ธรรมชาติไม่กระทำ และไม่แก่งแย่ง
ธรรมชาติ ไม่กระทำ และไม่ แก่งแย่ง
ปัจจุบันวงการธุรกิจในญี่ปุ่นได้มีการนำเอาปรัชญาความคิดของหล่าวจื่อไปใช้กันอย่างแพร่หลายในภาวะที่เศรษฐกิจของโลกมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง เฉกเช่นทุกวันนี้ ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าแนวคิดการใช้ความอ่อนชนะความแข็งของหล่าวจื่อ ซึ่งเป็นการจัดการบริหารที่มีลักษณะยืดหยุ่นนั้น เป็นหลักการปฏิบัติที่สอดคล้องกับสังคมที่สลับซับซ้อนและแปรปรวนเช่นทุกวันนี้ โดยเฉพาะปรัชญาความคิดของหล่าวจื่อที่เกี่ยวกับ ธรรมชาติไม่กระทำและไม่แก่งแย่ง
คัมภีร์ต้าวเตอะจิง ได้กล่าวไว้ประโยคแรกว่า เต๋าที่อรรถาธิบายได้ ไม่ใช่เต๋า ชื่อที่สามารถเรียกได้มิใช่ชื่อที่แท้จริง
จากคัมภีร์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า หล่าวจื่อได้ให้ความหมายของคำว่า เต๋า เป็น 2 นัยคือ เต๋าที่ว่างเปล่าปราศจากตัวตน และเต๋าที่มีรูปหรือตัวตน
ความคิดนี้ได้สะท้อนออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนในแวดวงธุรกิจนั่นคือ ในการจัดการบริหารนั้นมีทั้งส่วนที่มี ( ตัวตน ) คือการจัดการกับวัตถุ และส่วนที่ไม่มีคือการบริหารคน ในการจัดการบริหารนั้น เรามักจะมองเห็นแต่สิ่งที่มีคือการจัดการกับวัตถุ ซึ่งมีกฎเกณฑ์ค่อนข้างตายตัวเหมือนกับวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์เช่น ฟิสิกส์ เคมี ฯลฯ ซึ่งความถูกต้องนั้นมักตั้งอยู่บนเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง เช่น ณ. อุณหภูมิที่กำหนดไว้ เป็นต้น เรามักปล่อยปละละเลยหรือมองข้าม หรือมองการบริหารคนว่ามีกฎเกณฑ์ตายตัวเช่นเดียวกันวัตถุ จนทำให้ไม่สามารถนำเอาการบริหารคนซึ่งมีพลังแฝงที่ยิ่งใหญ่ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้ หากมนุษย์สามารถค้นพบสิ่งนี้ มันก็จะแสดงศักยภาพออกมาให้ปรากฏ และทำให้องค์กรพัฒนาก้าวหน้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของความไม่มีในการบริหารบุคคลนี้สะท้อนออกอย่างเด่นชัดในแกนความคิดของคัมภีร์ต้าวเตอะจิง คือ เต๋า ซึ่งมีเนื้อหาคือ ไม่กระทำ
ก่อนอื่นเราอย่าเพิ่งทึกทักรหรือเข้าใจผิดคิดว่า ไม่กระทำหมายถึงการไม่ทำอะไรเลย แต่คำว่าไม่กระทำในความหมายของหล่าวจื่อนั้นมักจะสัมพันธ์กับคำว่าธรรมชาติกลายเป็นธรรมชาติไม่กระทำ คำว่าธรรมชาติในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงธรรมชาติในแง่ของวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความหมายครอบคลุมไปถึงการกระทำที่ไม่ฝืนในกฎแห่งธรรมชาติดังคำกล่าวของหล่าวจื่อ ฟ้าดินนั้นไม่มีความลำเอียง ปล่อยให้สรรพสิ่งเจริญเติบโตไปอย่างธรรมชาติ ปราชญ์นั้นปราศจากความลำเอียง ปล่อยให้ประชาชนพัฒนาไปตามธรรมชาติดุจกัน
นั่นหมายถึงว่า ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะต้องปล่อยให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ คือปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทำงานโดยอิสระปราศจากการถูกครอบงำใด ๆ บทบาทของผู้นำนั้นด้านหนึ่งจะต้องชี้นำ แต่อีกด้านหนึ่งจะต้องทำให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่เกิดความรู้สึกว่าเราเข้าไปบงการชีวิตและการงานของเขา
ในการบริหารบุคคลนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ปรากฎให้เห็นในประเด็นการรวบอำนาจกับการกระจายอำนาจ ขณะที่ผู้นำรวมอำนาจบางส่วนไว้ในมือ ก็ควรกระจายอำนาจที่มากมายอื่น ๆ ให้กับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา การทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ วิธีการนี้นอกจากจะช่วยกระตุ้น การทำงานของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ให้มีความขะมักเขม้นแล้ว ยังเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้นำละงานทั่ว ๆ ไป แล้วมีเวลาคิดงานใหญ่อื่น ๆ เพื่อพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป
เมื่อพูดถึงการบริหารแบบธรรมชาติไม่กระทำของหล่าวจื่อแล้ว เราควรศึกษาถึงความคิดที่ไม่แก่งแย่งของหล่าวจื่อด้วยคำว่าไม่แก่งแย่งของหล่าวจื่อนั้นมีความหมาย 2 นัยคือ 1. ไม่แก่งแย่งกันเพื่อเป้าหมาย หรือเพื่อผลประโยชน์แห่งตน หล่าวจื่อได้เปรียบเทียบการไม่แก่งแย่งแบบนี้ว่า มนุษย์ที่ประเสริฐนั้นเปรียบดุจน้ำ ที่มีคุณอนันต์ต่อมนุษย์ แต่ก็ไม่แก่งแย่งชิงผลประโยชน์จากสรรพสิ่ง การไม่ช่วงชิงแก่งแย่งผลประโยชน์จากสรรพสิ่งนั้น หล่าวจื่อได้สรุปไว้ดังนี้ งานสำเร็จก็ถอนตัว 2. การไม่แก่งแย่งนั้นเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อบรรลุเป้าหมาย คือประสบชัยชนะ ดังบทสรุปของหล่าวจื่อว่า กฎแห่งสวรรค์คือการไม่แก่งแย่งกัน และด้วยเหตุที่ไม่แก่งแย่งกัน ชัยชนะจึงเกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้ แม่ทัพที่สันทัดในกลยุทธ์ จะไม่แสดงท่าทีที่เย่อหยิ่ง ผู้ชำนาญในการรบ จะไม่แสดงอาการวู่วาม โกรธกริ้ว ผู้ที่สามารถสยบศัตรูได้นั้น จะต้องมีชัยต่อศัตรู โดยไม่ต้องสัประยุทธ์ สำหรับผู้ที่สันทัดในการใช้คนนั้นจะต้องมีท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตน คนที่ไม่ต่อปากต่อคำ ไม่วู่วามโมโห ไม่สัประยุทธ์ ไม่หยิ่งยโส คือคุณธรรมที่ไม่แก่งแย่งแห่งเต๋านั่นเอง
จากหนังสือ ปรัชญาชีวิต และงาน เรียนรู้แก่นภูมิปัญญา พุทธ เต๋า ขงจื่อ
Create Date : 03 กรกฎาคม 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 3 กรกฎาคม 2552 18:10:15 น. |
Counter : 1008 Pageviews. |
|
|
|