bloggang.com mainmenu search





คำถามและการตอบครั้งที่ 3 :




เชื่อเหมือนกันค่ะว่าชาติภพมีจริง…..

คราวนี้ถึงตาพี่ตั้งคำถามบ้างล่ะนะ
คือ เบื่อแล้วค่ะสำหรับการเกิดมามีชีวิต
ถ้าหากไม่อยากเกิดมาในชาติหน้าอีก
กิจว่าพี่ควรจะทำอย่างไรดี

ในความคิดพี่ มีความเชื่อว่าเราทุกคนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
แต่จะทำอย่างไรกรรมมันถึงจะหมดไปในชาตินี้
และไม่ต้องเกิดมาชดใช้ในชาติหน้าคะ

ส่วนใหญ่จะเคยได้ยินมาว่า ต้องทำบุญให้เยอะ ๆในชาตินี้
แต่เราจะรู้ได้ไงว่าต้องทำบุญขนาดไหนถึงจะเพียงพอที่จะล้างหนี้กรรมทั้งหมด
อาจจะยากสักหน่อยนะคะเพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต
และอาจจะตอบออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมไม่ได้
เอาเป็นว่าไม่ซีเรียสมากละกัน ตอบตามวิธีและตามความคิดของกิจนะ



คำถามโดย : เราสองคน (ฝากเธอ )
วันที่ : 28 มีนาคม 2551
เวลา : 14:48:44 น.




********************************





สวัสดีครับพี่ตุ๊ก


คำถามนี้ตอบให้ละเอียดได้ยากมากนะครับ
เหมือนถามว่าปรบมือเสียงดัง
เสียงจากข้าวขวาหรือข้างซ้ายที่ดังกว่ากัน

ผมขอตอบตามความเข้าใจของผม
ท่านใดที่ศึกษาทางธรรมมามากกว่า
กรุณาช่วยกันเสริมในส่วนที่ผมไม่รู้หรือรู้ไม่จริงด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ




......................................




คำถามคือ

1. ไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว ต้องทำอย่างไร ?
2. ทำอย่างไรให้กรรมหมดในชาตินี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาชดใช้กรรมต่อในชาติหน้า
3. ต้องทำบุญมากขนาดไหน จึงจะล้างหนี้กรรมได้หมด ?



...........................................


อ่านย้อนหลังคำตอบครั้ง 1 และ 2 ก่อน
จะทำให้อ่านแล้วเข้าใจเนื้อหามากขึ้นนะครับ
เพราะผมแบ่งตอบคำถามนี้เป็น 4 วันครับ


................................................







คำถามว่าต้องทำบุญมากมายเพียงใด
จึงจะล้างหนี้กรรมได้หมด

ตราบใดที่เรายังไม่รู้ความเท่าเทียมกันของสรรพชีวิต
ไม่รู้ในความจริงที่ว่าคน สัตว์ สิ่งของที่โลกุตระสร้างขึ้น
ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้และคงทนอยู่ได้โดยไม่เสื่อมหรือแตกดับ
ตราบนั้นเรายังคงต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏแห่งการเกิด-ตายมิสุดสิ้น


เจ้ากรรมนายเวรเกิดจากความคิด คำพูด และการกระทำของเรา
จะดับเจ้ากรรมนายเวรก็ต้องเริ่มที่ “จิต” ของเราเอง

ย้อนมองส่องตนว่าคุณธรรมข้อใดในใจของเรา
ที่ทำให้เราคิดเสื่อม คิดเลว พูดเสื่อม พูดเลว
ทำแต่สิ่งเสื่อมทรามและทำแต่สิ่งที่เป็นความเลว


ลด ละ เลิก .....


ปล่อยวางสิ่งที่เราคิดว่าเป็นของเรา

เพราะไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเราแม้กระทั่งชื่อ ตัวตน ทรัพย์สิน
ครอบครัว ในวันที่เราต้องจากโลกนี้ไป ฯลฯ


สิ่งที่เรามีเพียงอย่างเดียว คือ “จิต” ของเรา
จิตที่ไปทางดีก็ได้ ไปทางชั่วก็ได้
จะเกิดอีกกี่รอบก็ได้ หรือไม่เกิดเลยก็ได้


คำถามนี้มิได้ทำให้เราปล่อยวางและเพิกเฉยกับการใช้ชีวิต
นั่นเป็นเพียงความคิดของคนที่โง่งมสุดโต่ง

การคิดปล่อยวางตัวตน หมายถึงการที่เรารู้ว่า
ร่างนี้ที่เรายึดครองอยู่ ถึงเวลามันก็ดับไป ต้องคืนเขาไป
เพราะฉะนั้นเราจะใช้ร่างนี้เพื่อทำแต่สิ่งดี พูดแต่สิ่งดี คิดแต่สิ่งดี

ใช้ชีวิตไปในทางที่สร้างสรรค์และทำประโยชน์กับผู้อื่นให้มากที่สุด
ก่อนถึงช่วงเวลาเสื่อมและแตกดับของสังขารนี้



.............................................




กรรมของเรา เปรียบเสมือนกระแสไฟฟ้า
มันไม่มีรูปร่าง แต่มีพลังงาน
เข้าหลอดไฟ หลอดไฟทำงานให้แสงสว่าง
เข้าพัดลม ให้ลมเย็นชื่นใจ
เข้าที่เป่าผม ให้ลมร้อนระอุ ฯลฯ

ถามว่าเราจำเป็นต้องสนใจไหมว่าหลังจากดับสวิทช์ไฟแล้ว
ไฟฟ้าจะไปที่ใดต่อ

แม้กระทั่งตัววัตถุเองก็มีระยะเวลาการใช้งานของมัน
1 ปีเสีย 10 ปีพัง
ร่างกายเราเองก็เช่นกัน เกิดเป็นคนอยู่ได้ 80 ปี
เกิดเป็นยุง อยู่ได้ 1 อาทิตย์ ฯลฯ


เพราะฉะนั้นเราเองไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่าเราจะเป็นกระแสไฟฟ้าที่ไปเข้าอะไร และจะอยู่ได้นานแค่ไหน

เราแค่ใช้ชีวิต และทำให้ดีที่สุดขณะที่เวลาของเรายังมี




..............................................





“บุญสูงสุด คือ รู้พุทธจิตแห่งตน”

พุทธจิต คืออะไร ?

คือ จิตซึ่งตื่นรู้ในความเป็นจริงแห่งชีวิต
รู้ว่าคนเราเกิดมาล้วนเท่าเทียมกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด ร่วมเจ็บ ร่วมตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน
ใช้ชีวิตจบ ก็ส่งคืนธรรมชาติ

รู้ว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อเผชิญความทุกข์
แต่หากเรามีปัญญา เราจะสามารถเผชิญความทุกข์อย่างรู้เท่าทัน

กายนี้ คือ บททดสอบที่ให้เราได้เรียนรู้ความจริงของชีวิต
สอบเสร็จก็ตายและส่งคืนธรรมชาติ

หากคิดกลับมาเกิดอีก ก็ต้องเจอความทุกข์แบบเดิมซ้ำๆไปตลอดจนสิ้นวงจรชีวิต

เปรียบเหมือนกระแสไฟที่เข้าออกสู่พัดลม ทีวี แอร์ เครื่องจักร
ฯลฯ
หมดอายุขัยก็ออกจากร่างนั้น เข้าสู่ร่างนี้
หมนุวนเปลี่ยนไปไม่สุดสิ้น
ตราบใดที่เรายังยึดติดอยู่กับการเกิด-ตาย และการพยายามรักษาร่างสังขารนี้ไว้



.........................................




ทำอย่างไรให้หมดกรรมที่ได้เคยทำมา ?

เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นคนที่โกรธร้าย โมโหเร็ว
สิ่งที่เราควรทำคือ การฝึกสติ
ให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง
รู้ทันความโกรธของตัวเอง


อยากแก้กรรมที่เกิดจากการคิดร้ายต่อคนอื่น
ต้องแก้ไขวิธีคิดของตัวเองให้รู้จักเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเคียดแค้นพยาบาทในใจลง
เพราะเมื่อทั้งเราและเขาล้วนไม่แตกต่าง ยังจะทำร้ายกันไปทำไม



อยากแก้กรรมที่ชีวิตรักไม่สมหวัง

ให้ไปย้อนมองส่องตนว่าเราคิดและปฏิบัติตนอย่างไร
ถึงทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันคนอื่นได้
เราเจ้าอารมณ์ ไม่ฟังเหตุผลของคนอื่นด้วยหรือเปล่า
หรือว่าเราคาดหวังและเรียกร้องในตัวของคนรักมากเกินไป

ฯลฯ

ทุกผลกรรม ล้วนเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา

ทุกเรื่องราวในชีวิตของเรา
ล้วนเกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัยประกอบกัน

เหตุเปลี่ยน ผลก็เปลี่ยน
เวลาเปลี่ยน เหตุหรือปัจจัยก็เปลี่ยน
ผลย่อมเปลี่ยนไป



เมื่อรู้ทันเหตุ ปัจจัย ผลและระยะเวลา
เราสามารถเข้าใจสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์

ทุกข์อยู่ตรงไหน
...ดับตรงนั้น

เจ้ากรรมนายเวรเกิดขึ้นที่ความคิด
ต้องดับที่ความคิด
ดับด้วยปัญญา ดับที่สาเหตุ ดับที่ต้นเหตุ
และระวังไม่ให้เหตุนั้นกลับมาสร้างปัญหาขึ้นอีกครั้ง




.......................................





กรรมเหมือนลูกบอลที่เราปาเข้าไปที่ข้างผนัง
ยิ่งปาแรง มันยิ่งกระเด้งกลับมาแรง
อยากอยู่เหนือพ้นจากกรรมเวร
เราต้องไปให้พ้นจากการเกิด การตาย

ไม่มีทั้งลูกบอล
ไม่มีทั้งผนัง
ไม่มีสิ่งใด




กรณ.

(ก๋าราณี พาออกทะเลจนไม่เห็นฝั่ง)

Create Date :07 เมษายน 2551 Last Update :7 เมษายน 2551 7:22:04 น. Counter : Pageviews. Comments :53