| ประติมากรรมธรรมชาติที่โบสถ์ปรกโพธิ์ กลางค่ายบางกุ้ง | | | สงครามครั้งแรกของกรุงธนบุรี เกิดขึ้นที่ ค่ายบางกุ้ง ในจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นค่ายเล็กๆ และสงครามครั้งนั้นก็เป็นเพียงสงครามเล็กๆ แต่กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ พงศาวดารบันทึกไว้ว่า เมื่อพระเจ้าตากสินทรงทราบข่าวพม่ายกทัพเข้ามาล้อมค่ายบางกุ้งจวนจะแตกอยู่แล้ว มีพระราชหฤทัยประดุจได้พระลาภอันอุดมกว่าลาภทั้งปวง เพราะสงครามครั้งนี้มีความสำคัญต่อการกู้ชาติไทย จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสงครามครั้งแรกนี้ ค่ายบางกุ้งเป็นค่ายเก่าที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา หลังจากถูกพม่าตีแตกในคราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ ก็ถูกทิ้งเป็นค่ายร้าง จนเมื่อพระเจ้าตากสินสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีใหม่ ได้ส่งบรรดาลูกเรือสำเภาจีนที่สละเรือมาจงรักภักดีไปเฝ้าไว้ ตั้งให้เป็นหน่วยทหาร ภักดีอาสา โดยมี ไต้ก๋งเจียม ซึ่งได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น ออกหลวงเสนาสมุทร เป็นผู้บังคับบัญชา ออกหลวงเสนาสมุทรได้ปรับปรุงค่ายบางกุ้งขึ้นใหม่ ตามตำราพิชัยสงครามฉบับ ง่อกี้ โดยก่ออิฐเป็นเชิงเทินหอรบไปตามลำน้ำแม่กลอง ล้อมเอาวัดบางกุ้งน้อยซึ่งสร้างขึ้นมาตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้กลางค่าย เพื่อเป็นที่สักการะและขวัญกำลังใจของทหาร ขุดคูป้องกันค่าย ซึ่งปัจจุบันก็คือ คลองบ้านค่าย และขุดคลองอีกคลองแยกจากแม่น้ำแม่กลองมาเพื่อใช้น้ำ ปัจจุบันคือ คลองบางกุ้ง เรียกค่ายนี้กันว่า ค่ายจีนบางกุ้ง ในปลายปี พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้าอังวะได้รับรายงานจากเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต แห่งเวียงจันทน์ ซึ่งฝักใฝ่พม่า ว่าพระยาตากได้ตั้งตัวเป็นใหญ่จะฟื้นฟูกรุงศรีอยุธยาที่พม่าเผาราบไปแล้วขึ้นมาอีก พระเจ้าอังวะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่เชื่อว่าเมืองไทยที่ถูกทำลายจนย่อยยับ ผู้คนก็ถูกกวาดต้อนมาจนเหลือน้อย จะมีใครก่อการใหญ่ได้อีก ประกอบกับกำลังกังวลการทำสงครามกับจีน จึงสั่งให้พระยาทวายยกกองทัพเข้ามาดู ถ้าพบใครกำเริบตั้งตัวเป็นใหญ่ก็ให้ปราบเสีย เจ้าเมืองทวายยกกำลังพล ๓,๐๐๐ คนเข้ามาทางด่านไทรโยคในฤดูแล้งปลายปี พ.ศ.๒๓๑๐ เห็นว่ากาญจนบุรีและราชบุรียังเป็นเมืองร้าง เรือรบของพม่าที่จอดทิ้งไว้ที่ไทรโยค รวมทั้งค่ายริมฝั่งแม่น้ำที่ราชบุรีก็ยังไม่มีใครทำลาย เดินทัพอย่างสบายจนมาเจอค่ายบางกุ้งจึงล้อมไว้ พงศาวดารกรุงธนบุรีกล่าวว่า พระเจ้าตากสินทรงทราบข่าวข้าศึกด้วยความยินดียิ่ง ได้โปรดให้ พระมหามนตรี (บุญมา) จัดกองทัพเรือ ๒๐ ลำ แล้วพระองค์ก็ทรงเรือพระที่นั่งสุพรรณพิชัยนาวา เรือยาว ๑๘ วา ปากเรือกว้าง ๓ ศอกเศษ พลกรรเชียง ๒๘ คน พร้อมด้วยศาสตราวุธมายังค่ายบางกุ้ง โดยลัดเลาะมาทางคลองบางบอน ผ่านคลองสุนัขหอน และมาออกแม่น้ำแม่กลอง พระมหามนตรีคาดการณ์ว่าค่ายบางกุ้งล่อแหลมกำลังจะแตกอยู่แล้วจึ งรีบเดินทัพ พอไปถึง ก็เข้าโจมตีทัพพม่าที่กำลังล้อมค่ายไทย-จีนที่บางกุ้งโดยฉับพลัน ในตอนเรียกประชุมนายทัพนายกองเพื่อปลุกใจก่อนเข้าโจมตีนั้น ทรงเน้นว่า ถ้าช้าไปอีกวันเดียวค่ายบางกุ้งจะแตก แล้วขวัญทหารไทยจะไม่มีวันฟื้นคืนดีได้ การรบทุกครั้งการแพ้ชนะอยู่ที่ขวัญกำลังใจ ถ้าไทยแพ้อีกในครั้งนี้ พม่าจะฮึกเหิม พวกไทยจะครั่นคร้ามและกู้ชาติไม่สำเร็จ การรักษาค่ายบางกุ้งไว้ให้ได้ในครั้งนี้ ได้ชื่อว่า ท่านทั้งหลายได้ช่วยขวัญกำลังใจของไทยในการรบครั้งต่อไป การรบครั้งนี้ถึงขั้นตะลุมบอนกันด้วยอาวุธสั้น พระมหามนตรีซึ่งต่อมาก็คือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาในรัชกาลที่ ๑ ได้ใช้ดาบสิงห์สุวรรณาวุธ ด้ามและฝักกนกหัวสิงห์ไล่ฆ่าฟันข้าศึก ฝ่ายทหารจีนในค่ายเมื่อทราบว่าพระเจ้าตากสิน นำทัพมาช่วยด้วยพระองค์เอง ก็มีกำลังใจ เปิดประตูค่ายจุดประทัดตีม้าฬ่อ ตะลุยออกมา ทำให้พม่าถูกตีขนาบ อีกทั้งเป็นคืนเดือนมืด ไม่รู้ว่ากองทัพไทยยกกันมามากแค่ไหน เสียงโห่ร้องอื้ออึงและประทัดม้าฬ่อ ทำให้ทหารพม่าเสียขวัญ ทหารไทยยิ่งได้ใจไล่ฆ่าฟันทหารพม่าตายเกลื่อน เจ้าเมืองทวายเห็นว่าจะรับไม่ไหวแน่ จึงถอยทัพออกไปทางด่านเจ้าเขว้า ด้านแม่น้ำภาชี เมืองราชบุรี ส่วนพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ กล่าวว่า ลุศักราช ๑๑๓๐ ปีชวด สัมฤทธิศก (พ.ศ.๒๓๑๑) โปมัง พะม่านายทัพ คุมพลทหารพะม่าทัพบกทัพเรือประมาณ ๒,๐๐๐ เศษ ยกเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตีล่วงมาล้อมค่ายจีนบางกุ้งเข้าไว้ใกล้จะเสียอยู่แล้ว ครั้นทรงทราบในทันใดนั้น มีพระราชหฤทัยประดุจได้พระลาภอันอุดมกว่าลาภทั้งปวง จึงให้เตรียมพลโยธาทหารเรือประมาณ ๒๐ ลำเศษ แล้วทรงเรือพระที่นั่งสุวรรณมหาพิชัยนาวา สรรด้วยเครื่องศาสตราวุธ ครั้นได้ศุภมงคลนิทานสกุณฤกษ์ พระทัยพร้อมพหิพยันดรราชฤทธิ์ ก็ยกพลนิกายโดยชลมารค ด้วยอาการอันรวดเร็วดุจพระยาชวันราชหงส์ อันนำหน้าสุวรรณหงส์ทั้งหลายทั้งปวงไปในราตรีนั้น ฝ่ายทัพเรือพะม่ายกลงมาตรัสเห็นแล้วก็รีบเรือรับ เรือพระที่นั่งกับทั้งเรือทหารทั้งปวงไล่ตะลุมบอน ยิงปืนจ่ารงค์มณฑลนกสับคาบศิลา ถูกพะม่าล้มตายพ่ายขึ้นไปเถิงทัพใหญ่จึงให้ยิงปืนตับใหญ่ พะม่าแตกตื่นล้มตายด้วยฝีมือทหารไทยฟันแทงในน้ำเป็นอันมาก บ้างหนีขึ้นบกเล็ดลอดซ่อนเร้นสะดุ้งใจ ที่หนีไปแว่นแคว้นแดนอังวะได้นั้นน้อยนัก ทหารไทยเก็บได้เครื่องศาสตราวุธเรือรบไล่ครั้งนั้นได้เป็นอันมาก พระเกียรติยศก็ฤาชาปรากฏ ดุจพระยาไกรสีหราช อันเป็นที่กลัวแห่งหมู่สัตว์จตุบาททั้งปวง ชัยชนะที่ค่ายบางกุ้งนี้มีผลอย่างมาก ต่อขวัญและกำลังใจของกองทัพไทย หากพ่ายแพ้ครั้งนี้ การกู้ชาติของพระเจ้าตากสินจะต้องมีปัญหา เพราะขวัญกำลังใจถูกทำลายลงอีก ทั้งเมืองสมุทรสงครามที่อุดมสมบูรณ์ และยังไม่เคยถูกพม่ารุกรานเหมือนกรุงศรีอยุธยา ก็คงถูกปล้นสะดมไม่เหลือความมั่งคั่ง ด้วยศิลปวัฒนธรรมมาถึงทุกวันนี้แน่ ครั้นเผด็จศึกแล้ว พระเจ้าตากสินทรงพาทหารเข้าพักที่ค่ายบางกุ้ง ทรงประชุมเหล่าทหารหาญทั้งไทย-จีนให้มีความสามัคคีปรองดองเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีความรักกันฉันญาติมิตร ตอนหนึ่งในพระบรมราโชวาท ตรัสว่า เนื้อต่อเนื้อไม่เอื้อเฟื้อเป็นเนื้อกลางป่า เนื้อใช่เนื้อได้เอื้อเฟื้อเป็นเนื้ออาตมา มีความหมายว่า คนที่เป็นญาติพี่น้องกัน ถ้ามิได้เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันก็เหมือนไม่ใช่ญาติ แต่คนที่มิใช่ญาติ หากได้เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันก็เหมือนเป็นญาติสนิท สงครามที่ค่ายบางกุ้งนี้ นอกจากจะทำให้ขวัญกำลังใจของคนไทยที่สูญสิ้นไปกลับคืนมาแล้ว ยังทำให้ชุมนุมต่างๆ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ยามแผ่นดินว่างกษัตริย์ ได้หันมายอมรับกองกำลังกู้ชาติของพระเจ้าตากสิน รวมกันกลับมาสู่ความเป็นปึกแผ่นเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๑๗ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ยกทัพไปรบพม่าที่ค่ายบางแก้ว เมืองราชบุรี เสด็จไปตามลำน้ำแม่กลอง ครั้นเสด็จผ่านค่ายบางกุ้งได้หยุดทัพ พักเสวยพระกระยาหารกลางวัน ที่วัดกลางค่ายเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ก่อนเสด็จต่อไปราชบุรีเมื่อบ่ายโมงเศษ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ค่ายบางกุ้งหมดความสำคัญลง ตัวค่ายและโบสถ์วัดบางกุ้งน้อยที่อยู่กลางค่ายถูกทิ้งร้างเกือบ ๒๐๐ ปี ทำให้ธรรมชาติมีเวลาสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นกับโบสถ์ คือพันธุ์ไม้ ๔ ชนิด มี โพธิ์ ไทร ไกร กร่าง ได้อาศัยขึ้นบนหลังคา และแผ่รากกระจายไปตามฝาผนังเลื้อยลงถึงดิน ผนังโบสถ์ทั้ง ๔ ด้านจึงมีรากไม้ทั้ง ๔ ชนิดนี้เกาะรัดเหมือนตาข่าย ส่วนกิ่งใบก็ปกคลุมหลังคาจนร่มครึ้ม ตัวหลังคาก็ผุพังไปเหลือแต่โครงไม้บางส่วน ในปี พ.ศ.๒๕๑๐ นายอภัย จันทวิมล ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เลือกค่ายบางกุ้ง เป็นที่ตั้งค่ายลูกเสือเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยตั้งศาลเพื่อเป็นอนุสรณ์ไว้เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๑ ต่อมาค่ายลูกเสือนี้ได้ยุบเลิกไป ทางวัดบางกุ้งใหญ่ จึงได้รวมอาณาเขตวัดบางกุ้งน้อยไว้เป็นอารามเดียวกัน และพัฒนาค่ายบางกุ้งให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว สร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินขึ้น ส่วนโบสถ์กลางค่ายซึ่งได้ชื่อว่า โบสถ์ปรกโพธิ์ เป็นโบสถ์ก่ออิฐถือปูนกว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๓ เมตร มีหน้าต่างด้านข้างด้านละ ๓ บาน มีประตูทางเข้าออกทางด้านหน้าประตูเดียว ส่วนภาพเขียนตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาบนฝาผนัง ได้ถูกน้ำฝนที่รั่วเข้ามาจนภาพเลือนหายไปหมด จึงได้เทฝ้าเพดานเป็นคอนกรีตกันฝน เพราะไม่อาจซ่อมหลังคาได้ ต้องปล่อยให้อยู่ในสภาพผุพังเช่นเดิม ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๒ เมตร นามว่า หลวงพ่อนิลมณี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อดำ ประดิษฐานอยู่โดยไม่บุบสลาย พระอธิการบุญผึ่ง อดีตเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ ซึ่งเกิดที่บางกุ้ง ได้เล่าไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑ ขณะที่ท่านมีอายุ ๘๑ ปีว่า ปู่ย่าตายายเล่ากันมาว่า มีเศรษฐีคนหนึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บางกุ้งในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีข้าทาสบริวารมากมาย แต่จนเข้าวัยกลางคนแล้วก็ยังไม่มีบุตรสืบสกุล ฝ่ายภรรยามีจิตศรัทธาในพุทธศาสนา ปรารถนาจะฝากทรัพย์ไว้กับพระศาสนาเพื่อจะได้ติดตัวไปใช้ในชาติหน้า จึงได้สร้างวัดขึ้นที่บางกุ้ง ใกล้บ้านของตน เป็นวัดที่ใหญ่มากในสมัยนั้น ต่อมาท่านเศรษฐีได้น้องสาวภรรยาเป็นภรรยาอีกคน หวังจะได้บุตรธิดาสืบมรดก แต่อยู่กินกันมาหลายปีก็ไม่มีบุตร ภรรยาคนใหม่ก็หวังจะฝากทรัพย์สมบัติไว้กับพระศาสนาเช่นกัน จึงสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งติดกับวัดบางกุ้งเดิม แต่มีขนาดเล็กกว่า จึงให้ชื่อว่า วัดบางกุ้งน้อย ขณะนี้ค่ายบางกุ้ง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไม่น้อย โดยเฉพาะโบสถ์ปรกโพธิ์ที่อยู่กลางค่าย เป็นประติมากรรมธรรมชาติที่ไม่มีใครสร้างได้ นอกจากกาลเวลา สงครามที่ค่ายบางกุ้ง แม้จะเป็นสงครามเล็กๆ ไม่ใหญ่โต แต่ก็มีความสำคัญต่อการกู้อิสรภาพของชาติไทยมาก ก็ด้วยสร้างขวัญกำลังใจในสงครามครั้งแรกนี้
|