการปรับปรุงหลายรุ่น ส่วนใหญ่ออกสู่แนวรบด้านรัสเซีย




แพนเซอร์ 3 (Panzer III)



รถถังอีกรุ่นหนึ่งของหน่วยยานเกราะเยอรมันคือรถถังขนาด 25 ตันแบบแพนเซอร์ 4 (Panzer IV) ที่เข้าสู่สายการผลิตมาตั้งปี ค.ศ. 1939 นับเป็นรถถังที่รับใช้กองทัพนาซีเยอรมันมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นสงครามจนสิ้นสุดสงครามและนับเป็นรถถังที่มีอานุภาพพอสมควร เนื่องจากมีเกราะหนาถึง 80 มิลลิเมตรและติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตรแบบ KwK40 L48 พร้อมกระสุน 87 นัด ซึ่งนับว่าเป็นขนาดปืนใหญ่ประจำรถถังที่เหนือกว่าปืนใหญ่ประจำรถถังของฝ่ายสัมพันธมิตรทุกชนิดในช่วงต้นสงคราม




แพนเซอร์ 4 (Panzer IV)



แม้จะมีแนวความคิดในการยุติการผลิตรถถังรุ่นนี้เพื่อหันไปผลิตรถถังรุ่นใหม่ๆ กูเดอเรียนก็เป็นผู้คัดค้านแนวคิดดังกล่าว โดยเขาให้เหตุผลว่า เยอรมันยังต้องการรถถังรุ่นนี้อยู่ เพราะพลประจำรถเกือบทุกคน มีความคุ้นเคยกับรถถังรุ่นนี้เป็นอย่างดี “พวกเขาสามารถบังคับรถถังรุ่นนี้ได้ แม้กระทั่งยามที่พวกเขาหลับ”

นอกจากรถถังแพนเซอร์ทั้งสองรุ่นนี้แล้ว กูเดอเรียนเห็นว่าควรทำการปรับโครงสร้างและสายการผลิตยานเกราะขึ้นใหม่ แผนแบบของรถถังรุ่นใหม่ที่ใช้ในการล่ารถถังหรือ Tank destroyer ตลอดจนรถปืนใหญ่อัตตาจรหรือ Assault Gun ที่ติดปืนใหญ่อันทรงอานุภาพถูกออกแบบและผลิตขึ้น รถถังชนิดนี้มีขั้นตอนที่ผลิตง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะไม่จำเป็นต้องมีป้อมปืนที่มีกลไกยุ่งยาก เพียงแต่ติดตั้งปืนใหญ่ต่อสู้รถถังบนฐานของยานเกราะเท่านั้น

การลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก ซับซ้อนทำให้ "รถถังล่ารถถัง" และ "รถปืนใหญ่อัตตาจร" สามารถผลิตได้ทีละเป็นจำนวนมาก เช่น รถปืนใหญ่อัตตาจรแบบ "สตุมเกอส์ชูท์ซ" (Sturmgeschütz) หรือ สตุค (StuG) และรถถังล่ารถถังแบบ Jagdpanzer ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อถอดป้อมปืนใหญ่ออกไปจากตัวถังรถก็ส่งผลให้ยานเกราะทั้งสองแบบดังกล่าวมีความสูงลดลงอย่างมาก ทำให้สามารถซ่อนพรางจากการสังเกตการณ์ของข้าศึกได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์ในแนวรบด้านรัสเซียขณะนั้นเยอรมันกำลังเป็นฝ่ายตั้งรับ ยานเกราะรุ่นใหม่ๆ เหล่านี้จึงเหมาะกับภารกิจในการซุ่มโจมตีรถถังของรัสเซียที่รุกเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ



"สตุมเกอส์ชูท์ซ" (Sturmgeschütz)



ในขณะเดียวกันกูเดอเรียนก็ได้ปรับปรุงอัตราการจัดหน่วยยานเกราะของกองทัพเยอรมันเสียใหม่ โดยเพิ่มกองพันรถปืนใหญ่อัตตาจร กองพันยานยนต์หุ้มเกราะลำเลียงพลกึ่งสายพานและกองพันปืนใหญ่ต่อสู้รถถังเข้าไปในหน่วยระดับกองพลยานเกราะ เพื่อสร้างสมดุลกำลังรบขึ้นเนื่องจากกองทัพรัสเซียมีหน่วยทหารราบที่คล่องตัวและมีรถถังที่ทรงอานุภาพแบบ ที 34 (T 34) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว




ที 34 (T 34)



นอกจากนี้กูเดอเรียนยังให้ความสำคัญอย่างมากต่ออัตราการสูญเสียรถถังและยานเกราะของเยอรมันในแนวหน้าที่มีสูงมาก เพราะไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียเฉพาะอาวุธยุทโธปกรณ์เท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงการสูญเสียกำลังพลที่มีขีดความสามารถและประสบการณ์ในการรบมาเป็นอย่างดี ซึ่งก่อนหน้านี้พลประจำรถถังหรือพลประจำรถยานเกราะของเยอรมันนั้นจัดได้ว่าเป็นทหารหน่วยพิเศษที่มีผลการปฏิบัติงานอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม กูเดอเรียนจึงหาหนทางฝึกฝนกำลังพลที่มีคุณภาพเข้าทดแทนในหน่วยรถถังและยานเกราะต่างๆ

จากความพยายามและความทุ่มเทของกูเดอเรียนส่งผลให้สายการผลิตรถถังของเยอรมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในครึ่งปีแรกของ ค.ศ. 1943 โดยมีจำนวนการผลิตถึง 3,643 คัน แต่เนื่องจากเส้นทางการส่งกำลังไปสู่แนวรบรัสเซียนั้นมีระยะทางที่ยาวและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย รถถังและยานเกราะจำนวนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวนี้สามารถเดินทางไปถึงสนามรบได้เพียง 2,504 คันเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอต่อการสูญเสียที่มีสูงถึงกว่า 7,800 คัน ด้วยความขาดแคลนรถถังและยานเกราะนี้เองทำให้หน่วยยานเกราะของเยอรมันต้องนำรถถังที่ยึดได้จากรัสเซีย อังกฤษและฝรั่งเศสนำมาใช้เสริมกำลังรบในแนวหน้าด้านรัสเซีย ซึ่งจากตัวเลขพบว่ามีรถถังที่ถูกยึดได้และนำกลับมาใช้ใหม่เป็นจำนวนถึง 822 คัน แต่ความขาดแคลนก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม

สำหรับการพัฒนาประสิทธิภาพของรถถังและยานเกราะนั้น วิศวกรเยอรมันได้ดำเนินการออกแบบรถถังรุ่นใหม่ที่สามารถต่อสู้กับรถถัง ที 34 ของรัสเซียได้อย่างทัดเทียมกัน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของรถถังที่มีขีดความสามารถสูงที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักมา นั่นคือ รถถังแบบ แพนเซอร์ 5 (Panzer V) หรือที่รู้จักกันในนาม "แพนเธอร์" (Panther) ซึ่งแปลว่า "เสือดำ" ส่วนอีกรุ่นคือ รถถังแบบแพนเซอร์ 6 (Panzer VI) หรือ "ไทเกอร์" (Tiger) ซึ่งแปลว่า "เสือโคร่ง" นั่นเอง



รถถังแพนเซอร์ 5 หรือ "แพนเธอร์" (Panzer V - Panther)



สำหรับรถถังแพนเซอร์ 5 หรือ "แพนเธอร์" (Panzer V - Panther) นั้นมีน้ำหนัก 44.8 ตัน มีเกราะหนาตั้งแต่ 15 – 120 มิลลิเมตร ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตรแบบ KwK 42 L70 พร้อมกระสุนจำนวน 79 นัด และติดตั้งปืนกลขนาด 7.92 มิลลิเมตรจำนวน 2 กระบอก ใช้เครื่องมายบัคแบบ (Maybach) แบบ HL230 P30 อันทรงพลังทำให้สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีรัศมีทำการภายใต้การเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงครั้งเดียวเป็นระยะทางถึง 250 กิโลเมตรและมีพลประจำรถ 5 นาย โดยรถถังรุ่นนี้ถูกออกแบบให้มีความซับซ้อนในการผลิตไม่สูงมากนักเพื่อมุ่งหวังให้ง่ายต่อการผลิตเป็นจำนวนมากและนำไปทดแทนรถถังที่สูญเสียไปในการรบ จึงมีรถถังแพนเธอร์ถูกผลิตออกมาในห้วงเวลาสั้นๆ ระหว่างปี ค.ศ. 1943 – 1945 เป็นจำนวนถึง 6,000 คัน

อีกทั้งแม้ว่ารถถังแพนเธอร์จะมีข้อด้อยกว่ารถถังแบบไทเกอร์ในเรื่องความทนทานของเกราะและขนาดปืนใหญ่ที่เล็กกว่า แต่มันก็มีความคล่องตัวสูงและมีปืนใหญ่ที่มีความแม่นยำสูง โดยเฉพาะปืนใหญ่แบบ HL230 P30 ที่มีลำกล้องยาวถึง 5,250 มิลลิเมตรนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นปืนใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดชนิดหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่สองเนื่องจากมีความแม่นยำและอัตราการทะลุทะลวงสูงกว่าปืนใหญ่รถถังทุกชนิดของสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซียในขณะนั้น รวมทั้งยังมีระยะยิงไกลถึง 10 กิโลเมตรในการยิงวิถีโค้งอีกด้วย ทำให้รถถังแพนเธอร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถถังที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งของเยอรมันและกลายมาเป็นแม่แบบให้กับรถถังของประเทศต่างๆ ภายหลังสิ้นสุดสงคราม

ส่วนรถถังแพนเซอร์ 6 หรือไทเกอร์นั้นนับเป็นรถถังที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่งของเยอรมัน เป็นรถถังที่ทั้งทหารรัสเซีย สหรัฐฯ อังกฤษและชาติสัมพันธมิตรอื่นๆ ต่างหวั่นเกรงในอานุภาพของมันเป็นอย่างมาก เพราะมีเกราะด้านหน้าหนาถึง 100 มิลลิเมตรและที่ป้อมปืนมีเกราะหนาถึง 120 มิลลิเมตรจึงยากที่ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังของข้าศึกจะเจาะทะลุทะลวงได้




แพนเซอร์ 6 หรือ Tiger



นอกจากเกราะที่หนามากแล้วรถถังไทเกอร์ยังติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 88 มิลลิเมตรแบบ KwK 36 L56 พร้อมกระสุน 92 นัด (รถถังไทเกอร์บางรุ่นสามารถบรรทุกกระสุนได้ถึง 105 นัด) ซึ่งมีอานุภาพในการทำลายรถถังข้าศึกทุกชนิดได้ในขณะนั้น อีกทั้งปืนใหญ่ดังกล่าวยังมีความแม่นยำสูงมาก จากสถิติการทดสอบโดยกองทัพอังกฤษภายหลังสงครามพบว่า มันสามารถยิงเป้าหมายขนาดกว้าง 41เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร ในระยะ 1,100 เมตรได้อย่างแม่นยำ และมีสถิติบันทึกไว้ว่ารถถังไทเกอร์สามารถยิงทำลายรถถังข้าศึกได้ในระยะไกลถึง 4 กิโลเมตร อันเป็นการยิงทำลายโดยที่รถถังข้าศึกไม่มีโอกาสรู้ตัวก่อนเลย

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุที่รถถังไทเกอร์มีเกราะหนามาก ส่งผลให้มันมีน้ำหนักสูงถึง62 ตัน จึงจำเป็นที่จะต้องมีสายพานที่กว้างถึง 725 มิลลิเมตรในการรับน้ำหนักตัวถังรถ และมีอุปสรรคค่อนข้างมากในการเคลื่อนที่ผ่านภูมิประเทศที่มีพื้นดินอ่อนนุ่ม รถถังไทเกอร์ทำความเร็วได้เพียง 38 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีรัศมีทำการโดยการเติมน้ำมันเพียงครั้งเดียว 110-195 กิโลเมตร

นอกจากนี้รถถังไทเกอร์ยังบริโภคน้ำมันอย่างมหาศาลรวมทั้งมีเทคโนโลยีในการผลิตที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการผลิตแต่ละคัน ทำให้เยอรมันสามารถผลิตรถถังรุ่นนี้ได้เพียง 1,347 คันซึ่งน้อยเกินกว่าที่จะหยุดยั้งกองทัพรัสเซียและสัมพันธมิตร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับจำนวนรถถัง ที 34 ของรัสเซียที่ผลิตเป็นจำนวนถึง 58,000 คัน และรถถังเอ็ม 4 เชอร์แมนของสหรัฐฯ ที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนกว่า 40,000 คันตลอดห้วงสงคราม

นอกจากการถือกำเนิดขึ้นของรถถังแบบใหม่แล้ว ในส่วนของการจัดกำลังยานเกราะในแนวรบด้านรัสเซียนั้น กูเดอเรียนได้อาศัยผลการผลิตรถถังและยานเกราะทุกรุ่นที่เพิ่มขึ้นมาจัดตั้งกองทัพน้อยยานเกราะเอสเอส (SS Panzer Corps) โดยมุ่งไปที่การพัฒนาศักยภาพของกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 1 ลีปสตานดาร์ด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (1st SS Panzer Division Leibstandarte Adolf Hitler), กองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ (2nd SS Panzer Division Das Reich, และกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (3rd SS Panzer Divsion Totenkopf) ให้เป็นกองพลยานเกราะที่มีขีดความสามารถในการทำลายล้างสูง โดยบรรจุรถถังแบบแพนเซอร์ 4, แพนเธอร์และไทเกอร์จำนวนกว่า 350 คันเข้าประจำการแทนรถถังแบบแพนเซอร์ 3 ที่ล้าสมัย



รถถังไทเกอร์ของหน่วยเอส เอส



จากการปรับปรุงศักยภาพกองพลยานเกราะ เอส เอส ทั้งสามกองพลดังกล่าว ทำให้ฮิตเลอร์ตัดสินใจรุกตอบโต้กองทัพรัสเซียที่ยูเครนในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 และประสบความสำเร็จอย่างมากจนทำให้กองทัพรัสเซียต้องล่าถอย ส่งผลให้กองทัพเยอรมันสามารถยึดเมืองคาร์คอฟคืนมาได้จากการครอบครองของรัสเซีย ในการรบตลอดห้วงเวลานี้รถถังแพนเธอร์ 21 คันและไทเกอร์ 108 คันสามารถทำลายรถถังรัสเซียลงได้ถึง 615 คันพร้อมทั้งทหารเอสเอสจากกองพลยานเกราะทั้งสามได้สังหารหมู่เชลยศึกและประชาชนรัสเซียจำนวนนับพันคนลงด้วย ทำให้ความสำเร็จในการรบของกองทัพเยอรมันถูกบดบังด้วยความอำมหิตและโหดเหี้ยมของทหารเอสเอสในโศกนาฏกรรมครั้งนี้

หลังจากการรบที่เมืองคาร์คอฟ หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็มีบทบาทโดดเด่นขึ้นมาอีกครั้งในการรบครั้งยิ่งใหญ่ที่เมือง "เคริสค์" (Kursk) โดยฮิตเลอร์สั่งระดมกองพลยานเกราะจำนวน 17 กองพลและกองพลน้อยยานเกราะอีก 2 หน่วยรวมจำนวนรถถังและยานเกราะชนิดต่างๆ ทั้งหมดกว่า 2,388 คันเพื่อเข้าตีแนวตั้งรับของรัสเซียภายใต้ยุทธการ "ซิทาเดล" (Citadel)

รถถังแพนเซอร์ 5 หรือ "แพนเธอร์" จำนวน 250 คันที่เพิ่งออกมาจากโรงงานผลิตในเยอรมันได้เดินทางเข้าสู่สมรภูมิทันทีด้วยความหวังที่จะใช้เป็นอาวุธในการทำลายรถถัง ที 34 ของรัสเซียซึ่งเป็นคู่ปรับเก่าให้ย่อยยับไป แต่ปัญหาเกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์และระบบเกียร์ที่ขัดข้องทำให้มีรถถังแพนเธอร์เพียง 1 ใน 5 ของจำนวนทั้งหมดที่สามารถเข้าทำการรบได้ ส่งผลให้จำนวนรถถังของเยอรมันในแนวหน้ามีไม่เพียงพอและทำให้ฮิตเลอร์ตัดสินใจส่งกำลังรถถังจำนวนสุดท้ายที่สำรองไว้เป็นกำลังหนุนเข้าทำการรบแทน นับเป็นการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงอย่างมาก เพราะหากสถานการณ์พลิกผันจะทำให้เยอรมันไม่หลงเหลือรถถังไว้คอยตอบโต้ข้าศึกเลย

การรบที่เคริสค์จบลงด้วยความสูญเสียอย่างหนักของทั้งสองฝ่าย แต่ความสูญเสียของเยอรมันเป็นความสูญเสียที่ไม่สามารถนำกลับมาทดแทนได้ในระยะเวลาอันสั้น รวมทั้งรถถังและยานเกราะที่เป็นกำลังสนับสนุนก็ถูกทำลายลงด้วย ทำให้เยอรมันแทบไม่หลงเหลือรถถังในแนวรบด้านรัสเซียเลย ต่างจากฝ่ายรัสเซียแม้จะมีรถถังแบบ ที 34 ถูกทำลายเป็นจำนวนมากแต่รถถังที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่จากโรงงานในเทือกเขาอูราล (Ural) ก็ยังคงหนุนเนื่องเข้ามาทดแทนอย่างไม่ขาดสาย



ยานเกราะของเยอรมันเตรียมรุกเข้าหาที่มั่นของรัสเซียในสมรภูมิ Kursk



ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ทำให้รถถังและยานเกราะที่กูเดอเรียนเพียรพยายามสั่งสมขึ้นมาจากทรัพยากรที่จำกัดและขาดแคลน รวมทั้งหามาด้วยความยากลำบากได้ถูกทำลายลงในชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน และนับจากนั้นมารถถังและยานเกราะที่เหลืออยู่ก็ถูกทำลายลงด้วยคลื่นรถถังรัสเซียจำนวนมหาศาล ตัวอย่างเช่นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1943 เยอรมันสูญเสียรถถังไปเป็นจำนวน 645 คัน และในเดือนต่อมาก็สูญเสียไปอีก 572 คัน เป็นความสูญเสียในอัตราที่กองทัพเยอรมันหมดหนทางในการฟื้นฟูขึ้นมาได้

เมื่อจำนวนรถถังลดลงอย่างมาก กองพลยานเกราะที่เหลืออยู่ก็ต้องรับภาระหนักขึ้นในการต่อต้านการรุกของกองทัพรัสเซีย กองพลยานเกราะทั้งหมดต่างแปรสภาพเป็น "หน่วยปืนใหญ่เคลื่อนที่" ที่เคลื่อนย้ายกำลังไปมาในการเข้าแก้ไขปัญหาวิกฤติในพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งแม้จะประสบความสำเร็จในการทำลายล้างกำลังทหารโซเวียตที่รุกเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้เป็นจำนวนมากแต่ความสำเร็จของหน่วยยานเกราะเหล่านี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความพ่ายแพ้ของเยอรมันให้กลับเป็นชัยชนะได้

ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1943 รัสเซียรุกกลับในพื้นที่ยูเครนและสามารถทำลายกลุ่มกองทัพกลางของเยอรมันลงได้พร้อมๆ กับการละลายหายไปของกองพลทหารราบยานเกราะจำนวนถึง 3 กองพล จากนั้นก็รุกไล่กลุ่มกองทัพใต้ให้ถอยร่นมาจนถึงเทือกเขาคาร์เปเธียน (Carpathian) ในยุโรปตอนกลาง แม้จะต้องถอยร่นมาอย่างไม่เป็นขบวนแต่หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็ยังคงต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี และไม่ยอมให้กองทัพรัสเซียรุกคืบหน้าเข้ามาได้ง่ายๆ

ตัวอย่างเช่น กองทัพน้อยยานเกราะที่ 48 (XLVIII Panzer Corps) ที่สามารถตอบโต้การรุกของกองทัพรัสเซียอย่างได้ผลในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 ที่เมืองเบอร์ดิเชฟ ทางตอนใต้ของเคียฟ โดยสามารถเข้าตีเจาะแนวรุกของกองทัพรัสเซียได้เป็นระยะทางลึกถึง 113 กิโลเมตรก่อนที่จะตีตลบหลังและโอบล้อมกองทัพรถถังการ์ดที่ 3 ของรัสเซียในวันที่ 18 พฤศจิกายน ก่อนที่จะเข้าบดขยี้ทหารรัสเซียที่อยู่ในวงล้อมทั้งกองทัพให้ย่อยยับไปจนหมดสิ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปี ค.ศ. 1943 นั้นแตกต่างจากสถานการณ์ในปี ค.ศ. 1941 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของสงครามอย่างสิ้นเชิง เพราะในห้วงเวลานี้กองทัพรัสเซียสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีกำลังหนุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกลางเดือนธันวาคม กองทัพน้อยยานเกราะที่ 48 ก็ถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจนต้องถอยร่นและปรับแนวรุกเป็นแนวตั้งรับในที่สุด

ในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1944 กองทัพรัสเซียจากยูเครนเปิดฉากรุกอย่างรุนแรงและสามารถเข้ายึดแนวตั้งรับของกองทัพยานเกราะที่ 48 ได้ พร้อมๆ กับโอบล้อมกองพลต่างๆ ของเยอรมันจำนวน 10 กองพลไว้ ในจำนวนนี้รวมถึงกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 5 ไวกิ้งอันลือชื่อด้วย ทหารเยอรมันพยายามฝ่าวงล้อมออกมาแต่ก็ถูกทหารรัสเซียตอบโต้ทุกครั้งไป จนกระทั่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ทหารเยอรมันจำนวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถเล็ดรอดผ่านวงล้อมของทหารรัสเซียออกมาได้ภายหลังที่ต้องต่อสู้อย่างนองเลือด ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์และรถถังไว้ในวงล้อมเป็นจำนวนมาก




ทหารรัสเซียขณะทำการรบ



แต่ชะตากรรมของหน่วยยานเกราะเยอรมันยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ กองทัพรัสเซียเปิดฉากรุกครั้งใหญ่ในวันที่ 24 มีนาคมและสามารถโอบล้อมกองทัพยานเกราะที่ 1 ของเยอรมันไว้ได้เกือบทั้งหมดที่เมืองคาเมเน็ทส์ (Kamenets) ฮิตเลอร์รู้ดีว่าเขาไม่สามารถสูญเสียกองทัพยานเกราะที่ 1 ไปได้ จึงสั่งการให้กองทัพน้อยยานเกราะเอสเอส ที่ 2 เดินทางออกจากประเทศฝรั่งเศสเข้าไปช่วยทหารเยอรมันที่ถูกล้อมในวันที่ 28 มีนาคม และสามารถช่วยกองทัพยานเกราาะที่ 1 ออกมาจากวงล้อมได้ในที่สุด

ในขณะที่การรบเป็นไปอย่างดุเดือดอยู่นั้น แผนการผลิตรถถังและยานเกราะที่กูเดอเรียนได้วางไว้ก็ยังผลิดอกออกผลมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมหนักของเยอรมันสามารถผลิตรถถังและยานเกราะได้เป็นจำนวนถึง 5,648 คันในเดือนมกราคม ค.ศ. 1944 และเพิ่มเป็น 6,155 คันในเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 ในจำนวนนี้มีรถถังแบบไทเกอร์อยู่จำนวน 373 คันและรถถังแบบแพนเธอร์อยู่ 972 คัน

รถถังบางรุ่นที่เริ่มล้าสมัยถูกส่งกลับเข้าโรงงานเพื่อปรับเปลี่ยนป้อมปืนออกไปและติดตั้งปืนใหญ่ที่ทรงอานุภาพเข้าไปแทน เช่น รถปืนใหญ่อัตตาจรแบบ "สตรุมแพนเซอร์ 4 บรุมม์บาร์" (Sturmpanzer IV Brummbar) ที่นำฐานของรถถังแพนเซอร์ 4 มาติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 150 มิลลิเมตรที่ทรงอานุภาพแทน จนกลายเป็นรถปืนใหญ่อัตตาจรที่น่าเกรงขาม แต่จำนวนรถถังและยานเกราะที่เพิ่มมากขึ้นเหล่านี้ก็ยังคงไม่เพียงพอที่จะรับมือกับข้าศึกที่รุกเข้าสู่ประเทศเยอรมันในทุกทิศทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งกองทัพอากาศของสัมพันธมิตรได้ทำลายหน่วยยานเกราะของเยอรมันเกือบทั้งหมดในยุโรปตะวันตกจนแทบหมดสิ้น



"สตรุมแพนเซอร์ 4 บรุมม์บาร์" (Sturmpanzer IV Brummbar) 



หน่วยยานเกราะของเยอรมันพยายามฟื้นตัวอย่างยากลำบาก รถถังและยานเกราะที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วยุโรปถูกรวบรวมเข้าอีกครั้ง ส่วนกองทัพรัสเซียก็ยังคงรุกคืบหน้าเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน จนในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1944 กองทัพรัสเซียก็สามารถเจาะแนวตั้งรับของกองทัพโรมาเนียที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเยอรมันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ส่งผลให้รัฐบาลโรมาเนียประกาศถอนตัวออกจากการเป็นพันธมิตรร่วมกับกลุ่มอักษะของเยอรมันในอีก 5 วันต่อมา และทำให้แผนการจัดตั้งกองทัพที่ 6 ของเยอรมันในประเทศโรมาเนียต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย

ในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1944 หน่วยยานเกราะของเยอรมันรวบรวมกำลังตอบโต้กองทัพรัสเซียอีกครั้งที่ชายแดนประเทศฮังการี โดยกองพลยานเกราะที่ 1 กองพลยานเกราะที่ 23และกองพลยานเกราะที่ 24 ของกองทัพบกเยอรมันเปิดฉากการเข้าตีแนวหน้าของรัสเซีย ก่อนที่จะทำลายกองทัพน้อยของรัสเซียลงได้ถึง 3 กองทัพ แต่กองทัพรัสเซียก็ยังคงหนุนเนื่องและรุกเข้ามาจนสามารถล้อมกรุงบูดาเปสท์ เมืองหลวงของฮังการีและสามารถยึดครองประเทศฮังการีได้ในที่สุด

ไม่แต่เฉพาะการรบในสมรภูมิรัสเซียเท่านั้นที่หน่วยยานเกราะเยอรมันต่อสู้อย่างสุดความสามารถ การรบในแนวรบด้านยุโรปตะวันตกภายหลังการยกพลขึ้นบกในวัน ดี เดย์ของฝ่ายสัมพันธมิตรก็เช่นกัน รถถังรุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น รถถังแบบไทเกอร์ ซึ่งแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับรถถังของสหรัฐฯ และอังกฤษ แต่ก็ได้สร้างชื่อเสียงอย่างมากในการรบ การที่เครื่องยนต์มักจะมีปัญหาไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ในระยะประชิดระหว่างรถถังกับรถถังของไทเกอร์ลดลงแต่อย่างใด

ทั้งนี้เพราะการรบในนอร์มังดี มักจะเป็นการรบในระยะใกล้ไม่เกิน120-350 หลา อีกทั้งพื้นที่การรบในนอร์มังดียังเป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการซุ่มโจมตีเป็นอย่างมาก ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องทุ่มเทกำลังรถถังและกำลังทหารเข้ากวาดล้างรถถังเยอรมันที่ซุ่มซ่อนอยู่ตามภูมิประเทศต่างๆ ซึ่งการปฏิบัติภารกิจในการกวาดล้างนี้ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอย่างหนัก โดยมีการคำนวณว่าในการรบที่นอร์มังดี ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องสูญเสียรถถังถึง 4 คัน เพื่อจะทำลายรถถังไทเกอร์เพียง 1 คัน

จนมีคำกล่าวว่า การต่อสู้ด้วยรถถังที่นอร์มังดีเป็นการต่อสู้ระหว่างคุณภาพ และปริมาณ ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายพันธมิตรมีจำนวนรถถังมากกว่าฝ่ายเยอรมันถึง 2 ต่อ 1 โดยฝ่ายสัมพันธมิตรมีรถถังที่เข้าปฏิบัติการทั้งหมด 1,350 คัน ส่วนใหญ่เป็นรถถังแบบเอ็ม 4 เชอร์แมน ส่วนฝ่ายเยอรมันมีรถถังเพียง 670 คัน มีทั้งรถถังแบบแพนเซอร์ 4, แพนเธอร์และไทเกอร์



รถถังไทเกอร์ของกองพันรถถังหนัก เอส เอส ที่ 101 (SS Panzer Abteilung 101) ถูกทำลายในการรบที่นอร์มังดี


อย่างไรก็ตามจำนวนรถถังสัมพันธมิตร 4 คันต่อ 1 คันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องแลกเพื่อทำลายรถถังแบบไทเกอร์นั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถทดแทนรถถังที่สูญเสียไปได้เกือบจะในทันที แต่ฝ่ายเยอรมันนั้นไม่มีโอกาสที่จะทดแทนรถถังของตนที่สูญเสียไปได้ เนื่องจากการโจมตีทางอากาศของสัมพันธมิตรที่โจมตีเส้นทางลำเลียงต่าง ๆ ที่มุ่งหน้าสู่นอร์มังดี ทำให้รถถังของเยอรมันในแนวหน้ามีไม่เพียงพอที่จะต่อต้านการบุกของฝ่ายสัมพันธมิตรในที่สุด

แม้จะต้องตกเป็นฝ่ายถอยร่นอย่างไม่หยุดหย่อนแต่หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็ยังคงสู้ยิบตาและไม่ปล่อยให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรุกเข้ามาอย่างสะดวก ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 กองพลยานเกราะ 2 กองพลของเยอรมันรุกเข้าสู่แนวหน้าที่บอบบางของกองพลยานเกราะที่ 7 ของสหรัฐฯ บริเวณเมืองเมย์เจล (Meijel) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองไอนด์โฮเว่น (Eindhoven) ประเทศเนเธอร์แลนด์ การรบเป็นไปอย่างรุนแรงกว่า 10 วัน ทหารเยอรมันยึดพื้นที่ได้ส่วนหนึ่งก่อนที่กำลังเสริมของสหรัฐฯ จะมาถึงและไล่ตีหน่วยยานเกราะของเยอรมันจนถอยร่นกลับไปยังจุดเริ่มต้น

ความสำเร็จในห้วงเวลาสั้นๆ ของการรุกที่เมืองเมย์เจลในครั้งนี้เป็นสิ่งที่จุดประกายให้ฮิตเลอร์เกิดแนวความคิดว่า เยอรมันยังไม่แพ้ การรุกตอบโต้ที่รุนแรงตามรูปแบบการรบแบบสายฟ้าแลบของเยอรมันยังสามารถเอาชนะข้าศึกได้ เขาจึงวางแผนการรุกกลับของกองทัพเยอรมันโดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมืองท่า "แอนท์เวอร์ป" (Antwerp) ของประเทศเบลเยี่ยม แผนการดังกล่าวจะใช้กองกำลังรถถังและยานเกราะจากกองทัพยานเกราะที่ 6 เข้าตีแนวหน้าของสหรัฐฯ ทางตอนเหนือและกองทัพยานเกราะที่ 5 เข้าเจาะทางตอนกลางแนวตั้งรับของสหรัฐฯ ซึ่งการรุกของเยอรมันจะเคลื่อนที่ผ่านป่าอาร์เดนส์ (Ardennes) อันรกทึบและทุรกันดาร

เยอรมันพยายามรวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายเพื่อการรุกในครั้งนี้ ประกอบด้วยกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 1 ลีปสตานดาร์ด กองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 2 กองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 9 โฮเฮนสเตาเฟนและกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 12 ฮิตเลอร์จูเกน นอกจากนี้ยังมีกองพลยานเกราะที่ 116 และกองพลยานเกราะที่ 2 ของกองทัพบกเป็นหัวหอกในการรุก รวมทั้งมีกองพลยานเกราะเอสเอส ที่ 10 ฟรุนด์แบร์กและกองพลยานเกราะที่ 21 เป็นกำลังหนุน ฮิตเลอร์สั่งรวบรวมรถถังและยานเกราะทั้งหมดที่มีอยู่ได้เป็นจำนวนถึง 950 คันเพื่อใช้เป็นกำลังหลักในการรุก ซึ่งในจำนวนนี้มีรถถังรุ่นใหม่ล่าสุดคือรถถังแบบไทเกอร์ 2 (Tiger II) หรือที่มีฉายาว่า "คิง ไทเกอร์" (King Tiger) ที่เป็นตำนานของสุดยอดรถถังแห่งยุคจำนวน 52 คันรวมอยู่ด้วย

การรุกเปิดฉากขึ้นในรุ่งอรุณของวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 เมื่อรถถังคิง ไทเกอร์จำนวน 30 คันของกองพันรถถังหนักเอสเอส ที่ 501 (501st SS Heavy Tank Battalion) ของเยอรมันติดตามด้วยทหารราบเคลื่อนที่เข้าตีแนวหน้าของทหารสหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านของทหารสหรัฐฯ ที่ด้อยประสบการณ์ แม้รถถังคิง ไทเกอร์จะทรงอานุภาพเพียงใด แต่เมื่อพื้นที่การรบเต็มไปด้วยไหล่เขาลาดชัน และป่าที่หนาทึบได้ทำให้ประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ของมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามในช่วง 2 วันแรกของการรบ เยอรมันก็สามารถรุกคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว กองพลยานเกราะ "แลฮ์ร" (Lehr Panzer Division) ของเยอรมัน



รถถังคิงไทเกอร์ ถูกทำลายที่บาสตองน์ 
จะเห็นรถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมนของสหรัฐฯ ทางขวามือของภาพ



จนกระทั่งในวันที่ 22 ธันวาคม กองทัพเยอรมันก็เข้าโอบล้อมเมืองบาสตองน์ (Bastogne) และกองพลยานเกราะที่ 2ก็พยายามเข้ายึดคลังน้ำมันของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่บริเวณริมสะพานข้ามแม่น้ำเมอส (Meuse) แม้จะอยู่ห่างจากคลังน้ำมันเพียง 6 กิโลเมตรแต่กองพลยานเกราะที่ 2 ก็ไม่สามารถยึดคลังน้ำมันซึ่งจะใช้สำหรับรถถังและยานเกราะในการรุกต่อไปได้

ขณะเดียวกันฝ่ายสัมพันธมิตรก็เริ่มตอบโต้และในวันต่อมาเมฆหมอกที่ปกคลุมท้องฟ้าเหนือสมรภูมิซึ่งเป็นอุปสรรคต่อฝูงบินสหรัฐฯ ก็เริ่มจางหายไป ทำให้รถถังและยานเกราะของเยอรมันถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก ประกอบกับการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ในที่สุดในวันที่ 24 ธันวาคมเยอรมันก็ตกเป็นฝ่ายรับและเริ่มล่าถอยท่ามกลางความสูญเสียอย่างหนัก

และในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ.1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรก็โจมตีกองทัพยานเกราะที่ 5 ของเยอรมันในทุกๆ ด้านจนต้องล่าถอยออกจากพื้นที่ป่าอาร์เดนส์ ผลจากการรบในครั้งนี้ทำให้เยอรมันต้องสูญเสียทหารไปถึง 120,000 คน รถถังและยานเกราะเป็นจำนวนกว่า 600 คัน ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้เยอรมันสูญเสียทรัพยากรสงครามเกือบทั้งหมดและทำให้แนวรบด้านรัสเซียมีความเปราะบางอย่างมาก เนื่องจากถูกดึงกำลังทหารและกำลังรถถังไปเสริมในการรบดังกล่าว จนรัสเซียสามารถเข้ายึดโปแลนด์ได้อย่างไม่ยากเย็น นับจากนี้ความพ่ายแพ้ของเยอรมันได้กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว

ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์สั่งให้ดึงกองทัพยานเกราะเอสเอส ที่ 6 ซึ่งมีรถถังและยานเกราะอยู่จำนวนหนึ่งจากแนวรบด้านฝรั่งเศสเพื่อไปเสริมแนวรบในประเทศฮังการี พร้อมๆ กับความพยายามในการก่อตั้งกองทัพน้อยยานเกราะขึ้นมาใหม่ คือ กองทัพน้อยยานเกราะที่ 24 และกองทัพน้อยยานเกราะ "กรอสส์ดอยช์ลันด์" (Grossdeutschland) เพื่อเตรียมการรับมือกับการรุกครั้งใหญ่ของกองทัพรัสเซียซึ่งประกอบไปด้วยกำลังทหาร 163 กองพลและรถถังอีกเป็นจำนวนถึง 7,042 คัน ในขณะที่เยอรมันมีรถถังและยานเกราะอื่นๆ อยู่เพียง 1,136 คันเท่านั้น

ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1945 รัสเซียเปิดฉากรุกครั้งใหญ่บริเวณแม่น้ำ "วิสทูรา" ของโปแลนด์ การรุกเป็นไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากรัสเซียมีกำลังที่เหนือกว่าอย่างมาก ทหารรัสเซียได้ใช้ยุทธวิธีการรบแบบสายฟ้าแลบที่เยอรมันเคยประสบความสำเร็จในช่วงต้นของสงครามมาแล้ว โดยรถถังของรัสเซียจะใช้ความเร็วแล่นเจาะแนวตั้งรับของทหารราบเยอรมันเข้าไปอย่างรวดเร็วและเจาะลึกเข้าไปจนถึงส่วนบังคับบัญชาของแต่ละหน่วย ก่อนที่จะโอบล้อมและตัดขาดทหารราบออกจากกองบัญชาการของพวกเขา ส่งผลให้ทหารเยอรมันอยู่ในสภาพสับสนเพราะขาดการบังคับบัญชาและการติดต่อสื่อสารกับหน่วยข้างเคียง ก่อนที่รถถังและทหารราบรัสเซียจะเข้าบดขยี้ทหารเยอรมันในวงล้อมนั้นจนหมดสิ้น

ด้วยยุทธวิธีดังกล่าวทำให้กองทัพรัสเซียสามารถเคลื่อนที่รุกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ กองทัพยานเกราะที่ 4 ของเยอรมันก็ถูกโจมตีจนได้รับความบอบช้ำ แต่อีก 1 สัปดาห์ต่อมากองทัพน้อยยานเกราะ กรอสส์ดอยช์ลันด์ และกองทัพน้อยที่ 24 ที่อ่อนล้าและมีรถถังเพียงบางส่วนก็รุกตอบโต้กองทัพรัสเซีย และสามารถตัดขาดกองทัพรถถังโซเวียตที่ 4 ออกจากกำลังส่วนใหญ่

แต่เนื่องจากกองทัพน้อยทั้งสองของเยอรมันอ่อนแอเกินไปจึงทำให้ทหารรัสเซียฝ่าวงล้อมออกมาได้และจัดแนวรุกขึ้นใหม่ เป็นเวลาเดียวกับที่กองพลยานเกราะที่ 8 และกองพลทหารราบยานเกราะ "ฟูเรอห์" เดินทางมาถึง และร่วมกันเข้าตีแนวหน้าของรัสเซียอย่างรุนแรง ส่งผลให้กองทัพรถถังโซเวียต ที่ 3 และกองทัพรถถังโซเวียตที่ 4 ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะกองทัพรถถังโซเวียตที่ 3 นั้นถูกทำลายอย่างหนักจนเกือบสิ้นสภาพความเป็นกองทัพรถถังเลยทีเดียว

เมื่อได้รับชัยชนะ หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็พยายามรุกต่อไป แต่ด้วยความขาดแคลนทั้งกำลังพลและรถถัง ทำให้กองทัพรัสเซียเป็นฝ่ายรุกตอบโต้กลับมาอีก โดยเฉพาะในวันที่ 14 มีนาคม กองทัพยูเครเนียน-โซเวียต ที่ 4 เปิดฉากรุกใส่กองทัพยานเกราะที่ 4 ที่อ่อนระโหยโรยแรงเต็มที แต่โชคยังเข้าข้างเยอรมันอยู่บ้างที่กองพลยานเกราะ ที่ 16 สังกัดกองทัพน้อยยานเกราะ ที่ 24 เดินทางมาถึงและสามารถนำกำลังพลของกองทัพยานเกราะ ที่ 4 ฝ่าวงล้อมของทหารรัสเซียออกมาได้ พร้อมๆ กับรวบรวมกำลังที่เหลือรุกเข้าใส่ทหารรัสเซียจนได้รับความสูญเสียอย่างหนักและต้องชะลอแผนการบุกลงเพื่อปรับกำลังใหม่

อย่างไรก็ตามกระแสน้ำแห่งชัยชนะในสงครามไม่มีวันหวนกลับมาสู่เยอรมันอีกต่อไปแล้ว กองทัพรัสเซีย กองทัพสหรัฐฯ และสัมพันธมิตรยังคงรุกเข้ามายังดินแดนเยอรมันอย่างไม่หยุดยั้ง ในกลางเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 เยอรมันรวบรวมรถถังและยานเกราะหลากชนิดที่หลงเหลืออยู่จำนวนไม่เกิน 25 คัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการฝึก

ส่วนกำลังพลประจำรถก็จัดจากโรงเรียนทหารต่างๆ จัดตั้งเป็นกองพลยานเกราะ คลอสวิทซ์ (Panzer Division Clausewitz) และเข้าตีกองทัพสหรัฐฯ ที่กำลังรุกเข้ามาแม่น้ำ "เอลเบ" (Elbe) แม้ว่าในช่วงแรกทหารเยอรมันจะเริ่มต้นได้ดีด้วยการหยุดยั้งทหารอเมริกันได้ แต่เมื่อกำลังหนุนของสหรัฐฯ มาถึง กองพลยานเกราะ คลอสวิทซ์ ก็ตกอยู่ในวงล้อมและแม้จะต่อสู้อย่างหลังชนฝา ทหารเยอรมันทั้งหมดก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นในวันที่ 21 เมษายน

ขณะเดียวกันกองทัพรัสเซียก็เคลื่อนที่เข้าสู่กรุงเบอร์ลินผ่านทางแม่น้ำ โอเดอร์ แต่หน่วยยานเกราะของเยอรมันก็ยังไม่สิ้นเขี้ยวเล็บ ในวันที่ 16 เมษายน รถถังแพนเธอร์ ของกรมยานเกราะเอสเอส ที่ 11 และรถถังไทเกอร์ของกองพันรถถังหนักเอสเอส ที่ 503 ได้ซุ่มโจมตีกรมรถถังของรัสเซียที่เคลื่อนที่เข้ามาย่ามใจ เป็นผลให้รถถังรัสเซียจำนวนกว่า 50 คันถูกทำลายลง พร้อมๆ กับที่กองพลยานเกราะ มุนช์แบร์ก ก็ซุ่มโจมตีกรมรถถังของรัสเซียอีกกรมหนึ่งที่เมือง ดีเดอร์ ทำให้รถถังนับสิบคันของรัสเซียถูกทำลาย รวมทั้งกองพันรถถังหนักเอส เอส ที่ 502 ก็โจมตีกองทัพน้อยการ์ด ที่ 8 ของรัสเซียจนแทบละลายทั้งกองพัน

ชัยชนะเหล่านี้แม้จะเป็นชัยชนะในช่วงเวลาสุดท้าย แต่ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของหน่วยยานเกราะเยอรมันได้เป็นอย่างดี พวกเขาต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของพวกเขาแม้จะตระหนักดีว่า ไม่มีคำว่าชัยชนะสำหรับเยอรมันอีกต่อไปแล้ว ในช่วงสุดท้ายของการรบในกรุงเบอร์ลินก่อนสิ้นสุดสงคราม มีรถถังของเยอรมันหลงเหลืออยู่ไม่ถึง 70 คันพร้อมด้วยรถปืนใหญ่อัตตาจรชุดสุดท้ายจำนวน 31 คันของกองพลยานเกราะ มุนช์แบร์ก, กองพลน้อยรถปืนใหญ่อัตตาจร ที่ 249, กองพลทหารราบยานเกราะที่ 18 และกองพลทหารราบยานเกราะที่ 25 ที่ยังคงต่อสู้กับกองทัพรถถังรัสเซียที่เคลื่อนที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะกองพลน้อยรถปืนใหญ่อัตตาจร ที่ 249 นั้นได้เดินทางมาจากนอกกรุงเบอร์ลินและฝ่าวงล้อมทหารรัสเซียเข้าไปร่วมต่่อสู้กับทหารเยอรมันหน่วยอื่นๆ ในเมือง ทหารเยอรมันต่อสู้อย่างเหนียวแน่นจะกระทั่งเหลือรถปืนใหญ่อัตตาจรเพียง 9 คันที่ยังคงปักหลักอยู่ในบริเวณโรงเรียนมัธยมเบอร์ลินซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้าย

จนกระทั่งในคืนวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 ข่าวการฆ่าตัวตายของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก็เผยแพร่ออกมา ทหารยานเกราะของกองพลน้อยปืนใหญ่อัตตาจร ที่ 249 พร้อมรถปืนใหญ่อัตตาจรที่เหลืออยู่เพียง 3 คันก็ตัดสินใจฝ่าวงล้อมของทหารรัสเซียเพื่อต้องการไปยอมจำนนต่อทหารสหรัฐฯ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของกรุงเบอร์ลิน แต่รถทั้งสามคันก็ถูกรถถังรัสเซียยิงทำลายอย่างรวดเร็วเมื่อเคลื่อนที่ผ่านบริเวณเขต สแปนเดา

อย่างไรก็ตามพลประจำรถที่เหลืออยู่ส่วนหนึ่งซึ่งรวมทั้งผู้บัญชาการกองพลน้อยปืนใหญ่อัตตาจร ที่ 249 สามารถเล็ดรอดผ่านแนวของทหารรัสเซียออกไปมอบตัวต่อทหารสหรัฐฯ ได้ในที่สุด และในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 กรุงเบอร์ลินก็ถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซีย การต่อต้านของหน่วยยานเกราะเยอรมันก็ยุติลงพร้อมๆ กับการปิดฉากความยิ่งใหญ่และห้าวหาญของหน่วยยานเกราะเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สองอย่างสมบูรณ์





Create Date : 05 มีนาคม 2555
Last Update : 9 กรกฎาคม 2556 10:57:18 น. 7 comments
Counter : 7611 Pageviews.

 
ขอบคุณมากๆครับ


โดย: คนรู้ใจ IP: 124.120.32.242 วันที่: 6 เมษายน 2555 เวลา:13:01:13 น.  

 
ชอบมากๆครับ รายละเอียดดีมากๆ


โดย: ภูมิพัฒน์ IP: 182.53.86.72 วันที่: 4 มิถุนายน 2555 เวลา:21:41:15 น.  

 
รายละเอียดดีมากๆ เจ๋งคับ


โดย: กู้เกีรติ IP: 183.89.44.87 วันที่: 7 มิถุนายน 2555 เวลา:16:01:24 น.  

 
สงสารทหารเยรมันจังมีผู้นำบัดซบสุดท้ายก็หนีปัญหาไปคนเดียวชั่วหวะ ขอบคุณครับสำหรับสาระดีๆแบบนี้ประเทศที่รบกันอยู่ตอนนี้มันจะดูเป็นตัวอย่างไหมน๊อ


โดย: ไฮเตอร์ IP: 101.51.5.12 วันที่: 6 กันยายน 2555 เวลา:21:16:00 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: sillfai IP: 58.11.163.162 วันที่: 10 ธันวาคม 2555 เวลา:22:09:33 น.  

 
สู้จนหยดสุดท้ายจิงๆ


โดย: king tiger IP: 58.9.30.23 วันที่: 14 สิงหาคม 2556 เวลา:17:11:32 น.  

 
Magnificent goods from you, man. I've understand your stuff previous to and you are just too great. I actually like what you've acquired here, certainly like what you are saying and the way in which you say it. You make it enjoyable and you still take care of to keep it sensible. I can not wait to read much more from you. This is actually a tremendous site.
Pandora Charms //www.tnsi.com/onlines.aspx


โดย: Pandora Charms IP: 94.23.252.21 วันที่: 12 สิงหาคม 2557 เวลา:7:40:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

unmoknight
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 49 คน [?]




ฉันจะบิน ... บินไป ... ไกลแสนไกลไม่หวั่น
เก็บร้อยความฝันที่มันเรียงราย ...
ให้กลายมาเป็นความจริง ...
New Comments
Friends' blogs
[Add unmoknight's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.