ส่วนขอบปลายด้านหน้าของพระราชสาส์นทองคำ ฝังทับทิมล้ำค่าหายากจำนวน 24 เม็ด ไม่ได้รับการเหลียวแลจากพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่ง
เกรตบริเตน และ ทรงส่งต่อไปยังเมืองฮาโนเวอร์ ถิ่นพระราชสมภพ
ในทันที ในเดือน มี.ค.2301 หลังใช้่เวลาเดินทางจากกรุงอังวะเป็นเวลา 2 ปี
Gottfried Wilhelm Leibniz Bibliothek Hannover.
พระราชสาส์นทองคำฉบับดิจิตอล 3 มิติ ที่ทำออกมาเมื่อปี 2556
วางแสดงในหอสมุดแห่งฮาโนเวอร์ 1 ฉบับ ในกรุงลอนดอน 1 และ
ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกรุงเนฟีดอ อีก 1 ฉบับ ปัจจุบันทราบ
เนื้อหาอย่างชัดเจน ไม่ได้พาดพิงใดๆ เกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา
ตามที่นักศึกษาพงศาวดารกรุงเก่าบางคน เคยตีความ
เจตนาของพระเจ้าอลองพญาเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศส เยอรมนี และชาวอังกฤษ ใช้เวลาหลายปี ช่วยกันถอดความออกมาเป็นภาษาอังกฤษ จนกระทั่งทำได้เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2553
ภัณฑารักษ์ที่หอสมุดก็อดฟรีด วิลเฮม ไลบ์นิซ กล่าวว่า ตั้งแต่นั้นมาข่าวพระราชสาส์นทองคำ ก็แพร่กระจายออกไป และ ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ที่ผ่านมาบางวันมีผู้เข้าชมกว่า 15,000 คน ทำให้ต้องค้นคิดหาวิธีการนำเสนอ แทนการนำฉบับจริงออกตั้งแสดง
กระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี ได้ให้การสนุบสนุนเงินทุน ให้พิพิธภัณฑ์ฯ จัดทำพระราชสาส์นทองคำฉบับดิจิตอลสามมิติขึ้นมาเมื่อปี 2556 และ ทำออกมาเป็นหลายภาษา
เก็บไว้ในเยอรมนี 1 ฉบับ อังกฤษ 1 ฉบับ และ ส่งไปยังพม่าเพื่อตั้งแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเนปีดออีก 1 ฉบับ
นักวิชาการชาวฝรั่งเศสที่ศึกษาเรื่องนี้เมื่อปี 2552 ได้พบคำตอบว่า พระราชสาส์นของพระเจ้าอลองพญา นำไปยังกรุงลอนดอนโดยบริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษ
เนื้อหาเป็นการเสนอเปิดสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการ และ ทรงเสนอให้บริษัทของอังกฤษ ใช้ท่าเรือที่สร้างขึ้นที่เมืองพะสิม (เมืองปะเต็ง/Pathein ในปัจจุบัน) ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดี
พระองค์ยังมีพระราชดำริ พระราชทานที่ดินจำนวนหนึ่ง สำหรับให้บริษัทนี้ ตั้งสถานีการค้าขึ้นในพม่า ขึ้นที่นั่นอีกด้วย
นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษที่ศึกษาเรื่องนี้ กล่าวว่าพระเจ้าอลองพญา ทรงเสนอเปิดการค้าขายกับอีสต์อินเดีย ด้วยหวังจะได้ปืนใหญ่กับกระสุนจากฝ่ายอังกฤษ
เพื่อเตรียมการต่อสู้กับนักล่าอาณานิคมฝรั่งเศส ที่กำลังคืบคลานเข้าสู่ย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนพม่าในเวลานั้น
ศิลาจารึกเมียเจดีย์ (Myazedi) เสาหินที่มี 4 ด้าน ที่ทำขึ้นในปี
พ.ศ.1656 จารึกเรื่องราวเกี่ยวกับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ด้านละภาษา คือ ภาษาพะยู ภาษาพม่า ภาษามอญ และ ภาษาบาลี เป็นมรดกโลกใหม่ๆ หมาดๆ อีกชิ้นหนึ่งจากกรุงเก่าพุกามของพม่า
Global New Light of Myanmar
แต่นายฌาก ไลเดอร์ (Jacques Leider) นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ที่ศึกษาฉบับจริงในพิพิธภัณฑ์ฮาโนเวอร์ ให้สัมภาษณ์นิตยสารข่าวเมียนมาร์ไทม์ส เมื่อปี 2554 ว่า
พระราชสาส์นมีเนิ้่อหาเกี่ยวกับการทูต และการสงครามในรัชสมัยของพระองค์ ซึ่งในขณะนั้นอาณาจักรอังวะที่อยู่ทางตอนเหนือ กำลังเผชิญกับการคุกคามทั้งจากจีน และ จากอาณาจักรมอญทางทิศใต้ ที่พยายามฟื้นคืนกลับมาอีก
พระเจ้าอลองพญาทรงเห็นว่า อาวุธประสิทธิภาพสูงเช่นปืนใหญ่อังกฤษ อาจจำเป็นในการครอบครองดินแดนทางตอนใต้
เป็นสิ่งที่ "ล้ำคุณค่าในทางประวัติศาสตร์ ... มีความไพเราะเพราะพริ้งอย่างแท้จริงและ (มีความ) สำคัญทางการเมือง" ดร.ไลเดอร์กล่าว
นักวิชาการผู้นี้ให้รายละเอียดอีกว่า พระราชสาส์นส่งผ่านเมืองมัทราส (Madras หรือเมือง เจนไน/Chennai ปัจจุบัน) แต่กว่าจะไปถึงกรุงลอนดอน ก็ในปี พ.ศ.2301 ใช้เวลาเดินทางสองปี
นอกจากเมื่อไปถึงเมืองมัทราส ได้มีการจ่าหน้าซองใหม่ ผิดเพี้ยนกลายเป็น "จดหมายจากเจ้าชายอินเดียคนหนึ่ง" ทรงถึงพระเจ้าจอร์จที่ 2 จึงทำให้ไม่ได้รับความสนใจ และ ถูกส่งต่อไปยังฮาโนเวอร์ในทันที
หลังจากทรงมีพระราชสาส์นทองคำถึงพระเจ้าจอร์จที่ 2 ในอีกสามปีถัดมา พระเจ้าอลองพญากับเจ้าชายมังระ พระราชบุตร ได้ทรงนำทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรก
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผู้ที่ศึกษาพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาบางคน ตีความหมายว่าพระเจ้าอลองพญามีพระราชสาส์นถึงกษัตริย์อังกฤษ ที่กำลังคืบคลานเข้าสู่ชมพูทวีปในช่วงนั้น ก็เพื่อประกาศให้ฝ่ายนั้นทราบว่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานั้นอยู่ใต้อาณัติของอาณาจักรพม่า
แต่ในรายละเอียด ที่นักวิชาการชาวฝรั่งเศสตีพิมพ์เผยแพร่ ไม่ได้มีเนื่้อหาส่วนใดในพระราชสาส์นทองคำพูดถึงเรื่องนี้
พระเจ้าอลองพญาทรงตีกรุงศรีอยุธยาไม่สำเร็จ ในรัชสมัยของพระองค์ และ สิ้นพระชนม์ในเดือน เม.ย. พ.ศ. 2303 แต่พระราชบุตรคือ พระเจ้ามังระ (ชิ่นพะยูซิน/Sin Byu Shin) ที่ทรงขึ้นครองราชย์สืบมา ทรงเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกหลายครั้งจึงสำเร็จ
และ ทรงเผาอาณาจักร ที่รุ่งเรืองที่สุดในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนวายวอด ในปี พ.ศ.2310
ชาวไทยรู้จักเหตุการณ์นี้ดี ในชื่อ "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2".
ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์
ภุมวารสิริสวัสดิ์ค่ะ