bloggang.com mainmenu search
ตอนนี้ไม่อยากให้เกิด....แต่ก็ต้องเกิด ....เฮ้อ ออกอาการเดียวกะ คุณ ก้อปศักดิ์ ล่ะครับ คือ ไม่มีก็ไม่ได้ รู้สึกชีวิตไม่ค่อยจะปลอดภัย.....เลย..."จำเป็น" ที่จะต้องมี นั่นคือ "เหล็กดัด" นั่นเอง

เอาล่ะครับ พอว่ากันเรื่องเหล็กดัด....ก็มีร้านหลายร้านมาให้เลือกสรร ซึ่งแต่ละร้าน ก็คิวทอง....งานเยอะล้นมือกัน หามาแต่ละเจ้า...ต้องรอเป็นเดือน กว่าจะเข้ามาติดตั้งให้ได้ ก็เข้าใจนะครับว่า ก็ต้องใช้เวลาทำชิ้นงานขึ้นด้วย...

ผมเองใจจริงทีแรกก็อยากจะติดเหล็กดัดแค่ชั้น 1 และ ชั้น 2 ....แต่พอคิดไปคิดว่า บ้านเรา...ขอบหน้าต่างบ้านสูงจากพื้นมาแค่หัวเข่าเอง...น่ากลัวเหมือนกัน เพราะน้องแทนก็ซนจริงๆ....กลัวจะพลัดตกลงมา เลยนอกจากเพื่อป้องกันขโมยแล้วยังเอาไว้ป้องกันเด็กๆ ไว้อีกทางนึงด้วยครับ

สรุปติดมันทั้งหลังเลยนั่นแหล่ะ ...ติดต่อให้ร้านนู้นร้านนี้เข้ามาดูหน้างาน...ก็ยังไม่มีร้านไหนทำให้ เพราะคิวเยอะมากจนผมรอไม่ไหวบ้างล่ะ....กับอีกร้านประเภทนึง....."กลัวการทำงานกับบ้านผม"....คือกลัวทำมาแล้วไม่สวยแล้วผมจะไม่รับ เพราะผมพูดบอกกับทุกเจ้าเลยว่า ถ้าคิดว่าจะทำงานแบบขอไปที ผมไม่รับนะครับ (ถือเป็นการขู่ ดักต้นทางไว้เลย)....เป็นการกรองไว้ระดับนึง.......และในบางร้าน ตั้งราคาไว้สูงเว่อร์ ซึ่งก็ไม่รู้จะแพงอะไรขนาดนั้น กับแค่ เหล็ก 4 หุนตัน+สีอบ..........เลยเป็นเหตุให้ใช้เวลานานพอสมควรเลยทีเดียว

สุดท้ายก็มาได้ร้านที่กล้ารับทำ...ฝีมือที่ออกมา ก็ไม่ได้สวยเลิศเลอ perfect อะไร แต่มองด้วยตาผมเองก็ถือว่ายอมรับได้ในระดับของ คนที่เชื่อมเหล็กเป็นอย่างผม (เคยเรียนเชื่อมเหล็กมาก่อน) ว่าจุดเชื่อมที่สวยงามและแข็งแรงควรเป็นแบบใด......และเป็นการเลี่ยงไม่ได้ว่าจะเกิดการบิดงอในบางจุดอันเนื่องมาจากความร้อน..........ถือว่างานที่ออกมาโอเคพอยอมรับได้ครับ (เพราะเป้าหมายผม ไม่ได้ใช้เพื่อความสวยงาม แต่เพื่อความปลอดภัย และต้องไม่ทำให้ความสวยงามเดิมลดลงไปมากนัก)


หลังจากที่ร้านทำชิ้นงานเสร็จผมก็ไปตรวจดูผลงานที่ร้านก่อนจะนำมาติดตั้ง
ผมทำสีอบดำ (เพราะกรอบหน้าต่างผมเป็น อลูมิเนียมสีดำ หากใช้สีอบขาว ก็จะขัดกันไม่น้อยและทำให้ เหล็กดัดมันดูลอยเด่นขึ้นมา....ไม่งามแน่ๆ)





เมื่อยกนำมาวางพิงเทียบ....จะเห็นได้ว่า ขอบ มันเลยกรอบออกมา (ออกมาข้างละประมาณ 5 cm.) .......สวยมั๊ยครับ.......บอกเลยว่า "ไม่สวยเลยแม้แต่น้อย น่าเกลียดสุดๆ"........แล้วทำไมผมถึงทำเช่นนี้.........


ประเด็นเลยครับว่า ถ้าหากติดภายในกรอบหน้าต่างที่เป็น อลูมิเนียม...ก็จะต้องเจาะยึดเข้าไป ซึ่ง....จะทำให้งานออกมาดู เรียบร้อย สวยงามดี แต่โทษนะครับ "ขโมยชอบมากกก" แบบนี้ เพราะเค้าแค่ใช้ไขควงใหญ่ๆเสียบงัด....อลูมิเนียมที่ว่าหนาๆ ก็ฉีกหลุดออกมาโดยง่าย.....แล้วจะติดไปเพื่ออะไรล่ะครับนั่น






จะเน้นเอาในเรื่องความแข็งแรงจริงๆคือ ต้องเจาะปูน แล้วฝังพุกยึดไปเลย และการจะทำแบบนี้ ก็ต้องเว้นระยะห่างจากกรอบอลูมิเนียมออกมาอย่างน้อย 5 cm. เพื่อที่เวลาจะตอกฝังพุก ปูนจะได้ไม่ร้าว ไม่แตก เสียหาย
(แต่ไม่ต้องห่วง เหอๆๆ....ผมหาทางแก้เอาไว้ล่ะในเรื่องการปกปิด ความน่าเกลียดอันเกิดจาก สาเหตุการติดตั้งแบบนี้)






เว้นช่องเอาไว้ให้มือสอดเข้าไปบิดที่ล็อคหน้าต่าง ได้สะดวกๆ





ดูใกล้ๆอีกที หัวน๊อตโผล่เชียว.......เสร็จแล้วเด็วก็เอาสีดำมาแต้มๆ ปิดไปซะ





คราวนี้มาดูการติดตั้งประตูเหล็กดัดกันบ้าง....สมัยเก่า ก็จะเป็นรางเหล็กแล้วใช้ชุดรางเลื่อนหน้าตาคล้ายๆตะกั่ว ซึ่ง "พัง ง่าย" ก็แปลก แต่จริงครับ ที่บ้านเดิมผมก็เป็นรุ่นที่ว่านี่แหล่ะ พังแล้วพังอีกจนขี้เกียจซ่อม.....รุ่นใหม่ก็จะเนราง อลูมิเนียมยึดด้านบนอย่างนี้เลย .....เรื่องความลื่นนี้ ปรื๊ดๆดีครับ....แต่ก็สงสัยในเรื่องความแข็งแรงอยู่เหมือนกัน...ช่าง confirm แค่ว่า "แข็งแรงมากนะ"......ก็คงต้องลองให้ดูไปล่ะครับ เพราะเชื่ออยู่อย่างว่า....ไม่มีอะไรแข็งแรงอยู่ค้ำฟ้าหรอก...



หน้าตาของรางเลื่อน





หลังจากติดตั้งเสร็จ







หลังจากนั้นเราก็มาต่อกันที่งาน ผ้าม่านล่ะครับ .....เรื่องผ้าม่านก็อีกเช่นกัน....ไปเลือกมาหลายร้าน และ แต่ละร้าน (ส่วนใหญ่ก็ได้จากร้านที่เดินในงาน เมืองทอง พวกบรรดาร้านที่ไปเปิดบูทกันในนั้น...มีกันทั้งปี งานเฟอร์นิเจอร์ แฟร์ นู่นนี่นั่น).......ซึ่งราคา บอกได้คำเดียวเลยว่า....."แพงครับ....."....ทำให้เข้าใจได้เลยอย่างนึงว่า....ไม่ต้องไปหาร้านผ้าม่านที่ไปเปิดบูทในงาน ต่างๆ ได้เลย.....พวกนี้รอฟันพวกเดินหลงเข้าไป ......

..ผมทำผ้าม่านทั้งหลัง ซึ่งมีแบบ และวัดคร่าวๆ หน้าต่างประตูทุกหลัง แล้วไล่เดิน check ราคา ในงานเมืองทอง เจอราคาตั้งแต่ 100,000+ นิดส์ๆ ถูกสุดคือ 80,000+ .....โอว แพงมาก และผ้าที่ผมเลือกก็ไม่ได้ใช้ผ้ามีเกรด ไฮโซ อย่างพวก PASAYA อะไรเลยนะ...ฮึ่ม


งานนี้ ถอยมาตั้งหลัก....จนว่าจะทำเองละ เพราะรางก็มีแยกขาย แถม คุณแม่ผมเองก็เป็นช่างเย็บผ้า ด้วย ไปซื้อผ้ามาให้แม่เย็บให้ ดีกว่า...ประหยัดงบไปได้ เกิน 60% แน่ๆ...........

แต่แล้ว เมื่อวันที่จะไปซื้อผ้า เพื่อจะมาทำผ้าม่าน....เกิดแรงดลใจแวะร้านทำผ้าม่าน ที่อยู่ท้ายซอยบ้านผมเอง....เข้าไปคุยเล่นถามนู่นนี่นั่น แล้วก็เลือกผ้า "ซึ่งเป็นผ้า ยี่ห้อเดียว และลายเดียวกัน กับที่ผมเลือกจากร้านที่เปิดบูทขายในเมืองทอง...ผมจำได้ดีเลยล่ะ เพราะการจัดเรียงผ้าในเล่มและลายมันเหมือนกันเดี๊ยะ หน้าปกก็ใช่"......

คิดราคาออกมา ติ๊ดๆๆๆ "49,000" บาท ค่ะน้อง.....ผม แทบอยากจะร้อง "หา!!!".......ที่ต้องร้องเพราะ ผมเลือกลายผ้า ลายเดียวกะที่ผมเลือกในร้านที่เปิดบูท แต่ดันต่างกันตรงที่ แบบผ้าม่านจากร้านเปิดบูท ให้แค่ spec ม่านพับ (คือม่านที่มีรอกชักแล้วมันจะพับๆๆ เป็นชั้นๆ ขึ้นไปกองอยู่ด้านบน) ....ซึ่งผมไม่เอาแบบนี้อ่ะ......ผมชอบแบบม่านตาไก่.....ซึ่งราคาแพงกว่านะคะ (ร้านในเมืองทอง ว่างั้น) เพราะมันใช้ผ้าเยอะกว่า และราคารางก็แพง.........


งงๆๆ จากราคา 80000+ มาเหลือ 49,000 ครึ่งต่อครึ่ง.....ฮาไหมล่ะครับ....ไม่ไปมันแล้วซื้อผ้ามาทำเอง....สรุป จ้างทำเลยครับ ให้เข้าไปวัดที่หน้างานอีกรอบเลย เพราะอยู่ใกล้ๆกันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร......กลับเข้ามาบ้าน อย่างมีความสุขบอกแม่ว่าไม่ต้องลำบากละ...ฮ่าๆๆๆ


ใช้เวลาทำนานเกือบเดือน เพราะก็รอให้เหล็กดัดเข้ามาติดตั้งให้เสร็จก่อน เพื่อจะได้ประเมินอีกรอบว่าควรเผื่อระยะขอบผ้าม่านให้ห่างซักเท่าไหร่...และขาผ้าม่านต้องตั้งมาไกลแค่ไหน ทางร้านจะได้เตรียมของๆได้ถูก....ก็ใช้เวลาแค่ อาทิตย์เดียวหลังจาก ติดเหล็กดัดเสร็จ งานผ้าม่านก็เข้าจัดการต่อ



มาถึงก็กางข้าวของเตรียมติดตั้ง






ช่างขึ้นไปวัดระยะและ mark จุดเตรียมติดขายึดผ้าม่าน





การติดตั้งในฝ้าหลุมที่ทำเอาไว้ ใช้รางตาไก่ไม่ได้ ก็ต้องเป็น รางของม่านจีบไป และการยึดน็อต ก็ใช้น็อตเกลียวปล่อย ยิงขึ้นไปให้เกาะกับ ขอบ ฝ้าที่จะมี เหล็กโครง C บาร์ รับแผ่นฝ้าเอาไว้อยู่ เพื่อความแข็งแรง......





แต่ถ้าจุดไหนไม่มีเหล็กโครงฝ้าอยู่ ช่างก็จะใช้ "พุกระเบิด" ศัพท์ช่างแปลก ฟังดูน่ากลัว......หน้าตามันก็ประมาณนี้ครับ คือพอน็อตขันเข้าตรงกลางมันก็จะถ่างๆๆๆ ออก จนแนบแน่นไปกะแผ่นฝ้าด้านบน ไป.....






และตรงนี้ ที่ต้องใช้ ขายึดแบบ 3 ชั้น เพราะมีเหล็กดัด ที่ประตูบานเฟี้ยม และ เหล็กดัดตัวนี้ก็สามารถ เปิดเป็น บานเฟี้ยมที่ด้านในได้อีกเช่นกัน ทำให้ต้องเว้นระยะห่างออกมาพอสมควรเพื่อไม่ให้เกะกะเวลาจะเปิดหรือปิดประตู






หน้าตาหลังติดผ้าม่าน ที่ หน้าต่าง เสร็จแล้ว





ฝั่งโซน ห้องทานอาหาร.....ผมชอบแนว ผ้าม่านทิ้งตัวยาวตลอด อย่างงี้ล่ะครับ มันให้ความรู้สึกมีมิติมากขึ้นดี........ทำไปทำมาออกมาแนว โรงแรมๆ เลยนะเนี่ย Feel เดียวกันเลย ...แหะๆๆๆ






คราวนี้ลองมาดูในห้องสีชมพูกันหน่อย...(ผ้าม่านผมใช้สีเดียวกันทั้งหลัง เพราะไม่อยากให้แต่ละห้องมันดูโดดและแตกต่างกันมากจนเกินไป...เอาแค่สีแต่ละห้องมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว....เอา ผ้าม่านมา break เอาไว้หน่อย....จะได้ให้ยังรู้สึกว่า มันเป็นบ้านเดียวกันอยู่)






ห้องทำงานสีฟ้า...ก็ยังเข้ากันได้ดีกับผ้าม่านสีเทา





ห้องนอนรับแขกสีม่วงๆ









ห้องสีเขียวของน้องแทน






จะมีที่แปลกๆไม่เหมือนชาวบ้านเค้า ก็ห้องปูนเปลือย ซึ่ง จะเอาไว้ลงให้ชมในตอนหน้า คงมาพร้อมกะชุดครัวล่ะครับ (คุณหญิงแก่นรอดูชุดครัวอยู่นิครับ...ขอติดไว้ตอนหน้านะครับ จะได้เอามาลงให้ดูเต็มๆครับ)....

ตรงนี้เป็นโซนหน้าบ้านชั้น 2 ที่มีแสงเข้าให้ช่วงบ่ายๆแล้ว และต้องการแสงในบางช่างอยู่...เลยเลือกใช้ ม่านปรับแสง......ม่านปรับแสงตัวนี้ ได้มาจากในงานเมืองทอง น่ะครับ เพราะเห็นว่ามันเป็น ไวนิลและมีความแข็งแรงอยู่พอตัว เพราะตะขอเกี่ยวเป็น พลาสติก ABS เกรด.....รูดแบบกระชากๆก็ไม่มีแตก....แถมพอรูดปรับเกร็ดให้พลิกมาจนหมดแล้ว ก็ยังสามารถรูดต่อเรื่อยๆได้ไม่มีฝืน ซึ่งจะเป็นปัญหากับ รางม่านปรับแสงรุ่นเก่าๆ (ที่ Office ผมก็ใช้รุ่นเก่าๆๆ ที่ว่าเนี่ยละครับ เจ๊งเป็นแถบๆ กลัวเหมือนกันที่จะใช้แบบนี้ในทีแรก...แต่เจอ design นี้...ถูกใจล่ะครับ) แถมราคาสมเหตุสมผลดี (อิอิ อันนี้สำคัญๆ)





พอรูดมาเต็มพื้นที่ และเปิดรับแสงแบบเต็มๆ ก็ไม่ได้ลดทอนแสงลง...แต่การบดบังทัศนียภาพ ก็ให้ความรู้สึกแนว Office เลย....แปลกดี





ทดสอบปรับให้แสงเข้ามาน้อยลงหน่อย และบังตาคนภายนอก






ปิดทึบไปเลย...สังเกตุว่าก็ยังมีแสงแพลมๆออกมาบ้าง....ก็อย่างว่าล่ะครับ ม่านปรับแสงก็ไม่ได้กันหมด คงลอดออกมาตามช่องพวกนี้ล่ะ





และบรรดาช่องแสงต่างๆ....ที่อยู่ตาม บรรได....ก็ไปหาพวก ม่านปรับแสงไม้มาใส่ไป .....อืม...มันดูหรู...ขึ้นเลยแหะ...ฮ่าๆๆ บ้านเราก็ขอแอบหรูกะเค้าหน่อยๆเหมือนกัน




ทดสอบปิดทึบไปเลย.....





และตรงนี้ที่ติดเหล็กดัดไว้ ดูน่าเกลียดมากครับ....พอเอาม่านมาปิดไว้ค่อยยังชั่ว...เฮ้อ






ตรงนี้รูดมันลงมาปิดไปเลยดีกว่า...แล้วปรับแสงเอา...






วิ่งกลับลงไปส่องขึ้นมาดู.....เอ้อ! เอางี้ล่ะ...ปรับแสงเท่านี้ไว้เลย...ไม่แยงตาดีเหมือนกัน






ตอนหน้า จะมาลง เรื่องผ้าม่านต่อในส่วน ของ ห้องผนังกระจกที่เหลือ นะครับ ร่วมกับ งานส่วนครัว built-in ไปเลย และฝากทิ้งท้ายไว้ว่า....ตอนเลือกผ้าม่านว่าจะเอาลายไหน ก็อย่าลืมดูว่า ลายนั้นๆที่เราชอบ มีขนาด หน้ากว้างเท่าไหร่ พอไหมกับความยาวของช่องที่เราจะใช้ เพราะไม่งั้นก็ต้อง ต่อผ้าเอานะครับ.....




อ๋อออ...ลืมเล่าเรื่องฮาๆๆ ตอนไปเลือกผ้าม่านที่ร้าน มีน้องคนนึงกำลังตัดสินใจเลือกลาย และ ประเภทราง. เลือกอยู่นานตัดสินใจไม่ได้ซักที....ไปๆมาๆมาให้ผมช่วยเลือกให้ทั้งหมดเลย บอกแค่ ว่า ห้องตัวเองสีอะไร เป็นห้องนอน แล้วตัวเองชอบโทนสีอะไร....ผมก็เลือกให้ซะ..จบไป..ไม่รู้ตอนนี้จะด่าผมไปยังเนี่ยดันมาให้เราเลือกให้ซะงั้น.....จะโชคดีหรือโชคร้ายของน้องเค้านะเนี่ย...ฮ่าๆๆๆ
Create Date :29 กันยายน 2554 Last Update :29 กันยายน 2554 13:42:37 น. Counter : Pageviews. Comments :22