ในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทรงนำทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์และหลวงพระบาง คราวอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมานั้น ได้นำเชลยสาวชาวเวียงจันทน์มาด้วยคนหนึ่งในฐานะอนุภรรยา เป็นลาวพุงขาว ธิดาของเพี้ยเมืองแพน มีนามว่า แว่น หรือ คำแว่น และนำมาอยู่ในทำเนียบ ร่วมกับท่านผู้หญิงนาคด้วย ซึ่งท่านผู้หญิงเป็นกุลสตรีแบบดั้งเดิม จึงรับธรรมเนียมของขุนนางในเรื่องนี้ไม่ได้ คุณแว่น จึงเป็นเหตุให้ชีวิตรักของท่านผู้หญิงกลายเป็นชีวิตขม แม้จะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอัครมเหสี ก็ไม่ยอมเข้าประทับในบรมมหาราชวังเลยตลอดพระชนม์ชีพ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ปรากฏบทบาท ของสมเด็จพระอมรินทราฯ อยู่ในพงศาวดาร แต่บทบาทของคุณแว่นกลับถูกจารึกไว้ทั้งในพงศาวดารและหนังสือหลายเล่ม มากกว่าสตรีอื่นๆ ในยุคนั้น เพราะเป็นสนมที่ทรงโปรด มีกริยาต้องพระราชอัธยาศัย รับใช้ใกล้ชิดตลอดรัชกาล คุณแว่นเป็นคนพูดจาโผงผาง อีกทั้งยังค่อนข้างดุ บรรดาพระเจ้าลูกเธอจึงเกรงกลัวมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และเรียกคุณแว่นว่า คุณเสือ คนทั้งหลายเลยพากันเรียกตามไปด้วย แม้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสมเด็จพระอัมรินทราฯ และพระโอรสธิดาหลายองค์ แต่กลับเข้ากันได้ดีกับคุณชายฉิม ซึ่งต่อมาก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรียกคุณแว่นว่า พี่ มีสัมพันธ์กันด้วยดีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พอเป็นหนุ่ม คุณแว่นยังได้ช่วยคลี่คลายปัญหาสำคัญให้ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนดำรงพระยศเป็นกรมหลวงอิศรสุนทรแล้ว ตอนนั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร แอบมีสัมพันธ์สวาทกับเจ้าฟ้าบุญรอด พระธิดาสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมศรีสุดารักษ์ ซึ่งก็คือลูกสาวของป้า เมื่อเจ้าฟ้าบุญรอดทรงครรภ์ได้ ๔ เดือน เห็นว่าจะปกปิดซ่อนเร้นเรื่องนี้ไว้ไม่ได้แล้ว ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ก็จะพระพิโรธเป็นเรื่องใหญ่แน่ และไม่เห็นใครจะช่วยผ่อนคลายให้ได้ นอกจาก คุณเสือ คุณแว่นเป็นคนที่เข้ากราบทูลได้ทุกเรื่องและทุกเวลา แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้คุณแว่นก็ต้องหาจังหวะให้ดีเหมือนกัน และอธิษฐานไว้ว่า ถ้าพูดสำเร็จก็จะสร้างวัดถวายวัดหนึ่ง กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เจ้าของนามปากกา น.ม.ส. เล่าไว้ในหนังสือ สามกรุง ว่า ค่ำวันหนึ่งคุณแว่นเห็นโอกาสเหมาะ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ กำลังสบายพระราชหฤทัย รับสั่งเล่าเรื่องเก่าเมื่อครั้งก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกให้ท้าวนางฟังเป็นที่สนุกสนาน พอได้จังหวะคุณเสือก็คลานเข้าไปกระซิบ ขุนหลวงเจ้าขา ดีฉันจะทูลความสักเรื่องหนึ่ง แต่ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา ถ้าขุนหลวงกริ้ว ดีฉันก็จะไม่ทูล คุณแว่นเรียกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เหมือนเดิมมาตลอด พระเจ้าอยู่หัวเฉลียวพระทัยว่า น่าจะมีอะไรชอบกลอยู่ จึงรับสั่ง เออ พูดไปเถิด กูไม่โกรธดอก คุณเสือยังว่า ดีฉันไม่เชื่อ ขุนหลวงรับสั่งว่าไม่กริ้ว ครั้นดิฉันทูลขึ้นขุนหลวงก็จะกริ้ววุ่นวายไป ถ้าอย่างนั้นขุนหลวงสบถให้ดิฉันเสียก่อนดิฉันจึงจะทูล อีอัปรีย์ บ้านเมืองลาวของมึง เคยให้เจ้าชีวิตจิตสันดานสบถหรือ กูไม่สบถ พูดไปเถิดกูไม่โกรธดอก คุณเสือก็ยังว่าไม่เชื่ออีก แล้วทำท่าคลานออก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงสนพระทัยเรื่องที่คุณเสือเกริ่น จึงรับสั่งเรียกไว้ อย่าเพ่อไป จะไปข้างไหน มาพูดไปเถิด เอ็งจะให้ข้าสบถว่ากระไร ดิฉันจะให้ขุนหลวงสบถว่า ถ้าดิฉันทูลขึ้นแล้วขุนหลวงกริ้ว ให้ขุนหลวงตกนรกเท่านั้นแหละ เอ็งจะมาให้ข้าสบถว่าไม่ให้โกรธนั้น ถ้ามีผู้คิดร้ายต่อข้าเอ็งมาบอกขึ้น ก็จะห้ามไม่ให้โกรธคนที่ใจเป็นดังนี้ บ้านเมืองลาวของมึงมีอยู่หรือ คุณเสือจึงว่า ถ้าเป็นเรื่องใครเขาคิดร้ายต่อพระองค์ ดิฉันก็ไม่ทูลขอห้ามให้ขุนหลวงกริ้ว นี่ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น เป็นแค่การเล็กน้อย ครั้นขุนหลวงทราบก็จะกริ้วกราดเอาเป็นมากเป็นมาย ถึงแก่เฆี่ยนแก่ตี นิดก็เฆี่ยนหน่อยก็เฆี่ยน พระเจ้าอยู่หัวใคร่จะทรงฟังความว่าเป็นเรื่องอะไรจึงรับสั่งว่า พูดไปเถิด ข้าไม่เฆี่ยนหรอก คุณเสือก็ยังย้ำอีกว่า ถ้าคุณหลวงเฆี่ยน ให้คุณหลวงตกนรกหนา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงอึดอัดพระทัย ครั้นทรงนิ่งคุณเสือก็จะไม่ทูลเรื่องราวเสียที จึงรับสั่งว่า เออ กูไม่เฆี่ยนดอก คุณเสือจึงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดแล้วกระซิบทูลว่า แม่รอด เดี๋ยวนี้ท้องขึ้นมาได้ ๔ เดือนแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงสดับดังนั้น พระพักตร์ก็แสดงอาการพิโรธขึ้นมาทันที รับสั่งถามว่าท้องกับใคร คุณเสือจึงทูลว่า จะมีใครเล่า พ่อโฉมเอกของขุนหลวงนั่นซิ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ก็ยังสงสัยพระทัยว่า จะเป็นกรมหลวงอิศรสุนทร หรือกรมขุนเสนานุรักษ์ พระอนุชา ทรงระแวงพระทัยว่าจะเป็นกรมขุนเสนานุรักษ์ ซึ่งพระรูปพระโฉมงดงาม แต่คุณเสือกลับทูลว่า พ่อฉิมนั่นแหละเจ้าค่ะ ระบุพระนามเดิมของกรมหลวงอิศรสุนทร ทั้งยังทูลส่งเสริมอีกว่า รักชมสมกันจริงๆ มีลูกมีเต้าออกมาจะอุ้มชูก็ไม่น่ารังเกียจ ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา มึงเห็นดีไปคนเดียวเถิด พี่น้องเขายังอยู่เป็นก่ายเป็นกอง เขาไม่รู้ก็จะว่ากูสมรู้ร่วมคิดเป็นใจให้ลูกทำข่มเหงเขา อนึ่งทำดูถูกเทวดารักษารั้ววังไม่มีความเกรงกลัว ถ้าจะรักใคร่กัน ก็จะบอกล่าวผู้ใหญ่ให้เป็นที่เคารพนบนอบแต่โดยดี นี่ทำบังอาจจะเอาแต่ใจไม่คิดแก่หน้าผู้ใด แม้จะกริ้วเมื่อทรงทราบเรื่อง แต่ต่อมาเมื่อสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงพากรมหลวงอิศรสุนทรเข้าเฝ้ากราบทูลไกล่เกลี่ย ขอรับพระราชทานโทษ ก็พระราชทานให้ เมื่อเรื่องลงเอยด้วยแฮปปี้เอนดิ้ง คุณแว่นก็สร้างวัดตามที่อธิษฐานไว้ ซึ่งรัชกาลที่ ๒ ได้พระราชทานนามให้ว่า วัดดาวดึงษาราม ปัจจุบันอยู่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ฝั่งธนบุรี ต่อมาเมื่อถึงกำหนดประสูติพระโอรส เจ้าฟ้าบุญรอดก็ประชวรพระครรภ์ถึงสองวันสองคืน กรมหลวงอิศรสุนทร จึงขอพึ่งบริการคุณเสืออีกครั้ง ให้ไปขอรับพระราชทานน้ำชำระพระบาทพระเจ้าอยู่หัว คุณเสือจึงนำขันทองตักน้ำขึ้นไปด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รับสั่งว่าทำดูถูกเทวดารักษาวังจึงได้ออกลูกยาก แล้วก็ยกพระบาทเอาพระอังคุฐ (หัวแม่เท้า) ลงจุ่มน้ำในขันทอง คุณเสือก็รีบส่งน้ำนั้นข้ามกลับพระราชวังเดิม ครั้นเจ้าฟ้าบุญรอดเสวยน้ำชำระพระบาทครู่หนึ่ง ก็ประสูติพระโอรสเป็นพระกุมาร แต่ก็สิ้นพระชนม์ในวันประสูตินั้น ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๔๗ ก็ประสูติพระโอรสองค์ที่ ๒ ซึ่งก็คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และหลังจากที่กรมหลวงอิศรสุนทรทรงอุปราชาภิเษก ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรใน พ.ศ. ๒๓๔๙ แล้ว ใน พ.ศ. ๒๓๕๑ เจ้าฟ้าบุญรอดก็ประสูติพระราชโอรสองค์ที่ ๓ ซึ่งก็คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหนังสือ วชิรญาณวิเศษ เล่ม ๓ ได้ปรากฏพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๔ ตอนหนึ่งว่า ก็แลเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระมหากรุณาโปรดตั้ง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นกรมพระราชวังบวร คุณเสือกราบทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกว่า พระบวรราชวังร้าง ไม่มีเจ้าของ ซุดโซมยับเยินไป เย่าเรือนข้างในก็ว่างเปล่ามาก ขอพระราชทานให้เชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรพระองค์ใหม่ ขึ้นไปทรงครอบครองพระราชวังบวรจึงสมควร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ามีพระราชโองการดำรัสว่า ไปอยู่บ้านช่องของเขาทำไม เขารักแต่ลูกเต้าของเขา ๆ แช่งชักไว้เป็นหนักหนา และมีรับสั่งว่าพระองค์ก็ทรงพระชรามากอยู่แล้ว กรมพระราชวังบวรองค์ใหม่ อย่าต้องเสด็จไปพระบวรราชวังเก่าเลย คอยเสด็จอยู่พระบรมมหาราชวังนี้ทีเดียวเถิด อย่าต้องประดักประเดิดยักแล้วย้ายเล่าเลย เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่เรื่องกิจการของบ้านเมือง คุณเสือก็กล้าที่จะถวายคำแนะนำ ซึ่งยากที่คนอื่นจะทำได้ โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้หญิงในยุคนั้น นอกจากมีบทบาทอยู่หลายเรื่องแล้ว คุณแว่นยังทำอะไรแปลกๆที่ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งในยุคนี้ต้องถือว่าชิงพื้นที่ข่าวไว้ได้ตลอด ทำให้ผู้คนกล่าวขานกันไปทั่ว พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า อีกครั้งหนึ่งมีเทศน์มหาชาติ แผ่พระราชกุศลถึงพระองค์เจ้าต่างกรมและข้าราชการผู้ใหญ่ ๆ ฝ่ายหน้าฝ่ายในและเจ้าจอมพระสนมเอกที่มีกำลังพอจะทำได้ ทำกระจาดใหญ่บูชากัณฑ์เทศน์มหาชาติ ๑๓ กระจาด ตั้งกระจาดหน้ากำแพงพระมหาปราสาททรายตลอดมาถึงหน้าโรงทอง และโรงนาฬิกา และข้างลานชาลาด้วย ประกวดประชันกันนัก กระจาดคุณแว่นพระสนมเอก ที่เขาเรียกว่าคุณเสือ แต่งเด็กศีรษะจุกเครื่องแต่งหมดจด ถวายพระเป็นสิทธิขาดทีเดียว... คนอื่นเอาของกินของใช้ มาแต่งกระจาดประกวดประชันกัน คุณแว่นเอาลูกทาสมาใส่กระจาดถวายพระเสียเลย ชิงพื้นที่ข่าวไปเด็ดขาด คนกล่าวขานกันไปทั้งเมือง ในเรื่องแม่บ้านการครัว คุณเสือก็ฝากฝีมือลือลั่นให้บันทึกไว้เหมือนกัน ในหนังสือ พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่า เมื่อตอนมีงานสมโภชพระนครและพระแก้วมรกต คุณแว่นตั้งโรงครัวที่ริมกำแพงด้านประตูสวัสดิโสภา ทำขนมจีนน้ำยา โดยใช้ข้าวทำขนมจีนถึงวันละเกวียน เลี้ยงพระได้ถึง ๒,๒๖๗ องค์ ทั้งยังตั้งโรงครัวทำแกงร้อนเลี้ยงคน ๒,๐๐๐ คน และใช้คน ๙๘๘ คนลำเลียงแกงร้อนและขนมจีนน้ำยาไปถวายพระ เป็นเรื่องลือลั่นของคุณเสืออีกเรื่องหนึ่ง มีเรื่องที่คุณเสือทำไม่สำเร็จอยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือ มีพระหน่อ จนต้องไปขอลูกกับพระพุทธรูป ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ขึ้นใหม่เป็นวัดหลวง และอัญเชิญพระโลกนาถศาสดาจารย์ จากวัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังกรุงศรีอยุธยา มาเป็นพระประธานในพระวิหารด้านตะวันออก คนอยุธยาเชื่อกันว่าพระโลกนาถทรงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ คุณเสือจึงได้โอกาสขอลูกกับพระโลกนาถ และขอพระราชทานสลักรูปเด็กผมจุกชายหญิง ๒ ตนไว้บนผนังวิหารเบื้องหลังพระโลกนาถ มีโคลงจารึกไว้ด้วยว่า รจนาสุดารัตนแก้ว กุมารี หนึ่งฤา เสนออธิบายบุตรี ลาภได้ บูชิตเชฐชินศรี เฉลาฉลัก หินเฮย บุญส่งจงลุได้ เสร็จด้วยดังถวิล กุมารหนึ่งพึงฉลักตั้ง ติดผนัง สถิตอยู่เบื้องหลัง พระไว้ คุณเสือสวาดิหวัง แสวงบุตร ชายเอย เฉลยเหตุธิเบศร์ให้ สฤษดิแสร้งแต่งผล โคลงจารึกไว้กับรูปกุมารกุมารีทั้ง ๒ บทนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพทรงพระวินิจฉัยไว้ว่า ชะรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าเจ้าอยู่หัว ทรงเกรงว่าคนทั้งหลายจะเห็นว่ารูปกุมารไม่เกี่ยวข้องกับพระศาสนา จะรื้อทำลายเสีย จึงอาราธนาสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรสให้ทรงนิพนธ์โคลงบอกเรื่องของภาพกุมารไว้ ปัจจุบันรูปเด็กทั้ง ๒ ก็ยังปรากฏอยู่บนผนังที่เดิม ส่วนโคลงสลักบนหินอ่อนอยู่บนผนังตรงกลางระดับพระบาทพระโลกนาถ แต่เลือนไปมากแล้ว แม้คุณเสือจะไม่สมหวังในเรื่องลูก แต่ก็สมหวังในเรื่องรัก เป็นที่โปรดปรานตลอดรัชกาล หลังจากสิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๑ ในปี ๒๓๕๒ คุณเสือก็สิ้นวาสนา ไปอยู่กับเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ที่ประสูติจากราชธิดาพระชัยเชษฐาธิราชที่ ๓ เจ้านครเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นมเหสีองค์ที่ ๒ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ช่วยเลี้ยงพระเจ้าลูกเธอ ๓ พระองค์ของเจ้าฟ้ากุลฑลทิพยวดี จากนั้นคุณเสือก็เงียบหาย ไม่เป็นข่าวให้คนกล่าวขานกันอีก คุณเสือถึงอสัญกรรมในรัชกาลที่ ๒ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นปีใด เป็นการจบชีวิตเชลยสาวจากเวียงจันทน์ ที่มามีบทบาทอยู่ในพงศาวดารไทยมากกว่าสตรีคนใดในยุคนั้น ด้วยความรักเมตตาจากเจ้าเหนือหัว
ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์ คุณโรม บุนนาค จันทรวารสิริสวัสดิ์ค่ะ
|