Tokyo . sora … หรือใต้ฟ้าเหงาเหงา จะมีแค่เราเพียงลำพัง (2002)



มีเหตุผลมากมายคณานับ

ที่มีไว้ให้เราเลือกเอามาใช้ในการทำอะไรบางอย่าง โดยไม่จำเป็นต้องรอให้รู้ก่อนว่า เมื่อเลือกแล้ว มันจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นบ้าง ดีหรือไม่ดี สมหวังไม่สมหวัง เราต่างคาดไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อมี ”โอกาส” ให้เลือก ก็จงทำมัน ดีกว่าจะมาเสียดายภายหลังเมื่อโอกาสผ่านไปแล้วและไม่อาจเรียกคืน

Tokyo . sora หรือ Tokyo . sky เป็นหนัง drama หงอยเหงาจากญี่ปุ่น ที่พูดถึงชีวิตของหญิงสาว 6 คน ที่มีที่พักอาศัยเป็นแค่ห้องๆหนึ่งและอยู่ตัวคนเดียวในเมืองโตเกียว โดยแต่ละคนมีวิถีชีวิตที่ต้องทำแบบเดิมๆ ซ้ำๆอยู่ทุกวัน หญิงสาวทั้ง 6 คนนี้ต่างเป็นแค่เจ้าของชีวิตเล็กๆของตนเอง ที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจในความเคลื่อนไหวของผู้คนรอบข้าง แต่จริงๆแล้ว เรื่องราวของคนทั้ง 6 ได้ถูกร้อยและเกี่ยวพันกันด้วยจังหวะหนึ่งของเวลา ที่บังเอิญได้เคลื่อนมาทับซ้อน

** Taiwan-no-ko ( Son.seika ) สาวชาวไต้หวัน ที่มีอาชีพรับจ้างยืนเป็นแบบ ให้กับคอร์สเรียน drawing แห่งหนึ่ง และเวลาส่วนตัวของเธอคือหัดอ่าน-เขียน-พูดภาษาญี่ปุ่น และการไปนั่งเหม่อตอนรอเสื้อผ้าที่ร้านซักผ้าด้วยเครื่องหยอดเหรียญ

บ่อยครั้งขณะที่ Taiwan นั่งรอผ้า มักจะเป็นเวลาเดียวกับที่ชายคนหนึ่งก็นั่งรอผ้าอยู่เหมือนกัน แต่เขา ฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือ

ครั้งหนึ่ง Taiwan แกล้งเดินผ่านหนังสือเล่มนั้นที่เขาวางไว้แล้วเหลือบมองหน้าปก และวันต่อมา ขณะมานั่งรอผ้า เธอก็ฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือเล่มเดียวกันกับเขา และแล้ว การสานสัมพันธ์ก็เริ่มขึ้น เมื่อเขาสังเกตุเห็นว่าเธออ่านหนังสือเรื่องเดียวกัน จึงเริ่มทักทายเธอ ชวนคุยถึงเรื่องหนังสือ แต่ ทุกอย่างต้องจบลงในเวลาอันสั้น เพราะเธอฟังภาษาญี่ปุ่นไม่เข้าใจ

การที่เธอไปซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่านบ้าง มันแสดงถึงความต้องการเพื่อนและอยากมีเพื่อน ซึ่งก็ต้องเป็นเขาเท่านั้นในเวลานี้ เพราะจริงๆแล้วเธอสามารถที่จะหยิบจับซื้อเล่มไหนก็ได้มาอ่านฆ่าเวลา แม้สุดท้ายจะไม่มีอะไรคืบหน้า แต่นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนเหงาคนหนึ่ง

** Megane–no-ko ( Honjo.manami ) มีงานประจำเป็นคนยืนแจกทิชชู่ฟรีให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา แต่สิ่งที่เธอตั้งใจและทำอยู่บ่อยครั้งคือการไปเข้ารับคัดตัวนักแสดง กลับมาห้องพักก็มักจะมีม้วนvdo เช่าติดกลับมาไว้ดูด้วย


** Bidai-no-ko ( Nakamura.ayano ) นักเรียนที่เข้าคอร์สเรียน drawing และกำลังหางานประจำทำ มีอยู่วันหนึ่ง ขณะนั่งรถไฟกลับ ผู้หญิงที่นั่งข้างเธองีบหลับชนิดสลบไสลและเอนตัวโน้มมาเบียดเธอและเธอก็ไม่รู้จะทำยังไงดีได้แต่ทำตัวลีบเล็กจนแทบจะตกเก้าอี้ ขณะเดียวกัน ก็มีผู้หญิงสวมหมวกท่าทางแบบทอมบอยคนหนึ่ง แอบเห็นและยืนขำเธออยู่

แล้ววันหนึ่ง ชีวิตประจำวันของ Bidai ก็เปลี่ยนไปเมื่อเพื่อนชายร่วมคอร์สเรียน drawing มาขอให้เธอเป็นแบบวาดให้เขา ไม่นานนักความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นแฟน ทั้งสองออกไปเที่ยวด้วยกันจนค่ำและเกือบพลาดรถไฟเที่ยวสุดท้าย ก่อนจาก เขาจูบเธอ แต่เธอก็ไม่ยอมให้มันเกินเลยไปกว่านั้น ซึ่งดูท่าเขาจะไม่พอใจ

ที่เธอไม่ยอมให้มันเกินเลยไปกว่านั้น อาจเป็นเพราะเธอกลัวเขารู้เรื่องหน้าอก ของเธอ ว่าที่มันโตขนาดนี้ได้ก็เพราะเสริมด้วยแผ่นฟองน้ำต่างหาก

Bidai คนที่เคยอยู่เดียวดาย เมื่อมีชายหนุ่มต้องการมาเพ่นพ่านในหัวใจ เธอเลยต้องการที่จะดึง และ รั้ง เขาไว้ให้ได้นานที่สุด โดยเริ่มจากหน้าอกอันแบนราบของตัวเองซะก่อนเป็นอันดับแรก อย่างน้อย ก็น่าจะเป็นจุดที่เรียกความสนใจได้จากสายตาหนุ่มๆ


** Saten-no-ko (Takagi.ikuno ) พนักงานเสริฟในร้านกาแฟ ที่คุยกันอย่างถูกคอดีกับเจ้าของร้านหนุ่ม แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองต่างถูกกั้นด้วย “เคาน์เตอร์บาร์” คนหนึ่งอยู่ด้านในของเคาน์เตอร์ Saten อยู่ด้านนอกหน้าเคาน์เตอร์ มีเพียงเรื่องราวต่างๆที่หลังไหลพรั่งพรูขณะคุยเท่านั้น ที่คอยเชื่อมสองคนนี้ไว้ด้วยกัน

เมื่อเวลาเลิกงาน Saten เปลี่ยนชุดพนักงาน แล้วคว้าหมวกมาสวม ก่อนเดินออกจากร้านไป


** Yooko ( Itaya.yuka ) นักเขียนสมัครเล่น และอาชีพหลักคือเป็นสาวทำงานที่ ”บาร์ชุดชั้นใน” ค่ำหนึ่ง ขณะที่ Yooko นั่งต้อนรับแขกในบาร์ เธอได้ยินคำว่า “ยูกิ” และได้ยินความหมายของชื่อนี้ลอยแทรกเสียงอันโล้งเล้งจ้อกแจ่กของคนในบาร์ขึ้นมา เธอได้ยินมันชัดเจนและดังก้องอยู่ในหูของเธอตลอดเวลา จนเธอต้องเอาชื่อนั้นมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องสั้นเรื่องใหม่ของเธอ

และอีกค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่ Yooko กำลังนั่งดื่มอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเขยิบที่นั่งมานั่งอยู่ข้างเธอเพราะลูกค้าเริ่มแน่นร้าน แล้วทั้งสองก็เริ่มทักทายและคุยกันอย่างออกรสชาด ราวกับเป็นคนคุ้นเคยกันมาก่อน


** Yuki ( Igawa.naruka ) ทำงานที่ร้านเสริมสวยในเวลากลางวัน และกลางคืนเป็นสาวทำงานที่ ”บาร์ชุดชั้นใน” และด้วยการทำงานชนิดไม่ค่อยได้พัก เธอเคยล้มวูบลงกลางร้านมาแล้วครั้งหนึ่ง

ในคืนหนึ่งที่ ”บาร์ชุดชั้นใน” ลูกค้าชายคนหนึ่งได้ให้หมายเลขโทรศัพท์เธอไว้ เผื่อว่าเธออยากจะโทรไป ”สานสัมพันธ์” Yuki จึงให้เขาเขียนให้บนนามบัตรของเธอไว้

และในอีกค่ำคืนหนึ่งขณะที่ Yuki กำลังนั่งดื่มอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ก็มีลูกค้าเข้าร้านมาในร้านเป็นกลุ่มใหญ่ Yuki จึงต้องเขยิบที่นั่ง ไปนั่งติดกับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วไม่นาน ก็คุยกันถูกคอเป็นอย่างดี

ทั้ง Yooko และ Yuki เลยคุยกันได้ตลอดทั้งคืนนั้น จนเช้าวันใหม่

ด้วยความยาว 127 นาทีของหนังเรื่องนี้ เนื้อในความรู้สึกและพฤติกรรมของตัวละครทั้ง 6 จึงถูกนำเสนอให้เห็นได้อย่างละเอียด แต่หนังก็ได้ให้เวลาและน้ำหนักในเรื่องราวกับ Yooko และ Yuki ยาวกว่าคนอื่นและมีจุดหักอารมณ์ อันที่จะนำไปเชื่อมกับตัวละครอื่นๆอีกทีหลัง


เช้าวันถัดมา

Yooko เข้าครัวทำอาหาร แล้วเกิดมีดบาดมือ เลือดไหลอาบแขน และจู่ๆเธอก็คิดถึง Yuki ขึ้นมา Yookoจึงรีบโทรไปตามเบอร์ที่ปรากฏบนนามบัตรของ Yuki ที่เธอเคยเก็บได้ในห้องแต่งตัวที่บาร์ชุดชั้นใน แต่ปรากฏว่าเป็นเสียงผู้ชายรับ เธอจึงฝากเขาไปบอก Yuki ว่า “ คืนนั้นสนุกมาก และ มีความสุขมาก “

ที่เคาน์เตอร์ร้านกาแฟ
ขณะที่ Saten กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานกับเจ้าของร้านหนุ่ม จู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย หันมาพูดอย่างจริงจังและเล่าเรื่องแปลกที่เขาเจอให้เธอฟังว่า มีวันหนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งโทรเข้ามาที่เบอร์มือถือเขา โดยที่เขาก็ไม่รู้จักเธอ และแถมยังฝากข้อความให้เขาไปบอกเด็กนั่งดริ้งค์ ที่เขาเคยเจอแค่ครั้งเดียวที่บาร์ชุดชั้นในอีกด้วย

ถึงตรงนี้ คนดูก็พึ่งจะรู้เหมือนกันว่าคนที่ให้เบอร์มือถือแก่Yuki และ หนุ่มเจ้าของร้านกาแฟนั้น เป็นคนคนเดียวกัน เพราะตลอดเวลาที่มีฉากในร้านกาแฟ เราจะเห็นภาพเขาอยู่ระยะห่างจากกล้องพอสมควร และมักจะยืนหันหลังและหันข้างให้กล้องอยู่เสมอ

(เนียนทีเดียว.......นึกไม่ถึงจริงๆ)


บนสะพานลอยแห่งหนึ่ง
หลังจาก Yooko รู้ว่าเกิดเรื่องร้ายกับ Yuki เธอจึงออกมาวิ่งบนสะพานลอยแห่งนี้อีกครั้ง ที่ก่อนหน้า เคยวิ่งแข่งกันกับ Yuki มาแล้ว ตอนนี้ขณะที่เธอวิ่ง เธอแกะผ้าพันแผลที่นิ้วฝ่ามือออก แล้วโยนมันขึ้นฟ้า ปล่อยมันลอยละล่องและร่วงลงสู่ถนนข้างล่าง



ที่ถนนข้างล่าง
Bidai แหงนหน้ามองฟ้า เห็นแถบผ้าลอยละลิ่ว เธอจึงวิ่งขึ้นไปบนสะพานลอยบ้าง และหยิบกระดาษโน๊ตที่แฟนเธอให้ไว้ออกมาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโยนขึ้นฟ้า ปล่อยมันลอยไปตามสายลม

ที่ห้องพักของ Taiwan
เธอได้ยินเสียงกระแอมไอเหมือนคนไม่สบาย ดังอยู่ไม่หยุดจากห้องข้างๆ เธอจึงอุ่นอาหาร และเอาน้ำร้อนไปให้ ซึ่งคนที่ไม่สบายก็คือ Megane นั่นเอง

ฉากสุดท้ายนี่ ราวกับหนังพึ่งนึกได้และกลัวคนดูจะลืมว่าแล้ว 2 คนนั้นหายไปไหน เลยดูเหมือนจงใจไปนิดที่มาเอ่ยถึงในท้ายเรื่อง

การดำเนินเรื่อง หรือเล่าเรื่องของหนังที่ต้องการรายละเอียดมาก และมุ่งเน้นให้คนดูจับเรื่องราวเอาจากการแสดงทางด้านอารมณ์และความรู้สึกแทนคำพูดนั้น ผลที่ออกมาคือ เป็นหนังที่มีบทพูดน้อย ตั้งกล้องทิ้งไว้ และแช่ภาพ และ เงียบ มีบ้างที่แทรกเสียงเพลงเข้ามาช่วยสร้างบรรยากาศ แต่ก็ดังอยู่ไกลเหลือเกิน บรรยากาศโดยรวมก็อึมครึม ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน ดูหม่นหมอง เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้จึงจำเป็นต้องใช้สมาธิในการดูอยู่พอสมควร ถ้าไม่ตั้งใจหรืออยากจะดูจริงๆล่ะก็ หลับแน่ๆ

หนังตลอดทั้งเรื่อง จะมีทั้งเสียงและภาพ ของรถไฟวิ่งแทรกอยู่เป็นส่วนใหญ่ ด้วยการที่มันวิ่ง “มา” แล้วก็ “ไป” เลยเปรียบได้กับอะไรหลายอย่างในชีวิตของตัวละครหลักในเรื่อง

เช่นฉากที่ Taiwan-no-ko โทรศัพท์ไปหาแม่ที่ไต้หวัน ภาพด้านหลังของเธอ เราจะเห็นรถไฟวิ่งอยู่ ไม่ไกลจากตู้โทรศัพท์ที่เธอใช้เท่าใดนัก หากจะนำมาเปรียบก็เหมือนช่วงหนึ่งของชีวิตเธอที่มีหนุ่มที่ร้านซักผ้าเข้ามาครู่หนึ่ง แล้วก็ไป

หรือฉากที่ Bidai กับแฟนหนุ่มที่จูบเธอ สถานที่ที่ทั้งสองยืนอยู่นั้นก็คือสถานีรถไฟในยามค่ำ และมีรถไฟเที่ยวสุดท้าย พึ่งวิ่งผ่านไปเป็นฉากหลัง เปรียบเหมือนหนุ่มน้อยคนนี้ได้เข้ามาในชีวิตเธอแต่ได้แค่จูบและไม่พอใจ จึงแยกทางกันไป

และอีกอย่างที่หนังมักใช้ให้เห็นบ่อยๆคือ ในเฟรมภาพส่วนใหญ่ มักมีตัวละครแค่ตัวเดียว แม้ว่า จะมีคู่สนทนาคอยโต้ตอบอยู่ในสถานที่เดียวกันสถาณการณ์เดียวกันก็ตาม ซึ่งก็มาช่วยเน้นย้ำถึงธีมหลักหรือประเด็นของเรื่องที่ว่าด้วย”คนเหงา” ให้ชัดยิ่งขึ้นไปอีก

จะว่าไป คนเหงาส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่มีโลกส่วนตัวของตัวเอง มักสร้างโลกส่วนตัวกั้นห่างกับโลกภายนอก เราจึงจะเห็นตัวละครอาศัยอยู่ในห้อง ที่เป็นห้องเช่า หรือห้องพักส่วนตัว ไม่ได้เป็นบ้านเป็นหลัง และในแต่ละฉาก เวลาที่ตัวละครอยู่ในห้อง มักจะเป็นฉากที่มีแสงผ่านเข้ามาทางหน้าต่างกระจก ประกอบอยู่ด้วย

ภาพมองออกจากในห้อง ด้านผนังที่มีหน้าต่างและแสงส่องเข้ามา ได้ช่วยบอกและสื่อถึงโลกสองโลก คือโลกของเจ้าของห้องและโลกภายนอกที่อยู่ชิดติดกัน และห่างกันด้วยระยะเพียงความหนาของผนังเท่านั้น จึงไม่เป็นการยากนัก หากจะลองทลายมันออกไป แล้วให้แสงได้สาดส่องเข้ามาในห้องแบบเต็มๆ ... ขึ้นอยู่กับว่า จะทำ หรือไม่ทำ เท่านั้นเอง

แสงที่สว่างอยู่ข้างนอก กำลังคอยให้ใครบางคนออกไปหรือเปิดใจ เพื่อรับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นใหม่ๆอยู่เสมอ



ใต้ฟ้าเหงาเหงา อย่างน้อยก็มีเรา เรา และเรา ที่ใช้ฟ้าร่วมผืนเดียวกันอยู่เป็นเพื่อน






Create Date : 25 สิงหาคม 2549
Last Update : 25 สิงหาคม 2549 22:55:20 น. 10 comments
Counter : 1060 Pageviews.

 
เขียนได้สวยและเหงามากค่ะ ชอบจัง เข้าโรงอยู่รึเปล่าคะ (ถามไปงั้นแหละ ไม่รู้จะมีปัญญาออกจากบ้านอีกทีวันไหน)

จะบอกว่า renton ยังดีที่ได้อ่าน รายชื่อหนังสือที่ลงไว้น่ะ เรายังไม่ได้อ่านทั้งนั้นเลยจ้า


โดย: ลูกสาวโมโจโจโจ้ (the grinning cheshire cat ) วันที่: 25 สิงหาคม 2549 เวลา:20:15:18 น.  

 
ผมจำได้ว่าเกือบหลับเพราะหนังเรื่องนี้
แต่มาตื่นเอาเต็มตาไอ่ฉากวิ่งนี้แหละ
แถมเพลงยังเพราะเสียจนชนน้ำตาซึม
รู้สึกจะร้องเกี่ยวกับ ยูกิ (หิมะ) ด้วย


โดย: ShadowServant วันที่: 26 สิงหาคม 2549 เวลา:1:03:39 น.  

 
Oh! Another movie that I havn't watched.

So......I should watch it, right?


โดย: BloodyMonday วันที่: 26 สิงหาคม 2549 เวลา:11:14:01 น.  

 
น่าดูตรงที่หญิงสาวต้ง 6 คนนั่นละครับ
อ่านล่วงหน้าแล้วเพื่อเตรียมรอดูครับ


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 27 สิงหาคม 2549 เวลา:17:35:22 น.  

 
ใบไม้ . หิมะ . ท้องฟ้า



โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 27 สิงหาคม 2549 เวลา:20:19:19 น.  

 
น่าดูจังเลยค่ะ
เอ ช่องเม้นท์เป็นเรื่องโปรดเราเลยเนี่ย
ไว้ต้องมาเยี่ยมบ่อยๆซะแล้ว


โดย: quin toki วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:1:02:19 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงเรื่อง Chungking Express กะ Happy Together หนังโปรดของเราเลยอะ เรื่องเหงา ๆ แบบนี้ (อ้อ Chungking นี่เป็น 1 ใน top ten หนังรักตลอดชีวิตของเราเลยน้า ที่เคยถามไง)

ต้องไปหาเรื่องนี้มาดูบ้างละ เพราะว่า....การที่เธอไปซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่านบ้าง มันแสดงถึงความต้องการเพื่อนและอยากมีเพื่อน ซึ่งก็ต้องเป็นเขาเท่านั้นในเวลานี้....โหะๆๆ เหงาแท้ ๆ...


โดย: unwell วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:12:29:52 น.  

 
สวัสดีจ้า แวะมาทักทายค่ะ
ไปเม้นท์ไว้ให้เกด เนี่ยก็เพิ่งมีโอกาสเข้ามาชม ต้องขออภัยนะจ้า
ว่างๆ ไปคุยกันนะ


โดย: kate (Cutekate79 ) วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:13:49:57 น.  

 


คุณ ลูกสาวโมโจโจโจ้ * หนังมะได้เข้าฉายที่โรงอ่ะค่ะ เราดูจากแผ่นอ่ะ มีโอกาสก็แวะหาชมได้จ้า ^_^

คุณ ShadowServant * ตื่นมาเจอตอนฉากวิ่งเนี่ย ใกล้จาจบพอดีเลยนะนั่น 5 5 5 , เพลงเค๊าก้อเหงาซ๊า

คุณ BloodyMonday * ถ้าชอบหนังหงอยเหงาเศร้าลึกล่ะก้อ เชิญชวนชมค่ะ ^_^

คุณ ดำรงเฮฮา * สุขใดไหนจะเท่ามีสาวน่ารักๆตั้ง 6 คน มาให้ปลื้มได้เล้า ^_^

คุณ น้าพล แค่เพียงรู้สึกสุขใจ * แม่นละๆ ใบไม้ . หิมะ . ท้องฟ้า ^_^

คุณ qun toki * ออล อเบ้าท์ ลิลี่ชูชู เราก้อชอบเหมือนกันค่ะ ^_^ แล้วแวะมาน๊า

คุณ unwell * เรื่อง จุงจิงเอ็กซ์เพรส เนี่ย เรายังมะได้ดูเลยอ่ะ แต่ happy together เนี่ย ติดทำเนียบหนังในใจเราเหมียนกันจ้า ^_^

คุณ kate * ขอบคุณหลายที่แวะมา เด๋วจาแวะไปคุยด้วยอ๊ะแหน่นอนจ้า ^_^



โดย: renton_renton วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:20:03:53 น.  

 
เรื่องนี้จำได้ว่า ดูๆ อยู่ หลับ
555

ต้องมาดูใหม่อีกรอบ


โดย: Oakyman วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:15:01:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

renton-renton
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Photobucket.Just wait until night then switch the light off
DeUsynlige (2008) Erik Poppe : : หนึ่งเป็นผู้ทำลาย หนึ่งเป็นฝ่ายสูญเสีย เวลาผ่านต่างฝ่ายต่างเริ่มชีวิตใหม่แต่ที่สุดแล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากัน ~ ถึงพล็อตจะสามัญแบบนี้แต่หนังวางสถานการณ์ที่แสดงและเหตุการณ์ที่ซ่อนอยู่ได้หมาะกันดีมาก การถ่ายโอนตัวละครจุดศูนย์กลางของเรื่องจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งก็ไหลลื่น เรื่องราวที่บรรจุความกดดันต่อสู้กับตัวเองของตัวละครก็เข้มข้น และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่หนังขอให้เราเห็นเป็นสำคัญเพราะที่สุดแล้วเราจะเห็นว่าฝ่ายที่เคยสูญเสียกลับด้านมาเป็นผู้ทำลายบ้าง ทั้งหมดเป็นความละเอียดในอารมณ์ของผกก.ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมจริงๆ
Adventureland (2009) Greg Mottola : : เด็กหนุ่มพรหมจรรย์และเด็กสาวเมียเก็บนายช่างของสวนสนุกเกิดลังเลในความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ครั้นจะจูนกันติดกลับมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันซะงั้น ~ ปั๊ปปี้เลิฟสนุกๆ ประสาวัยรุ่นวัยเรียน ฉากหลังเป็นยุค 80 ที่มีกัญชาเป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์ เพลงดิสโก้ ฟังก์ พั้งค์ จากยุคนั้นก็อัดกันขนกันมาเพียบ เพลิน และมองว่า คริสเตน สจ๊วต นั้นดูทื่อมะลื่อไงไม่รู้
Mutum (2007) Sandra Kogut : : เด็กชายคนหนึ่งแถบบ้านนาของบราซิล ต้องเผชิญกับความดุดันของพ่อ สนิทกับอาแต่เหมือนเขาจะมาจีบแม่ ถูกเพื่อนวัยเดียวกันเหน็บแนมและที่สำคัญคือสูญเสียเพื่อนรักที่สุดในชีวิต ~ อะไรจะแกร่งเกินนี้ไม่มีอีกแล้ว เจ้าหนูไม่ได้อยู่ในร่างของคนมองโลกในแง่ดี หากแต่ให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยความเข้าใจและมองถึงสิ่งที่ตนต้องทำ ... ชอบเรื่องที่แทรกอยู่เล็กๆ อย่างความผิดปกติทางสายตา (สายตาสั้น) เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในชนบทซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จะเห็นความแตกต่างก็ต่อเมื่อได้ลองสวมแว่นตาเท่านั้น
Dalkomhan insaeng (2005) Ji-woon Kim : : มือขวาของเจ้าพ่อฝีมือสุดเนี้ยบทำการใดไม่เคยล้มเหลว ตีรันฟันแทงเตะต่อยขอให้บอก แต่จะมาตายเอาก็เพราะริอาจมีใจให้ “เด็ก” ของเจ้าพ่อ ~ หนังแก็งส์เตอร์ของพี่ๆ เกาหลีเขาต้องบอกว่าออกแบบท่าทางกันมาดี ดูแล้วเพลิน นึกถึง Transpotter ที่ เจสัน สเตแธม ในชุดสูทหรูระยับแต่ยกแข้งขาถีบยันได้ดีเอาเรื่อง ทรยศหักหลังยังเป็นชนวนหลักที่สร้างสีสันให้กับหนังแนวนี้ สนุกดีแม้จะชวนสับสนนิดหน่อยว่าใครอยู่ฝ่ายไหนลูกน้องใคร (ก็หน้าตาเขาคล้ายกันน่ะ)
Noise (2007) Matthew Saville : : หนังมีส่วนผสมของความเป็นหนังเขย่าขวัญอยู่เพียงส่วนหนึ่งทั้งๆ ที่มีเหตุสะเทือนขวัญรุนแรง แต่... อ่านต่อ ที่นี่
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2549
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
25 สิงหาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add renton-renton's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.