| รูปปั้นแสดง ๕ ผู้ต้องธรณีสูบที่วัดไผ่โรงวัว | | | โดยทั่วไปทราบกันว่า ในสมัยพระพุทธองค์มีคนที่ทำความชั่วจนถูกธรณีสูบไป ๑ คน คือ พระเทวทัต แต่ในตำนานเล่าไว้ว่ามีถึง ๕ ซึ่งทุกคนล้วนแต่ก่อกรมทำเข็ญมุ่งร้ายต่อพระพุทธองค์และสาวกของพระองค์ทั้งสิ้น พระเทวทัตเป็นพระเชษฐาของพระนางยโสธราพิมพา ชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ ตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า พระเทวทัตตามล้างตามผลาญพระพุทธองค์มาแล้วหลายชาติ แรกเริ่มนั้น เมื่อครั้งพระเทวทัตเกิดเป็นพ่อค้า พระพุทธองค์เสวยชาติเป็นพ่อค้าเช่นกัน ได้มีหญิงชราเป็นผู้ดีตกยากนำถาดทองสมบัติเก่า ที่ยังเหลืออยู่ไปขายพระเทวทัต เพื่อจะหาเงินยังชีพ ด้วยนิสัยพ่อค้าที่คดด้วยเล่ห์ พระเทวทัตจึงบอกว่าถาดนั้นไม่ได้ทำด้วยทองแท้และตีราคาให้ต่ำ หญิงชราทราบดีว่าสมบัติเก่าของนางนั้นเป็นของมีค่า จึงไม่ยอมขายให้ พอดีกับพระพุทธองค์ขณะเสวยชาติเป็นพ่อค้าเสด็จผ่านมา หญิงชราจึงนำถาดทองเสนอขาย พระพุทธองค์เห็นว่าเป็นถาดที่ทำด้วยทองแท้ จึงให้ราคาสมกับค่าของถาด หญิงชราจึงได้ขายสมบัติชิ้นสุดท้ายนั้นให้พระพุทธองค์ เรื่องนี้สร้างความโกรธแค้นแก่พระเทวทัตมาก เพราะถ้าไม่มีพระพุทธองค์ หญิงชราก็จำต้องขายให้ตนเพราะความยากจนบีบบังคับ พระเทวทัตจึงกำทรายขึ้นมา ๑ กำมือ แล้วหว่านออกไปพร้อมกับประกาศว่า จะขอจองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ไปทุกชาติ เท่ากับเม็ดทรายเม็ดละชาติ จากนั้นพระเทวทัตก็ติดตามจองเวร กับพระพุทธองค์มาหลายชาติ ชาติสุดท้ายก่อนเกิดเป็นพระเทวทัตจนถูกธรณีสูบ ได้เกิดเป็น ชูชก ขณะที่พระพุทธองค์เสวยชาติเป็น พระเวสสันดร ในชาติที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ พระเทวทัตก็มีจิตริษยาอาฆาตพระพุทธองค์มาแต่เยาว์วัย เมื่อพระพุทธองค์ทรงผนวช พระเทวทัตก็ออกผนวชด้วย และเมื่อพระพุทธองค์บรรลุพระโพธิญาณ พระเทวทัตก็สำเร็จโลกีย์ญาณ ได้อภิญญาสามารถแปลงกายและเหาะเหินเดินอากาศได้ แม้จะสำเร็จถึงขั้นนี้แล้ว พระเทวทัตก็ยังมุ่งประกอบการชั่วจองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ตลอด ครั้งหนึ่งได้ส่งนายขมังธนูไปปลงพระชนม์ เพื่อจะตั้งตนเป็นพระศาสดาเสียเอง เมื่อไม่สำเร็จก็ยุยงให้ให้พระเจ้าอชาติศัตรูที่เคยเลื่อมใสพระพุทธองค์ จนหลงผิดถึงขั้นปลงพระชนม์บิดาของตัวเอง และยังยุให้มอมเหล้าช้างนาฬาคีรีให้เมามันดุร้ายไปทำร้ายพระพุทธองค์ ทั้งยังยุยงหมู่สงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ว่า พระองค์ยังพัวพันกับกิเลส มัวหมองในพรหมจรรย์ ฉันพระกระยาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ ขณะที่พระเทวทัตหันไปฉันมังสะวิรัต และโอ้อวดว่ามีพรหมจรรย์ที่เหนือกว่า ความชั่วร้ายต่างๆ ที่พระเทวทัตสะสมมาหลายชาติ ก็ได้บันดาลให้แผ่นดินลงโทษ เพราะไม่อาจจะแบกความชั่วไว้ได้ต่อไป แยกตัวออกสูบพระเทวทัตตกลงขุมนรกอเวจี หมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป ส่วนคนที่ ๒ ซึ่งถูกธรณีสูบในสมัยพุทธกาลก็คือ สุปปะพุทธะ ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระเทวทัตและพระนางยโสธราพิมพา พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นเอง เมื่อรู้ว่าพระเทวทัตถูกธรณีสูบ เพราะจองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ แทนที่สุปปะพุทธะจะสำนึกในบาปบุญคุณโทษ กลับมีจิตโกรธแค้นอาฆาต ทั้งยังโกรธแค้นเจ้าชายสิทธัตถะที่ทอดทิ้งธิดาของตนออกผนวช จึงนำอำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งดื่มสุราขวางทางที่พระพุทธองค์จะออกโปรดเวไนยสัตว์ ทำให้พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไม่ได้ เพราะมีทางออกอยู่ทางเดียว ถึงกับต้องอดพระกระยาหารไป ๑ วัน เมื่อพระอานนท์ทูลถามถึงความผิดของสุปปะพุทธะที่กระทำเช่นนั้น พระพุทธองค์ซึ่งทรงทราบด้วยญาณ จึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปได้เจ็ดวัน สุปปะพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป เมื่อสุปปะพุทธะทราบถึงพุทธดำรัส จึงขึ้นไปประทับบนชั้น ๗ ของปราสาท ทั้งยังให้นายทวารคอยขัดขวางไว้ไม่ให้พระองค์ออกจากปราสาทใน ๗ วัน สุปปะพุทธะประทับอยู่ในปราสาทชั้น ๗ จนถึงวันที่ ๗ ก็ได้ยินเสียงม้าแก้ว ซึ่งเป็นม้าที่ทรงโปรดร้องก้อง ด้วยความเป็นห่วงม้า สุปปะพุทธะจึงวิ่งลงมา เหล่านายทวารก็คิดว่าครบ ๗ วันตามกำหนดแล้ว จึงไม่มีผู้ใดขัดขวางไว้ พอสุปปะพุทธะก้าวพ้นปราสาท เหยียบพระบาทลงบนพื้น ธรณีก็เปิดออก สูบสุปปะพุทธะลงสู่ขุมนรกอเวจี ตามพุทธดำรัสที่ทรงรู้ด้วยญาณ รายที่ ๓ ที่ถูกธรณีสูบอีกคนก็คือ นันทมานพ แม้จะมิได้ทำร้ายต่อพระพุทธองค์โดยตรง แต่ก็ได้ทำผิดขั้นร้ายแรงต่อพระอรหันต์ เหยื่อของนันทมานพก็คือ ท่านอุบลวรรณาเถรี สตรีผู้มีโฉมงดงาม เป็นที่หมายปองของชายผู้พบเห็น ตั้งแต่พระราชาและเศรษฐีคหบดีทั่วไป แต่ท่านอุบลวรรณเถรีเบื่อหน่ายในโลกีย์สุข ต้องการหาความสงบตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ จึงออกบรรพชาเป็นภิกษุณีตั้งแต่อายุได้ ๑๖ ปี ในที่สุดก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แม้ท่านอุบลวรรณาเถรี จะก้าวไปอยู่ในโลกแห่งความสงบ ปราศจากกิเลสใดๆ แล้ว แต่นันทมานพก็ยังฝังใจด้วยกิเลสตัณหา ปรารถนาจะลิ้มรสสวาทจากนางให้ได้ วันหนึ่งจึงไปแอบซุ่มอยู่ในป่าข้างกระท่อม ที่ท่านอุบลวรรณฯจำพรรษาอยู่ เมื่อเห็นว่าออกจากกระท่อมไปบิณฑบาตแล้ว นันทมานพก็เข้าไปซ่อนอยู่ใต้เตียง และเมื่อท่านอุบลวรรณฯ กลับมานันทมานพก็เข้าปลุกปล้ำ แม้ท่านอุบลวรรณฯ จะร้องให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน เพราะอยู่ในป่าเปลี่ยววิเวก พระอรหันต์อุบลวรรณเถรี จึงได้กล่าวกับนันทมานพหวังจะเตือนสติให้เขาสำนึกในการกระทำว่า จงอย่าทำเช่นนี้เลย ความหายนะจะมาสู่ท่าน นันทมานพก็หาฟังไม่ ปลุกปล้ำท่านอุบลวรรณฯ จนสำเร็จดังใจปรารถนา แต่พอเขาก้าวลงจากแคร่ ธรณีก็เปิดอ้าสูบลงไปในขุมนรกอเวจี เพราะกรรมที่เขาก่อกับพระอรหันต์นั้นหนักหนาสาหัสนัก การที่ท่านอุบลวรรณเถรีถูกกระทำเช่นนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของภิกษุ ภิกษี และพุทธบริษัททั้งปวงว่า เมื่อท่านอุบลวรรณฯได้รับการสัมผัสเช่นนี้ ย่อมจะฝืนความยินดีให้คล้อยตามไปด้วยยาก พระพุทธองค์จึงตรัสบอกกับพุทธสาวกว่า พระอรหันต์นั้นเป็นเช่นเดียวกับไม้ผุ ไม่มีกิเลสและไม่มีความยินดีในกิเลส เฉกเช่นตุ๊กตา ที่ไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันท์ใด พระอรหันต์ก็เป็นฉันท์นั้น... รายที่ ๔ ที่ถูกธรณีลงโทษเป็นหญิง และเป็นหญิงรายเดียวใน ๕ รายที่ถูกธรณีสูบ ซึ่งได้ทำบาปกรรมต่อพระพุทธองค์โดยตรง นางนี้มีนามว่า จิญจมาณวิกา หลงผิดไปรับอาสาจากพวกปริพพาชก ผู้เชื่อถือศรัทธาในนิกายหนึ่ง ซึ่งเกิดความอิจฉาริษยาที่เห็นคนไปเคารพเชื่อถือในคำสอนของพระพุทธองค์ จึงว่าจ้างให้นางจิญจมาณวิกาแกล้งทำเป็นหญิงมีครรภ์ โดยเอาไม้กลึงนูนไปผูกรัดไว้ที่หน้าท้องในเสื้อผ้า ให้ดูเหมือนนางกำลังมีครรภ์ แล้วไปเต้นร้องต่อหน้าพระพุทธองค์ขณะที่กำลังเทศนาแก่สาวกว่า ท่านสมณะโคดม จะมัวมาเทศน์หน้านวลอยู่ใย ทำให้ฉันมีครรภ์เช่นนี้มิดูแล อย่ามัวเทศน์โปรดสัตว์อยู่เลย จงไปตัดฟืนไว้ให้ฉันดีกว่า เมื่อเวลาคลอดลูกจะมิลำบาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสดับจึงหยุดเทศนา กล่าวกับนางจิญจมาณวิกาด้วยท่าทีสงบว่า ดูก่อนภัคคินี เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขาไม่รู้ด้วยหรอก จะมีเธอกับฉันสองคนเท่านั้นที่รู้ เหล่าพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้ฟังต่างก็สงสัย ด้วยพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงปฏิเสธ ร้อนถึงพระอินทร์ต้องแปลงร่างเป็นหนู ไปกัดเชือกที่หน้าท้องของนางจิญจมาณวิกา เมื่อเชือกขาดไม้ที่ทำให้ท้องนูนเหมือนคนท้องจึงหลุดลง ท่ามกลางสายตาของพุทธบริษัท นางตกใจวิ่งหนีไป แต่พอลับตา ธรณีก็สูบเอาลงขุมนรกอเวจีไปอีกราย นางจิญจมาณวิกาผู้นี้ เมื่อชาติก่อนเกิดเป็นนางอมิตตา ภริยาชูชก หรือพระเทวทัตที่จองเวรพระพุทธองค์มาหลายชาติ ส่วนรายที่ ๕ ที่ถูกธรณีสูบไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นยักษ์ มีนามว่า นันทยักษ์ ซึ่งมีฤทธิ์เดชมาก วันหนึ่งนันทยักษ์ได้เหาะเหินเดินอากาศมากับ เหมตายักษ์ ผู้เป็นสหาย ครั้นผ่านมาถึงที่พระสารีบุตร สาวกของพระพุทธองค์กำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ทำให้อากาศธาตุในบริเวณนั้นว่างเปล่า ยักษ์สองสหายไม่สามารถเหาะผ่านไปได้ นันทยักษ์ผู้มีนิสัยพาล ชาติก่อนก็อาฆาตผูกพยาบาทพระเถระไว้ จึงทำปาณาติบาตต่อพระสารีบุตรด้วยสันดานพาล เหมตายักษ์ได้ทัดทาน แต่นันทยักษ์ก็ไม่ฟัง เหาะขึ้นกลางอากาศแล้วใช้กระบองซึ่งเป็นอาวุธประจำตน ฟาดลงมาหมายเศียรของพระสารีบุตร ความแรงของอิทธิฤทธิ์นันทยักษ์ทำให้ภูเขาระเนระนาดไปถึง ๑๐๐ ลูก แต่พระสารีบุตรซึ่งอยู่ในสมาธิหาเป็นอันตรายอย่างใดไม่ ยิ่งทำให้นันทยักษ์เกิดเร่าร้อนในอารมณ์ ตะโกนก้องไปทั่วทิศว่า เราร้อน...เราร้อน ทันใดก็ตกลงมาจากอากาศ พลันแผ่นดินก็เปิด สูบเอานันทยักษ์ลงขุมนรกอเวจีไปอีกราย นับเป็นรายที่ ๕ ในสมัยพุทธกาล มาถึงยุคนี้แผ่นดินคลายความศักดิ์สิทธิ์ลง ไม่ได้สูบใครลงขุมนรกอเวจีเหมือนในสมัยพุทธกาลอีก ไม่งั้นคนที่ทำลายพระศาสนา เช่นปล้นฆ่าพระ หรือว่าเอาศาสนาบังหน้า หลอกเงินพุทธบริษัทที่ศรัทธาเอาไปสร้างความมั่งคั่ง สร้างอำนาจให้ตัวเอง ก็คงถูกธรณีสูบลงขุมนรกอเวจีหมด หรือว่าธรณีจะเปลี่ยนวิธีสูบเป็นแบบ 4G ให้ตกนรกหมกไหม้ในใจของตัวเองก็ได้นะ
|