bloggang.com mainmenu search


:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 238 ::


โจทย์ --- ในความทรงจำ

ผู้คิดโจทย์ --- toor36










:: วันก่อนเก่า ::

เรื่องและภาพ : กะว่าก๋า









1. ความทรงจำในวัยเด็กของผมมีน้อยเหลือเกิน
จำได้แค่ว่าเกิดกรุงเทพฯ เรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯจนถึงชั้นประถมปีที่ 5
จากนั้นครอบครัวก็ย้ายไปอยู่จังหวัดเลยสองปี แล้วค่อยย้ายมาอยู่เชียงใหม่จนถึงปัจจุบัน



2. ผมเป็นเด็กซึ่งเรียนหนังสือไม่เก่งเลย เคยสอบได้ที่ 30 กว่าจากเด็ก 40 คน
ชอบนั่งหลังห้อง วาดภาพการ์ตูนญี่ปุ่นลงไปในสมุดเรียนเต็มไปหมดทั้งเล่ม
มีเพื่อนสองคนในห้องก็เป็นตัวแสบประจำห้อง ชอบแซวเพื่อนผู้หญิง แกล้งเพื่อนตลอดเวลา



3. จนวันหนึ่งพ่อบอกว่าเราต้องย้ายบ้านแล้วนะ ตอนนั้นธุรกิจของครอบครัวประสบภาวะขาดทุน
พ่อเคยทำเครื่องหนังส่งออกต่างประเทศ จู่ ๆ ก็ถูกโกงจนหมดเงินไปเป็นจำนวนมาก
เท่ากับต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบาก หรือเป็นความทรงจำที่แย่
เพราะพ่อกับแม่เลี้ยงดูมาโดยไม่ให้ลูก ๆ รับรู้อะไรมาก และพี่น้องทั้งสี่คนก็ยังเด็กอยู่
มีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียว เรียนเสร็จก็เล่นไปวัน ๆ



4. ผมยังจำบรรยากาศตอนนั่งรถสิบล้อออกจากกรุงเทพ ผมนั่งอยู่ด้านท้ายรถ
ข้าวของเครื่องใช้เต็มรถ นั่งมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน ลมตีหน้าไปตลอดทาง
รู้สึกสนุกและไม่เศร้าเลยที่ต้องจากเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนโดยไม่ทันได้ร่ำลา
ชีวิตสองปีที่จังหวัดเลยมอบประสบการณ์ที่ดีให้ผมในเรื่องศิลปะ
ผมได้เข้าค่ายศิลปะของโรงเรียน ฝึกวาดภาพอย่างจริงจังทุกวันแม้กระทั่งช่วงปิดเทอม
ในยุคนั้นโรงเรียนสองแห่งของจังหวัดเลยมีชื่อเสียงระดับประเทศและระดับโลกด้านการประกวดวาดภาพ
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ จากเด็กท้ายห้องซึ่งเรียนไม่เก่ง ผมกลับกลายเป็นเด็กเรียนดี
สอบได้ที่ 1 ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนทำหน้าที่แสดงการรำการเต้น
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วผมเป็นเด็กขี้อายมาก



5. พอย้ายมาอยู่เชียงใหม่ เริ่มเรียนมัธยม 2 ครูถามว่าผมมีความสามารถอะไรบ้าง
ผมเลยบอกว่าพอวาดรูปเป็นครับ ตั้งแต่นั้นผมก็กลายเป็นตัวแทนโรงเรียนในการประกวดวาดภาพ
กระเป๋านักเรียนของผมจะมีสีเตรียมไว้เสมอ บางวันไปโรงเรียนแต่ไม่ได้เรียน
ครูจะแจ้งว่าต้องเป็นตัวแทนไปประกวดวาดภาพที่นั่นที่นี่ ได้รางวัลบ้าง ไม่ได้รางวัลบ้าง
พอเรียนจบระดับมัธยม 3 ผมตั้งใจเลือกเรียนสายอาชีพ ตอนแรกอยากเข้าเรียนคณะศิลปกรรม
แต่พ่อบอกว่าไม่เรียนได้ไหม ? ศิลปินไส้แห้งจะตาย
ผมจึงเปลี่ยนไปเลือกเรียนสถาปัตยกรรมแทน แล้วก็สอบได้อย่างที่ตั้งใจ
5 ปีที่เรียนอยู่ที่นี่ ผมกลายเป็นหัวหน้าห้อง ประธานแผนก และเป็นประธานนักศึกษา
ประสบการณ์ที่นี่เป็นสิ่งที่ผมประทับใจมาก ทำให้ผมอยากเป็นครู
ผมตั้งใจเรียน และชอบทำกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงวัยนี้การเรียนกับกิจกรรมเป็นสองอย่าง
ซึ่งผมให้เวลากับมันมากที่สุด รวมถึงสิ่งหนึ่งที่ชอบมาก ๆ นั่นคือ การอ่านหนังสือ



6. ผมอ่านหนังสือทุกแนว ว่างเมื่อไหร่ก็เข้าห้องสมุด ทุกอาทิตย์จะเก็บเงินค่าขนมเอาไว้
โดยแทบไม่กินขนมอะไรเลย เพื่อนำเงินเก็บไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือมือสองมาอ่าน
ถ้ามีเวลาว่างก็ซ้อมกีตาร์ โดยเรียนรู้เอง ฝึกเอง เล่นเองทุกวัน



7. หลังเรียนจบปริญญาตรี ผมกลับมาเป็นสถาปนิกได้หนึ่งเดือน
พ่อบอกให้ไปลาออกเพื่อมาช่วยงานที่ร้าน พ่อจะเปิดร้านเครื่องหนังอีกครั้ง
ผมกับพ่อเริ่มต้นจากติดลบ เพราะพ่อเป็นหนี้ก้อนโต
ซึ่งเกิดจากการส่งเครื่องหนังให้เพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านขาย
พอเพื่อนเจ๊ง พ่อก็ต้องแบกรับหนี้ตามไปด้วย สุดท้ายพ่อจึงตกลงกับเพื่อนว่า
ขอเช่าร้านเดิมมาเปิดใหม่เป็นร้านเครื่องหนังของตัวเอง โดยเปิดร้านทั้ง ๆ ที่ไม่มีทุนและมีหนี้ก้อนโต
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาทำร้านเครื่องหนังเลย ความตั้งใจจริงคือ อยากเป็นสถาปนิก
แล้วจะไปเป็นครูสอนเด็ก อยากทำงานศิลปะ อยากเล่นดนตรี
ผมใช้เวลาเรียนวิชาสถาปัตยกรรมทั้งหมด 7 ปี ทำงานเป็นสถาปนิก 1 เดือน
ก็กลายสภาพมาเป็นพ่อค้า.... วันที่เดินไปขอลาออกกับเจ้านาย
ท่านยังตกใจ ถามว่ามีอะไรรึเปล่า ผมบอกเจ้านายว่า
เปล่าครับ...พอดีพ่ออยากให้ไปช่วยงานที่ร้าน ตอนนั้นพี่ชายผมไปเปิดร้านถ่ายรูปของตัวเอง
น้องสาวอีกสองคนก็เรียนอยู่ จึงไม่มีใครช่วยพ่อ เจ้านายจึงเข้าใจและอวยพรให้ผม
ในชีวิตนี้ผมจึงมีเจ้านายคนเดียว อีกคนคือพ่อตัวเอง



8. ห้าปีแรกซึ่งทำงานที่ร้าน ผมไม่มีความสุขในชีวิตเลย มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบเจอ
วิธีทำงานที่แตกต่าง การทำงานในระบบครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย
ไหนจะลูกน้องจำนวนมาก วัน ๆ เต็มไปด้วยปัญหา ความเครียด
คนร้อยพ่อพันแม่ หลากนิสัย ตั้งแต่ดีสุด ๆ ไปจนเห็นแก่ตัวแบบสุด ๆ
ผมทำงานด้วยความทุกข์ เหนื่อยมาก เพราะเรายังมีหนี้ก้อนโตต้องชดใช้คืน



9. จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อผมเดินทางไปเที่ยวที่เมืองกุ้ยโจว ประเทศจีน
ไปกับทัวร์ และได้เห็นภูเขาอันยิ่งใหญ่ซับซ้อนตระการตา
วินาทีหนึ่งผมเห็นตัวเองเหมือนฝุ่นผง
ความทุกข์ที่เคยรู้สึกว่ามันกดทับในใจหายไป ผมได้ค้นพบคำตอบอะไรบางอย่างกับตัวเอง
เมื่อกลับมาทำงานอีกครั้ง ผมพบว่าเมื่อเราเปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยนได้ในทันที
การงานซึ่งเคยน่าเบื่อหน่าย กลายเป็นขุมทรัพย์แห่งการเรียนรู้
ผู้คนซึ่งผมเคยชิงชัง รังเกียจ กลายเป็นครูผู้สอนสั่งบทเรียนที่ดีให้กับความคิดได้มากมาย
ผมกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนที่ผมรัก ผมเคยคิดว่าอยากอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต
แต่เมื่อเปลี่ยนความคิด ผมก็ได้พบผู้หญิงที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิต
แฟนคนแรกที่คบหาและเดินไปขอทำความรู้จัก
กลายเป็นรักแรกพบ และคู่ชีวิตในช่วงที่ผมมีอายุ 28 ปี



10. หลังจากไม่นานนั้นผมก็มีลูก การมีลูกคือความทรงจำซึ่งงดงามที่สุดในชีวิตอีกเรื่องหนึ่ง
ผมไม่เคยมั่นใจเลยว่าตัวเองจะเป็นพ่อที่ดี สมัยเป็นเด็กผมมีโลกส่วนตัวสูงมาก
จนพี่น้องยังเคยบอกว่า บางช่วงเวลาของชีวิตทุกคนในบ้านไม่ค่อยรู้สึกถึงการมีอยู่ของผมเลย
ด้วยเพราะผมเป็นคนเงียบ ๆ ชอบอ่านหนังสือ ชอบฟังเพลง เล่นกีตาร์อยู่คนเดียวในห้อง
ไปเรียนกลับมาก็เดินเข้าห้องทันที ช่วงทำงานก็เหมือนกัน ทำงานเสร็จก็เดินเข้าห้อง
ไม่ออกไปไหนเลย ไม่เดินห้าง ไม่ดูหนัง ไม่เที่ยว ผมใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองมากเหลือเกิน
แต่การมีลูกเปลี่ยนมุมมองทุกสิ่ง เปลี่ยนตารางชีวิตทุกอย่าง
เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนวิธีมองโลก เปลี่ยนนิสัยของตัวเอง
ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายเหลือเกินจากความเป็นพ่อ
และผมคิดว่ามันคือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากของชีวิตอย่างแท้จริง



11. ในความทรงจำ วัยเด็กของผมเหมือนสูญหายไป
อาจเพราะผมใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่รู้สึกว่าตัวเองจนหรือรวย
ไม่รู้ว่าตัวเองเก่งหรือโง่เขลา ไม่รู้สึกว่าตัวเองสบายหรือลำบากกว่าใคร
ผมใช้ชีวิตอยู่ในความเงียบสงบของตัวเอง
ใช้ชีวิตง่าย ๆ จนบางครั้งเกือบจะไม่มีอะไรน่าจดจำ

พอโตขึ้นมาจึงเริ่มมีวีรกรรมแสบ ๆ บ้าง ในตอนที่เป็นวัยรุ่น
ไม่ได้เกเร แต่ออกแนวดื้อเงียบโดยเฉพาะกับครูและอาจารย์
หากเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจ ผมไม่เคยยอมรามือง่าย ๆ
นิสัยใจร้อนไม่ยอมคนจึงติดตัวมาจนถึงช่วงทำงาน
ผมเคยเป็นเจ้านายที่ไม่น่ารัก อารมณ์เสียทีเหมือนระเบิดลง
ด่าลูกน้องกระเจิดกระเจิง เป็นแบบนี้อยู่นาน

รวมทั้งช่วงแรก ๆ ที่สอนลูก ก็สอนลูกด้วยความเด็ดขาดเกรี้ยวกราด
แต่ผมเตือนตัวเองตลอด พยายามปรับปรุงแก้ไขตนเองตลอด
ผมไม่ชอบตัวเองตอนโกรธ ไม่ชอบตอนที่ขาดสติ และใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
ทุกอย่างต้องเรียนรู้ และผมพร้อมที่จะตรวจสอบตนเองอยู่เสมอ
เพื่อขัดเกลาตนเองให้เป็นพ่อที่ดีกว่าเดิม



12. ช่วงหลังผมเขียนหนังสือทุกวัน มันเป็นการสำรวจตรวจสอบตัวเองที่ดี
หลายครั้งข้อความซึ่งเขียนลงไปในสมุด ช่วยดึงรั้งสติ ช่วยเตือนใจ สอนใจ
ให้ผมฉุกคิดถึงวิธีการคิด วิธีการใช้ชีวิตของตัวเอง ว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วหรือยัง












“ความทรงจำ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย
ผมคิดว่ามันเป็นครูที่ดี ให้ประสบการณ์ ให้บทเรียน
ทำให้เราได้มองเห็นตัวเองอย่างที่เป็น มองโลกอย่างที่เป็น มองคนอื่นอย่างที่เป็น
ไม่ใช่คอยใช้ความเชื่อ ความคิด ความต้องการของเรา
ไปเรียกร้องตัดสินให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่เราต้องการ
การทำแบบนั้นมีแต่สร้างความทุกข์ สร้างคอกคุกขังความสุขในใจตน


“ในความทรงจำ” ของผม
ทุกอย่างคือ รอยประทับที่แนบลงไปในหัวใจ
คือ ความหมายที่ขีดเขียนไว้ในความคิด
และทั้งหมด คือ
“ชีวิต” ของผมที่ผ่านมา
และกำลังจะผ่านไป






















 
Create Date :13 ตุลาคม 2562 Last Update :13 ตุลาคม 2562 6:19:36 น. Counter : 1682 Pageviews. Comments :15