ในสมัยราชวงศ์ถัง มีนักวิชาการผู้หนึ่ง แซ่หลู นามชุ่ยจือ ผู้อื่นเรียกขานเขาว่าบัณฑิตหลู มีอยู่ปีหนึ่ง บัณฑิตหลูเดินทางเข้ามายังเมืองหลวงเพื่อเข้าสอบ ระหว่างทางแวะพักค้างแรม ณ โรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในเมืองหานตัน บังเอิญพบกับนักพรตรูปหนึ่งนามว่า หลี่ว์เวิง เขาได้ปรารภถึงความลำบากยากแค้นของตนเองให้นักพรตฟัง เมื่อนักพรตฟังจบ ก็ล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหมอนที่ทำจากกระเบื้องออกมายื่นให้บัณฑิตหลู พลางกล่าวว่า "ยามท่านนอน ให้หนุนหมอนใบนี้ แล้วฝันของท่านจะกลายเป็นจริง" เมื่อถึงยามวิกาล เจ้าของโรงเตี้ยมเริ่มต้นต้มข้าวฟ่าง ส่วนบัณฑิตหลูก็ล้มตัวลงนอนหนุนหมอนที่นักพรตให้มา และหลับไปโดยเร็ว ทั้งยังฝัน ในฝันเขากลับไปยังบ้านเกิด หลายเดือนต่อมาก็ได้ตบแต่งภรรยาที่หมดจดงดงามนางหนึ่ง อีกทั้งฐานะยังมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ บัณฑิตหลูรู้สึกสุขใจยิ่งนัก ไม่นานจากนั้นเขาก็สอบจองหงวนได้ มีตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นเป็นลำดับ จนขึ้นเป็นถึงเสนาบดี อยู่ในตำแหน่งต่อมาอีกกว่า 10 ปี มีบุตรชายทั้งสิ้น 5 คน ทุกคนล้วนรับราชการเป็นขุนนางที่มีความสำเร็จ จากนั้นยังมีหลานอีกหลายสิบคน กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลยิ่งในแผ่นดิน จากนั้นเมื่อย่างเข้าวัยชรา อายุ 80 ปี ก็ป่วยหนัก ทุกข์ทรมาน ดูแล้วคงต้องลาโลกเป็นแน่แท้...ยามนั้นเขาจึงตกใจตื่นขึ้นมา ถึงทราบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนฝันไป ขณะนั้น เมื่อลุกขึ้นมาสำรวจดู เจ้าของโรงเตี้ยมยังต้มข้าวไม่ทันสุกดี บัณฑิตหลูจึงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เอ่ยว่า "นี่ก็เป็นเพียงความฝันใช่หรือไม่?" ครานี้นักพรตจึงเป็นผู้ตอบว่า "ชีวิตมนุษย์ แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นกันมิใช่หรือ" เมื่อผ่านประสบการณ์ความฝันชั่วเวลาข้าวฟ่างไม่ทันเดือด บัณฑิตหลูจึงเกิดความรู้แจ้งว่าชีวิตมนุษย์เป็นเช่นความฝัน ไม่มีสิ่งใดจริงแท้ยั่งยืน เขาจึงตัดสินใจไม่ไปสอบจองหงวน ทว่าเดินทางกลับบ้านเกิด สำนวน "หวงเหลียงอีเมิ่ง" หรือ "ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง" ใช้เปรียบเทียบกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง หรือเปรียบเทียบว่าความสุขความสำเร็จนั้นมักเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ยั่งยืนเสมอไป เป็นสัจธรรม สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งประธาน(主语) กรรม(宾语) ส่วนขยายนาม(定语) สำนวนนี้มีเรื่องเล่ามากกว่า 1 เรื่อง ที่มา //baike.baidu.com
ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์ โสรวารสิริสวัสดิ์ค่ะ
|