Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
3 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม

อานิสงส์ของการปฏิบัติ

ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ศีลก็มีอยู่แล้วในโลกนี้ ทานก็มีอยู่ สมาบัติ เหาะเหินเดินอากาศก็มีอยู่ก่อนแล้ว มีผู้ที่เขาทำกันอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ายังมาสร้างบารมีอยู่กับเขา สิ่งที่ยังไม่มีในเวลานั้น ก็คือ สติปัฏฐาน มรรค ๘ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็คือ ธรรมะอย่างเดียวกันนั่นเอง วิสุทธิ ๗ ไม่มี สติปัฏฐานไม่มี มรรค ๘ ไม่มี วิปัสสนาไม่มี (ถ้าทำถูกต้องแล้วธรรมเหล่านี้เข้าหมดเลย) ธรรมเหล่านี้ยังไม่มี จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว คนทั้งหลายในสมัยนั้นไม่มีโอกาสเลย สัตว์โลกทั้งหลายไม่มีโอกาสที่จะได้สร้างกุศลอย่างนี้เลย

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงได้ประกาศกุศลอย่างนี้ ทางไปนิพพานจึงได้ปรากฏขึ้นในโลก (พุทธศาสนาสิ้นแล้ว หนทางนี้ก็สิ้นด้วย) ท่านจึงได้กล่าวว่า ผู้ใดมาเกิดพบพระพุทธศาสนาแล้วเป็นลาภอันประเสริฐ มีอานิสงส์มากเหลือเกิน เป็นลาภอย่างไร เป็นลาภก็เพราะว่า จะได้สร้างกุศลอย่างนี้ เพื่อเป็นปัจจัยที่จะพ้นจากสังสารทุกข์ กุศลอย่างอื่นไม่มีพ้นได้เลย จึงได้กล่าวว่าเป็นลาภอันประเสริฐ เราทั้งหลายก็ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่ว่าเราไม่เคยรู้จักเลย กุศลอย่างนี้ไม่เคยได้สร้างเลย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การพบพระพุทธศาสนาก็เป็นหมันหาประโยชน์ไม่ได้ เราก็มัวแต่จะมาสร้างทาน สร้างศีลอะไรต่ออะไร ซึ่งนอกพระพุทธศาสนาก็ได้ เพราะว่าเขาก็มีมาก่อนแล้วประจำโลก อันนี้น่ะซีไม่มี ที่กล่าวว่าเป็นลาภอันประเสริฅฐนั้นก็คือ ได้มีโอกาสสร้างกุศล อย่างนี้ถือว่า เป็นอานิสงส์มากนัก

เพราะฉะนั้น เราควรสร้าง เราจะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง แต่กุศลวิปัสสนานี้เราต้องสร้าง เพราะว่าเรามีโอกาสแล้วที่จะสร้างได้ เราก็ต้องสร้างเพื่อให้เป็นปัจจัยต่อไป เพราะว่าถ้าตายแล้วสูญ เราก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด แต่นี่เราเชื่อแล้วว่า ตายแล้วไม่สูญสังสารวัฎมีอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็สร้างไว้ให้เป็นปัจจัย อันนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้เคยเทศนาแก่พระอานนท์ว่า

"ตถาคตคงยังอยู่ก็ตาม หรือจะล่วงลับไปแล้วก็ตาม จะเป็นอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี คนใดคนหนึ่งก็ตาม ถ้าตั้งอยู่ในธรรมอันนี้แล้ว ตถาคตก็ยกย่องว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ประเสริฐ"

อะไรตั้งอยู่ จิตตั้งอยู่ในธรรมอันนี้ คือ พิจารณากาย เวทนาเป็นต้น ได้แก่ สติปัฏฐาน พระองค์ก็ทรงยกย่องว่า ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐและยังได้ทรงตรัสว่า

"อานนท์ จงมีตนเป็นที่พึ่งของตน อย่าเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงเอาตนเป็นที่พึ่ง และเอาธรรมเป็นที่พึ่งด้วย"

เอาตนเป็นที่พึ่งนั้นอย่างไร ? ผู้ที่ชื่อว่ามีตนเป็นที่พึ่งของตน คือผู้ที่พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม สติปัฏฐานอันใดอันหนึ่ง ผู้ที่นำจิตของตนไปตั้งอยู่ในสติปัฏฐาน ได้ชื่อว่าผู้นั้นมีตนเป็นที่พึ่ง และมีธรรมเป็นที่พึ่งด้วย และผู้ที่จะนำจิตมาตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับกิเลสจริงๆ แล้ว คือผู้ที่ไม่มีตนเป็นที่พึ่งแล้วมาไม่ได้ มาไม่ได้จริงๆ มีอุปสรรคต่างๆ ไปทั้งนั้น มาไม่ได้หรือก็มีอุปสรรคอย่างโน้นอย่างนี้

คนที่จะเอาจิตมาตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้ จะต้องเป็นคนที่ชนะกิเลสได้ ชนะกิเลสมาแล้ว ก็มีปัจจัยของกุศลที่จะให้โอกาสให้จิตมาตั้งอยู่ได้ จึงจะมาได้ จะต้องชนะกิเลสมาชั้นหนึ่งแล้ว มิฉะนั้น มันไม่ยอม กิเลสมันจะลากไปทีเดียว นรกน่ะ ไม่มีกุศลลากไปเลย มีแต่กิเลสลากไปทั้งนั้น ถ้าไปสวรรค์ก็ต้องกุศลนั่นแหละเป็นผู้ลาก ถ้าคนที่เอาชนะกิเลสไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ในธรรมอันนี้ได้ เพราะฉะนั้น คนที่ตั้งอยู่ได้ชื่อว่า มีตนเป็นที่พึ่ง มีอำนาจสามารถจะทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ สามารถจะได้ธรรมเป็นที่พึ่ง

อีกประการหนึ่ง ในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพานแล้ว ขณะนั้นเทวดาทั้งหลายก็รู้ว่า พระพุทธเจ้าประชวรมากวันนี้ บอกว่าเวลาเท่านั้นทีเดียวจะเข้าสู่ปรินิพพาน แล้วก็พากันบอกกล่าวว่า เราจงพากันไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียในวันนี้เถอะ ต่อไปจะไม่ได้บูชาอีกแล้ว ดังนั้น ต่างก็พากันโปรยดอกมณฑารพ อันเป็นดอกไม้ทิพย์เพื่อเป็นพุทธบูชา ในป่านั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ทิพย์ ที่เหล่าเทวดาพากันบูชาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสแก่พระอานนท์ว่า

"อานนท์เทวดาเหล่านั้นบูชาตถาคตด้วยดอกไม้ อันเป็นทิพย์มากมายเหลือเกิน เต็มไปหมดทั้งป่า แต่ถึงเช่นนั้นก็ยังไม่เชื่อว่า ตถาคตรับบูชาของพวกเทวดาเหล่านั้น ถ้าเราเอาของไปให้ใคร แล้วเขาไม่รับจะชื่อว่า ให้เขาไหม ? ก็ไม่ชื่อว่าให้ถูกไหม ? การที่เราบูชาก็เหมือนกัน ถ้าพระองค์ไม่รับก็ไม่ชื่อว่าบูชา ต่อเมื่อใด ผู้ใดผู้หนึ่งก็ตามมาเห็นภัยในวัฏฏะ แล้วก็ทำความเพียรเพื่อออกจากสังสารวัฏ นั่นแหละการกระทำของบุคคลเช่นนั้นชื่อว่า ตถาคตรับบูชา"

เห็นไหม ที่เรามาปฏิบัตินี้เป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดมาพิจารณาเพื่อตัวจะได้พ้นจากทุกข์ คือ สังสารทุกข์ นี่แหละชื่อว่า ตถาคตรับบูชา เราน่ะเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาด้วยกันทั้งนั้น ทำไมเราจะบูชาพระตถาคตสักเจ็ดวันสิบห้าวันไม่ได้หรือ การบูชาของเรานี่แหละเชื่อว่า ตถาคตรับบูชา พระองค์ต้องการปฏิบัติบูชา ทำไมไม่ถวายทาน

เพราะฉะนั้น ขอให้รู้เถิดว่า การที่เรามาเข้าปฏิบัตินี้สมแล้วกับที่เราเคารพเลื่อมใสพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจึงมาบูชาเพื่อพระองค์ และทุกครั้งที่เรามีสติรู้ รูปก้าว ก็เท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาธุทุกครั้ง สำรวมตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น รู้อยู่ที่เห็น แต่ว่าไม่ออกไปข้างนอก เวลาเห็น เรามีสติรู้อยู่ที่นามเห็น นามได้ยิน ก็เหมือนกัน จกฺขุนา สํวโร สาธุ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้ โสเตน สํวโร สาธุ พระองค์ทรงสาธุ เมื่อมีสติรู้ที่ได้ยิน กิเลสเข้าไม่ได้เพราะอารมณ์ปัจจุบันนี่ กิเลสเข้าไม่ได้ ทำลายอภิชฌาโทมนัส

คิดดูซิว่า กุศลเท่าไรในการที่เรามาทำอยู่นี้ เว้นแต่ว่าผู้ที่มีบาปหนา หรือมีกิเลสก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะกิเลส มาตั้งอยู่ในธรรมอันนี้ได้ นอกจากนั้นยังได้กุศลทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินทุกก้าวไปก็ได้กุศล จะเห็น จะได้ยิน กินข้าวก็ได้กุศล กินข้าวเพื่อสร้างสังสารวัฏก็ได้ กินเพื่อพ้นจากสังสารวัฏก็ได้ กินแล้วก็พิจารณาว่า กินเพื่ออะไร กินเพื่อแก้ทุกข์ เบญจขันธ์นี้ต้องอาศัยอาหาร การมีเบญจขันธ์นี้ก็เป็นทุกข์เพราะต้องอาศัยอาหาร เพื่อยังอัตภาพให้อยู่ได้ แล้วก็พิจารณาต่อไปว่า อยู่เพื่ออะไร อยู่เพื่อ มรรค ผล นิพพาน ธรรมที่ควรที่จะรู้ยังไม่รู้ ธรรมที่ควรจะแจ้ง ยังไม่แจ้ง ทุกข์ที่ควรจะพ้นยังไม่พ้น เพื่อจะเอาอัตภาพนี้ไว้เพื่ออย่างนี้เท่านั้น

ทีนี้เราก็กินข้าวได้ถูกต้อง ไม่ได้กินเพื่ออร่อย ถ้าอร่อยก็โลภะ ถ้าไม่อร่อยก็โทสะ อย่างนี้เรื่อยไปก็สร้างสังสารวัฏ กิเลสเป็นตัวสังสารวัฏก็สร้างสังสารวัฏเรื่อยไป กินข้าวหนหนึ่งก็ไม่รู้ว่า สังสารวัฏยาวเท่าไร จนไม่รู้เบื้องต้นและที่สุด นี่แหละพิจารณาอย่างนี้ จะอาบน้ำก็อาบน้ำด้วยปัญญาเพื่อออกจากทุกข์ กินข้าวก็เพื่อออกจากทุกข์ การเห็น การได้ยิน การนั่ง นอน ยืน เดิน ก็เพื่อออกจากสังสารวัฏทั้งนั้น เดินก็ได้กุศล นั่งก็ได้กุศล นอนก็ได้กุศล ยืนก็ได้กุศล กินข้าวก็ได้กุศล อาบน้ำก็ได้กุศล ถ่ายอุจจาระก็ได้กุศล ถ่ายปัสสาวะก็ได้กุศล วันหนึ่งกุศลก็นับไม่ถ้วน ไม่รู้กี่ร้อยครั้งกี่พันครั้ง

เราจะไปสร้างกุศลอะไรที่ได้มากอย่างนี้ นานๆ ทำบุญครั้งหนึ่ง นานๆ เลี้ยงพระครั้งหนึ่ง นานๆ จะทอดกฐินสักที แล้วอย่านึกว่า ไปทอดกฐินเลี้ยงพระนั้น อกุศลจะเข้าไม่ได้ ไม่ได้โดยบริสุทธิ์เต็มที่แน่นอน เพราะระหว่างที่ทำนั้นไม่ได้ดังใจ ก็จะเอะอะไม่ชอบใจแล้ว บางคนไปทอดผ้าป่า ทอดกฐินทะเลาะกัน กลับมาเป็นความกันก็มี มันไม่ได้บริสุทธิ์อย่างนี้เลย เพราะฉะนั้น อย่ามีความประมาทผลัดเวลาว่า เอาไว้ก่อนเถอะ วันหลังถึงจะมา อย่างนี้ก็เป็นความประมาทแล้ว เราเกิดมาทีหลังกุศลอย่างนี้ อาจจะไม่รู้ว่าเขาสร้างกันอย่างไรก็ได้ แม้ขณะนี้ยังสับสนอลหม่านเต็มทีแล้ว วิปัสสนาสติปัฏฐานเวลานี้ก็มีนับไม่ถ้วนหลายอย่างเหลือเกิน

เพราะฉะนั้น ก็น่าปลื้มใจกันทุกคน ขอให้ตั้งใจให้ดี เพราะเป็นของนำมายากที่สุด เป็นธรรมอันประเสริฐที่สุด พระพุทธเจ้ามีพุทธประสงค์จะให้เราได้รับกุศลอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ มัวไปทำทานถือศีลเสีย ซึ่งกุศลเหล่านี้จะทำเมื่อไรก็ได้ มีอยู่เสมอในโลก แต่นี้ถ้าหมดศาสนาแล้วจะไม่มีโอกาสทำเลย อีกประการหนึ่งเราจะเชื่อได้หรือว่า เกิดมาอีกแล้วจะได้พบพระพุทธศาสนาอีกหรือเปล่า ถึงหากจะพบก็ไม่แน่ว่าจะเข้ามา เพราะว่าผู้ที่พบอีกตั้งเยอะแยะก็ไม่ได้เข้ามา

ดังนั้น เราจะได้หรือไม่ได้ก็ตาม ก็ยังได้สร้างบารมีเข้าไว้ ต่อไปเมื่อเกิดขึ้นมาอีก ก็ยังมีปัจจัยให้ได้มีโอกาสสร้างบารมีต่อไปอีก ทุกท่านที่เข้ามานี่ ดิฉันเชื่อแน่ว่าต้องมีบารมีมาแล้ว อยู่ถึงไหนๆ ถึงเชียงรายก็ยังมา ถ้าไม่มีบารมีแล้วมาไม่ได้เลย แม้อยู่อ้อมน้อยนี่ ยังไม่เคยมีพวกใกล้ๆ อ้อมน้อยมาเข้ากรรมฐานเลย เพราะฉะนั้น โอกาสที่เราเข้ามานี่เป็นโอกาสสร้างมหากุศลอย่างยิ่งทีเดียว โอกาสที่เราจะทำบาปนั้นหาง่ายเหลือเกิน และอันนี้หายากเหลือเกิน

เมื่อเราได้โอกาสที่ประเสริฐแล้ว เราก็ต้องรู้ตัวว่า นี่เป็นของมีคุณค่าเหลือเกิน และเชื่อว่าเราบำรุงพระพุทธศาสนาด้วย เพราะว่าพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแก่เรา ก็ได้ชื่อว่า บำรุงและรักษาพระพุทธศาสนาให้ยืนยงอยู่ด้วย ตราบใดที่ยังคงมีคนเข้าใจแพร่หลายรับไว้ได้ จะต้องมีผู้รับไว้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่มีอยู่ในตำรา อยู่ในตำราก็ไม่มีประโยชน์ ต้องมีอยู่ที่เรา เข้าใจแล้วก็เผยแพร่ไปถ่ายทอดไปให้คนอื่น พระพุทธศาสนาจะได้เจริญแพร่หลาย ถ้าคนที่รู้ตายไปไม่มีคนรับไว้ ก็เป็นอันว่าหมดไป

ถ้าธุระทั้งสองยังมีอยู่ก็แสดงว่า พระพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่ พระพุทธศาสนาจะยังมีอยู่ได้ ก็เพราะธุระการงานทั้งสองยังมีอยู่ ถ้าการงานอย่างนี้ไม่มีเสียแล้ว ก็เป็นอันว่าหมดไป เพราะฉะนั้น คนที่เข้ามานี้ ดิฉันถือว่ามีบุญมาแล้ว แต่ว่าอุปฆาตกรรมอะไรที่จะมาตัดรอนนั้นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ไม่มีเรื่องอื่นหรอก มันจะไม่ให้เรามาก็เพราะกิเลส มันจะให้เราออกไปก็เพราะกิเลส ถ้าไม่ชนะกิเลสแล้ว เราก็มาไม่ได้ เราต่างก็อยู่ใต้อำนาจของพญามารทั้งนั้น เหนือขึ้นไปสวรรค์ชั้นที่ ๖ ก็อยู่ใต้อำนาจเขาทั้งหมด พวกเดียวเท่านั้นที่จะไม่อยู่ใต้อำนาจ คือพวกพระอรหันต์ พญามารจะบังคับ จะทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เหนืออำนาจของพญามาร คือ กิเลส คนมีกิเลสแล้วต้องอยู่ใต้อำนาจพญามารทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น มันจึงได้มาอ้อนวอนพระพุทธเจ้า บอกให้นิพพานเถอะ นิพพานเสียเถอะ ถ้าขืนอยู่นานประเดี๋ยวก็จะสอนคนให้เป็นอิสระเสียหมด เพราะฉะนั้นคนที่จะชนะกิเลสมาร จะต้องมีบุญเหลือเกิน การที่ดิฉันเพียรพยายามแนะนำนี่ ก็เพื่ออยากได้กุศลเหมือนกัน ถ้าท่านเกิดกุศลขึ้นมาหรือได้สติปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ดิฉันก็พลอยได้กุศลด้วย เพราะฉะนั้น ดิฉันก็เคยพูดเสมอๆ ว่า ถ้าอยากจะตอบแทนบุญคุณอาจารย์ละก็ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ขอให้ทำวิปัสสนาให้เกิดปัญญาอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งจิตใจอยู่ในกุศลนี้ ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ ก็ขอให้อย่าได้ออกไป ขอให้เอาชนะกิเลสให้ได้ ถ้าชนะคราวนี้ได้ก็มีหวังที่จะชนะต่อไปได้

เพราะฉะนั้น ขอให้กุศลเจตนาที่ท่านได้ตั้งใจมาบำเพ็ญกุศลเพื่อพระพุทธศาสนา และตั้งอยู่ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ขออำนาจกุศลอันนี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้ท่านมีกำลังกาย กำลังใจ สมบูรณ์ด้วยกำลังสติ กำลังปัญญา และสติปัญญานั้น จงเป็นปัจจัยให้ได้เข้าไปรู้ศีลธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่ต้องการมา และขออย่าได้มีอุปสรรคอันตรายอะไรมากีดขวางกั้นหนทางที่จะดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพานเลย



Create Date : 03 กรกฎาคม 2552
Last Update : 3 กรกฎาคม 2552 16:45:22 น. 0 comments
Counter : 868 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Toad
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add Toad's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.