|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
การดูจิต จากสวนสันติธรรม
สวนสันติธรรม วันที่ ๓ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ ช่วงที่ ๑ นาทีที่ ๒๔.๔๕ ๓๑.๐๔
คำถาม รบกวนหลวงพ่อช่วยสอนวิธีการดูจิตด้วยค่ะ นี่กฎของการดูจิตนะ ข้อที่ ๑ อย่าอยากดูนะให้ความรู้สึกเกิดขึ้นก่อนแล้วก็ค่อยรู้ เช่นโกรธขึ้นก่อนแล้วรู้ว่าโกรธ โลภขึ้นก่อนแล้วรู้ว่าโลภ
กฎข้อที่สองระหว่างดูให้ดูห่าง ๆ อย่ากระโจนลงไปดู ไม่เหมือนดูโทรทัศน์นะ ใจไหลเข้าไปอยู่ในโทรทัศน์ นั่นใช้ไม่ได้ ดูห่าง ๆ
กฎข้อที่สามของการดูจิตก็คือ เมื่อดูแล้วนะไม่เข้าไปแทรกแซงไม่ว่าเราจะเห็นสภาวะอะไรเกิดขึ้นเราจะไม่เข้าไปแทรกแซง เช่นเราเห็นความโกรธเกิดขึ้น เราไม่ต้องพยายามทำให้หายโกรธ หน้าที่ของเราคือก็แค่ รู้ไปว่าจิตมันโกรธนะ ทำตัวเป็นแค่คนดูไม่เข้าไปแทรกแซง
จิตโลภขึ้นมาก็แค่รู้ว่าจิตมันโลภนะ ไม่ต้องไปหาทางทำให้หายโลภมันมีความทุกข์ขึ้นมาเราก็รู้ว่าจิตมันมีความทุกข์ ไม่ต้องพยายามทำให้จิตหายทุกข์นะ มันมีความสุขขึ้นมาก็ไม่ต้องพยายามรักษาความสุขเอาไว้ มันมีจิตที่เป็นกุศลขึ้นมาก็ไม่ต้องพยายามรักษาไว้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นนะ เราแค่รู้ลูกเดียว ไม่รักษาไว้ แล้วก็ไม่ปฏิเสธ ไม่ต่อต้านมัน
รู้ด้วยความเป็นกลาง รู้ด้วยความเป็นกลางเพราะฉะนั้นกฎข้อที่สามก็คือ ให้รู้สภาวะทุกสิ่งทุกอย่างด้วยจิตใจที่เป็นกลาง จิตใจที่เป็นกลางเนี่ยเกิดจากการรู้ทัน ว่าจิตมันไปหลงยินดี จิตมันไปหลงยินร้าย
อย่าให้มันเป็นกลางเพราะไปบังคับไว้ ไม่ใช่บังคับว่าชั้นจะต้องเป็นกลาง ถ้าบังคับเมื่อไหร่ เครียด
หลวงพ่อถึงบอกว่าวิปัสสนาไม่มีคำว่าบังคับ ไม่มีคำว่าห้าม ไม่มีคำว่าต้อง มีแต่ว่ามันเป็นยังไง รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ใจเราเห็น สมมติเราเห็นสาวสวยขึ้นมา ใจเรามีราคะ ไม่ต้องหาทางทำให้ราคะดับไป โดยเฉพาะไม่ต้องหาทางทำให้สาวดับไปด้วย ไม่ต้องหาทางให้ราคะดับไป รู้ลูกเดียวว่าใจมีราคะ ถ้าใจไม่ชอบราคะ เห็นมั้ยไม่เป็นกลาง ใจเกลียดราคะ อยากให้ราคะหายไป รู้ทันว่าใจเราเกลียดราคะ ใจเราไม่เป็นกลาง
ถ้ามีความสุขเกิดขึ้น ใจเราชอบให้รู้ทันว่าใจเราชอบ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราไปรู้สภาวะรู้อารมณ์ทั้งหลายแล้วเนี่ย ใจเรายินดีขึ้นมา คือเราชอบขึ้นมาก็ให้รู้ ใจเรายินร้าย คือเกิดความเกลียดชังสภาวะนั้นขึ้นมาก็ให้รู้ ถ้ารู้ทันนะ ต่อไปใจจะค่อย ๆ เป็นกลาง
เราจะรู้สภาวะทั้งหลายอย่างเป็นกลาง นี่คือกฎข้อที่สาม
กฎข้อที่สี่ ทำบ่อย ๆ ถ้าทำบ่อย ๆ แล้ว กฎข้อที่ห้า วันนึงเราจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะเราทำเหตุที่พอสมควรแล้ว เวลาที่เราบรรลุมรรคผลนิพพานนะ จิตใจเราจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปนะ ถึงจุดหนึ่งมันเปลี่ยนปั๊ปเลย ตอนที่เกิดมรรคผล ความทุกข์ที่มีอยู่เนี่ยตกหายไปเยอะเลย เป็นลำดับ ๆ ไป แต่ละขั้นแต่ละภูมิ
เพราะฉะนั้นเวลาเราหัดรู้สภาวะ สรุปแล้วสรุป การเรียนธรรมะเนี่ยเราเรียนแล้วเพื่อวันหนึ่งเราจะไม่มีทุกข์ทางใจเกิดขึ้น วิธีปฏิบัติที่จะทำให้เราพ้นจากทุกข์ทางใจนั้น คือหัดรู้ใจของเรา ความทุกข์มันแอบมาอยู่ในใจของเรา เรารู้ทันนะ ต่อไปความทุกข์มันจะไปเอง เราไม่ต้องไปไล่มันหรอก ถ้าเราหัดรู้ใจของเรา ใจของเรามีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น รู้ไปเรื่อย ๆ นะ มีกฎสามข้อของการรู้ คือก่อนที่จะรู้เนี่ยอย่าไปเที่ยวแสวงหา อย่าไปดักดูไว้ก่อน ให้ความรู้สึกเกิดขึ้นแล้วค่อยรู้เอา กฎข้อที่สองระหว่างที่รู้เนี่ยนะ อย่ากระโจนลงไปจ้องมัน ดูห่าง ๆ ดูแบบคนวงนอกนะ
ไม่ถลำลงไปจ้องมัน ถ้าไปจ้องเมื่อไหร่กลายเป็นสมถะเมื่อนั้น กฎข้อที่สามคือรู้ด้วยความเป็นกลาง ถ้าหากเรารู้สภาวะแล้วเกิดความยินดีขึ้นมาเราก็รู้ทัน เกิดความยินร้ายขึ้นมาเราก็รู้ทัน
รู้ทันความยินดียินร้ายในใจของเราบ่อย ๆ ต่อไปใจเราจะเป็นกลาง เป็นกลางของมันเอง ถ้าเมื่อไรเรารู้สภาวะทั้งหลายด้วยจิตใจที่เป็นกลางไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นสภาวะทั้งหลายตรงตามความเป็นจริง มันเป็นยังไงเรารู้ว่าเป็นอย่างนั้นโดยที่เราไม่เข้าไปแทรกแซง พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า เพราะรู้ตามความเป็นจริงนะ เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความยึดถือ
เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว หลุดพ้นจากอะไร หลุดพ้นจากความยึดถือในกายในใจนี้ ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ไปด้วย เพราะความทุกข์นี้อาศัยอยู่ในกายในใจ พวกเรารู้สึกมั้ย ความทุกข์ถ้าไม่อยู่ที่กายก็อยู่ที่ใจ ถ้าจิตของเราหลุดพ้นจากกายจากใจแล้วนะ ความทุกข์จะเข้ามาไม่ถึงจิตใจของเราอีกต่อไปแล้ว มีแต่จะร่วงหายไปเลย หลังจากนั้นเราจะมีชีวิตที่ รู้ ตื่น เบิกบาน ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องประคอง ไม่ต้องรักษา
เคยได้ยินใช่มั้ยว่า การศึกษานี่ต้องทำตลอดชีวิตใช่มั้ย การศึกษาต้องทำตลอดชีวิตเพราะวิทยาการทางโลกเนี่ยไม่มีที่สิ้นสุด แต่การศึกษาทางธรรมะนะ เมื่อไรที่เราพ้นจากความยึดถือกายยึดถือใจแล้วเนี่ย งานศึกษาของเราสำเร็จแล้ว ผู้ที่เรียนสำเร็จแล้วเนี่ยคือพระอรหันต์ พระอรหันต์ถึงชื่อว่าพระอเสขะ อเสขะแปลว่าผู้ไม่ต้องศึกษาอีกต่อไปแล้ว
เพราะฉะนั้นงานในทางศาสนาพุทธนะ ถ้าเราเรียนรู้จนแจ่มแจ้งว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ ใจมันจะปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจ แล้วไม่ต้องเรียนอีกแล้ว ความทุกข์จะเข้ามาสู่ใจไม่ได้อีกแล้ว ไม่เหมือนการศึกษาทางโลกนะต้องศึกษาตลอดชีวิต นี่เป็นปรัชญาการศึกษาทางโลก ซึ่งมันก็จำเป็นสำหรับชาวโลกนะ เพราะโลกนี้ปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ เราก็ต้องตามเรียนรู้ให้ทันความปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ
ส่วนธรรมะเนี่ยเราเรียนจนเราพ้นจากความปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นเนี่ย ไม่ต้องไปเรียนอีกแล้ว เห็นมั้ยมันคนละชั้นกันนะ อย่าไปบอกอาจารย์นะเดี๋ยวอาจารย์จะเสียใจ การศึกษาทางโลกไม่มีที่สิ้นสุด การศึกษาทางธรรมะมีจุดที่สิ้นสุดนะ สิ้นสุดตรงที่ใจเราพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง
Create Date : 03 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 19 ธันวาคม 2552 18:24:46 น. |
|
3 comments
|
Counter : 611 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ชาวพุทธ IP: 125.27.189.121 วันที่: 2 มกราคม 2553 เวลา:22:00:43 น. |
|
|
|
โดย: น IP: 124.120.56.25 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:15:02:08 น. |
|
|
|
| |
|
|
ช่วยกันส่งlinkต่อ หรือไรท์ CD แจก
//www.mediafire.com/download.php?cokz4h0zmdq