★ Eduart
เงาบาปยังสว่าง แม้ในคืนที่มืดมิด (2006)
* หมายเหตุ บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง เมื่อปี 2005 ผู้กำกับฯชาวกรีก คอนสแตนติน กิอันนาริส (Constantine Giannaris) มีผลงานหนังเรื่อง Omiros (Hostage) ซึ่งเขาได้หยิบยกเอาเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นมาถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม ว่าด้วยการปล้นรถบัสของเด็กหนุ่มชาวแอลเบเนียนคนหนึ่งที่จับผู้โดยสารเป็นตัวประกันไว้ได้ 7 คนแล้วเรียกร้องเงินค่าไถ่เป็นจำนวน 5 แสนยูโร สุดท้ายเหตุการณ์ครั้งนั้นก็จบลงด้วยความเศร้าสลด ในปีต่อมาผู้กำกับฯหญิงชาวกรีก แอนเจลิกิ อันโตนิอู (Angeliki Antoniou) มีผลงานหนังอันได้แรงบันดาลใจในการสร้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการอ่านข่าวทางหน้าหนังสือพิมพิ์ตั้งแต่เมื่อครั้งปี 2002 เป็นเรื่องของหนุ่มชาวแอลเบเนียนคนหนึ่งที่ตั้งใจเข้ามอบตัวและสารภาพกับตำรวจชาวกรีกว่าเขาเคยฆ่าคนตายมาแล้วเมื่อครั้งที่เขายังอาศัยอยู่เอเธนส์ หนังเรื่องที่ว่านั้นก็คือ Eduart (2006) โดยเธอเลือกใช้ชื่อหนังตามชื่อของนักโทษ (ตัวละครหลักของเรื่อง) ดูเหมือนว่าหนังทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็เป็นมุมมอง เจตคติที่ถูกถ่ายทอดจากสายตาของคนกรีกอันพูดถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาสร้างปัญหาวุ่นวายภายในประเทศกรีซของตนเหมือนกัน ซึ่งประเทศกรีซเองมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผู้อพยพหรือผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมาช้านาน ส่วนใหญ่มาจากประเทศแอลเบเนีย โรมาเนียและโปแลนด์ แต่หากว่ากันตามจริงแล้ว หนังเรื่องหลังของแอนเจลิกินั้นปัญหาแรงงานหรือผู้อพยพไม่ใช่เรื่องหลักที่เธอสนใจ หากแต่เป็นความสงสัยในตัวบุคคล เธอสงสัยว่าสิ่งใดกันที่ทำให้คนคนหนึ่งกล้าที่จะเดินเข้ามอบตัวและสารภาพความจริงถึงสิ่งเลวร้ายที่ตนได้ทำลงไป เพราะหากจะว่ากันจริงๆแล้วคดีความนั้นมันผ่านไปนานร่วมปีและอาจถูกลืมเลือนกลืนหายไปจากความทรงจำของผู้คนไปแล้ว และตัวเขาเองก็ไม่ได้ถูกประกาศจับหรือไล่กวดจากหน่วยงานใด
เอดวาท (เอชเรฟ เดอร์มิชิ) หนุ่มชาวแอลเบเนียนเดินทางไปที่เอเธนส์ กับความฝันอยากเป็นร็อคสตาร์ เพื่อนที่เขาขอพักอาศัยอยู่ด้วยนั้นแนะนำให้ขายบริการกับชายคนหนึ่งเพื่อแลกกับเงินมาใช้ เช้าวันต่อมาข่าวทางโทรทัศน์แจ้งข่าวการเสียชิวิตของชายคนนั้น ในสายตาของเพื่อน เอดวาทตกเป็นผู้ต้องสงสัยและเข้าใจว่าเขาเป็นคนลงมือกระทำจริงจึงไล่ออกจากบ้าน เอดวาทระเหเร่ร่อนหลับนอนไม่เป็นที่เป็นทางเลยถูกเจ้าหน้าที่จับส่งปล่อยตัวคืนที่เขตชายแดนกรีซต่อแอลเบเนีย เขาจึงเดินทางกลับเข้าบ้านหลังออกจากบ้านไปร่วม 2 ปี ที่บ้านมีแม่และน้องสาวยินดีในการกลับมาของเขา เว้นแต่พ่อที่คอยพูดกระแทกแดกดัน ในบ่ายวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมเขาจากการชี้ตัวของพ่อฐานขโมยเงินก้อนสำคัญก่อนหนีออกจากบ้านเมื่อ 2 ปีก่อน ภายในคุก เอดวาทมีเรื่องทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับนักเลงเจ้าถิ่นในนั้นจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส แต่ได้รับการช่วยเหลืออย่างดีจากหมอ คริสตอฟ (อันเดร เฮนนิคเค่) หมอชาวเยอรมันที่คอยดูแลรักษาผู้ป่วยผู้ต้องขัง เมื่อเอดวาทหายดีจึงขออาสาเป็นผู้ช่วยหมออยู่ในโรงพักฟื้นนี้เพราะไม่อยากออกไปเจอกับคู่กรณีอีก ไม่นานนักรัฐบาลแอลเบเนียประกาศเหตุฉุกเฉิน อันเกิดมาจากการจลาจลของกลุ่มติดอาวุธ เกิดการประท้วง บุกถล่มลุกลามไปทั่วบริเวณ ทำลายข้าวของทุกสิ่งที่ขวางหน้าจนเกินกำลังการควบคุมของตำรวจ ประตูสถานกักกันก็ถูกบุกทำลายพังพินาศ เป็นเหตุให้นักโทษทั้งหลายฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนหนีออกไปตายเอาดาบหน้า เอดวาท, หมอและนักโทษอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นรถบันทุกหนีออกนอกเมืองมาได้ แต่โดนผู้ร้ายปล้นเอารถกลางทาง เอดวาทและหมอที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บหลบหนีไปพักที่บ้านร้างแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ในภาวะที่จนตรอกไม่เห็นทางออกอย่างนี้ ก็เป็นจังหวะที่ทั้งเอดวาทและหมอได้ผลัดกันเอ่ยถึงสิ่งที่ตกติดค้างอยู่ในใจมาตลอดถึงเรื่องเลวร้ายที่ตนได้เคยกระทำ ไม่มีใครดีหรือเลวไปกว่าใคร เอดวาทสารภาพกับหมอว่าตัวเองได้ทำร้ายชายคนคนหนึ่งจนเสียชีวิต แต่ทำไปโดยไม่ได้รู้สึกอะไรเลย หากแอบภูมิใจที่ตนเองไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกต่างหาก
หลังจากนั้น เอดวาทก็ระหกระเหินเดินทางอีกครั้งจนข้ามเขตชายแดนแอลเบเนียต่อกรีซ และสารภาพกับเจ้าหน้าที่ทหารของกรีซว่าเมื่อ 1 ปีก่อนหน้านี้ เขาเคยฆ่าคนตายมาแล้วที่เอเธนส์ เส้นเรื่องที่อันโตนิอูวางไว้นั้นไม่มีอะไรสลับซับซ้อนให้มากความเลย ดำเนินเรื่องไปตามเหตุที่เกิด ตัวเอกย้อนกลับไปรำลึกภาพในอดีตบ้างบางจังหวะเพื่อขยายเรื่องราวให้ลึก จัดว่าเป็นหนังที่ดูดีและดูได้สนุกน่าติดตามว่าเหตุและผลจะไปจบลงที่ตรงใด แต่น่าเสียดาย บนความน่าติดตามสอดส่องชะตากรรมของตัวละครหลักนั้นอันโตนิอูลืมมองเห็นสิ่งสำคัญ กลับปล่อยให้ตกหล่นและขาดหายไปในระหว่างทางคือความเป็น ดราม่า หรืออารมณ์เร้าที่สะท้อนภาวะภายในจิตใจของตัวละครออกมา อันเป็นความรู้สึกที่หากคนดูได้รับ ก็เสมือนหนึ่งคนดูได้รับอนุญาตให้ช่วยเจ็บช้ำน้ำใจ ให้ช่วยเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเพื่อแสดงความอึดอัดใจเสียใจ เศร้าใจเมื่อคราวเอดวาทโดนทำร้ายร่างกายอย่างเจ็บสาหัสภายในคุกและเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าหนังกำลังเอาคนดูได้อยู่หมัด แต่ปฏิกิริยาการตอบสนองและผลสะท้อนกลับของความเจ็บปวดใจจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นของเอดวาทกลับไม่มีอยู่เลยหรืออาจจะเบาบางมากจนรู้สึกอะไรไม่ได้ ประหนึ่งว่าเป็นเรื่องที่ผ่านมาและผ่านไปเท่านั้น ทั้งที่ความเจ็บช้ำในครั้งนั้นรุนแรงจนแทบจะเรียกว่าเป็นแผลลึกฝังในใจไปจนตัวตายก็ไม่ผิดนัก จากข้อตกหล่นนั้น หากแม้จะใช้ไดอะล็อคของตัวละครในค่อนท้ายเรื่องที่เอ่ยกับหมอมางัดค้าน อันเป็นคำพูดสะท้อนสภาวะจิตใจของเขาว่ากระทั่งฆ่าคนเขายัง ไร้ความรู้สึก บ่งบอกถึงความย็นชาต่อความเจ็บปวดไม่ว่าของตนหรือผู้อื่นได้ แต่ในเมื่อท้ายเรื่องเอดวาทเป็นผู้เดินเข้าไปสารภาพความผิดด้วยตนเอง จึงเป็นการขอของคนดูที่ไม่มากไปแน่นอนหากเราจะได้เห็นความกดดัน ความสำนึกผิดต่อบาปตลอดเวลาที่ผ่านมาบ้าง แต่หนังกลับไม่ตอบโจทย์ตรงนั้น ยิ่งหากย้อนกลับไปมองเรื่องราวตั้งต้นว่าแรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้ของผู้กำกับฯมาจากความสงสัย ว่าความรู้สึกภายในอันใดที่ดลใจห้เอดวาทเข้ามอบตัวทั้งที่ข่าวคดีนั้นเงียบหายไปแล้ว อารมณ์รวมของหนังจึงยังห่างจากจุดนั้นอยู่มาก ส่วนงานด้านภาพ ผู้กำกับภาพ เจือเก้น เจือเก้ส เลือกใช้เทคนิคการถ่ายภาพแบบสเตดี้แคม (Steadicam) ทำให้ภาพที่ได้ออกมามีการโยกไหวเล็กน้อย ไม่นิ่ง ได้ความรู้สึกไม่ราบรื่น แทนสายตาคนดูในฐานะเป็นผู้สังเกตุการณ์ เพื่อให้ผู้ชมร่วมรับรู้เหตุการณ์ไปพร้อมกับตัวละคร ภาพบรรยากาศภายนอก (out door) รวมทั้งการให้แสงก็สอดคล้องกับอารมณ์ของตัวละคร เช่นตอนที่เอดวาทกลับบ้านและได้นั่งคุยกับน้องสาวที่ริมแม่น้ำกับแสงแดดที่สาดเพียงอ่อนๆลามไล้ใบหน้า ก็ให้ความรู้สึกที่สดใส รื่นเริง มีชีวิตชีวา แทนช่วงเวลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และอีกฉากหนึ่งคราวที่เพื่อนไล่เอดวาทออกจากบ้านและเขาไม่รู้จุดหมายปลายทางของตน ภาพที่ได้เป็นบรรยากาศริมทะเลตอนพลบค่ำ ฟ้าหม่นมีเพียงแสงไฟจากเรือดวงเล็กๆอยู่ไกลๆ พ้องกับความหวังต่อสิ่งต่างๆในชิวิตอันมืดมนของเขานั้นยิ่งริบหรี่ลง
เจือเก้ส เคยมีผลงานในการร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังมาแล้วเช่นร่วมงานกับ ไรเนอร์ เวอร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์ ในเรื่อง Ali:Fear Eats the Soul (1974) เคยร่วมงานกับ ไมเคิล ฮาเนเก้ ในเรื่อง Funny Games(1997), Code Unknown (2000) และ The Time of the Wolf (2003) ประเทศแอลเบเนีย ถือได้ว่าเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในยุโรป ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน ประสบปัญหาหลากหลาย หากผู้ใดต้องการความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหรือต้องการสร้างโอกาสให้ตนเอง ก็ต้องเดินออกจากจุดเดิมเพื่อค้นหา เพื่อเปลี่ยนแปลง เพื่อหลุดให้พ้น หรือเพื่อ หนี ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม แต่หากชัดเจนในสิ่งที่ทำและมุ่งหวัง ก็เป็นไปได้ว่าอาจสมมารถปรารถนาในสักวัน อย่างน้อยก็ไม่ย่ำอยู่กับที่ การเมืองในแอลเบเนียที่เกิดโกลาหล กลุ่มผู้ประท้วงแสดงจุดยืนเพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เอดวาท หนีข้ามชายแดนลักลอบเข้าเมืองเข้าประเทศอื่นก็เพื่อเพิ่มโอกาสในการเป็นร็อคสตาร์ให้กับตัวเอง และท้ายสุดก็ หนี ความร้อนรุ่มที่สุมอยู่ในใจมาตลอด เลือกที่จะชดใช้หนี้กรรมมากกว่าจะแบกความทุกข์ที่เหมือนดั่งชนักปักหลังติดตัวไปทุกแห่งEduart (2006) ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนจากประเทศกรีซเพื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 80 ปี 2008 ในสาขา Best Foreign Language Film ปีเดียวกันกับที่ King of Fire (2007) หรือ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นตัวแทนจากประเทศไทย, I Served the King of England (2006) เป็นตัวแทนจากสาธารณรัฐเชค, Persepolis (2007) เป็นตัวแทนจากประเทศฝรั่งเศส และต่างก็อกหักเหมือนกัน
:: Please welcome :: ขอเชิญ ทุกท่านร่วมแสดงความคิดเห็นต่อหนังหลากเรื่องหลายแนว ทั้งชนโรง ทั้งหนังแผ่น ได้ที่ //vreview.yarisme.com ค่ะ และเรายังมีกิจกรรมให้ทุกท่านมีสิทธิลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท ฟรี!!!! จำนวน 8 ใบ ทุกเดือนอีกด้วย . .
Create Date : 02 สิงหาคม 2551
16 comments
Last Update : 4 สิงหาคม 2551 13:32:41 น.
Counter : 1130 Pageviews.
โดย: บลูยอชท์ 5 สิงหาคม 2551 20:47:51 น.
โดย: haro IP: 203.153.163.34 6 สิงหาคม 2551 11:52:02 น.
โดย: chubbymature IP: 58.8.34.2 6 สิงหาคม 2551 23:52:51 น.
โดย: nanoguy IP: 125.24.153.79 12 สิงหาคม 2551 2:04:55 น.
โดย: BdMd IP: 124.122.166.130 12 สิงหาคม 2551 22:10:26 น.
.Just wait until night
then switch the light off
DeUsynlige (2008) Erik Poppe : : หนึ่งเป็นผู้ทำลาย หนึ่งเป็นฝ่ายสูญเสีย เวลาผ่านต่างฝ่ายต่างเริ่มชีวิตใหม่แต่ที่สุดแล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากัน ~ ถึงพล็อตจะสามัญแบบนี้แต่หนังวางสถานการณ์ที่แสดงและเหตุการณ์ที่ซ่อนอยู่ได้หมาะกันดีมาก การถ่ายโอนตัวละครจุดศูนย์กลางของเรื่องจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งก็ไหลลื่น เรื่องราวที่บรรจุความกดดันต่อสู้กับตัวเองของตัวละครก็เข้มข้น และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่หนังขอให้เราเห็นเป็นสำคัญเพราะที่สุดแล้วเราจะเห็นว่าฝ่ายที่เคยสูญเสียกลับด้านมาเป็นผู้ทำลายบ้าง ทั้งหมดเป็นความละเอียดในอารมณ์ของผกก.ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมจริงๆ
Adventureland (2009) Greg Mottola : : เด็กหนุ่มพรหมจรรย์และเด็กสาวเมียเก็บนายช่างของสวนสนุกเกิดลังเลในความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ครั้นจะจูนกันติดกลับมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันซะงั้น ~ ปั๊ปปี้เลิฟสนุกๆ ประสาวัยรุ่นวัยเรียน ฉากหลังเป็นยุค 80 ที่มีกัญชาเป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์ เพลงดิสโก้ ฟังก์ พั้งค์ จากยุคนั้นก็อัดกันขนกันมาเพียบ เพลิน และมองว่า คริสเตน สจ๊วต นั้นดูทื่อมะลื่อไงไม่รู้
Mutum (2007) Sandra Kogut : : เด็กชายคนหนึ่งแถบบ้านนาของบราซิล ต้องเผชิญกับความดุดันของพ่อ สนิทกับอาแต่เหมือนเขาจะมาจีบแม่ ถูกเพื่อนวัยเดียวกันเหน็บแนมและที่สำคัญคือสูญเสียเพื่อนรักที่สุดในชีวิต ~ อะไรจะแกร่งเกินนี้ไม่มีอีกแล้ว เจ้าหนูไม่ได้อยู่ในร่างของคนมองโลกในแง่ดี หากแต่ให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยความเข้าใจและมองถึงสิ่งที่ตนต้องทำ ... ชอบเรื่องที่แทรกอยู่เล็กๆ อย่างความผิดปกติทางสายตา (สายตาสั้น) เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในชนบทซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จะเห็นความแตกต่างก็ต่อเมื่อได้ลองสวมแว่นตาเท่านั้น
Dalkomhan insaeng (2005) Ji-woon Kim : : มือขวาของเจ้าพ่อฝีมือสุดเนี้ยบทำการใดไม่เคยล้มเหลว ตีรันฟันแทงเตะต่อยขอให้บอก แต่จะมาตายเอาก็เพราะริอาจมีใจให้ เด็ก ของเจ้าพ่อ ~ หนังแก็งส์เตอร์ของพี่ๆ เกาหลีเขาต้องบอกว่าออกแบบท่าทางกันมาดี ดูแล้วเพลิน นึกถึง Transpotter ที่ เจสัน สเตแธม ในชุดสูทหรูระยับแต่ยกแข้งขาถีบยันได้ดีเอาเรื่อง ทรยศหักหลังยังเป็นชนวนหลักที่สร้างสีสันให้กับหนังแนวนี้ สนุกดีแม้จะชวนสับสนนิดหน่อยว่าใครอยู่ฝ่ายไหนลูกน้องใคร (ก็หน้าตาเขาคล้ายกันน่ะ)
Noise (2007) Matthew Saville : : หนังมีส่วนผสมของความเป็นหนังเขย่าขวัญอยู่เพียงส่วนหนึ่งทั้งๆ ที่มีเหตุสะเทือนขวัญรุนแรง แต่... อ่านต่อ ที่นี่
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31