bloggang.com mainmenu search




น้ำเมาที่เลิกยาก

“อ้อ ป้าประเสริฐนะเหรอ อยู่ไม่ไกลจากรพ.นี่เอง ได้ข่าวว่าแกกลับมากินเหล้าอีกแล้ว”

“เห็นแกมาที่ห้องฉุกเฉินบ่อยๆ มาทำแผลบ้าง โดนไฟลวกบ้าง ถูกสามีทำร้ายบ่อยๆ”

“ป้าประเสริฐ ม่วงไข่ ที่ติดเหล้านะเหรอ เออ ไปเยี่ยมซิ ดีแล้วไม่ได้ไปเยี่ยมตั้งนาน อย่าลืมชวนพี่ก้อยไปด้วยล่ะ”

ถ้อยคำเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผมได้ยินจากบุคลากร รพ.ท่าหลวง ที่ล้วนต่างก็รู้จักป้าประเสริฐเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ป่วยที่ติดเหล้างอมแงม เลิกไม่ได้เสียที

ขณะนั้นผมเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ที่กำลังเรียนวิชาเวชศาสตร์ชุมชน ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานที่รพ.ท่าหลวงร่วมกับเพื่อนๆในชั้นปี รวมเป็นเวลาทั้งหมด 1 เดือน ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่ผมได้ทำก็คือ การไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเรื้อรัง ผมได้สอบถามพี่พยาบาลเกี่ยวกับกรณีผู้ป่วยที่น่าสนใจที่ผมและเพื่อนอีกหนึ่ง คนจะได้ไปเยี่ยมบ้านด้วยกัน และได้รับคำตอบดังกล่าวกลับมา

ปกติแล้วการเยี่ยมบ้านของแพทย์และพยาบาลแต่ละครั้งจะต้องมีจุดประสงค์ใน การออกเยี่ยมบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเยี่ยมบ้านเพื่อติดตามดูแลผู้ป่วยที่ได้รับบริการ จากรพ. และครั้งนี้คงไม่แตกต่างจากการเยี่ยมบ้านที่ได้เคยทำกันมามากนัก แต่ที่น่าสนใจ ซึ่งตามจริงแล้ว อาจจะเป็นความลำบากใจมากกว่า คือเราทั้งสองคนไม่เคยเยี่ยมบ้านผู้ป่วยที่ติดเหล้าเรื้อรังมาก่อนเลย

“เราจะเตรียมตัวอย่างไรดี ป้าแกจะเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องหรือเปล่า หรือว่าจะอาละวาดโวยวาย ไม่ยอมให้คุยด้วย”

“เราก็ไม่แน่ใจนะ เห็นพี่พยาบาลเล่าว่า แกมารพ.บ่อยๆ ส่วนใหญ่มาด้วยปวดหัว มึนหัว หลายครั้งมาด้วยอุบัติเหตุรถเฉี่ยว ที่สำคัญนะ ป้าแกมักถูกสามีทำร้ายบ่อยๆ โดนไม้ตีหัวบ้าง ถูกจับเอาหัวโขกกับปูนบ้าง และเคยถูกจับโยนเข้ากองไฟ ฟังดูก็น่ากลัวอยู่นะ ถ้าสามีของป้าอยู่ด้วยเราจะทำอย่างไรกันดี”

“อ๋อ พี่พยาบาลบอกว่าเดี๋ยวจะมีพี่พยาบาลอีกคนไปด้วย พี่เขาเคยไปเยี่ยมป้าแกแล้ว”

“อย่างนี้ก็พอไหว แต่ก็นึกภาพไม่ออกเลยนะว่าจะเป็นอย่างไรบ้างหลังเยี่ยม”

จากการสอบถามพี่ก้อย พี่พยาบาลที่ดูแลเรื่องการเยี่ยมบ้านป้าประเสริฐ และเป็นพยาบาลที่รู้จักกับผู้ป่วยมา 20 ปี พบว่า ป้าประเสริฐดื่มเหล้ามา 4-5 ปีแล้ว จะดื่มวันละ 1/2 – 1 ขวดกลม บางครั้งเมามากถึงขนาดเดินสายไปทั่วตำบล นอนข้างทางไม่ยอมกลับบ้านเป็นเดือนๆ ทะเลาะกับสามีบ่อยครั้ง ป้าประเสริฐเองเคยคิดที่จะเลิกเหล้าหลายครั้ง ทั้งพยายามเลิกด้วยตนเอง กินยาเลิกเหล้า หรือแม้แต่ไปเลิกเหล้าที่ถ้ำกระบอก ด้วยความสงสารลูกที่โดนเพื่อนล้อ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากเครียดเรื่องสามีที่ดื่มเหล้าแล้วชอบเมาดุด่าป้าและลูก รวมไปถึงเรื่องฐานะที่ยากจน

พี่ก้อยเคยไปเยี่ยมบ้านป้าประเสริฐประมาณ 4 ครั้ง ได้ให้กำลังใจแก่ป้าประเสริฐให้เลิกเหล้าเพื่อลูกและเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ป้ากินเหล้าลดลงบ้างแล้ว ประกอบกับงานที่รพ.มีมาก พี่ก้อยจึงไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านอีก ได้แต่สอบถามข่าวคราวจากอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน รวมเวลาถึงปัจจุบันประมาณ 8 เดือน

2 วันหลังจากที่เราได้รับทราบข้อมูล ก็ถึงเวลาที่เราทั้งสองจะได้ไปเยี่ยมบ้านป้าประเสริฐ ครั้งนี้เราไปรถกระบะ เราไปกับพี่ตุ้ม พี่พยาบาลใจดีอีกคนที่อาสาไปกับเรา รวมถึงเพื่อนอีก 2 คนที่จะไปเยี่ยมผู้ป่วยอีกบ้านหนึ่ง ระยะทางจากรพ.ถึงบ้านป้าประเสริฐนั้นไม่ไกลนัก ประมาณ 6 กิโลเมตรก็ถึง

หลังจากที่ลงจากรถ มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบๆบ้าน ช่างเป็นที่ตะลึงงันของทั้งผมและเพื่อนๆ สภาพบ้านของป้าเป็นบ้านชั้นเดียว ทำด้วยสังกะสี พื้นไม้ ด้านหน้ามีพริกตากแห้งอยู่กองหนึ่ง คาดว่าน่าจะถูกนำไปขายในอีกไม่ช้า สำหรับด้านในบ้านค่อนข้างเก่าทรุดโทรม แบ่งออกเป็น 2 ห้องนอน กับที่ว่างๆกลางบ้าน มีแก้วน้ำแก้วเล็กๆ วางอยู่มุมหนึ่ง มองไปไม่เห็นขวดเหล้าสักขวด ที่นอนก็แยกเป็นสัดส่วนสามีนอนกับลูกชายวัย 11 ปี อีกห้องนอนเป็นของป้าประเสริฐ ลักษณะเตียงนอนเป็นฟูกนุ่นขนาด 2 คนนอนวางอยู่กับพื้น มีมุ้งผ้าขาดๆ คลุม ฝุ่นตลบ มีแมวเดินผ่านเข้าออกสะดวก มีเพียงแค่ตู้เสื้อผ้าและตู้เก็บของที่กั้นระหว่างห้อง ไม่มีประตูกั้น ป้าเล่าว่าเคยมีงูขึ้นบ้านมาแล้วหลายครั้ง แต่ลูกชายตีตายได้หมด หลังบ้านเป็นห้องที่ดูเหมือนจะเป็นห้องครัว มีตู้กับข้าวเก่าๆ ดำๆ มีหยากไย่เกาะ ข้างในมีข้าว และน้ำพริกที่ดูแล้วน่าจะถูกกินมาเป็นเวลานานพอควร ด้านข้างเป็นเตาแก๊ส และกระทะดำๆ วางอยู่ระเนระนาดหลายใบ รวมถึงจานที่ดูเหมือนจะไม่ได้ถูกทำความสะอาดมานานแรมเดือน นอกจากนี้ข้างบ้านยังมีตุ่มสำหรับเก็บน้ำฝนขนาดใหญ่จำนวน 3 ใบ ด้านข้างของตัวบ้านมีห้องน้ำที่ค่อนข้างสะอาด แต่มีหยากไย่ขึ้นตามเพดานมาก ซึ่งห้องน้ำนี้ไม่ได้ใช้การมานานแล้ว เนื่องจากส้วมเต็ม การเข้าห้องน้ำก็จะอาศัยไปในพงหญ้าหลังบ้าน ยังดีที่มีท่อประปาหลังบ้านไว้อาบน้ำเพื่อให้ร่างกายสะอาดขึ้นบ้าง

ในวันนั้นป้าประเสริฐอยู่บ้านพอดี ป้ารีบเดินออกมาหน้าบ้าน แบบกะโผลกกะเผลก ยกมือไหว้พี่ตุ้มและพวกผมซึ่งเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ที่ป้าก็ยังไม่รู้จัก ป้าประเสริฐมีลักษณะเป็นหญิงสูงอายุรูปร่างไม่สูง แต่ผอม ผมยาวยุ่งไม่เป็นระเบียบ วันนั้นป้าสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตแขนยาวสีมอๆ และผ้าถุงไม่รู้ว่าสีพื้นสีอะไรเนื่องจากเปื้อนสีดำไปหมด เราต่างรีบยกมือไหว้ทักทายสวัสดีตอบ และตามด้วยการแนะนำตัวทันที จากนั้นเราก็ประคองป้าประเสริฐเข้าบ้าน เพื่อไปนั่งคุยกัน เราเหล่านักศึกษาแพทย์ทั้งสี่คน ร่วมกันถามประวัติของป้า และถามถึงสุขภาพปัจจุบัน ซึ่งคำถามที่เป็นที่สนใจของพวกเราในตอนนั้นคือ

“ตอนนี้ป้ายังกินเหล้าอยู่มั้ยครับ”

“ป้าไม่ได้กินเหล้าแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่เมาเดินสายเหมือนแต่ก่อนแล้ว ป้าเลิกกินตั้งแต่ 8 เดือนก่อน เพราะป้าเห็นแก่ลูก ป้ารักลูก มีอยู่คราวหนึ่งที่ลูกชายวิ่งเข้ามากอดป้า แล้วบอกว่า รักป้า และไม่อยากให้ป้ากินเหล้าอีก ป้ารู้สึกดีใจมาก อีกอย่างป้าก็อยากกลับไปสวยเหมือนแต่ก่อน รู้มั้ยแต่ก่อนป้าเป็นนางนพมาศด้วยนะ”

ป้าประเสริฐพูดไปพลาง อีกมือเอื้อมไปหยิบรูปๆ หนึ่งที่อยู่ในห้องนอน เป็นรูปผู้หญิงอายุประมาณ 20 ปี หน้าตาดี สวมเสื้อผ้าสะอาดตา นั่นคือ ป้าประเสริฐสมัยก่อน พร้อมกับพูดแนะนำความเป็นอยู่ของป้าเมื่อครั้งอดีต หลังจากได้เป็นนางนพมาศก็มีคนมาชวนป้าไปเป็นคู่เต้นรำหลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่ป้าจะแต่งงานกับสามีคนปัจจุบัน ป้าเล่าพร้อมรอยยิ้มที่พิมพ์บนใบหน้า

ระหว่างพูดคุยอยู่นั้น ผมรู้สึกว่าได้กลิ่นแปลกๆ เวลาที่ป้าพูด น่าจะเป็นกลิ่นเหล้าแน่ๆ แต่ยังเก็บไว้ในใจ ไม่กล้าพูดออกมา เพราะจะเป็นการขัดการสนทนา พอดีกับลูกชายของป้า ซึ่งกลับมาจากการเล่นนอกบ้านพอดี

“มานี่เร็ว มานั่งข้างๆ แม่ คุณหมอมาเยี่ยม” ป้าประเสริฐตะโกนเสียงดัง
แล้วน้องก็เดินมานั่งข้างๆ แม่ อย่างไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไร เราคุยกับป้าต่อไปได้พักหนึ่ง น้องคงรู้สึกเบื่อ จึงเดินไปทำอะไรไม่รู้ที่หลังบ้าน ผมจึงขออนุญาตตามไปดู และพูดคุยกับน้อง เผื่อว่าจะได้บางสิ่งบางอย่างที่แปลกออกไป ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดคิด

“แม่ไม่เคยเลิกเหล้าได้เลย แต่จะกินลดลงเหลือวันละ 1-2 กั๊ก (1 กั๊กเท่ากับ 1 ขวด M150) ประมาณ 2-3 วันครั้งไม่เมาเดินสายเหมือนแต่ก่อน แต่เวลาเมาก็จะเอะอะโวยวาย ไม่ยอมนอน ทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ ไม่เหมือนพ่อ เวลาพ่อเมาก็จะไปเมานอกบ้าน กลับถึงบ้านก็จะหลับไม่โวยวาย และไม่เหมือนพี่ชายซึ่งเวลาเมาจะไม่โวยวาย แต่จะพาผมไปเที่ยวข้างนอก พร้อมกับให้เงินมาซื้อขนมด้วย แต่พี่ก็จะกลับมาเยี่ยมนานๆ ครั้ง”

“แต่ผมไม่อยากกินเหล้า”

ผมรู้สึกว่าเสียงสนทนาของผมกับน้องจะดังไปหน้าบ้านแล้ว เนื่องจากได้ยินเสียงตะโกนของป้าประเสริฐว่า “เอ้ย คุยอะไรหลังบ้านลูก มาคุยกันหน้าบ้านซิ” ผมจึงยุติการสนทนากับน้อง แต่ก่อนจะไปรวมกับคนอื่นที่หน้าบ้านผมขอให้น้องหยิบขวดเหล้าที่ป้ากินอยู่ประจำให้ดูหน่อย เพราะผมไม่เห็นขวดเหล้าในบ้านเลย

ผมกับน้องเดินมาหน้าบ้าน มาคุยร่วมวงกับเพื่อนๆ ก่อนที่พวกเราจะลากลับรพ. ซึ่งน้องก็ได้ทำตามที่ผมขอ นั่นคือ น้องได้แอบหยิบขวด M150 ที่ภายในบรรจุเหล้าออกมาจากตู้เสื้อผ้าของป้าประเสริฐ ที่ป้านั่งพิงมันมาตลอดการสนทนา ให้พวกเราได้เห็น ซึ่งนี่ก็เป็นหลักฐานพอที่จะบอกได้ว่า ขณะนี้ป้ายังคงกินเหล้าอยู่

ภายหลังกลับมาที่รพ. ผมเกิดความเสียใจว่าทำไมป้าจะต้องโกหกหมอด้วยว่าขณะนี้เลิกเหล้าได้แล้ว ทั้งๆ ที่ยังคงกินเหล้าอยู่เป็นประจำ ผมนั่งครุ่นคิดอยู่นาน ภายหลังได้ปรึกษากับเพื่อนๆ จึงได้ขอสรุปว่า บางทีป้าอาจไม่อยากให้หมอรู้ก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องน่าอาย หรือบางทีการเลิกเหล้าในความหมายของป้า อาจจะเป็นการเลิกเมาแล้วเดินสายเหมือนแต่ก่อนก็ได้ ความสงสัยและความเสียใจของผม จึงเปลี่ยนเป็นความเข้าใจในการกระทำของป้าแทน

ผมกับเพื่อนวางแผนจะไปเยี่ยมป้าอีกครั้ง แต่คราวนี้คงจะไปอยู่ด้วยนานกว่าคราวที่แล้วเพื่อจะได้ดูว่าป้าทำอะไรบ้าง ระหว่างนั้นผมได้มีโอกาสไปพูดคุยกับพี่ก้อย ทำให้พี่ก้อยอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองว่าป้าเป็นอย่างไร

สัปดาห์ถัดมา ก็เป็นอีกวันที่เรามีโอกาสไปเยี่ยมป้าประเสริฐ ซึ่งมีพี่ก้อยไปด้วย วันนั้นเป็นช่วงบ่ายโมง แสงอาทิตย์สาดส่องทั่วท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆ 100 เมตร ก่อนที่รถรพ.จะไปถึงบ้านป้าประเสริฐประมาณ เราได้สังเกตเห็น

หญิงชราคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีมอซอ ผ้าถุงดำเปื้อนฝุ่น ดูคุ้นตา เดินเข็นรถเข็นเตี้ยๆ ที่บรรทุกผักกระเฉดกองไม่ใหญ่ ขนาดประมาณที่หญิงชราคนหนึ่งจะเก็บได้ นั่นคือ ป้าประเสริฐของเรานั่นเอง ผมและเพื่อนผู้หญิงที่ได้รับมอบหมายจึงขอพี่คนขับรถลงไปช่วยป้าเข็นรถ ป้าประเสริฐทักทายเราด้วยเสียงดังและน้ำเสียงเครือๆ

“อ้าว หมอ.. หมอมาเยี่ยมป้าใช่มั้ย ป้าประเสริฐดีใจมาก กลัวว่าหมอจะไม่มาเยี่ยมป้าอีกแล้ว ป้าดีใจเหลือเกิน”

“วันนี้ป้าไปทำอะไรมาครับ เดี๋ยวผมช่วยเข็นเอง”

“ป้าเหนื่อย ป้าเหนื่อยเหลือเกิน ต้องไปเก็บผักกระเฉดจากบึงที่อยู่ไกลโน้น ป้าจะเดินไม่ไหวแล้ว ขาป้าอ่อนแรง”

ป้าประเสริฐซึ่งเดิมเดินกะโผลกกะเผลกอยู่แล้ว ถึงกับทรุดลงนั่ง เราทั้งสองจึงต้องช่วยพยุงป้า เพื่อให้เดินต่อ เพราะจะถึงบ้านอยู่แล้ว จะได้ไปนั่งพักกัน

“ป้าขอบคุณหมอมากนะ วันนี้ป้าเหนื่อยเหลือเกิน” ป้าพูดไปพลาง ใช้มือปาดน้ำตา และน้ำมูกไปพลาง เมื่อถึงบ้านเราให้ป้าได้นั่งพัก ก่อนที่ป้าจะโผเข้ากอดพวกเราทั้งสองทีละคน

พอดีกับช่วงเวลาที่พี่ก้อยลงมาจากรถ ป้าประเสริฐจึงหันไปทักทายพี่ก้อยอย่างสนิทสนม

“หมอก้อย หมอก้อยคนดีของป้า มาเยี่ยมป้าแล้ว ป้าดีใจเหลือเกิน”

“อ้าว ป้าประเสริฐ เป็นอย่างไรบ้าง ผอมไปหรือเปล่า กินอะไรได้มั้ยเนี่ย”

“หมอก้อย ป้าเหนื่อยเหลือเกิน ป้าไม่ไหวแล้ว”

“หมอได้ข่าวว่าป้ากลับมากินเหล้าอีกแล้ว จริงหรือเปล่า”

“ก็มีกินบ้าง วันละไม่มากหรอก กินเพราะว่าช่วงนี้ป้าน้อยใจ เสียใจที่สามีไม่ค่อยสนใจป้า เอาแต่ไปกินเหล้า”

พี่ก้อยจึงได้พูดทำความตกลงกับป้าใหม่อีกรอบ เพื่อทบทวนว่าป้าควรจะเลิกเหล้าเพื่อลูกและเพื่อตัวเองจะได้กลับมาดูดีเหมือนแต่ก่อน การเยี่ยมบ้านในวันนั้นไม่ต่างจากการเยี่ยมบ้านวันแรกมากนัก เพียงแต่ในวันนั้นผมยังไม่ได้กลิ่นเหล้าจากป้า รวมถึงการได้เห็นป้าร้องไห้ฟูมฟายที่อยากจะให้หมอมาเยี่ยมบ่อยๆ

ระหว่างทางกลับ พี่ก้อยได้พาเราไปแวะบ้านหลังหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือป้าประเสริฐมาตลอด ในเรื่องการรับซื้อพริกแห้ง ผักกระเฉดหรือผักอื่นๆ ที่ป้าพยายามนำมาขาย นั่นก็คือบ้านของป้าย้อย

ป้าย้อยทำอาชีพเลี้ยงหมู ป้าย้อมมีลูกและหลาน รวมแล้วประมาณ 4 คน ซึ่งลูกชายของป้าประเสริฐมักจะมาเล่นด้วยบ่อยๆ รวมถึงหน้าบ้านของป้าย้อยเป็นศาลาทรงสูงซึ่งมักเปิดเป็นที่ตั้งวงเหล้าได้สะดวก

“ป้าประเสริฐน่ะเหรอ ป้าแกมักจะมาขอเหล้ากินฟรีเป็นประจำ เราก็สงสาร เนื่องจากถ้าไม่ให้ป้าแกกิน ป้าแกก็จะไปอาละวาดโวยวายที่บ้านบ้าง หรือหาทางไปร้านอื่นบ้างที่อยู่ไกลออกไป ป้าย้อยจึงให้ป้าประเสริฐกินเป็นประจำ แต่ครั้งละไม่มากเท่าไหร่ อ้อ สามีของป้าประเสริฐอยู่นี่พอดี กำลังเปิดวงก๊งเหล้ากันอยู่พอดี หลังทำงานในไร่เสร็จ เดี๋ยวป้าเรียกให้นะ”

ในวันนั้น เราจึงมีโอกาสได้พูดคุยกับสามีป้าประเสริฐด้วย ได้ความว่า สามีเองไม่ได้ตระหนักในการกลับไปกินเหล้าของภรรยาของตน เนื่องจากชินแล้วที่เดิมภรรยาเคยเมาเดินสายไม่กลับบ้านเป็นเดือน ตนเองต้องทำงานบ้าน หาเลี้ยงครอบครัวคนเดียวเป็นเดือน ทะเลาะกันบ้างบางครั้ง ซึ่งบางครั้งถ้าภรรยาขอกินเหล้า ตนเองก็จะให้กินเพราะขี้เกียจที่จะทะเลาะกับภรรยาเหมือนกัน

“สรุปว่า ป้าประเสริฐก็ยังคงกินเหล้าอยู่จริงๆ นั่นแหละ” นี่เป็นข้อสรุปของพวกเรา ในระหว่างที่นั่งถกเถียงกันอยู่บนรถที่จะกลับรพ. พี่ก้อยถึงกับพูดเปรยๆ ว่ารู้สึกท้อใจ ไม่อยากติดตามป้าประเสริฐอีกแล้ว เพราะรู้สึกเหนื่อยที่อุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อให้ป้าประเสริฐหยุดเหล้าได้ แต่ป้าก็กลับมากินเหล้าอีก ผมซึ่งเป็นเพียงแค่นักศึกษาแพทย์คนหนึ่งที่ไม่ใช่คนในพื้นที่ได้แต่พูดให้กำ ลังใจพี่ก้อยในการทำงานนี้ต่อไป..

หลังจากจบการทำงานเยี่ยมบ้านครั้งนั้น มันทำให้ผมเข้าใจบริบทต่างๆ ของการที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะติดเหล้าจนไม่สามารถที่เลิกได้จริงๆไม่ใช่เพียงอ่านแต่จากตำรา ทำให้ผมเข้าใจว่า คนเราทำอย่างไรก็คงไม่สามารถเลิกเหล้าได้ ถ้าขาดจิตใจที่มั่นคง เข้มแข็ง และขาดการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ตัว หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออย่างจริงจัง

“อยากให้ป้าประเสริฐเลิกเหล้าได้จริงๆ นะครับ” เป็นคำพูดที่ยังคงก้องอยู่ในใจของผม เป็นแรงบันดาลใจว่าในอนาคต ผมจะเป็นหมอที่ดี ช่วยเหลือผู้คนไม่ให้ตกเป็นทาสของน้ำเมาแบบป้าประเสริฐอีก



นศพ.สุรพงศ์ เลิศธรรมเกียรติ
นศพ.ชั้นปีที่ 5 คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี

Create Date :17 พฤศจิกายน 2551 Last Update :17 พฤศจิกายน 2551 18:47:45 น. Counter : Pageviews. Comments :1