bloggang.com mainmenu search




ชิฟฟ่อนเค้ก


“คุณรู้จักชิฟฟ่อนเค้กไหมครับ”

“ชิฟฟ่อนเค้ก คือ เค้กที่มีลักษณะรวมของเค้กเนยและเค้กไข่ มีโครงสร้างที่ละเอียดของเค้กไข่กับมีเนื้อเค้กที่นุ่มและเป็นมันของเค้กเนย”

“ผมเชื่อว่าหลายท่านคงรู้จักและเคยรับประทานมัน ผมเองก็เคยรับประทานมาหลายชิ้น ในวันนี้ผมจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชิฟฟ่อนเค้กชิ้นหนึ่งที่ผมไม่เคยลืมตลอดชีวิต

คืนนั้น...เป็นคืนหนึ่งในฤดูร้อน อากาศในวอร์ดอายุรกรรมหญิง 1 ค่อนข้างร้อนอบอ้าว นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มตรง ผมซึ่งมีหน้าที่อยู่เวรในวันนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งจัดไว้ให้นักศึกษาแพทย์โดยเฉพาะ เป็นโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าวอร์ด สามารถมองเห็นคนไข้ได้ทั้งหมด

สำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ที่ขึ้นวอร์ดอายุรกรรมเป็นวอร์ดแรก ไม่ว่าอะไรก็ดูแปลกใหม่สำหรับเขาไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นการต้องสัมภาษณ์ประวัติและตรวจร่างกายคนไข้รับใหม่ การตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูคนไข้ของเราเป็นคนแรก ดูว่าสัญญาณชีพเป็นอย่างไร มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอะไรออกใหม่บ้าง มีอาการเจ็บป่วยอะไรเพิ่มขึ้นไหม หรือแม้แต่การนำเลือด เสมหะ ปัสสาวะและอุจจาระของคนไข้ไปตรวจด้วยตนเอง

สำหรับผมแล้วผมเชื่อว่าไม่มีใครรู้เรื่องของคนไข้ได้ดีเท่านักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 และสำหรับผมแล้วการรู้เกี่ยวกับความเจ็บป่วยของคนไข้ที่เราดูแลอยู่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว จนถึงคืนนี้...

ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มครึ่ง ภายในวอร์ดปิดไฟหมดแล้ว คงมีแต่โต๊ะของนักศึกษาแพทย์และภายในที่ทำการพยาบาลที่ยังคงเปิดไฟอยู่ สำหรับผมแล้วคืนนี้เป็นคืนที่เงียบเสียจริงๆ ภายในวอร์ดมีเพียงเสียงของเครื่องช่วยหายใจและเสียงหัวใจของผม ขณะนั้นผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากทางเข้าวอร์ด

ผมมองไปที่ประตูของวอร์ดอายุรกรรมและก็เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นใส่เสื้อโปโลสีเหลืองกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน

“สวัสดีครับคุณหมอ”

ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

“สวัสดีครับ”

ผมตอบกลับไปอย่างสุภาพ

“ผมขอเยี่ยมคนไข้เตียง 8 หน่อยนะครับ ท่านเป็นคุณแม่ผมเอง เผอิญผมเพิ่งปิดร้านเสร็จ”

“เชิญตามสบายเลยครับ”

ผมตอบไปอย่างนั้น เพราะถึงแม้ทางโรงพยาบาลจะให้เข้าเยี่ยมคนไข้ในวอร์ดสามัญได้ไม่เกินสองทุ่ม แต่ผมก็เข้าใจว่ามันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ตายตัวนัก เพราะญาติของผู้ป่วยบางคนอาจมีความจำเป็นบางอย่าง เช่นทำงานเลิกช้า หรือทำงานกะดึก เราก็อนุโลมกันไป

ชายคนนั้นเดินไปที่เตียง 8 ซึ่งเป็นเตียงที่ตรงข้ามกับโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ ผมมองตามเขาไปและมองไปที่คนไข้ ผมมองเพียงไม่กี่วินาทีก็รู้ว่าไม่ใช่คนไข้ที่ผมเป็นเจ้าของไข้

คนไข้เตียง 8 เป็นหญิงชราอายุประมาณ 80 ปี ใส่ท่อช่วยหายใจต่อกับเครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้สึกตัว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณยายขึ้นมาอยู่บอวอร์ดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณยายเป็นอะไรถึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบลูกคุณยายอย่างไรถ้าถูกถามว่าอาการของคุณยายเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งๆที่เดินผ่านเตียงคุณยายอยู่ทุกวัน

ลูกชายของคุณยายนั่งลงตรงข้างเตียง มือลูบที่ใบหน้าและแขนขาของผู้เป็นแม่ด้วยความเคารพรัก บางครั้งผมได้ยินเสียงเหมือนเขาจะคุยกับแม่ของเขา แต่ผมก็ห่างเกินกว่าจะได้ยินว่าเขาพูดอะไรกัน คงเป็นประโยคที่ว่า “แม่ครับผมรักแม่” หรือ “หายเร็วๆนะครับแม่” ก็อาจเป็นได้ ยายจะรู้ไหมนะว่าลูกรักยายมากขนาดไหน ผมรู้สึกได้ว่าถ้ามองต่อไปจะเป็นการเสียมารยาท จึงก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกการดำเนินโรคของคนไข้ของผมต่อไป

ชายคนนั้นคุยกับแม่ของเขาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง และสิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น

“คุณหมอครับตอนนี้คุณแม่ของผมอาการเป็นอย่างไรบ้างครับ”

ชายคนนั้นเดินเข้ามาถามผมที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่

“ขอโทษนะครับ หมอไม่ทราบจริงๆเพราะไม่ใช่เจ้าของไข้ แต่เดี๋ยวหมอจะเข้าไปดูบันทึกการรักษามาให้นะครับ”

ผมตอบไปอย่างรู้สึกผิดและรีบเข้าไปดูประวัติการรักษาของคนไข้รายนี้ในที่ทำการพยาบาล

“ตอนนี้คุณยายมีปัญหาติดเชื้อในปอดครับ เราเลยต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ตอนนี้ยังมีไข้อยู่เลยครับ แต่ถ้าต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ไว้พรุ่งนี้ผมจะถามพี่ที่เป็นเจ้าของไข้ให้นะครับ”

ผมตอบชายคนนั้น หลังจากออกมาจากที่ทำการพยาบาล

“ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ วันนี้ผมมีของมาฝากคุณหมอกับคุณพยาบาลด้วย”

ขณะที่ผมยังงงๆอยู่นั้นชายคนนั้นก็ยกกล่องสองกล่องขึ้นมาตั้งบนโต๊ะผม เขาเปิดภายในกล่องให้ผมดู
ภายในกล่องนั้นมีชิฟฟ่อนเค้กที่จัดวางไว้อย่างสวยงามอยู่ภายในกล่อง กลิ่นหอมของเนยและไข่หอมขึ้นมาแตะจมูกผม

“ผมเปิดร้านขายชิฟฟ่อนเค้กอยู่ที่ตลาดใกล้ๆนี่เองครับ ขายดีมากเลย ได้วันละตั้งหลายร้อยชิ้น ผมก็เลยปิดร้านช้า เลยมาเยี่ยมคุณแม่ดึกอย่างที่คุณหมอเห็นนี่แหละครับ

ตอนแรกผมกะจะไม่รับขนมของชายคนนั้นเพราะเกรงใจ และคิดว่าผมไม่สมควรที่จะได้รับ แต่ก็กลัวเขาเสียน้ำใจและเขาก็ตั้งใจจะมาให้พี่พยาบาลรับประทานด้วยจึงรับไว้

“ขอบคุณมากนะครับ”

“คุณหมอต้องรับประทานขนมของผมทันทีเลยนะครับไม่อย่างนั้นมันจะไม่อร่อย หรือถ้าคุณหมออยากรับประทานให้อร่อยจริงๆต้องทานกับกาแฟนะครับ และห้ามเอาขนมของผมไปแช่ตู้เย็นนะครับ”

ผมได้แต่ยิ้มรับในความหวังดีของชายคนนั้น

“วันนี้ผมต้องลาคุณหมอกลับก่อนนะครับ ถ้าอย่างไรฝากดูแลคุณแม่ผมด้วยนะครับ ถ้าคุณแม่ผมยังไม่เป็นอะไรไปซะก่อน คุณหมอจะได้รับประทานชิฟฟ่อนเค้กทุกวันเลย”

นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง บรรยากาศในวอร์ดยังคงเงียบเหมือนเดิม ผมยังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม ยายยังคงนอนที่เตียง 8 เช่นเดิม แต่บางสิ่งในใจผมมันเปลี่ยนไป ผมค่อยๆหยิบชิฟฟ่อนเค้กชิ้นหนึ่งขึ้นมา แกะกระดาษห่อออก กลิ่นหอมของเนยและไข่หอมมาแตะจมูก ความรู้สึกเมื่อกัดเข้าไปคำแรกเหมือนจะละลายไปกับลิ้น เป็นชิฟฟ่อนเค้กที่อร่อยที่สุดที่เคยรับประทานมา ผมสัญญากับตัวเองว่าพรุ่งนี้ผมต้องรู้เรื่องเตียง 8 ให้มากกว่านี้ หวังว่ามันคงไม่สายเกินไป

และคืนนั้น...ก็ผ่านพ้นไป

.....................................................................

เช้าวันต่อมา...ผมมาดูคนไข้ตามปกติเช่นทุกวันคือเวลาหกโมงครึ่ง สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อเดินเข้ามาในวอร์ดก็คือเตียง 8 ที่ว่างเปล่า ผมรู้สึกใจหาย ผมคิดในแง่ดีว่ายายคงย้ายไปห้องพิเศษหรือย้ายไปห้อง I.C.U. เผอิญพี่พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา

“พี่ครับๆ คุณยายเตียง 8 หายไปไหนแล้วล่ะครับ”

ผมกลั้นใจถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะปกตินัก

“หมออั้น คุณยายแกเสียไปเมื่อคืนแล้วล่ะ หลังจากหมออั้นลงเวรไปแล้ว ลูกแกเพิ่งมารับศพไปเมื่อตอนเช้ามืดนี่เอง”

เมื่อผมได้ฟังคำตอบของพี่พยาบาลจบลงภาพของชิฟฟ่อนเค้กเมื่อคืนมันได้ลอยขึ้นมาในใจ

ไม่ใช่ผมเสียดายที่ต่อไปจะไม่ได้รับประทานชิฟฟ่อนเค้กแล้ว แต่ผมเสียดายที่ว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรให้คุ้มค่ากับชิฟฟ่อนเค้กที่ได้รับประทานเข้าไปเมื่อคืนเลย ไม่ว่าต่อตัวผมเอง ต่อตัวของยายหรือลูกชายของยาย

สำหรับผมแล้วชิฟฟ่อนเค้กชิ้นนั้นมีค่าต่อผมมาก อย่างน้อยมันก็สอนให้ผมรู้ว่า คำว่า คนไข้ ไม่ใช่ผู้ป่วยที่เราเป็นเจ้าของไข้เพียงอย่างเดียว แต่คำว่าคนไข้ หมายถึงผู้ป่วยทุกคน เพราะฉะนั้นจงใส่ใจพวกเขาให้มากๆ

ทุกวันนี้เมื่อใดก็ตามที่ผมมีโอกาสรับประทานชิฟฟ่อนเค้ก ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ เรื่องราวของ ชิฟฟ่อนเค้ก



นศพ.รัฐพัฒน์ กลัดแก้ว นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5
วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล




Create Date :06 ธันวาคม 2551 Last Update :6 ธันวาคม 2551 12:23:30 น. Counter : Pageviews. Comments :5